รายงานโดย กชกร สายแสง, บุษบาบรรณ พวงทอง, กมลชนก ครุฑเมือง
กว่าจะเป็น SMEs หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งความกล้า ความอดทน และการฝ่าฟันต่ออุปสรรคต่างๆ หลายคนล้มเหลว หลายคนท้อและเลิกกิจการไป แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จ
“มติชนอคาเดมี” พาเจาะลึกเส้นทางความสำเร็จของ 3 เอสเอ็มอีดาวรุ่งพุ่งแรงของไทย ที่มาเล่าเรื่องสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าผู้ประกอบการทั้งหลาย ในงาน “กล้า D Festival ปรับ เปลี่ยน ลุก เดิน” ที่จัดขึ้นโดยธนาคารรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เมื่อไม่นานมานี้
กล้าออกจากกรอบ-มั่นใจว่าต้องทำได้
“นภาพร คูศิริวานิชการ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโคแรบบิท จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแรนด์โคโคแรบบิท เล่าให้ฟังว่า ก่อนมาทำธุรกิจนี้เคยเป็นพนักงานสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และเติบโตจนได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ซึ่งถึงแม้จะมีรายได้มั่นคงอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะได้ทำในสิ่งที่คิดนอกกรอบได้ จึงเริ่มมองหาช่องทางอื่นที่ตอบโจทย์กว่า
“การงานและชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ทำให้หลายคนคงไม่อยากและไม่กล้าที่จะก้าวออกจากตรงนั้น แต่เราอยากมีอิสระ ไม่ชอบงานประจำ เลยคิดออกมาทำธุรกิจดีกว่า ซึ่งส่วนตัวชอบชอบงานที่เกี่ยวกับการค้าขายกับต่างประเทศ เพราะเราชอบเดินทางไปต่างประเทศ เลยเกิดความคิดว่าถ้ามีสินค้าของคนไทยไปนำเสนอก็คงดี” นภาพรกล่าว
กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโคแรบบิท จำกัด กล่าวอีกว่า ขณะที่กำลังมองหาสินค้าอยู่ ก็เห็นผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ตนใช้มานานกว่า 10 ปี และรู้สึกว่าเป็นโปรดักต์ที่มีข้อดีมากมาย คือสามารถบำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี ไม่มีสารเคมี ใช้แทนสกินแคร์ได้ รวมถึงยังเป็นโปรดักต์ของคนไทย ทำให้อยากที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ นี้ให้กับคนทั่วไปได้ลองสัมผัส จึงสนใจผลิตและจำหน่ายน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2019/02/โคโคแรบบิท-1024x683.jpg)
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการเป็นออร์แกนิค ดังนั้น สินค้าของเราจะผลิตจากมะพร้าวที่เป็นออร์แกนิค โดยเริ่มจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศก่อน แล้วค่อยทำตลาดในประเทศไทย เพราะไทยมีการผลิตน้ำมันมะพร้าวอยู่เยอะมาก การแข่งขันสูงกว่า” นภาพรกล่าว
โดยปัจจุบันโคโคแรบบิทมีสินค้าหลายรายการ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น,สบู่, สครับ, มอยซ์เจอร์ไรเซอร์, ลิปบาล์ม รวมถึงแตกไลน์โปรดักต์ไปสู่สินค้าจากส่วนผสมอื่นด้วย คือ ข้าวหอมมะลิ และครีมหอยทาก
นภาพรกล่าวว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้สิ่งที่ต้องอาศัยเป็นอย่างแรกเลยคือความกล้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และออกจากกรอบสังคมมาเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยจะต้องมั่นใจและคิดบวกไว้ว่าจะต้องทำได้และทำสำเร็จ
“เคล็ดลับสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยความคิดของตัวคุณเอง” นภาพรกล่าวทิ้งท้าย
ใส่ไอเดียให้ภูมิปัญญา พาตัวเองสู่โลกกว้าง
ขณะที่ “พงษ์พันธ์ ไวยนิล” เจ้าของกิจการงานปั้นบ้านดินมอญ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำธุรกิจเครื่องปั้นดินเผานั้นเริ่มมาจากที่บ้านทำกันมาหลายรุ่นแล้ว ทำให้มีโอกาสได้คลุกคลี และฝึกหัดทำงานปั้นดินเผา โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วยงานที่บ้าน ทำให้เกิดความชำนาญ ประกอบกับใจรักทำให้ไปเรียนช่างศิลป์ที่ลาดกระบังด้วย
“ความชอบในงานปั้นดินเผาทำให้เราเข้ามาสานต่อกิจการของที่บ้าน ถึงแม้คุณย่าจะเตือนว่าเป็นธุรกิจที่คนรุ่นก่อนๆ ทำแล้วไม่มีใครรวยก็ตาม แต่เราก็มุ่งมั่นและเริ่มมาทำโมเสคเองทั้งหมด ซึ่งทำยากมาก แต่กลับขายได้ราคาถูกลง เราเลยลองมาคิดใหม่ จากสินค้าที่มีอยู่แต่แบบเดิมๆ เราลองใส่ไอเดียเข้าไปแต่ยังคงไว้ในภูมิปัญญาเดิม ทำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าจาก 5-10 บาท เป็น 100-200 บาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1,000-2,000 บาท เป็น 5,000-10,000 จนถึง 100,000 บาทได้”
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2019/02/บ้านดินมอญ02.jpg)
พงษ์พันธ์บอกอีกว่า เมื่อมั่นใจในงานปั้นและสินค้า ก็เริ่มพาตัวเองไปในที่ใหม่ๆ และพัฒนาชิ้นงานให้ร่วมสมัย พร้อมไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสให้สินค้า
“เราเริ่มจากการไปงานแฟร์ หรือบางงานอาจจะไม่เกี่ยวกับงานของเรา แต่ก็ไปหมดทุกงาน เพราะว่าสามารถนำมาปรับใช้กับงานของตัวเองได้ ถือได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเปิดทางให้เจอแนวคิดใหม่ๆ รวมถึงการไปออกงานแฟร์ยังเป็นการวิ่งหาโอกาส อย่าอยู่เฉยๆ อย่าให้โอกาสวิ่งมาหาเรา ต้องไปออกงานไปเปิดตัวให้เขารู้จัก” พงษ์พันธ์
ปัจจุบันสินค้าของงานปั้นดินมอญจำหน่ายอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ร้านโอเรียนเต็ลบูทีคชอป และร้านโอท็อปเฮอริเทจ ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทย ซึ่งได้รับการตอบรับดี
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2019/02/บ้านดินมอญ01-1024x576.jpg)
“ผู้ใหญ่บางคนบอกว่า ถ้าเราอยากจะเป็นเสือเราก็ต้องออกจากถ้ำ ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นแค่แมวอยู่ในบ้าน การที่จะเป็นเสือได้คุณก็ต้องออกไปคำรามจริงๆ ไม่ใช่ออกไปแล้วไปคำรามเป็นแมว”
พงษ์พันธ์ทิ้งท้ายว่า วันนี้บ้านดินมอญลบล้างคำสบประมาทว่าทำกี่รุ่นก็เจ๊ง เพราะเกิดจากการที่เขามองภาพบ้านดินมอญเป็นเรื่องของการให้กับชุมชน มีการสร้างสตูดิโอที่บ้าน มีการสอนคนในชุมชนที่ยังทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่ให้หาไอเดียใหม่ๆ เหมือนบ้านดินมอญที่พัฒนาและสร้างความแตกต่างจนประสบความสำเร็จได้
วัยไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่กล้าทดลองทำ
ด้าน “บิ๊ก ผุยมาตย์” เจ้าของธุรกิจข้าวกรอบสยาม หนุ่มอายุน้อยร้อยล้านที่พลิกฟื้นเศรษฐกิจที่บ้านได้ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับเทรดดิ้ง และประสบปัญหาจนธุรกิจที่ทำไปไม่รอด ที่บ้านเลยส่งตนไปเรียนที่จีน จึงมีความคิดอยากแบ่งเบาภาระของครอบครัว แม้ว่าเริ่มต้นครอบครัวอาจจะไม่เชื่อใจมากนัก
“จุดเริ่มต้นคือแม่ชอบส่งกระยาสารทไปให้กินที่จีน เลยตั้งคำถามว่าทำไมถึงเหนียว ซึ่งตอนนั้นจัดฟันด้วย เลยไม่ค่อยเหมาะกับคนจัดฟันเท่าไหร่ ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่ามันสามารถทำให้กรอบได้หรือไม่ ประกอบกับโชคดีที่มีเพื่อนที่บ้านเขาทำโรงงานแปรรูปอาหาร จึงบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากทำกระยาสารทที่ไม่เหนียว แล้วให้คุณพ่อคุณแม่ไปคุย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่สนใจเพราะเห็นว่าเป็นความคิดของเด็ก”
“บิ๊ก ผุยมาตย์” เล่าต่ออีกว่า จนอายุ 11-12 ปี ก็ขอคุณพ่อคุณแม่ออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำธุรกิจตรงนี้ โดยต่อยอดจากกระยาสารท ซึ่งนำสูตรกระยาสารทมาจากคุณยาย และค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมมาลองทำดู ปรับสูตรไปเรื่อยๆ มีคนติบ้างชมบ้างจนพัฒนานำไปแปรรูป โดยนำข้าวมาเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะจุดเด่นของประเทศไทยคือข้าว เลยคิดว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้ข้าวไทยได้ด้วย จนออกมาเป็นข้าวกรอบสยาม เจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2019/02/ข้าวกรอบสยาม.jpg)
“สำหรับข้าวกรอบสยามเราวางขายที่ประเทศมาเลเซียเป็นที่แรก เพราะคุณพ่อเป็นคนมาเลเซีย โดยที่ตัวเราเป็นเจ้าของกิจการและเป็นคนขาย ในอายุเพียงแค่ 15 ปี ส่วนปัจจุบันอายุ 19 ปีแล้ว ก็ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารสชาติให้มีหลากหลายมากขึ้น เช่น รสถั่วลิสง รสมะม่วงหิมพานต์ งาขาว เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันวางจำหน่ายตามงานอีเวนต์ต่างๆ รวมไปถึงที่บิ๊กซี และเลมอนฟาร์ม ซึ่งจัดเป็นแพ็คเกจ มีขายที่หน้าร้านอย่างเดียว” หนุ่มอายุน้อยร้อยล้านกล่าวทิ้งท้าย
ถึงแม้ทั้ง 3 แบรนต์ จะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เดียวกัน แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ ความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ กล้าคิดนอกกรอบ กล้าที่จะลงมือทำ และไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้!