28 กุมภาพันธ์ 2565 -มูลนิธิเชฟแคร์ส กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารเพื่อการพัฒนา (CCDKM) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และกลุ่มเชฟชั้นนำของประเทศ จัดโครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 (Chef Cares Dream Academy 2) สร้างโอกาสและเสริมศักยภาพให้กับเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ด้อยโอกาสรวม 12 คน ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟมืออาชีพได้เรียนรู้และฝึกทักษะการประกอบอาหารผ่านการ “ลงมือทำจริง” จากการได้ฝึกฝนกับเชฟที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของประเทศ รวมไปถึงการได้พัฒนาศักยภาพด้านความคิดและทัศนคติในการดูแลของนักจิตวิทยา และได้เพิ่มทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับผู้ที่จะทำอาชีพเชฟและธุรกิจด้านอาหารผ่านการใช้แอปพลิเคชัน Boost Voice เสริมการเรียนรู้ ซึ่งเยาวชนในโครงการฯ จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมเป็นเชฟมืออาชีพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมอาหารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยั่งยืนต่อสังคม

นางมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส กล่าวว่า โครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 เป็นความมุ่งมั่นของเชฟแคร์ส ซึ่งประกอบด้วยมูลนิธิเชฟแคร์ส และเชฟแคร์ส โปกเจกต์ ซึ่งเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมมือกับเชฟแนวหน้าจัดจำหน่ายอาหารพร้อมทานเพื่อสุขภาพ ผ่านช่องทาง 7-Eleven และ Lotus’s ผันกำไร 100% เป็นเงินสมทบโครงการเพื่อสังคมภายใต้มูลนิธิเชฟแคร์ส ทั้งนี้ โครงการ สานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 มุ่งเน้นการสร้างโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนไทยที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา หรือเยาวชนติดคดี แต่มีพฤติกรรมที่ดีจากกรมพินิจ คุ้มครองเด็กและเยาวชนได้ฝึกทักษะการทำอาหารสานฝันคนรุ่นใหม่ที่อยากจะเป็นเชฟให้ได้รับ “โอกาสที่ดี” ผ่านการเรียนรู้และลงมือทำจริง โดยจากการทำโครงการสานฝันปั้นเชฟที่จบหลักสูตรในรุ่นแรก มีหลายคนได้รับโอกาสจากเชฟที่มีชื่อเสียงให้เข้าทำงานในร้านอาหารด้วย บางคนได้มีการนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง ซึ่งในรุ่นที่ 2 นี้ได้พัฒนาหลักสูตรของการเรียนการสอนให้มีความเข้มข้นมากขึ้น และเป็นรุ่นแรกที่ได้ขยายทักษะจากการเรียนรู้อาหารไทย สูตรการทำอาหารแบบสากลและขนม เรายังเพิ่มชั่วโมงทำงานจริงผ่านร้านอาหารระดับโลกอีกด้วย นอกจากนี้ หลักสูตรยังมุ่งเน้นเพิ่มทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับผู้ที่จะทำอาชีพเชฟและธุรกิจด้านอาหาร รวมไปถึงการบำบัดโดยนักจิตวิทยาชั้นนำ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่เสริมศักยภาพของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ให้ได้เติบโตเป็นคนดีและเก่งให้กับสังคม และขอบคุณทุกความร่วมมือที่ร่วมกันสนับสนุนสานฝันให้เยาวชนกลุ่มนี้ได้มีโอกาสเป็นเชฟระดับประเทศและโลกได้

“โครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 จะทำให้เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสได้เรียนรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการทำอาหารที่แตกต่างไปจากเดิม ดิฉันเชื่อมั่นว่าน้องๆที่มาร่วมโครงการนี้จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาช่วยส่งเสริมวงการอาหารไทยที่ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความยั่งยืนได้ ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากตัวเรา ขอให้ทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจเพิ่มพูนความรู้ที่ได้รับพร้อมเป็นเชฟที่ดี และส่งต่อแรงบันดาลใจกับคนในสังคมต่อไป” นางมาริษา กล่าว

ด้านนายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา รองประธานกรรมการมูลนิธิเชฟแคร์ส กล่าวว่า ยินดีกับน้องๆที่ได้เข้าร่วมโครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 ทีมงานทุกคนมีความตั้งใจอย่างมากที่จะพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้เป็นหลักสูตรเฉพาะทางมีความพิเศษที่เน้นผลักดันให้เกิดการยกระดับวงการอาหารไทย หวังว่าน้องๆกลุ่มนี้จะเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้เดินตามความฝันอย่างมีพลังสามารถเป็นเชฟชั้นนำที่ไม่เพียงในประเทศไทยแต่สามารถไปแข่งขันในเวทีโลกได้

พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า กรมฯมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิเชฟแคร์สสานฝันปั้นเยาวชนที่ด้อยโอกาสจากสถานพินิจ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีความประพฤติดี ใกล้พ้นโทษ และมีความสามารถในการทำอาหารสานฝันให้เป็นเชฟรุ่นที่ 2 โดยจากความร่วมมือกับมูลนิธิฯ ที่ได้ให้โอกาสเยาวชนในโครงการรุ่นแรกถือว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ขอบคุณมูลนิธิฯที่ได้ให้โอกาสเยาวชนกลุ่มนี้ให้พวกเขามีก้าวแรกในการสร้างชีวิตใหม่ และขอให้เยาวชนที่ได้เข้าร่วมในโครงการฯรุ่นที่ 2 นี้ยึดหลักความอดทน มีวินัย และซื่อสัตย์ในการทำฝันที่จะเป็นเชฟให้เป็นจริง พร้อมเป็นกำลังใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเยาวชนทุกคนจะมีส่วนช่วยสร้างประโยชน์กับสังคมได้

 ด้านเชฟนิค นายณัฏฐพล ภวไพบูลย์ ร้านวังหิ่งห้อย ในฐานะตัวแทนอาสาสมัครเชฟที่มาร่วมสอนในโครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 เปิดเผยว่า โครงการนี้จะทำให้เด็กและเยาวชนไทยได้เรียนรู้และทำความฝันที่จะอยากจะเป็นเชฟให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่น้องๆจะได้รับความรู้และทักษะการทำอาหารทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ รวมทั้งวินัยของการจะเป็นผู้ที่ทำอาหารที่ดีจากเชฟชั้นนำที่พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ให้อย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมให้น้องๆก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานจริง หวังว่าน้องๆ ทุกคนจะได้นำความรู้ไปสานฝันตัวเองให้เป็นจริงได้ สิ่งสำคัญต้องบอกตัวเองว่าเราทำได้ พอทำสำเร็จเราจะเกิดความภาคภูมิใจ

ในขณะที่น้องตั้ม ตัวแทนเยาวชนผู้ได้รับโอกาสจากโครงการสานฝันปั้นเชฟรุ่นที่ 2 กล่าวว่า ขอบคุณมูลนิธิเชฟแคร์สที่ได้จัดทำโครงการสานฝันปั้นเชฟครั้งนี้ขึ้นมา เป็นเหมือนแสงสว่างให้เด็กที่ชอบทำอาหาร และมีความฝันที่อยากจะทำอาชีพเชฟให้ได้มีพื้นที่ให้เราได้เรียนรู้ มีเป้าหมายได้ทำในสิ่งที่รัก ตลอดทั้งหลักสูตรจะมุ่งมั่นตั้งใจใช้ทุกช่วงเวลาที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ การได้ฝึกทำอาหารรู้เทคนิคจากเชฟที่มีชื่อเสียง การได้ฝึกความรู้ภาษาอังกฤษ และประสบการณ์ต่างๆที่จะได้รับนำมาพัฒนาตนเองให้เดินตามความฝันที่จะเป็นเชฟมืออาชีพให้ได้

เจ๊ไฝ-สุภิญญา จันสุตะ

เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่มูลนิธิเชฟแคร์ส องค์กรที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมโดยการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง  “มาริษา เจียรวนนท์”  ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส และประธานบริษัทเชฟแคร์สโปรเจกต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่อาหารสุขภาพพร้อมรับประทานระดับพรีเมี่ยม จึงจับมือกับเชฟระดับประเทศ “เจ๊ไฝ-สุภิญญา จันสุตะ” เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์  สร้างสรรค์เมนูอาหารพร้อมรับประทานใหม่ล่าสุดออกวางจำหน่าย เป็นเมนูชื่อ  “ฟูซิลี่ผัดขี้เมาไก่” เพื่อนำกำไร 100% คืนสู่สังคม เป็นการช่วยเหลือสังคมได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

“เจ๊ไฝ” หรือ “เปีย-สุภิญญา จันสุตะ” อายุ 75 ปี เจ้าของเมนูไข่เจียวอันลือชื่อจนได้รับรางวัล 1 ดาว จากมิชลินสตาร์ กล่าวว่า เมนู “ฟูซิลี่ผัดขี้เมาไก่” เกิดจากแนวคิดที่อยากให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติรับประทานอาหารไทยได้ง่าย แต่ยังคงรสชาติจัดจ้านตามลักษณะอาหารไทย โดยสูตรนี้จุดเด่นอยู่ที่การตำพริกแกงที่ได้รสชาติกลมกล่อมลงตัว ผสมผสานกับกะปิหอมที่ให้กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ส่วนไก่ก็เลือกใช้ไก่เบญจาซึ่งเป็นเนื้อไก่ระดับพรีเมียม เส้นฟูซิลี่นำเข้าจากประเทศอิตาลี  ออกมาเป็นเมนูสุขภาพที่มาพร้อมกับคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้

“การมาร่วมงานกับเชฟแคร์ โปรเจกต์ ครั้งนี้ เป็นความตั้งใจที่จะมอบสิ่งดีๆ และคืนรายได้กลับสู่สังคม รวมทั้งเป็นความตั้งใจที่อยากจะทำอาหารรสชาติดีมีคุณภาพให้คนทั่วไปได้รับประทานในราคาที่เหมาะสม ถือเป็นการได้ตอบแทนสังคมและแผ่นดินไทยที่ทำให้เรามีวันนี้” เจ๊ไฝกล่าว

สำหรับงานของมูลนิธิเชฟแคร์ส มุ่งสร้างโอกาสแก่เด็กและเยาวชนรวมถึงการส่งเสริมวงการอาหารไทย ที่ผ่านมาได้ผลิตเมนูอาหารพร้อมรับประทานออกมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Chef Cares Ready Meal ซึ่งได้วางขายในท้องตลาดไปแล้ว  6 เมนู รวมทั้งสิ้น 1.7 ล้านกล่อง ส่วนเมนูล่าสุดนี้เป็นเมนูเด็ดจากฝีมือของเจ๊ไฝ จัดจำหน่ายในราคากล่องละ 69 บาท วางจำหน่ายในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น รวมถึงช่องทาง ALL Online App และแมคโคร (บางสาขา)

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายขยายช่องทางจำหน่ายเมนูเชฟแคร์สไปตลาดต่างประเทศให้คนทั่วโลกได้ลิ้มลองเมนูอาหารไทย ทั้งนี้ การทำเมนูร่วมกับเจ๊ไฝก็เพื่อต้องการสร้างประสบการณ์ส่งตรงถึงผู้บริโภคให้เหมือนกับไปรับประทานที่ร้านอาหารของเจ๊ไฝจริง ๆ และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงเมนูคุณภาพที่หลากหลาย  เนื่องจากปัจจุบันตลาดอาหารพร้อมรับประทานกำลังขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งผู้บริโภคก็เริ่มหันมาใช้ชีวิตที่ใส่ใจกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น

“พูนเพิ่ม ไพทยวัฒน์”  กรรมการผู้จัดการบริษัท เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จำกัด กล่าวว่า แบรนด์เชฟแคร์สตั้งเป้าจะออกผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปีละ 8 เมนู นำเสนอเมนูที่หลากหลายมากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ อร่อยถูกปาก ทั้งอาหารไทย อาหารไทยฟิวชั่น อาหารเอเชีย และอาหารนานาชาติอื่น รังสรรค์โดยเชฟชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก ในช่วงปลายปีนี้มีแผนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารแช่แข็ง (Frozen Meal) จาก 3 เมนูสุดฮิตของเชฟแคร์ส คือ 1.ไก่ทิกก้ามาซาล่า+ข้าวหุงขมิ้น  2.สปาเกตตีซอสเขียวหวานอกไก่  3.ผัดหมี่ซั่วหมูซอสปักกิ่ง โดยช่วงแรกจะเริ่มจากการวางจำหน่ายที่โลตัสส์ก่อน จากนั้นจึงขยายไปตามโมเดิร์นเทรดและซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อไป

วันนี้เชฟแคร์สพร้อมส่งต่ออาหารรสชาติอร่อย จากวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ และด้วยใจที่อยากให้ผู้บริโภคได้อิ่มท้องอิ่มใจไปด้วยกัน

มาริษา เจียรวนนท์
04