ในบรรดาผักจิ้มน้ำพริก เชื่อเหลือเกินว่าใครหลายคนต้องปลื้มผักกูดเป็นพิเศษ เพราะผักกูดเป็นผักที่ไม่มีรสขมเลย จึงสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายเมนู อีกทั้งผักกูดยังเป็นผักที่เรากินได้ทั้งก้าน กินแล้วรู้สึกว่าร่างกายได้รับไฟเบอร์อย่างจัดเต็ม และนอกจากจะมีใยอาหารแล้ว สารอาหารในผักกูดคือดีงามต่อร่างกายจริงๆ

ผักกูด ผักพื้นบ้านหน้าตาเหมือนเฟิร์น

จริง ๆ แล้วผักกูดไม่ใช่ผักทั่วไป แต่เป็นพืชตระกูลเฟิร์น ตามที่ภาษาอังกฤษเรียกผักกูดว่า Small Vegetable Fern หรือ Paco Fern นั่นแหละค่ะ ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์ของผักกูดก็คือ Diplazium esculentum (Retz.) Swartz. อยู่ในวงศ์ Athyriaceae และนอกจากจะมีชื่อว่า ผักกูด แล้ว ยังนิยมเรียกกันว่า กูดดิน กูดน้ำ กูดครึ หรือผักกูดขาว อีกด้วย

ผักกูดเป็นพืชล้มลุก มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ความสูงของต้นผักกูดในบ้านเราจะประมาณ 1 เมตร ก้านใบมีสีออกดำ ใบสีเขียว และจะเขียวจัดเมื่อใบแก่ เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ขอบใบหยักฟันเลื่อย ยอดอ่อนและปลายยอดจะมีลักษณะงอแบบก้นหอย พบมากในแถบลำธาร ริมคลอง โดยส่วนที่กินได้ของผักกูด คือ ยอดอ่อน ใบอ่อน ซึ่งมีรสชาติจืดอมหวาน กรอบอร่อย

ผักกูด คุณค่าทางโภชนาการไม่ธรรมดา

กองโภชนาการ กรมอนามัย ได้แสดงคุณค่าทางโภชนาการของผักกูดสด ปริมาณ 100 กรัม ดังนี้

  • พลังงาน 25 กิโลแคลอรี
  • น้ำ 93.7 กรัม
  • โปรตีน 1.7 กรัม
  • ไขมัน 0.4 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 3.6 กรัม
  • ใยอาหาร 1.4 กรัม
  • เถ้า 0.6 กรัม
  • แคลเซียม 5 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 36.3 มิลลิกรัม
  • เบต้าแคโรทีน 681 ไมโครกรัม
  • วิตามินเอ 113 ไมโครกรัม
  • วิตามินอี 2.05 มิลลิกรัม
  • ไทอะมีน 0.34 มิลลิกรัม
  • ไรโบฟลาวิน 0.08 มิลลิกรัม
  • ไนอะซิน 0.5 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 15 มิลลิกรัม

ผักกูด สรรพคุณดีๆ ที่อยากบอกต่อ

  • มีธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงโลหิต แก้โรคโลหิตจาง
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น
  • มีรสเย็น ดับร้อนในร่างกาย ลดไข้
  • บำรุงสายตา
  • ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • เส้นใยอาหารสูง จึงช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และการขับถ่าย
  • ขับปัสสาวะ
  • ดูดซับสารพิษตกค้างในร่างกาย
  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดความดันโลหิตสูง
  • ลดคอเลสเตอรอลในเลือด

ผักกูดเป็นผักที่มีธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีค่อนข้างสูง เป็นผักเพื่อสุขภาพที่ให้สารอาหารสำคัญต่อร่างกายค่อนข้างหลากหลาย ดังนั้นก็ควรกินบ่อยๆ สลับกับผัก ผลไม้ชนิดอื่น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

ข้อควรระวังในการกินผักกูด

ผักกูดเป็นผักที่ไม่ควรกินสด เนื่องจากสารออกซาเลตในผักกูดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคนิ่วและโรคไตอักเสบได้ ดังนั้นปรุงสุกก่อนกินจะดีกว่า

เมนูผักกูด

นอกจากลวกจิ้มน้ำพริกแล้ว ยังสามารถนำผักกูดไปผัดน้ำมันหอย ยำ หรือไปปรุงในแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงกะทิใส่ปลาย่าง หรือนำไปใส่ไข่เจียวก็อร่อย

ผักพื้นบ้านที่ราคาถูก มีให้กินทุกฤดูอย่างผักกูด จัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก นับเป็นความโชคดีในเรื่องอาหารการกินของคนไทยอย่างหนึ่งเลยว่าไหมคะ

ที่มา : K@POOK!

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยสถานีวิจัยลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ประสบความสำเร็จพัฒนาระบบการปลูกผักกูดในพื้นที่ร้อน/แล้ง แนะหากจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตสามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย  โชว์เคสตัวอย่างเกษตรกรสามารถปลูกผักกูดในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สร้างรายได้ ช่วยลดผลกระทบ สู้วิกฤตโควิด-19

 นายมนตรี แก้วดวง ผู้อำนวยการสถานีวิจัยลำตะคอง วว. เปิดเผยความสำเร็จในการพัฒนาระบบการปลูกผักกูดของสถานีวิจัยลำตะคอง วว. ว่า ผักกูด [Diplazium esculentum (Retz.) Swartz] เป็นพืชตระกูลเดียวกับเฟิร์น ลักษณะของต้นผักกูดจะขึ้นเป็นกอ สูงประมาณ 50-100 เซนติเมตร รากแตกฝอยเป็นกระจุกใหญ่ ก้านใบแตกจากเหง้าใต้ดิน ใบยาว 50-100 เซนติเมตร ส่วนของยอดอ่อนปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอยและมีขน การขยายพันธุ์โดยใช้สปอร์ที่สร้างขึ้นบริเวณด้านหลังใบ เมื่อสปอร์ปลิวไปตกบริเวณที่มีความชื้นก็จะแตกเป็นต้นใหม่ และขยายพันธุ์โดยใช้ต้นใหม่ที่เกิดจากส่วนเหง้าหรือรากฝอยของต้นแม่

เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนปนทราย ในสภาพมีความชื้นสูง แสงแดดไม่ร้อนจัดเกินไป คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าผักกูดจะต้องปลูกในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและความชื้นค่อนข้างสูง อย่างภาคใต้และภาคตะวันออก แต่จากการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบการปลูกผักกูดในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา  พิสูจน์ให้เห็นว่า การปลูกผักกูดให้ได้ผลผลิตที่ดีต้องปลูกในสภาพแสงแดดรำไรและมีความชื้นสูง หากเราจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตก็สามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย

สำหรับรูปแบบของการปลูกผักกูดสามารถทำได้ 2 วิธี คือการปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่น เพื่อช่วยในการพรางแสง เช่น การปลูกร่วมกับกล้วย หรือปลูกร่วมกับไม้ผลยืนต้น วิธีที่สอง ปลูกภายใต้ร่มเงาตาข่ายพรางแสงหรือซาแลนที่สามารถพรางแสงได้ตั้งแต่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ระยะปลูกที่ใช้ระหว่างแถวและระหว่างต้น 50 เซนติเมตร การดูแลรักษาเน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก โดยใส่ประมาณ 1-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 3 เดือน/ครั้ง ร่วมกับการพ่นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำ 1-2 ครั้ง/เดือน ในช่วงที่เริ่มเก็บผลผลิตแล้ว จะช่วยให้ได้ต้นมีการเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น

หลังปลูกผักกูดประมาณ 6-8 เดือน จึงเริ่มเก็บผลผลิตได้ โดยเก็บส่วนยอด ความยาว 25-30 เซนติเมตร ผลผลิตที่ได้เฉลี่ยประมาณ 200 กิโลกรัม/ไร่/เดือน นอกจากนี้ผักกูดไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน การปลูกจึงไม่มีการใช้สารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลง จึงเหมาะอย่างยิ่งในการผลิตเป็นพืชผักปลอดสารพิษ…” ผอ.สถานีวิจัยลำตะคอง กล่าวเพิ่มเติม

นายอาคม ทัศนะนาคะจิตต์ เกษตรกรในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา   ตัวอย่างของเกษตรกรที่มีประสบการณ์ในการปลูกผักกูด กล่าวว่า สนใจและอยากที่จะปลูกผักกูดมานานแล้ว เพราะเป็นผักที่มีรสชาติอร่อย แต่หาซื้อรับประทานยาก หากไม่ใช่ช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตออกตามธรรมชาติ หรือพื้นที่ที่มีการปลูก จากการพูดคุยกับคนรู้จักและผู้ที่ชื่นชอบรับประทานผักเพื่อสุขภาพ​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักปลอดสารพิษ​ และจากการสืบค้นจากอินเตอร์​เน็ต พบว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับการปลูกผักกูดที่สถานีวิจัยลำตะคอง วว. ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอปากช่อง เช่นกัน จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอคำแนะนำวิธีการปลูก

จากนั้นจึงเริ่มต้นหาแหล่งต้นพันธุ์จากคนที่รู้จัก ซึ่งปลูกอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี นำมาปลูกในพื้นที่ข้างบ้านประมาณ 3 ไร่ โดยปลูกร่วมกับต้นมะเขือพวง ช่วงเดือนแรกที่ปลูก สังเกตว่าต้นกล้ามีอาการเหลือง ไม่เป็นสีเขียว จึงได้ปรึกษากับทางนักวิจัยของสถานีวิจัยลำตะคอง เพื่อเข้าไปดูแปลง ได้รับคำแนะนำว่าแปลงปลูกแสงแดดจัดเกินไป ควรที่จะมีการพรางแสงด้วซาแลนและรดน้ำให้ต้นได้รับความชื้นที่เหมาะสม จะทำให้ต้นโตดี จึงตัดสินใจซื้อวัสดุมาบางส่วนร่วมกับวัสดุที่มีอยู่แล้วทำเป็นโครงเพื่อขึงซาแลน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหลังจากการพรางแสงและให้น้ำอย่างเหมาะสม ต้นผักกูดเจริญเติบโตดีมาก

มนตรี แก้วดวง

ตอนนี้ปลูกมาได้ประมาณ 8 เดือน เริ่มเก็บผลผลิตได้แล้ว แต่ละวันจะเก็บยอดผักกูดได้ประมาณ 10-15 กิโลกรัม มีคนมารับซื้อถึงหน้าสวน ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม มีรายได้เข้ามาวันละประมาณ 600-1,000 บาท ถือว่าช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้บ้าง และในอนาคตหากช่องทางการตลาดไปได้ดีก็จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น และผลิตต้นพันธุ์จำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจอยากจะทดลองปลูกผักกูด

อนึ่ง “ผักกูด” เป็นผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางด้านอาหาร  โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก พบว่ามีปริมาณสูง ซึ่งหากรับประทานผักกูดจะช่วยบรรเทาโรคโลหิตจางและบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี เป็นผักที่มีเส้นใยสูงเมื่อรับประทานแล้วจึงช่วยในการระบาย รับประทานได้ทั้งสดและปรุงเป็นอาหาร เช่น ลวกหรือต้มจิ้มกับน้ำพริก ผักกูดต้มกับกะทิ ยำผักกูด ผัดผักกูดไฟแดง แกงส้ม และแกงเลียง เป็นต้น  

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์