“เบียร์” อร่อยอยู่ที่แก้วและการริน?

Tips & Tricks สารพันเกร็ดน่ารู้

เป็นความเชื่อกันเช่นนั้น และในความเป็นจริงก็น่าจะมีส่วนที่ว่า “..เบียร์ที่อร่อยนั้นขึ้นอยู่กับการรินเบียร์” เพราะเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีความละเอียดอ่อน

ขวดเบียร์รูปทรงต่างๆ

แต่ก่อนจะไปถึงการรินและการดื่มเบียร์ให้อร่อยได้รสชาติ อันดับแรกต้องมาดูเรื่องของ “ขวดเบียร์” กันก่อน

กฎสำหรับผู้ขายส่งและผู้ขายปลีกต้องดูแลรักษาขวดเบียร์ให้ดูใหม่ สะอาดใส ผู้ขายส่งต้องรู้จักหมุนเวียนเปลี่ยนขวดอย่าให้มีขวดเก่าเป็นอันขาด และเบียร์ควรเก็บในห้องที่ไม่ร้อนเกินไป คือไม่ควรเกิน 80 องศาฟาเรนไฮต์ (ราวๆ 27 องศาเซลเซียส) มิฉะนั้นเบียร์อาจเสีย หรือ Off ในแง่รสและกลิ่น โดยเฉพาะเบียร์ที่บรรจุขวดย่อมเสียได้ง่าย และอย่าให้ขวดเบียร์กระทบกับแสงแดดมากเกินไปแม้ขวดจะเป็นสีน้ำตาลหรือเขียวก็ตาม อีกทั้งการแช่เบียร์ขวดให้เย็นนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องไม่แช่ขวดเบียร์ให้เย็นจัดเกินไป อุณหภูมิที่ดีต้องใกล้กับ 50 องศาฟาเรนไฮต์ (ราว 10 องศาเซลเซียส)

ถัดจากนี้ก่อนจะถึง “การรินเบียร์” ให้ได้รสอร่อย สิ่งห้ามพลาดก็คือ ต้องเลือก “แก้ว” สำหรับใช้ดื่มเบียร์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน ประมาณการดื่มกาแฟว่าจะต้องดื่มจากแก้วแบบไหนนั่นแหละ มันเป็นเรื่องของบรรยากาศ

ปกติแก้วเบียร์มักเป็นทรงกลมหรือกลมสูง ก็มีเหมือนกันที่ยกขวดดื่ม แต่ลักษณะเช่นนี้ในประเทศอังกฤษการดื่มจากขวดมักไม่ทำในผับ แต่ในสหรัฐอเมริกาดื่มกันจากขวดได้เป็นปกติ

เวลากินอาหารแล้วมีเบียร์เป็นเครื่องดื่ม ควรเสิร์ฟเบียร์ในแก้วที่สะอาด ไม่มีน้ำมันหรือลิปสติก สิ่งเหล่านี้ทำลายฟองเบียร์และทำให้ฟองจืดชืด

สำหรับแก้วเบียร์นั้น มีหลากหลายรูปทรงขึ้นอยู่กับชนิดของเบียร์ด้วย แก้วเบียร์ที่ดีจะสามารถขับเน้นรสชาติและกลิ่นของเบียร์ให้อร่อยมากขึ้น

ฉะนั้น แก้วเบียร์จึงมีตั้งแต่ทรงมาตรฐาน American pint glass ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป มีรูปทรงกระบอกขนาดพอดีมือ ข้อดีคือสามารถใช้ดื่มกับเบียร์แบบไหนก็ได้ เหมาะกับเบียร์ลาเกอร์ทุกชนิด

แก้วทรง Tulip pint เป็นแก้วที่มีส่วนบนโค้งส่วนครึ่งล่างจะมีขนาดแคบลง ทำให้จับได้ง่าย แก้วเบียร์แบบนี้สามารถรักษาฟองเบียร์ให้คงรูปได้นานจึงเหมาะกับเบียร์เข้มข้นหรือประเภทสเตาท์ ไม่ว่าดราย สเตาท์ หรือไอริช สเตาท์

แก้วเบียร์ Pilsner มักเสิร์ฟด้วยแก้วทรงเรียวสูง เพื่อมองเห็นความใสและฟอง เหมาะกับเบียร์พีลสเนอร์ที่มีรสชาติอ่อน แก้วสามารถดันฟองของเบียร์ให้ขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมเฉพาะของเบียร์

American pint glass
Tulip pint
Pilsner

แก้ว Snifters รูปทรงคล้ายแก้วบรั่นดี มีขนาดอ้วน ก้านเล็ก ข้อดีของแก้วชนิดนี้คือขับกลิ่นที่ซ่อนอยู่ของเบียร์ให้ออกมา จึงเหมาะกับเบียร์ที่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ หรือเบียร์สายเบลเยียมก็ได้

สำหรับเอล จะเสิร์ฟด้วยแก้วที่มีปากใหญ่ เพื่อที่จะได้กลิ่นและรส

แก้วยอดนิยมอีกประเภทหนึ่ง Mug แก้วนี้ใช้งานง่าย จับถือสะดวกและใช้กันแพร่หลาย ซ้ำยังเหมาะกับเบียร์หลายประเภทไม่ว่าเบียร์เยอรมัน อังกฤษ อเมริกา ความหนาของแก้วจะช่วยรักษาความเย็นของตัวแก้ว มีด้ามจับเพื่อไม่ให้มืออุ่นๆ ไปถูกตัวแก้ว เป็นการรักษาอุณหภูมิของเบียร์ เหมาะกับเบียร์ อเมริกัน ลาเกอร์ เบียร์เอล และเยอรมัน ลาเกอร์

Snifters
Mug
การรินเบียร์จากขวดลงแก้ว เอียงเล็กน้อย 45 องศา

คราวนี้มาถึงการรินเบียร์ ในกรณีที่รินจากขวดลงแก้ว ต้องแน่ใจว่ามีที่สำหรับฟองด้วย แก้วอาจเอียงเล็กน้อยประมาณ 45 องศาเพื่อจะได้รับฟองมาก

การรินเอล (เบียร์ชนิดหนึ่ง) นั้น ฟองต้องไม่มากนัก เนื้อที่ว่างสำหรับฟองน้อยกว่าลาเกอร์ แต่การรินลาเกอร์ควรมีที่ว่าง 1 นิ้ว สำหรับฟองเบียร์

เบียร์สเตาท์ เวลารินเนื้อที่ของฟองต้องน้อยกว่า 1 ใน 4 ของนิ้ว

ข้อควรระวัง คือ อย่าให้เบียร์หกหรือหยดใส่ด้านบนของฟองเบียร์ เพราะจะทำให้ฟองระเหยไปเร็วและกลิ่นเบียร์ไม่ถูกขับออกมา

ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นช่วงหน้าขายสำคัญสำหรับสินค้าหลายแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค่ายเบียร์ที่มักจะต้องหากลยุทธ์การตลาดมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย

นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า ภาพการแข่งขันของตลาดเบียร์เริ่มกลับมามีความคึกคักมากขึ้น มีการใช้กลยุทธ์สาวเชียร์เบียร์ หรือพีจี (promotiongirl) ช่วยในการกระตุ้นและผลักดันยอดขาย โดยทั้งค่ายสิงห์และค่ายช้างได้ส่งสาวเชียร์เบียร์กระจายลงไปประจำร้านยี่ปั๊วซาปั๊ว ร้านตู้แช่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะมุ่งไปที่ย่านหอพัก อพาร์ตเมนต์ที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น

ทั้งนี้ “ภูริต ภิรมย์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ตลาดเบียร์มูลค่า 2 แสนล้านบาท ในปีที่ผ่านมาเติบโตเพียง 2-3% ขณะที่เบียร์สิงห์โตกว่า 20% จากการปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์รวมของเครือสิงห์อยู่ที่ 62% เพิ่มขึ้นจาก 59% ปีที่ผ่านมา ส่วนคู่แข่งมีมาร์เก็ตแชร์ลดลง อยู่ที่ 30% กว่า ๆ

ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดเบียร์ค่อนข้างนิ่งมาหลายปี แต่ในเซ็กเมนต์ซูเปอร์พรีเมี่ยม หรือกลุ่มคราฟต์เบียร์ และเบียร์นำเข้า มีเทรนด์การเติบโตค่อนข้างดี

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายหนึ่งกล่าวว่า การส่งเบียร์ตัวใหม่ที่มีดีกรีสูงถึง 6.5% น่าจะเป็นการแก้เกมและดึงฐานลูกค้าที่ชอบดีกรีแรง ๆ กลับมา เนื่องจากหลังจากที่เบียร์ช้างปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็นขวดเขียว และลดปริมาณแอลกอฮอล์ลงเหลือ 5% ทำให้เสียฐานลูกค้ากลุ่มเดิมไป และมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งสวิตช์ไปหาแบรนด์ของคู่แข่งที่มีแอลกอฮอล์ใกล้เคียงแทน แม้ว่าตาม พ.ร.บ.สรรพสามิตใหม่จะกำหนดให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง แต่ค่ายช้างคุมราคาให้อยู่ที่ 53 บาท/กระป๋องได้ หากเทียบกับช้าง คลาสสิค ที่มีแอลกอฮอล์ 5% ราคา 50 บาท/กระป๋อง

“หากสังเกตจะเห็นได้ว่า หลังจากภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้ แต่ราคาขายเบียร์ช้าง (ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ) ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาและยังตรึงขายราคาเดิมทุกเอสเคยู เช่น ขวดใหญ่ 620 มล. 56 บาท กระป๋องเล็ก 320 มล. 38 บาท กระป๋องใหญ่ 490 มล. 50 บาท ขณะที่คู่แข่งอย่างเบียร์ลีโอ หรือสิงห์ ปรับราคาทุกเอสเคยูขึ้นแล้ว เฉลี่ย 1-3 บาทต่อขวด/กระป๋อง” แหล่งข่าวกล่าว

ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ