อยากได้กระเป๋าแบรนด์เนมสักใบ แต่เงินในบัญชีไม่ถึงสักที ใบนี้ก็สวย ใบนั้นก็อยากได้ คอลเล็กชั่นใหม่ก็ออกมายั่วกิเลสตลอดๆ วันนี้เลขออาสาพาไปส่องร้านรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ร้านดังจากประเทศญี่ปุ่น Brand Off Tokyo ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่นถึง 50 สาขา สาขาฮ่องกง 8 สาขา ไต้หวัน 4 สาขา ที่วันนี้ไม่ต้องเสียเวลานั่งเครื่องไปไกล แค่ไปสยามสแควร์ ซอย 3 ก็เจอร้านดัง Brand Off Tokyo by Money Café แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในเมืองไทยกันแล้ว

ว่าแต่ทำไมต้องมาช้อปสินค้าแบรนด์เนมมืองสองที่ Brand Off Tokyo by Money Café นะหรอ ก็เพราะ

  1. Brand Off Tokyo ถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 25 ปี ติด 1 ใน 3 ร้านรับซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนของมือสองที่เก่าแก่ และมีสาขามากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์เดียวที่มีสาขาในต่างประเทศ ทั้งที่ฮ่องกง ไต้หวันและล่าสุดที่สยามสแควร์ ซอย 3 ประวัติยาวนานขนาดนี้ ลูกค้ามั่นใจได้
  2. ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในแถบอาเซียน ที่ Brand off Tokyo เลือก บริษัท มันนี่ คาเฟ่ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงรับจำนำมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี เป็นผู้ดำเนินธุรกิจภายใต้ร้าน Brand Off Tokyo by Money Café นับเป็นแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในเมืองไทย บนพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร รวมสินค้ามากกว่า 600 ไอเท็ม ครอบคลุมทั้งกระเป๋า นาฬิกา จิวเวอรี่
  3. Brand Off Tokyo อยู่ในสมาคมAACD (The Association Against Counterfeit Product Distribution) ซึ่งเป็นสมาคมที่ต่อต้านและป้องกันสินค้าเลียนแบบ ทำให้ลูกค้าของBrand Off Tokyo มั่นใจได้ทั้งเรื่องคุณภาพ ราคา และสินค้าที่เป็นของแท้ 100%
  4. Brand Off Tokyo และมันนี่ คาเฟ่ มีประสบการณ์ที่ยาวนาน มีการสร้างระบบการรับซื้อสินค้าเฉพาะตัว มีเจ้าหน้าที่ประจำการตัดสินใจ จัดราคารับซื้อขายสินค้าที่ถูกต้อง มีการตรวจสอบคุณภาพสินค้า สร้างความเชื่อมั่นในการรับซื้อ ไม่ว่าสินค้าแบรนด์เนมของคุณจะอยู่ไหนสภาพไหน ก็สามารถให้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ประเมินราคาซื้อได้ที่ร้าน Brand Off Tokyo by Money Café
  5. ที่สำคัญร้าน Brand Off Tokyo by Money Café เค้ามีคอนเซ็ปต์ Sharing Economy Sharing Happiness ความสุขที่ส่งต่อกันได้ผ่านสินค้าแบรนด์เนม เพื่อให้ผู้บริโภคใช้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง และช่วยโลกในเรื่องของการผลิตที่ลดลงได้ด้วย

รู้แบบนี้แล้ว เหล่าสาวกแบรนด์เนมมือสองต้องห้ามพลาด!!! แวะไปช็อป หรือนำสินค้าแบรนด์เนมไปเทรดได้ที่ร้าน Brand Off Tokyo by Money Café สยามสแควร์ ซอย 3 เปิดบริการทุกวัน วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 11.00-20.30 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.30-20.30 น. รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.facebook.com/BrandOffTokyobyMoneyCafe/

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีสินค้ามือสองอยู่มากมายหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีอายุการใช้งานไม่นาน แต่ยังคงสภาพดี และมีราคาขายที่ถูกกว่าสินค้าตามท้องตลาดทั่วไป เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ หนังสือ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าในประเทศญี่ปุ่นมีแหล่งซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนของมือสองอยู่เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือร้าน Brand Off Tokyo (แบรนด์ออฟโตเกียว) ร้านซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าแบรนด์เนมมือสองรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีสาขากว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และขยายไปยังฮ่องกง ไต้หวัน และล่าสุดเตรียมเปิดแฟล็กชิฟสโตร์เป็นแห่งแรกในเมืองไทย ภายใต้ชื่อ Brand Off Tokyo by Money Café ที่สยามสแควร์ ซอย 3 ในเดือนพฤษภาคมนี้

ชูศักดิ์ ตั้งเลิศสัมพันธ์

ชูศักดิ์ ตั้งเลิศสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มันนี่ คาเฟ่ จำกัด เปิดเผยว่า “หลังจากที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของโรงรับจำนำ Money Café Pinkoo (มันนี่คาเฟ่ ปิ่นคู่) ให้ดูทันสมัยขึ้น โดยที่ผ่านมา เราเห็นพฤติกรรมลูกค้ามาโดยตลอด จนเราเริ่มเข้าใจว่าอะไรคืออุปสรรค ที่ทำให้ลูกค้าไม่ค่อยกล้าเข้าโรงรับจำนำ อย่างแรกเลยคือ ภาพลักษณ์ ทัศนคติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถเเก้ไขได้ โดยสร้างเซอร์วิสใหม่ๆ และทัศนะคติที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา สามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าลูกค้าเริ่มเข้าใจโรงรับจำนำในอีกรูปแบบหนึ่ง และกล้าที่จะเข้ามาหาเรามากขึ้น

จากนั้นก็พยายามคิดต่อยอดธุรกิจโรงรับจำนำของที่บ้าน อยากจะทำให้เกิดพาร์ทของธุรกิจของ แบรนด์เนมมือสองประเภทอื่นๆ อย่างเช่น กระเป๋า นาฬิกา จิวเวอรี่ เลยไปติดต่อ Brand Off Tokyo ร้านซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าแบรนด์เนมมือสองรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีสาขากว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ให้มาเปิดในเมืองไทย โดยทำ Proposal เสนอไป ประกอบกับแบล็คกราวน์ที่บ้านเป็นธุรกิจโรงรับจำนำ ซึ่งเกื้อกูลและสนับสนุนซึ่งกันและกันกับแนวทางธุรกิจของเขา ในที่สุดก็ได้มีโอกาสทำธุรกิจ Brand Off Tokyo ที่เมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า Brand Off Tokyo by Money Café ซึ่งมีแพลนเปิดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้

โดยยังคงคอนเซ็ปต์เรื่อง Sharing Economy และ Sharing Happiness เพราะหลายคนมักคิดว่าธุรกิจที่จำหน่าย หรือซื้อขายสินค้าแบรนด์เนม มักจะมีหลายพาร์ทที่เราต้องเป็นห่วง เช่น ความคุ้มค่า ราคา และสภาพของสินค้า ซึ่งเราเป็นตัวกลาง และมีประสิทธิภาพในการทำบทบาทตรงนี้ได้ดีของธุรกิจขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ที่เปรียบได้กับการตอบโจทย์สังคม ทั้งในเรื่องของการบริการทรัพยากรอย่างมีคุณค่า และความสุขที่ส่งต่อกันได้ผ่านของแบรนด์เนม เพราะทรัพยากรทุกวันนี้มีอยู่อย่างจำกัด การใช้สินค้ามือสองทำให้ลดทรัพยากร และปริมาณขยะได้เป็นอย่างดี ทำให้คนมองสินค้าแบรนด์เนมมือสองเป็นสินค้าที่คุ้มค่า เพราะต้นทุน ความสุข และความพึงพอใจทุกอย่างก็จะถูกแชร์กันไป ถึงที่สุดแล้วก็จะดีกับตัวบุคคล สังคม และโลกต่อไปได้ เราจึงอยากจะให้ Brand Off Tokyo by Money Café เป็นองค์กรที่ยึดมั่นในชุดความคิดของ Sharing Economy เพื่อให้ผู้บริโภคใช้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง และช่วยโลกในเรื่องของการผลิตที่ลดลงได้”

มร.ทอม โยโกยาม่า

ด้าน มร.ทอม โยโกยาม่า ผู้จัดการทั่วไปส่วนธุรกิจต่างประเทศ (ฮ่องกง) แบรนด์ออฟโตเกียว เล่าว่า “แบรน์ออฟโตเกียวถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 25 ปี ติด 1 ใน 3 ร้านรับซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนของมือสองที่เก่าแก่ และมีสาขามากที่สุด และเป็นแบรนด์เดียวที่มีสาขาในต่างประเทศ ทั้งที่ฮ่องกง และไต้หวัน สาเหตุที่ทำให้แบรนด์ออฟสามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ เนื่องจากเรารู้ถึงความต้องการของตลาดแบรนด์เนมมือสองในต่างประเทศ และต่างประเทศเองก็มั่นใจในสินค้าของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้า  แบรนด์เนมมือสอง ยิ่งเป็นที่น่าเชื่อถือว่าเป็นของแท้ ถูก และคุณภาพดีแน่นอน ทำให้เราสามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ และเป็นโอกาสที่ดีที่ Brand Off Tokyo จะได้มาเปิดที่เมืองไทย ให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่ดี มีคุณภาพ และราคาสมเหตุสมผล

นอกจากนี้ทางร้านยังมี Specialist ที่มาดูแลทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า ความเป็นมาตรฐาน มีระบบเทรนนิ่งทั้งภายในและภายนอก ที่สำคัญ Brand Off Tokyo ยังอยู่ในสมาคม AACD (The Association Against Counterfeit Product Distribution) ซึ่งเป็นสมาคมที่ต่อต้านและป้องกันสินค้าเลียนแบบ ทำให้ลูกค้าของ Brand Off Tokyo เกิดความมั่นใจได้ทั้งเรื่องคุณภาพ ราคา และสินค้าที่เป็นของแท้ 100%”

ทาคายูกิ ชิมาตะ

ด้าน ทาคายูกิ ชิมาตะ ผู้จัดการสาขา (ประเทศไทย) แบรนด์ออฟโตเกียว กล่าวว่า “Brand Off Tokyo มีประสบการณ์ที่ยาวนาน มีการสร้างระบบการรับซื้อสินค้าเฉพาะตัว มีเจ้าหน้าที่ประจำการตัดสินใจ จัดราคารับซื้อขายสินค้าที่ถูกต้อง มีการตรวจสอบคุณภาพสินค้า สร้างความเชื่อมั่นในการรับซื้อ โดยสินค้าของ Brand Off Tokyo นั้น มีการแบ่ง Rank สินค้าตามการใช้งาน ดังนี้ N หมายถึง สินค้ายังใหม่ S หมายถึง สภาพเหมือนใหม่ A หมายถึง ผ่านการใช้งานเล็กน้อย สภาพดี มีรอยบ้าง B หมายถึง สภาพการใช้งานพอควร และ C หมายถึง สภาพการใช้งานมานาน ไม่ว่าสินค้าแบรนด์เนมของคุณจะอยู่ไหนสภาพไหน ก็สามารถให้ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น ประเมินราคาซื้อได้ที่ร้าน Brand Off Tokyo by Money Café

ล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดงาน Brand Off Tokyo Market Place ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม-1 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อให้ขาช็อปและนักสะสมแบรนด์เนมทั่วฟ้าเมืองไทยมาร่วมซื้อ-ขายแบรนด์เนมหรูมือสองคุณภาพดีเลิศ โดยราคาที่รับซื้ออ้างอิงจากราคากลางของตลาดทั่วโลก พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น การันตีราคาและคุณภาพ กับหลากหลายไอเท็มแบรนด์เนมสุดหรูมือสองรุ่นยอดฮิต, รุ่นหายาก และควรค่าแก่การครอบครอง อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูยอดนิยม, นาฬิกาแบรนด์ดังระดับโลก, จิวเวลรี่ชิ้นเก๋สุดเพอร์เฟ็กต์ และอื่นๆ อีกมากมาย และเตรียมพบกับร้าน Brand Off Tokyo by Money Café แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในเมืองไทยได้ที่สยามสแควร์ ซอย 3 ในเดือนพฤษภาคมนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.facebook.com/BrandOffTokyobyMoneyCafe/

ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน การใช้สินค้าแบรนด์เนมมือสอง เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีร้านค้าที่เป็นตัวกลางรับซื้อ-ขาย สินค้าแบรนด์เนมมือสองเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งเชนอินเตอร์แบรนด์และร้านค้าย่อยทั่วไป แต่แน่นอนว่า ร้านที่เป็นเชนขนาดใหญ่จะได้ความน่าเชื่อถือมากกว่า และเมื่อบวกกับเซอร์วิสต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา แม้ตลาดแบรนด์เนมมือสองจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีร้านที่เป็นเชนใหญ่ หรือแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด จึงเป็นโอกาสให้ “ชูศักดิ์ ตั้งเลิศสัมพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มันนี่ คาเฟ่ จำกัด เจ้าของโรงรับจำนำ “มันนี่ ปิ่นคู่” มองเห็นโอกาส โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ในการบริหารโรงรับจำนำที่เป็นทุนเดิมมาต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่

“ชูศักดิ์” ระบุว่า ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสอง เพราะความคุ้มค่า แม้สินค้าแต่ละแบรนด์จะมีมูลค่าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและสภาพ แต่อย่างน้อยราคามือสองจะถูกกว่ามือหนึ่งกว่า 30% ขึ้นไป ทำให้คนที่อยากใช้สินค้าแบรนด์เนมแต่มีกำลังทรัพย์ไม่พอ หรือคนที่มีสินค้าเยอะแล้วแต่อยากแลกเปลี่ยนเพื่อนำสินค้าใหม่ ๆ ไปใช้ หันมาจับจ่ายผ่านร้านซื้อขายมือสองมากขึ้น แต่ยังไม่มีช่องทางใดที่สามารถตอบโจทย์ในแง่ของการบริหาร ประเมินสินค้า ราคา และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลได้จึงได้เจรจาขอสิทธิร้าน “แบรนด์ ออฟ โตเกียว” ร้านซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบรนด์เนมท็อป 3 ของญี่ปุ่น มีสาขาในญี่ปุ่นกว่า 50 สาขา ฮ่องกง 8 สาขา และไต้หวัน 4 สาขา เข้ามาทำตลาดในไทย

โดยเตรียมจะเปิดร้านสาขาแรกที่สยามสแควร์ ซอย 3 ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ภายใต้พื้นที่ 200 ตร.ม. ภายใต้งบฯลงทุน 100 ล้านบาท รวมทั้งหมด 4 ชั้น ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการ 2 ชั้นก่อน ซึ่งชั้นแรกจะเป็นกระเป๋าแบรนด์หรู ชั้นที่ 2 เป็นจิวเวลรี่และนาฬิกา ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 นั้นจะเป็นแบรนด์ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย กับขายส่ง ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงถัดไป

จุดเด่นของร้านคือความน่าเชื่อถือ ที่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจนี้ โดยสินค้าจะถูกประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพนักงานที่จ้างมาประจำร้าน และมีระบบราคากลางที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกที่ แม้จะไม่ได้ถูกที่สุดก็ตาม รวมถึงการให้คำแนะนำ เซอร์วิสจากพนักงานในร้าน ที่ผ่านการเทรนนิ่งด้วยสแตนดาร์ดจากญี่ปุ่นมาแล้ว

“ลูกค้าส่วนใหญ่ มีความกังวลเรื่องความคุ้มค่า ราคา และสภาพสินค้า แต่เราจะพยายามสื่อสารให้ลูกค้าได้รับทราบถึงข้อดีของการซื้อจากอินเตอร์ แบรนด์ ทั้งในแง่ของคุณภาพสินค้า บุคลากรที่เชี่ยวชาญ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจากแบรนด์ ออฟ โตเกียวเป็นของแท้ 100%”

โดยแหล่งที่มาของสินค้ามีทั้งการรับซื้อจากคนในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งสามารถนำมาขายที่ร้านได้ทุกวัน และนำเข้ามาจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้จัดงานแบรนด์ ออฟ โตเกียว มาร์เกต เพลสขึ้น โดยรับซื้อสินค้าแบรนด์เนมทุกแบรนด์ ทั้งโค้ช ลองชอมป์ ไปจนถึงหลุยส์ วิตตอง และชาแนล ได้สินค้ารวมทั้งหมดกว่า 200 ชิ้น และคาดว่าจะจัดงานลักษณะนี้ปีละ 2 ครั้ง เพื่อระดมสินค้าเข้าร้านยังอยู่ระหว่างการจัดตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ โดยจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ในปีแรกคาดว่าจะมีรายได้ 80 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าเติบโต 15% พร้อมกับขยายสาขาอีก 2 แห่ง ในห้างสรรพสินค้า ใช้งบฯลงทุนสาขาละประมาณ 50 ล้านบาท

แม้จะไม่มีใครเก็บตัวเลขตลาดนี้อย่างเป็นทางการ แต่มีการคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านบาท

งานนี้พี่ไม่ได้มาเล่น ๆ !

 


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 เมษายน