CP LAND เดินหน้าพร้อมพันธมิตร สานต่อ Solar Cell for Life ความสุขเดินทางได้ ปีที่ 2 ส่งเสริมวิถีชีวิตท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

5 กรกฎาคม 2567 – บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เดินหน้าพร้อมพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย เทศบาลบ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก จิตอาสา 904 จิตอาสาพระราชทาน ทหารกองประจำการ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 46 กองพันทหารขนส่งที่ 23 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 34 กรมสรรพสามิต หจก.สุรศักดิ์ คัชมาตย์ การโยธา BMW Nithiboon (นิธิบูรณ์)  Nippon Paint โรงพยาบาลพิษณุเวช หอการค้าจังหวัดและ YEC พิษณุโลก  สานต่อ ‘Solar Cell For Life ความสุขเดินทางได้’ ปีที่ 2 ที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นโครงการตามแนวทางการตอบแทนสังคม (Social Contribution) ภายใต้ปรัชญาพื้นฐาน ‘คุณภาพเพื่อทุกชีวิต’ หรือ ‘Accessible Communities for Life’ ของ CP LAND ที่ต้องการส่งมอบความสุขให้แก่ชุมชนที่ห่างไกล “แม้ในพื้นที่ ที่ห่างไกล ความสุขก็จะไปเป็นแสงสว่าง”  และ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

Solar Cell For Life ความสุขเดินทางได้ เป็นโครงการที่ส่งมอบแสงสว่างจากพลังงานสะอาด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความปลอดภัยให้แก่ชุมชนในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนไฟฟ้า เดินหน้าต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ได้เริ่มโครงการต้นแบบที่ชุมชนคีรีวง ต.กำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช โดยมอบนวัตกรรมเสาไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 80 ต้น ระยะทางรวมราว 5 กิโลเมตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท และ ต่อเนื่องในปีที่ 2 ที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก  โครงการดังกล่าวเป็นโครงการต้นแบบการตอบแทนสังคม (Social Contribution) ของ CP LAND ซึ่งจะมีการศึกษาการต่อยอดต่อไป และ พร้อมเปิดรับพันธมิตรที่ต้องการขยายความร่วมมือเพื่อไปดำเนินการในพื้นที่อื่นๆในอนาคตต่อไป

นายกนธีร์ ติรวิภาส หัวหน้าโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND เปิดเผยว่า โครงการ Solar Cell For Life ความสุขเดินทางได้ ปีที่ 2 ในครั้งนี้ถือเป็นความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ทาง CP LAND ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งการมอบความสุขให้แก่ชุมชนอีกครั้ง ตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ดำเนินธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก  (Heart) ด้วยใจที่ยั่งยืน  (Health) สร้างสังคม (Home) เพื่อสิ่งแวดล้อม ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) 5 เป้าหมายด้วยกัน ประกอบด้วย เป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย เป้าหมายที่ 9 การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม เป้าหมายที่ 11  การทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีความครอบคลุม ปลอดภัย ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และยั่งยืน  เป้าหมายที่ 13  การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายที่ 17 การเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการมอบแสงสว่างจากพลังงานสะอาด ที่เป็นหนึ่งในการยกระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ดังกล่าว ของต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ที่ขาดแคลนไฟฟ้าในบางพื้นที่ การมอบเสาไฟโซลาร์เซลล์ ในครั้งนี้จึงถือเป็นการส่งต่อความสุขอย่างยั่งยืน ที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถมีชีวิตที่ดีและปลอดภัยขึ้นได้  อีกทั้งยังได้การช่วยเหลือจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สนับสนุนทั้งแรงกายและเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆในการติดตั้ง  ถือว่าเป็นการร่วมแรงร่วมใจ ตอบแทนสังคมกันอย่างแท้จริง

นายอภิชาติ สินธุมา ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มธุรกิจภูมิภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน)  หรือ CP LAND กล่าวว่า การติดตั้งระบบเสาไฟโซลาร์เซลล์ในครั้งนี้ ร่วมกันติดตั้งระบบเสาไฟโซลาร์เซลล์ จำนวน 100 ต้น รวมระยะทาง 4 กิโลเมตร เป็นปีที่ 2 ที่ทาง CP LAND ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคม ถือเป็นความสุขจากทั้งผู้ให้ส่งต่อไปยังประชาชนผู้รับในพื้นที่ ด้วยสรรพกำลังกว่า 100 คน จากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกอบด้วย เทศบาลบ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก จิตอาสา 904 จิตอาสาพระราชทาน ทหารกองประจำการ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 46 กองพันทหารขนส่งที่ 23 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 34 ร่วมสนับสนุนกำลังพล กว่า 50 นาย, กรมสรรพสามิต สนับสนุนน้ำดื่ม หจก.สุรศักดิ์ คัชมาตย์ การโยธา ร่วมสนับสนุนรถยกและกำลังคน BMW Nithiboon (นิธิบูรณ์)  ร่วมสนับสนุนอาหารกลางวัน Nippon Paint ร่วมสนับสนุนสีทาเสาไฟฟ้า โรงพยาบาลพิษณุเวช บริการรถพยาบาลดูแลทีมงานติดตั้งเสาไฟฟ้า  หอการค้าจังหวัดและ YEC พิษณุโลก ดูแลการถ่ายภาพกิจกรรม และ พี่น้องประชาชนต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ที่มาร่วมแรงร่วมใจกันติดตั้งระบบเสาไฟโซลาร์เซลล์ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในการเดินทางสัญจร ช่วยให้เกิดความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยการกระตุ้นการท่องเที่ยววิถีชุมชนที่เนินมะปรางอีกด้วย

นายพงษ์สิทธิ์  สุโมตยกุล  ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 6 กล่าวว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์ได้ร่วมสร้างความสุขให้กับชุมชนที่ยังมีความต้องการแสงสว่างและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมสรรพสามิต ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องของสิ่งแวดล้อมและพลังงานด้วยเช่นกัน

ร้อยโท ปิยพัทธิ์ สวัสดิเทพ ผู้บังคับกองร้อยทหารขนส่งรถยนต์บรรทุกเบาที่ 2 กองพันทหารขนส่งที่ 23 กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 กล่าวว่าการดูแลประชาชนในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของทหาร ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกๆโอกาส เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี มีสุข ทั้งในปัจจุบันและในอนาตคตต่อไป

นาวาอากาศเอก ณวรุณ  ดีมา รองผู้บังคับการกองบิน 46 กล่าวว่า ได้นำกำลังพลเข้าร่วมในการติดตั้งอุปกรณ์ จำนวน 20 นาย เป็นโครงการที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในการเดินทางภายในชุมชน

นายแอนดรู นิตยเมฆินทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู นิธิบูรณ์ จำกัด (BMW Nithiboon) ตัวแทนจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู ภาคเหนือตอนล่าง กล่าวว่า BMW Nithiboon รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาในจ.พิษณุโลก และมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือร่วมใจระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผลักดันให้เกิดโครงการดีๆขึ้น  โดย BMW Nithiboon พร้อมสนับสนุนรถยนต์ BMW ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าร่วมดูแลแขกผู้เกียรติในการเดินทางร่วมโครงการส่งมอบเสาไฟฟ้าของโครงการ

นายสุขเกษม นทีทอง ผู้จัดการฝ่ายขายโครงการ บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Nippon Paint กล่าวว่า Nippon Paint รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพราะไม่เพียงแต่โครงการนี้จะเพิ่มพูนความสุข ความปลอดภัยให้แก่ชุมชน แต่ยังเอื้อประโยชน์ ต่อเติมโอกาสในการดำเนินชีวิตให้สะดวกมากขึ้น ร่วมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นในชุมชน ช่วยสร้างรายได้ในชุมชน นับเป็นการสร้างสรรค์สังคมยั่งยืนที่ให้ประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากนี้หลักการของโครงการฯยังสอดคล้องกับหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานของ Nippon Paint ในด้านการลดการใช้พลังงาน เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอีกด้วย

นายแพทย์วิชญเวทย์ รักษ์กุลชน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพิษณุเวช ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ และ บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ’Solar Cell for Life ความสุขเดินทางได้’ ปีที่2 นับเป็นความภูมิใจของเราที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการที่มีความหมายต่อคน ชุมชน และสังคม ร่วมมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้การความรู้แก่ชุมชนเพื่อสามารถดูแลและบํารุงรักษาระบบไฟเทคโนโลยีล่าสุดได้เอง ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืนของ PRINC  ที่มีเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนและการใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อลดการใช้พลังงาน ลดข้อจำกัดในการดูแลและบำรุงรักษาระบบ ขอขอบคุณ CP LAND ที่มุ่งมั่นตั้งใจและริเริ่มโครงการดีๆ เพื่อคน ชุมชน สังคมอย่างแท้จริง ทำให้เราได้เห็นความสำคัญของพลังงานแสงอาทิตย์ในชีวิตประจำวันของเรา

ททท. เปิดตัวแคมเปญ “9 ที่เที่ยวฝนนี้…มีดีที่ตะวันออก” ส่งเสริมการท่องเที่ยวหน้าฝนในช่วง Green Season 9 จังหวัดภาคตะวันออก ณ วนอุทยานเขาอีโต้ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี

เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2567 นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วย นส.ศิรินุช สุทธิรัตน์ รอง ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก ททท. นายมรกต สุดดี ผู้อำนวยการกองตลาดภาคตะวันออก นส.อุไร มุกประดับทอง ผอ.ททท.สำนักงานพัทยา นายวัชรพล สารสอน ผอ.ททท.สำนักงานระยอง นายศักดิ์สกุล ศุภกฤตอนันต์ ผอ.ททท.สำนักงานจันทบุรี ว่าที่ ร.ต.กรกฏ โอภาส ผอ.ททท.สำนักงานตราด นายจิรศักดิ์ อ่วมอุไร ผอ.ททท.สำนักงานฉะเชิงเทรา นางวันดี เผื่อนอุดม ผอ.ททท.สำนักงานนครนายก พร้อมด้วย นายธีรวัฒน์ อ่อนสำลี ผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ดินป่าไม้(วนอุทยานเขาอีโต้) นายธนาพงษ์ รักขนาม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปราจีนบุรี ผู้แทน นายรณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมเปิดแคมเปญ“9 ที่เที่ยวฝนนี้…มีดีที่ตะวันออก” ณ วนอุทยานเขาอีโต้ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว 9 จังหวัดภาคตะวันออกในช่วงหน้าฝน หรือ Green Season อย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิดโปรโมชั่นพิเศษ “Super Deal”เพื่อสร้างบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้คึกคักในช่วงหน้าฝนตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก ททท. กล่าวว่าให้ข้อมูลว่า แคมเปญ “9 ที่เที่ยวฝนนี้…มีดีที่ตะวันออก” เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวในประเทศให้ออกไปสัมผัส ความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวไทยตลอดช่วงหน้าฝน หรือ Green Season นี้ เพื่อให้รายได้ทางการท่องเที่ยวในภาคตะวันออก เติบโตอย่างต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่ประสบความสำเร็จจากแคมเปญ “อร่อยทุกไร่ชิมไปทุกสวน” โดยได้นำเสนอทั้งแหล่งท่องเที่ยวและโปรโมชั่นเสนอขายที่หลากหลายขึ้นให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม ครอบคลุมตามแนวคิด “คัลเลอร์ฟูลบูรพา” 

ทั้งนี้ ภูมิภาคภาคตะวันออกจะขอนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่มีความครอบคลุมผ่าน 4 จุดขายหลัก คือ “ยืนหนึ่งเรื่องกิน : สุดฟินเรื่องเที่ยว : เต็มเหนี่ยวเที่ยวสายศรัทธา (สายมู) : เรียนรู้เรื่องรักษ์” ของทั้ง 9 จังหวัด โดยรวบรวมมาเป็น “Green Season 9 สถานที่ 9 จังหวัดภาคตะวันออก” ที่มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ทะเลหมอกหน้าฝน สวนผลไม้ โรงแรมที่พักรีสอร์ท สนามกอล์ฟ แหล่งท่องเที่ยวเชิงบันเทิง อาหาร วัฒนธรรม กิจกรรมแอดเวนเจอร์ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวไปยังภาคตะวันออกให้คึกคักรับความชุ่มฉ่ำของหน้าฝน อีกทั้งในเร็ว ๆ นี้ ททท. ยังเตรียมเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ “Super Deal” เพื่อส่งเสริมการขายในพื้นที่ภาคตะวันออกทั้ง 9 จังหวัด ในราคาสุดคุ้มให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกที่ตามมาอีกหลากหลาย เตรียมพบกันได้ที่ “งานไทยเที่ยวไทย” วันที่ 27 – 30 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น. – 21.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage: เที่ยวตะวันออก และ เพจ.แต่ละสำนักงาน ททท.ภาคตะวัน https://www.facebook.com/traveleastthailand หรือ TAT Contact Center โทร. 1672

พร้อมรับความสดชื่น โรงแรมในเครือฟอร์จูน ออกโปรเด็ดเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวหน้าฝน

โรงแรมในเครือฟอร์จูน 13 แห่งทั่วประเทศ พร้อมมอบประสบการณ์อันล้ำค่าในการพักผ่อนสุดพิเศษและเป็นส่วนตัว รับการท่องเที่ยวฤดูฝน   ด้วยการออกโปรโมชันเด็ดทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย ต้อนรับเดือน มิถุนายน 2567 ประกอบด้วย

โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ

ห้องอาหารนานาชาติ วัน รัชดา

  • บุฟเฟ่ต์นานาชาติ พร้อม Seafood on ice: 699 บาท
  • บุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด และอาหารญี่ปุ่น: 1,099 บาท
  • Sunday Brunch with Live Music: 1,599 บาท **พิเศษ มา 4 จ่าย 3

ห้องอาหารจีน หนาน หยวน

  • บุฟเฟ่ต์ติ่มซำมื้อกลางวัน: 850 บาท
  • เป็ดปักกิ่ง: 999 บาท

Metro Lounge

  • Happy Hour 17.00 – 19.00 น.: เครื่องดื่ม 1 แถม 1
  • DJ Jommy: วันอังคาร 19.00 – 22.00 น.
  • Live Music: วันพุธ – วันเสาร์ 18.30 – 22.30 น.

Pool Bar

  • Free Flow 2 ชั่วโมง 17.00 – 20.00 น.: 899 บาท
  • Happy Hour 17.00 – 19.00 น.: เครื่องดื่ม 1 แถม 1

Wellness

  • Membership รายวันเริ่มต้น 550 บาท
  • คลาสมวยไทยส่วนตัว ชั่วโมงละ 850 บาท(พิเศษ 5 แถม 1)

โปรโมชันห้องพัก

  • จองตรงลดทันที 20% และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองโต๊ะล่วงหน้า

โทร 02-641-1500

Line @grandfortunebkk

โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน นครศรีธรรมราช

อาหารและเครื่องดื่ม

  • โปรโมชั่น Breakfast Buffet ราคา 269 บาท
  • โปรโมชั่น Hong Kong Suckling Pig & Peking Duck
               หมูหันฮ่องกง ราคา 1,750 บาท
                เป็ดปักกิ่ง  ราคา 950 บาท

โปรโมชันห้องพัก

  • โปรโมชั่น Mid Year Sale

จองและเข้าพัก วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2567
ห้องพักราคาเริ่มต้น 1,900 บาท รวมอาหารเช้า

  • Grand Deal 6.6

จอง : วันที่ 6 มิถุนายน 2567

เข้าพัก : วันที่ 6 มิถุนายน – 27 ธันวาคม 2567
Superior room ราคา 1,666 บาท รวมอาหารเช้า

** สิทธิพิเศษที่ได้รับขึ้นอยู่กับวันที่เข้าพัก

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก

โทร 075 – 841-888

Line OA : @grandfortunens  

Line OA : @fortunehotelgroup  

โรงแรมฟอร์จูน แสงจันทร์ บีช ระยอง

โปรโมชั่น หมูกระทะ

เอาใจคนรักหมูกระทะ เพลิดเพลินกับความอร่อยแบบเต็มอิ่ม

ชุดหมูกระทะ 1 เซต แถมฟรี น้ำอัดลม 1 ขวด ราคา 499 บาท

โปรโมชั่น หมูกระทะ ให้บริการทุกวัน เวลา 17.30 – 21.00 น. บริเวณหน้าโรงแรมฟอร์จูน แสงจันทร์ บีช ระยอง

Deluxe & Dinning Promotion

จองและเข้าพัก : วันที่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2567

จองห้อง Deluxe ฟรี Dinner Set (หมูกระทะหรือชุดเมี่ยงปลาเผา)

Deluxe + Dinner Set ราคาเริ่มต้น  2,499 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก

โทร 033-683-322

Line : @fortunesaengchan

โรงแรมฟอร์จูน โคราช

Staycation Promotion ที่ โรงแรมฟอร์จูน โคราช

โปรโมชั่นปังๆ จองห้องพักแถมฟรี! บุฟเฟต์มื้อค่ำสำหรับ 2 ท่าน

จองและเข้าพัก : วันนี้ – 29 มิถุนายน 2567

  • Superior room ราคา 1,800 บาท
  • Deluxe room ราคา 2,000 บาท
  • Executive room ราคา 2,600 บาท

*เข้าพักเฉพาะวันศุกร์และเสาร์เท่านั้น

*ราคารวมอาหารเช้าและinternational buffet สำหรับ 2 ท่าน

*International buffet ให้บริการเฉพาะวันศุกร์ – เสาร์ มื้อค่ำ เวลา 18.00 – 22.00 น. ที่ห้องอาหาร The Terrace

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก

โทร 044 – 079 900

Line OA : @fortunekorat https://lin.ee/sTbcZQI

เงื่อนไขและข้อกำหนดโปรโมชั่น

– ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขาย หรือส่วนลดอื่นๆได้

– เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงแรมกำหนด

โรงแรมฟอร์จูน วิวโขง นครพนม

เอาใจคนรักหมูกระทะแบบเต็มอิ่มกับน้ำจิ้มสูตรอร่อย พร้อมชมวิวแม่น้ำโขงในบรรยากาศชิลๆ ที่สวนอาหารวิวโขง โรงแรมฟอร์จูน วิวโขง นครพนม

โปรโมชั่น River Vibe Moo Kra Ta set จัดความอร่อยแบบจุกๆ ให้เลือกทาน 3 แบบ

Set A ราคา 499 บาท

  • ชุดหมูรวม (ตับหมู, หมูสามชั้นสไลด์, เนื้อหมูสันนอกสไลด์, เบคอน)
  • ชุดผักรวม (ผักสดต่างๆ, เต้าหู้, ไข่ไก่)
  • น้ำจิ้มสูตรเด็ด 3 ชนิด

Set B ราคา 599 บาท

  • ชุดหมูรวม (ตับหมู, หมูสามชั้นสไลด์, เนื้อหมูสันคอ, เบคอน)
  • ชุดเนื้อรวม (เนื้อใบพาย, เนื้อสไลด์)
  • ชุดผักรวม (ผักสดต่างๆ, เต้าหู้, ไข่ไก่)
  • น้ำจิ้มสูตรเด็ด 3 ชนิด

Set C ราคา 699 บาท

  • ชุดหมูรวม (ตับหมู, หมูสามชั้นสไลด์, เนื้อหมูสันคอ, เบคอน)
  • ชุดทะเลรวม (กุ้ง, ปลาหมึก, ปลาแม่น้ำโขง)
  • ชุดผักรวม (ผักสดต่างๆ, เต้าหู้, ไข่ไก่)
  • น้ำจิ้มสูตรเด็ด 3 ชนิด

อิ่มอร่อยกับโปรโมชั่นหมูกระทะ River Vibe Moo Kra Ta set ตั้งแต่ วันนี้ – 30 มิถุนายน 2567

เปิดบริการ ทุกวัน เวลา 11.00 – 22.00 น. ที่สวนอาหารวิวโขง

Location https://bit.ly/3uOnhd

สอบถามเพิ่มเติม

โทร 064-585-9975 , 042-513-564

Line OA : @fortuneviewkhong https://lin.ee/fd8sPpC

โรงแรมฟอร์จูน บุรีรัมย์

  • โปรโมชั่น Super Deals

จอง : วันนี้ – 30 กันยายน 2567
เข้าพัก : วันที่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน 2567

Deluxe room

  • ราคา 1,099 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า)
  • ราคา 1,299 บาท (รวมอาหารเช้า 2 ท่าน)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก

โทร : 044-163-800

Line OA : @fortuneburiram  

สรุป เส้นทางสายศรัทธา สักการะ
"๑๑๗ เกจิอาจารย์สังขารเหนือกาลเวลา" ๑๗ จังหวัด ภาคกลาง

ททท. ภูมิภาคภาคกลาง ได้จัดกิจกรรม สายศรัทธาสักการะ “๑๑๗ เกจิอาจารย์สังขารเหนือกาลเวลา” ๑๗ จังหวัด ภาคกลาง”  เพื่อเป็นการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวที่ในช่วงวันสงกรานต์ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันปีใหม่ของไทย และเป็นวันครอบครัวซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ นิยมเดินทางกลับบ้านเล่นน้ำ ไปทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งนอกจากนี้ ใน ปี 2567 ทางยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขอมนุษยชาติ โดยทางรัฐบาลได้กำหนดจัดงานเทศกาลสงกรานต์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1-21 เมษายน 2567   

โดย ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสักการะเกจิอาจารย์ สแกน QR Code ลงทะเบียน รับ “ภาพที่ระลึกมหามงคล”  ผ่านพิธีเมตตาอธิฐานจิตจาก ๑๐ พระเกจิอาจารย์ดังยุคปัจจุบัน 1. หลวงปู่สมบุญ  วัดลำพันบอง จ. สุพรรณบุรี 2. หลวงปู่แผ้ว วัดรางหมัน จ. นครปฐม    3.หลวงปู่นนท์  วัดเขาพรานธูป จ. ประจวบคีรีขันธ์ 4. หลวงพ่อแถม วัดช้างแทงกระจาด จ. เพชรบุรี 5. หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก จ. พระนครศรีอยุธยา 6. หลวงพ่อสารันต์ วัดดงน้อย จ. ลพบุรี 7. หลวงพ่อจักษ์  วัดชุ้ง จ. สระบุรี 8. หลวงพ่อวราห์  วัดโพธิ์ทองกรุงเทพฯ 9. หลวงปู่ฤาษีตาไฟ  วัดเทพหิรัญย์ จ. ชัยนาท 10. หลวงพ่อมั่น วัดชะอำคีรี  จ. เพชรบุรี ณ จุดจำหน่ายวัตถุมงคลในวัด ที่รวมกิจกรรม  ซึ่งภาพที่ระลึกมหามงคลจะมีรูปและข้อมูลของเกจิทั้งอาจารย์ครบทั้ง 117 ภาพ นอกจากนี้  ททท. ภาคกลาง ยังจัดทำ EBOOK รูปภาพ และประวัติ ๑๑๗ เกจิอาจารย์สังขารเหนือกาลเวลา สแกนเก็บไว้ เป็นที่ ระลึก

หลวงพ่อมั่น 56 วัดชะอำคีรี 

หลวงปู่ฤาษีตาไฟ 60    วัดเทพหิรัญย์ 

หลวงพ่อวราห์  62 วัดโพธิ์ทอง

หลวงพ่อจักษ์   69    วัดชุ้ง

หลวงพ่อสารันต์ 77 วัดดงน้อย

หลวงพ่อแม้น    79    วัดหน้าต่างนอก   

หลวงพ่อแถม 81  วัดช้างแทงกระจาด

หลวงปู่นนท์ 93  วัดเขาพรานธูป

หลวงปู่สมบุญ 101   วัดลำพันบอง

หลวงปู่แผ้ว 101  วัดรางหมัน

One Day Trip “ท่องเที่ยวสุขใจไปกับ รฟม.” ปี 2567 ชวนไหว้พระ-ทำบุญ อุดหนุนสินค้าชุมชน

เริ่มต้นปีด้วยความเป็นสิริมงคล กับกิจกรรมพิเศษ “One Day Trip กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)” เพื่อส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนตามแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง รฟม. และชุมชน พาผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ที่เข้าร่วมกิจกรรมประจำปีไหว้พระทำบุญ อุดหนุนสินค้าชุมชน สนุกสนานกับ Workshop จัดช่อดอกไม้แฮนด์เมด และรับของที่ระลึกกลับบ้านสุดฉ่ำใจ เมื่อเร็วๆ นี้

“จิรฐา วัฒนประดิษฐ์”  ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย  เล่าถึงที่มาของกิจกรรมในครั้งนี้ว่า ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) รวมถึงผู้ใช้บริการอาคารจอดแล้วจร ของรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สาย มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ทาง รฟม. ได้คัดเลือกผู้ร่วมทริป 50 คน เพื่อร่วมเดินทางไปสักการะและขอพรพระนอน เยี่ยมชมความงามของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ วัดประจำรัชกาลที่ 1 โดดเด่นและเต็มไปด้วยเสน่ห์ของศิลปะไทยอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ยังมีกิจกรรมเช็กอินถ่ายภาพคู่กับ “ไอศกรีมลายกระเบื้อง” ไอศกรีม 3 มิติ สุดฮิตที่ รฟม. นำมาแจกฟรีคลายร้อนให้ทุกคนในทริป แล้วไปเดินย้อนรอยอดีต เรียน รู้ เล่น กันต่อที่ มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แบบ Discovery Museum ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และชมพิพิธภัณฑ์ใต้ดินแห่งแรกในไทย (Site Museum) สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สนามไชย สถานีรถไฟฟ้าแห่งเดียวในพื้นที่บนเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน

จากนั้นแวะพักรับประทานอาหารกลางวัน เปิดสัมผัสประสบการณ์ความอร่อยแบบสุขภาพดีกับอาหารไทยรสเลิศ ที่เป็นซิกเนเจอร์เมืองสยาม ณ ร้าน Siam Origins ตอกย้ำกระแส ‘Thai Taste Therapy’ ที่ถือว่าอาหารไทยเป็นยาที่อร่อยที่สุดในโลก พออิ่มท้องกันแล้วก็มาต่อกันที่ชอปปิ้งสินค้าจากร้านค้าชุมชนจากตลาดส่งเสริมเกษตรไทย ปากคลองตลาด ส่งตรงจากสวนของเกษตรกรแท้ๆ กลับบ้านไปฝากครอบครัว  ซึ่งทาง รฟม. สนับสนุนเป็นคูปองเงินสดคนละ 50 บาทไว้ไปเป็นส่วนลดสำหรับการซื้อสินค้าชุมชนที่ขนมาไว้ให้ซื้อได้ง่ายๆ ที่มิวเซียม สยาม   

S__3440713_0

 ก่อนจะปิดท้ายกิจกรรมด้วย Workshop จัดช่อดอกไม้จากชุมชนปากคลองตลาด  แถมยังมีของที่ระลึกจากรฟม. ให้นำกลับบ้านไปพร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจที่ผู้ร่วมทริปทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกประทับใจกับกิจกรรมในวันนี้เป็นอย่างมาก มาวันเดียวได้อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งท้อว และยังอิ่มใจที่ได้อุดหนุนชุมชนให้มีรายได้ สนุกสนานมากจริงๆ

โดยเฉพาะกิจกรรมเวิร์กชอปจัดช่อดอกไม้ด้วยตัวเอง ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาเรียนรู้วิธีการจัดช่อดอกไม้จากอาจารย์มากประสบการณ์ สำหรับช่อดอกไม้ที่ได้จัดรวมถึงผักสดที่ได้จากร้านค้าชุมชนจะนำไปฝากคนที่บ้าน สุดท้ายขอขอบคุณประสบการณ์สุดประทับใจที่รฟม. ได้จัดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในโอกาสหน้า รฟม. จะจัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้อีก

ทั้งนี้ รฟม. จะยังคงดำเนินการจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสานสัมพันธ์ สร้างความสุขให้แก่ชุมชนและผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครต่อไป สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมพิเศษของรฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th หรือ Call Center รฟม. หรือโทร. 0 2716 4044 “รฟม. ร่วมยกระดับเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและนวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”

 

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2563 ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ รางน้ำ กทม. ในงานเสวนา “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” งานสัมมนาฟื้นฟูประเทศไทยในมิติของการท่องเที่ยวภายหลังวิกฤตโควิด-19 ที่จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 โดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ตอบคำถามการจัดพื้นที่ จ.ภูเก็ต ให้เป็นโมเดล “ภูเก็ต เด็ดทั้งเมือง” ในการนำร่องมาตรการนำชาวต่างชาติเข้าในพื้นที่ มีความเป็นไปได้อย่างไร ว่า ขณะนี้เริ่มมีการคุยกัน ว่า จ.ภูเก็ต เป็นพื้นที่จัดการง่ายมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิด และมีความมั่นใจ โดยได้มีการเตรียมการในพื้นที่แล้ว ยืนยันว่า เป็นส่วนเสริมของมาตรการ Health and Tourism

“เรื่องที่เราภูมิใจร่วมกัน คือ การกลับมาเป็นประเทศฟื้นตัวที่รับมือได้ดีที่สุดในโลก เรื่องสตรีทฟู้ดของเรา เป็นเสน่ห์จริงๆ ไม่ใช่การสาธารณสุขอย่างเดียว พื้นที่นอกโรงพยาบาลของประเทศไทย เช่น ร้านอาหารสตรีทฟู้ด ผู้ประกอบอาหารก็ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สวมถุงมือ สวมอุปกรณ์ป้องกันใบหน้า เฟซชิลด์ และเรากำลังจะเฟซชิลด์สำหรับผู้ประกอบอาหารแบบที่หลายประเทศทำ เพราะต้องมีการชิม เพื่อให้มีการใช้ได้มาตรฐาน เป็นสิ่งที่เราจะประกาศว่า ในชีวิตวิถีใหม่ เรายังรักษาเสน่ห์ของประเทศไว้ได้ด้วย Safety และ Health ต้องช่วยกัน เราลงไปดูผู้ประกอบการให้ประเมินตนเอง ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม thai stop covid-19 ที่สามารถประเมินตนเองได้ หากมีเรื่องที่ปรับปรุง และทำได้ก็สามารถดำเนินการได้ทันที แต่หากติดขัดอะไร เราก็ลงไปช่วยสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาให้ได้” พญ.พรรณพิมล กล่าว

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท.

เมื่อเวลา 10.35 น. วันที่ 2 สิงหาคม 2563 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวในช่วงเสวนาเรื่อง ไทยพร้อมแล้วกับการท่องเที่ยว วิถีใหม่ ในงานสัมมนา ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ รางน้ำ จัดขึ้นโดยเครือมติชน ว่า ในเรื่องของการจัดการสถานการณ์ด้านสาธารณสุขประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนภาพรวมสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยว ขณะนี้เริ่มเห็นการกลับมาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว ในแง่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังได้รับผลกระทบอยู่ ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรก หรือตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน ยังไม่พบการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือมีจำนวนอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลงจากปี 2562 ประมาณ ลบ66% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มที่ดี โดยพบว่าในช่วง 6 เดือนแรก หรือตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน มีนักท่องเที่ยวสะสมรวม 54.5 ล้านคน ซึ่งในเดือนกรกฎาคมมีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีก

“ในส่วนของการคาดการณ์รายได้ด้านการท่องเที่ยว เป็นการคาดการณ์ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยในปีนี้คาดว่าจะจบรายได้ที่ 1.23 ล้านบาท เป็นตัวเลขเดียวกับที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ประมาณการณ์ไว้ หากประเมินในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่ยังสามารถดึงนักท่องเที่ยวไทยให้กลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้จำนวนมาก คาดว่ารายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.42 แสนล้านบาท หรือลดลงประมาณ 45% ส่วนข้อมูลในปัจจุบันไทยยังไม่สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ จากปัญหาดังกล่าวคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2563 การที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาอีก 4 แสนคน จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก จึงคาดว่าในปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งปีจะสิ้นสุดแค่เพียง 7 ล้านคน เท่านั้น จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 9 ล้านคน” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

สำหรับ การปลดล็อกระยะที่ 6 โดยในปัจจุบันเริ่มคลายล็อกให้ทำกิจกรรมในหลายด้านมากขึ้นแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ และธุรกิจการจัดงานสัมมนาขององค์กร หรือไมซ์ เป็นต้น แต่สิ่งที่สำคัญต้องทำให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจในเรื่องของการกักตัวต้องมีการควบคุมอย่างเข้มข้น เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไป แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาแต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีการเตรียมความพร้อม และคาดว่าจะมีชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตจากภาครัฐ หรือไทยแลนด์ อีลิท การ์ด เดินทางเข้ามาจำนวน 200 คน ซึ่งกว่า 80% เป็นการขอเข้ามาเพื่อติดต่อธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่เหลือมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ ททท.ได้เริ่มพูดคุยกับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ ต้องผันตัวมาเป็น โรงแรมกักตัวทางเลือก (เอเอสคิว) บนพื้นฐานความปลอดภัย

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวต่อว่า จากความต้องการเรื่อง เอเอสคิว ที่มีมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันหลายโรงแรมเริ่มสมัครเข้าไปกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) มากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรมที่อยู่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ เริ่มมีความสนใจจะเป็นเอเอสคิว เช่นเดียวกันกับต่างจังหวัดเริ่มมีการปรับตัวเปลี่ยนมาเป็น เอเอสคิวมากขึ้น อาทิ จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการบินว่าในอนาคตอาจจะต้องมีการเปิดเที่ยวบิน แบบบินตรงไปจังหวัดภูเก็ต เพื่อนำนักท่องเที่ยวไปสู่ที่พักที่เป็นเอเอสคิวต่อไป ซึ่งคาดว่าในเดือนตุลาคม 2563 มีการปลดล็อกในเรื่องของการเดินทางเข้าประเทศ ไทยจะได้เห็นแสงสว่างเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้นอีกด้วย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 2 สิงหาคม 2563 ที่ ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ รางน้ำ บรรยายกาศภายในงานสัมมนา “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” ที่จัดขึ้นโดยเครือมติชน โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ทางการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวไทย ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย และถือว่าาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจ โดยในปี 2561 รายได้จากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็น 18% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 4.3 ล้านงาน ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังส่งผลต่อการขยายตัว และการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับภาคธุรกิจอื่นในในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยปี 2562 สร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยวกว่า 3.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37% แบ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยทั้งสิ้น 39.79 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.24% สร้างรายได้ประมาณ 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.05% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ส่วนตลาดในประเทศ มีการเดินทางของไทยเที่ยวไทย จำนวน 166.84 ล้านคน-ครั้ง หดตัวลงเล็กน้อย 0.06% สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศมูลค่า 1.08 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.18% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561

นายพิพัฒน์กล่าวว่า การท่องเที่ยวในปี 2563 หากไม่มีการระบาดโควิด-19 รัฐบาลตั้งเป้าว่าภาคการท่องเที่ยวไทย จะต้องสร้างรายได้รวมทั้ง 2 ตลาดกว่า 3.04 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 ขึ้น ก็ทำให้ความคาดหวังในการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยวหายไป แต่ยังหวังว่าประเทศไทย จะสามารถค้นพบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ได้ หรือต่างประเทศมีการค้นพบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวมีความเสี่ยงน้อยลง แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีการพบวัคซีนต้านวัส แต่ก็มีความคืบหน้าในการทดลองวัคซีนเพิ่มเติม ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยหากไม่มีวัคซีนต้านไวรัสได้ ก็อาจทำให้ภาคการท่องเที่ยว เปิดได้เฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศ

“จากเดิมที่คาดการณ์แนวโน้มรายได้รวมทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยปี 2563 อยู่ที่ 3.04 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.78 ล้านคน สร้างรายได้ 2.02 ล้านล้านบาท โต 4.5% หากเทียบกับปีก่อน และตลาดไทยเที่ยวไทยออกเดินทาง จำนวน 172 ล้านคน-ครั้ง โต 4.4% สร้างรายได้ 1.13 ล้านล้านบาท โต 4.3% แต่เมื่อเกิด โควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยทุกส่วน จึงกำหนดเป้าหมายการทำงานปี 2563 สร้างรายได้รวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 1.23 ล้านล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทย 14-16 ล้านคน และนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ จำนวน 120 ล้านคน-ครั้ง ทั้งนี้ โดยขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชิตที่จะเข้ามา หากเข้ามาได้ 9-10 ล้านคน ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว” นายพิพัฒน์กล่าว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการจัดทำโครงการเที่ยวปันสุข เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ผ่านแพคเกจเราเที่ยวด้วยกันและกำลังใจ โดยใช้งบรวม 22,400 ล้านบาท แบ่งเป็นงบของแพคเกจกำลังใจ 2,400 ล้านบาท ในการเปิดให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) จำนวน 1.2 ล้านคน ลงทะเบียนรับสิทธิ์เที่ยวฟรี โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐจำนวน 2,000 บาท เพื่อเป็นการขอบคุณกลุ่มผู้ที่รับมือกับโควิด-19 เป็นด่ายแรก ส่วนแพคเกจเราเที่ยวด้วยกัน ใช้งบ 20,000 ล้านบาท ในการสนับสนุนส่วนต่างของการใช้สิทธิ์ห้องพัก 5 ล้านห้อง และตั๋วเครื่องบิน 2 ล้านใบ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ 40% ผู้ลงทะเบียนจ่ายเอง 60% ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีงบเหลือจากทั้ง 2 แพคเกจแน่นอน จึงคาดว่าจะนำงบประมาณที่เหลือจากเฟส 1 จะมาเปิดโครงการเฟส 2 เพิ่มเติม ภายใต้เงื่อนไขที่อาจแตกต่างไปจากเดิม

น้ำตกปางสีดา

หลังจากต้องเก็บกักตัวกันอยู่บ้านมานาน แม้ว่าบางแห่งบางสำนักงานจะเข้าสู่ภาวะเกือบปกติไม่ต้องกักกันแล้ว ในที่สุดก็ถึงคราวของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เตรียมเปิดแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ 127 แห่งให้ประชาชนได้เข้าเที่ยวผ่อนคลายเครียด และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังเฉาเนื่องจากวิกฤติโควิด-19  โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2563 และเน้นย้ำว่าเป็นการเที่ยวแบบ New Normal ต้องจำกัดจำนวนคน ใช้แอพพลิเคชั่น “ไทยชนะ” ในการเช็กอิน-เช็กเอาต์ เพื่อคัดกรองคน สำหรับอุทยานแห่งชาติที่มีความพร้อมในการเปิดการท่องเที่ยวมี 127 แห่ง  ยกเว้นในส่วนของอุทยานบางพื้นที่ยังคงปิดให้บริการอยู่ เช่น อุทยานแห่งชาติทางทะเลทางด้านฝั่งอันดามัน เนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่ช่วงมรสุม หรืออุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่ปัจจุบันอยู่ในช่วงของฤดูฝน เป็นต้น

“จงคล้าย วรพงศธร”  รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้หารือร่วมกับกรมอุทยานฯ เรื่องมาตรการรองรับการเปิดอุทยานแห่งชาติเพื่อนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปเที่ยว โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ต้องนำมาชี้วัด คือการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว และในแต่ละอุทยานฯ ซึ่งจะไม่ใช้รูปแบบที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวแล้ว แต่จะต้องมีแอพพลิเคชั่น “ไทยชนะ” มาใช้เป็นเครื่องมือในการคัดกรองคนเข้า-ออก และตรวจเช็กจำนวนนักท่องเที่ยวด้วย

การหารือครั้งนี้มีหัวหน้าอุทยานทั่วประเทศ ได้ส่งตัวเลขอุทยานแต่ละแห่งว่าจะสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้เท่าไหร่ต่อช่วงเวลาหนึ่ง เช่น แห่งที่ 1 กำหนด 800 คน อาจจะเป็นน้ำตก 300 คน อีก 500 คนไปเที่ยวในภูเขา ความหมายคือนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้าครบตรงหน้าด่านตามตัวเลข 800 ต้องหยุด และแบ่งนักท่องเที่ยวไปยังจุดอื่นๆ ที่กำหนดไว้ เช่น น้ำตก 300 คน ถ้าครบต้องเอาคนออกไป ถึงจะเสริมคนใหม่เข้าไปได้ อย่างนี้เป็นต้น

เรื่องการคำนวณจำนวนคนนั้น อุทยานฯ แต่ละแห่งจะมีการศึกษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติว่าไม่กระทบต่อสัตว์ป่า พันธุ์พืช และด้านกายภาพของพื้นที่ ถ้ามีพื้นที่มารองรับได้มากตามกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมทั้งผลประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว เมื่อนำมาสรุปแล้วก็จะเป็นตัวเลขขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว การไปท่องเที่ยวอุทยาน ยังคงต้องตระหนักถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ซึ่งมีความสำคัญมากเพื่อไม่ให้อุทยานแห่งชาติเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดการระบาดของโควิด – 19 ระลอก 2 ได้ ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าภายในอุทยานแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติที่กำลังจะเปิดทุกแห่งนั้น คงต้องฝากให้นักท่องเที่ยวทิ้งขยะในที่ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ เพราะช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าไม่มีข่าวสัตว์เสียชีวิตเพราะขยะเลยหากเปิดการท่องเที่ยวแล้วพบว่านักท่องเที่ยวทิ้งขยะจำนวนมาก มีสัตว์ตายจากขยะพลาสติก ก็พร้อมจะปิดอุทยานฯ อีกครั้ง ทั้งหมดนี้เราทำเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ เพราะทรัพยากรธรรมชาติเป็นของคนไทยทุกคน

สวนสัตว์เขาเขียว
สวนสัตว์นครราชสีมา
สวนสัตว์ขอนแก่น

สำหรับอุทยานแห่งชาติที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้นั้น อาทิ อุทยานแห่งชาติปางสีดา จ. สระแก้ว เป็นอุทยานที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมาก และยังเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเขาใหญ่-ดงพญาเย็นด้วย ไฮไลท์การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ซึ่งจะพบผีเสื้อจำนวนมากกว่า 400 ชนิด ออกมาหากินโป่งเทียมบริเวณโป่งรับแขก ใกล้กับน้ำตกปางสีดา ทำให้ภายในอุทยานถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของธรรมชาติอย่างสวยงาม อุทยานแห่งชาติปางสีดา จ.สระแก้ว  จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละ 400 คน และะนักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้ามาจะต้องปฏิบัติตามตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด  สามารถสอบถามรายละเอียดก่อนไปได้ที่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา โทร. 081-862-1511 หรือ https://www.facebook.com/Pangsida.NationalPark

ส่วนการเปิดให้เข้าท่องเที่ยวและเข้าชมในสวนสัตว์ จะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมวันละไม่เกิน 2,000 คน โดยแบ่งเป็นช่วงเช้า 08.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย 12.00 -17.00 น. และต้องจองเข้าชมล่วงหน้า ผ่านทางโทรศัพท์ หรือ แอพพลิเคชั่น ของสวนสัตว์:https://www.eventpop.me/e/9040/zoo Thailand หรือ ติดต่อผ่านโทรศัพท์ ดังนี้

  • สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ติดต่อ 034 318 444
  • สวนสัตว์เชียงใหม่ ติดต่อ 053 221  179
  • สวนสัตว์นครราชสีมา ติดต่อ 083 372 0404
  • สวนสัตว์สงขลา ติดต่อ 074 598 555
  • สวนสัตว์อุบลราชธานี ติดต่อ 045 252 761
  • สวนสัตว์ขอนแก่น ติดต่อ 086 455 6341
สวนสัตว์สงขลา
สวนสัตว์อุบลราชธานี

เปิด 5 ข้อ รับส่วนลดที่พัก 40 % สิทธิ์ใช้ได้สูงสุดไม่เกิน 5 คืน รัฐแจกเงินวันละ 600 ใช้อะไรได้บ้าง เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บ 1 ก.ค.

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้กระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสรุปแนวทางการทำเว็บไซต์ใช้ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว โดยจะเปิดตัววันที่ 1 ก.ค. ก่อนหน้าที่จะเปิดตัวต้องชี้แจงและสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวจะสนับสนุนการท่องเที่ยวของประชาชนในโครงการเราไปเที่ยวกัน และโครงการเที่ยวปันสุข

สำหรับเงื่อนไขโครงการเราไปเที่ยวกัน ประกอบด้วย

1.ใช้สิทธิ์ได้ 1 ครั้งคือ ค่าห้องพักสูงสุดไม่เกิน 5 ห้องพักต่อคน

2.สิทธิ์ใช้ได้สูงสุดไม่เกิน 5 คืน โดยไม่จำกัดราคาค่าห้อง ราคาห้องจะแพงเท่าไหร่ก็ได้ โดยรัฐบาลจะช่วยจ่ายให้ 40 % หรือไม่เกิน 3 พันบาทต่อคืน

3.ประชาชนที่สนใจต้องเข้ามาดูรายชื่อโรงแรมที่พักเข้าร่วมโครงการในเว็บไซด์ที่เตรียมจะเปิดตัว และทำการจองตรงกับโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ และต้องจ่ายเงินให้กับโรงแรมที่พักทันทีในอัตรา 60 % เพื่อให้โรงแรมมีเงินไปหมุนเวียน

4.ประชาชนต้องมาลงทะเบียนในระบบของเว็บไซด์เดิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันตัวตนว่าจะไปท่องเที่ยวจริง และระบบจะโอนเงิน 40 % ค่าที่พักในส่วนที่เหลือให้โรงแรม

5.จากนั้นรับสิทธิ์ E-Voucher ผ่านแอพพลิเคชันเป๋าตังค์ 600 บาทต่อคืน (สูงสุดไม่เกิน 5 คืน) ให้กับผู้ไปเที่ยว ในวันที่ผู้จองที่พักเข้าเช็กอินที่โรงแรมที่พักในวันแรก โดยสิทธิ์ดังกล่าวจะจ่ายทุกวัน วันละ 600 บาท และผู้ได้รับสิทธิ์จะต้องใช้ให้หมดภายในวันที่เช็กเอาต์ก่อนเวลา 00.00 น.

โดยสิทธิ์ต่อคน 5 คืน สามารถกระจายใช้ได้ เช่น อาจจะไปพักที่หัวหิน 2 คืน และไปพักที่เชียงใหม่ 3 คืน แบบนี้ก็สามารถทำได้ แต่ขอให้อยู่ในระยะเวลาของโครงการ คือตั้งแต่เดือนก.ค.–ต.ค. (4 เดือน) เท่านั้น

สำหรับสิทธิ์ E-Voucher จำนวน 600 บาทนั้น ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ และสามารถใช้ได้ 3 กรณี คือ

1.ร้านอาหารในโรงแรมที่เข้าพัก

2.ร้านอาหารนอกโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะมีทั้งร้านอาหารขนาดใหญ่ เล็ก และร้านอาหารริมทาง ซึ่งจะมีรายชื่อปรากฏในเว็บไซต์

3.การแสดงที่ต้องซื้อบัตรเข้าชม โดยการใช้สิทธิ์ E-Voucher ต้องเป็นการร่วมจ่ายกับรัฐบาล คือ รัฐบาลจ่ายให้ 40% เช่น ทานอาหารในโรงแรม 1 พันบาท ร้านอาหารจะคิดเงิน 600 บาท ส่วนอีก 400 บาทระบบจะตัดจาก E-Voucher อัตโนมัติ

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์