สถานการณ์โควิด-19 ยังสร้างผลกระทบอย่างต่อเนื่องถึงช้างบ้าน หรือช้างเลี้ยง เพราะช้างและควาญช้างตามปางช้างทั่วประเทศต้องประสบปัญหาขาดรายได้ที่เคยได้รับจากนักท่องเที่ยว ทำให้ช้างเลี้ยงกว่า 3,000 เชือกขาดแคลนอาหาร รายได้จากนักท่องเที่ยวขาดหายไป ปางช้างส่วนใหญ่ปิดตัวลงชั่วคราว ช้างเลี้ยงเป็นจำนวนมากตกงานและเคลื่อนย้ายออกจากปางเพื่อกลับถิ่นฐาน เพื่อช่วยเหลือช้างและควาญช้าง โครงการ ‘คนไทยรักช้าง’ จึงเกิดขึ้นด้วยการร่วมด้วยช่วยกันจากน้ำใจคนไทย รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เห็นถึงความสำคัญของช้างและควาญช้าง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์การท่องเที่ยวไทย

นายประพาฬพงษ์ มากนวล รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมองค์กรเพื่อสังคม กลุ่มทรู  และนายฤทธิชัย ภูมิอมร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ธุรกิจผลิตและขายอาหารสัตว์บกภาคเหนือเป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคที่ได้จากประชาชนและลูกค้า จำนวน 2,798,000 บาท ให้สมาคมสหพันธ์ช้างไทย  นำไปช่วยเหลือควาญและช้างผ่าน โครงการ ‘คนไทยรักช้าง’  เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารและสุขภาพของช้างเลี้ยง จำนวน 223 ปางทั่วประเทศ ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยจากทุกภาคส่วนร่วมกันแบ่งปันน้ำใจให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 โดยที่ผ่านมาซีพีเอฟ สนับสนุนอาหารช้างเอราวัณไปแล้วกว่า 60,000 กิโลกรัม เป็นมูลค่า 600,000 บาท มอบให้แก่สมาคมสหพันธ์ช้างไทย เพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมให้ช้างมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้กลุ่มทรูยังติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะทรู 5G ในระบบสื่อสารของรถกู้ภัยช้างประกอบไปด้วยเพื่อการอุปกรณ์สื่อสารแบบไร้สายที่เร็ว และระบบกล้องวงจรปิด เพื่อใช้ในภารกิจช่วยเหลือช้างบาดเจ็บและป่วย และสามารถเฝ้าดูอาการของช้างระหว่างที่ทำการขนย้าย ทำให้สัตว์แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการได้ทันที พร้อมเปิดช่องทางรับบริจาคจากประชาชนผ่านทรูมันนี่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส และ ทรูยู  โดยในปีที่ผ่านมา ได้รับเงินบริจาค เป็นเงินทั้งสิ้น 2,798,000 บาท เพื่อนำไปดูแลช้างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในครั้งนี้ และให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องในปี 2565 อีกด้วย

เพราะช้าง คือสัญลักษณ์ของความเป็นเอกราชของชาติ เป็นสัตว์ประจำชาติ และยังเป็นส่วนสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ชี้วัดถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าเมืองไทย  สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสัตว์ป่าต่าง ๆ มากมาย เราจึงควรร่วมกันปกป้องช้าง และถิ่นที่อยู่อาศัยของช้าง รวมไปถึงการเชื่อมโยงช้างให้เข้ากับวิถีชุมชนที่รายล้อมอยู่รอบป่า ให้คนในชุมชนที่มีเขตติดต่อกับผืนป่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับช้างได้ต่อไปในอนาคตด้วย

#ซีพีร้อยเรียงความดี #เครือเจริญโภคภัณฑ์ #คนไทยรักช้าง #ทรู5G #truetogether  #โควิด #covid-19

เมื่อ 15 มี.ค.65 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพี ประกอบ ด้วยบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) ได้จัดให้มีการปฐมนิเทศและเตรียมความพร้อมเข้าร่วมเจรจาธุรกิจ โครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส “SME Online Business Matching ครั้งที่ 1/2565” ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจำนวน 110 ราย ทั้งนี้โดยมีนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนเครือฯเป็นประธานในการปฐมนิเทศและเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และมีผู้บริหารจาก 3 ธุรกิจค้าปลีกร่วมพบปะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับเครือซีพีผ่านแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ก่อนที่จะเปิดเวทีจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคมที่จะถึงนี้

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจจำนวนมาก เครือเจริญโภคภัณฑ์โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือฯ จึงมีนโยบาย “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” เพื่อให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ในการช่วยฟื้นฟูประเทศไทย ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพัฒนาศักยภาพ พร้อมเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะมีการแบ่งปันข้อมูลตลาดให้เอสเอ็มอี พัฒนาช่องทางขาย รวมไปถึงการสนับสนุนสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และมีการให้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพสินค้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด รวมถึงเครือซีพีพร้อมที่จะนำพาสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยไปสู่ตลาดอาเซียนและภูมิภาคเอเชียใต้ เพื่อสร้างระบบนิเวศให้กับกลุ่มผู้ประกอบการได้มีโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลก

ในการนี้ นายกมล พงษ์ประยูร ที่ปรึกษา บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เวทีจับคู่ธุรกิจ “SME Online Business Matching” เป็นหนึ่งในกิจกรรมนำร่องแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะได้เจรจาธุรกิจกับธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพีพร้อมกันในคราวเดียวถึง 3 ราย ได้แก่ แม็คโคร , โลตัส และ 7 อีเลฟเว่น โดยสินค้าที่ผ่านการคัดเลือกสามารถจำหน่ายได้ทั้งช่องทาง Online และ On Shelf รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศ

ด้าน นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของแม็คโครมีแนวทางการทำงานสนับสนุนเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยร่วมกันแบบ “คู่ค้าพันธมิตร” เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ฉะนั้นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ทางแม็คโครพร้อมสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติ ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค การให้โอกาสในการเข้าถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างยอดขายและทำกำไรให้ผู้ประกอบการมากขึ้น รวมไปถึงการจัดเตรียมทีมงานเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ และหากผู้ประกอบการที่มีความพร้อมจะขยายสินค้าเพื่อส่งออกทางแม็คโครพร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาสในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนและกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) กล่าวว่า โลตัสมีความมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทางโลตัสจะมีทีมงานช่วยผลักดันและพัฒนาสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในสาขากว่า 2,322 แห่งทั่วประเทศ รวมไปถึงการสนับสนุนช่องทางออนไลน์เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น โดยผู้ประกอบการในระดับเริ่มต้นทางโลตัส เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เปิดบูธจำหน่ายสินค้า ทดลองตลาด สร้างการรับรู้ และขยายฐานลูกค้าผ่านพื้นที่ศูนย์การค้าของโลตัสทั่วประเทศ นอกจากนี้ทางโลตัสพร้อมสนับสนุนทีมงานให้คำปรึกษาในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าและ มาตรฐานการผลิตอีกด้วย

ในการปฐมนิเทศครั้งนี้ถือเป็นการติวเข้มแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้เข้าใจถึงขั้นตอนและวิธีการเจรจาจับคู่ธุรกิจแบบออนไลน์ รวมถึงรายละเอียดที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมความพร้อมในการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะมีขึ้น

เป็นครั้งแรกในวันที่ 17-18 มีนาคมนี้ โดยมีบริษัท ซีพี ออริจิน จำกัด เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มในการพัฒนาเอสเอ็มอี ภายใต้โครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ให้ข้อแนะนำในการที่จะนำพาเอสเอ็มอีเข้ามาร่วมเป็นธุรกิจกับเครือซีพี ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะสนับสนุนองค์ความรู้ การจัดหาวัตถุดิบที่ดี ช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการให้คำแนะนำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นตำราสำคัญที่จะทำให้เอสเอ็มอีประสบความสำเร็จ พร้อมนำพาเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดทั้งในไทยและต่างประเทศ

หนึ่งในผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าจะเข้าร่วมการเจรจาจับคู่ธุรกิจในโครงการนี้ คือ นายไพศาล กิตติฤดีกุล จาก บริษัท ไทยโคโค่ฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า ขอบคุณทางเครือซีพีที่สร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาสด้วยการจัดเวทีการเจรจาธุรกิจออนไลน์ครั้งนี้ขึ้นมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการไทยที่ได้มีโอกาสในการนำเสนอสินค้ากับ 3 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกใหญ่ทั้ง เซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร และโลตัสในครั้งเดียว ซึ่งเวทีนี้ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้รับองค์ความรู้นำไปต่อยอดพัฒนาสินค้าให้มาตรฐาน รวมไปถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีความหลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้เครือซีพียังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีความพร้อมขยายตลาดไปต่างประเทศอีกด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของผู้ประกอบการที่จะเพิ่มยอดขายและมีโอกาสได้ฟื้นธุรกิจที่ตอนนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นอย่างมากให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

อีกหนึ่งเสียงจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือ นางสาวอมรรัตน์ อมรพิมล เจ้าของผลิตภัณฑ์ AVA Mineral Water Purifying OverNight Mask มาสก์สูตรน้ำแร่บริสุทธิ์ กล่าวว่า การที่เครือซีพีได้สร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เป็นช่องทางที่เป็นประโยชน์อย่างมากให้กับผู้ประกอบการไทย เพราะมีโอกาสไม่ง่ายนักที่จะได้เข้ามาเจรจาธุรกิจกับเครือข่ายค้าปลีกค้าส่งพร้อม ๆ กัน โดยมองว่าการได้เข้าร่วมเวทีครั้งนี้จะสามารถนำองค์ความรู้ รวมทั้งคำแนะนำในการทำการตลาดในแต่ละแพลตฟอร์มไปพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานทางการผลิตที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

มะพร้าวไทยเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดโลก แม้ในปีที่ผ่านมาทั่วโลกต่างเผชิญปัญหากับสถานการณ์กับโควิด-19 แต่การส่งออกมะพร้าวน้ำหอมยังคงขายดีและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง

มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ พัฒนาพื้นที่ต้นแบบ ต.ทุ่งโป่ง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น นำแนวพระราชดำริพัฒนาอาชีพเกษตรสู่วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprises หรือ SE) ไปสู่การพึ่งพาและพัฒนาตนเอง เห็นว่ามะพร้าวน้ำหอม เป็นพืชสร้างรายได้ระยะยาว สร้างผลผลิตและเพิ่มมูลค่าให้ผู้ปลูก กลุ่มเกษตรกรมะพร้าวน้ำหอม ต.ทุ่งโป่ง โดยนำพันธุ์มะพร้าวน้ำหอม “พันธุ์บ้านแพร้าวก้นจีบ” มาจาก จ.สมุทรสาคร ใช้ระยะเวลาในการปลูก 2-3 ปี มะพร้าวน้ำหอมสามารถเจริญเติบโตได้ดี ในพื้นที่ที่มีดินชุ่มน้ำ หรือ พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเหมาะสมจะออกผลตามฤดูกาล แต่สำหรับพื้นที่บ้านทุ่งโป่ง คือความท้าทาย เนื่องจากสภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย แต่กลับสามารถปลูกมะพร้าวและเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันโครงการมะพร้าวน้ำหอม บ้านทุ่งโป่งดำเนินการขับเคลื่อนเข้าสู่ปีที่ 4 ซีพีทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในการเป็นตลาด ผลักดันผลผลิตเข้าสู่แม็คโคร พร้อมส่งมะพร้าวสู่ ตลาด modern trade และสร้างรายได้ให้เกษตรกร นอกจากนี้ ผลผลิตถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง B2B และ B2C เป็นการยกระดับการส่งเสริมการเกษตรภายในชุมชน

นางหนูเหรียญ ถมภิรมณ์ ตัวแทนเกษตรกรบ้านทุ่งโป่ง กล่าวว่า เกษตรกรบ้านทุ่งโป่ง ทำการเกษตรมาระยะเวลานานแต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ปลูกอ้อย และมัน จึงลองคิดหาวิธีการพร้อมเปลี่ยนแนวความคิด โดยมีเจ้าหน้าจากมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และ ซีพี เข้ามาประชาคม สร้างการเปลี่ยนแปลง เกิดการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้รู้สึกได้ถึงความภูมิใจที่สามารถทำได้จริง วันนี้มะพร้าวถูกนำมาวางขายในแม็คโครแล้ว รู้สึกตื้นตันแทนเกษตรทุกคนที่ทำสำเร็จขอขอบคุณ มูลนิธิปิดทองหลังพระและซีพีที่คอยให้การสนับสนุนต่อเนื่องเป็นอย่างดี

กรุงเทพฯ 10 กุมภาพันธ์ 2565 – สะดวก ตรงใจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่กับภาพยนตร์โฆษณาใหม่ “โอนอวัยวะ” ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มทรู เปิดโครงการ “Let Them See Love 2022” ที่ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ชวนคนยุคดิจิทัลส่งต่อความรักที่ไม่สิ้นสุด ด้วยการบริจาคอวัยวะและดวงตาแบบง่ายๆผ่าน www.letthemseelove.com เพื่อช่วยต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่กำลังรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ-ดวงตากว่า 23,138 ราย พร้อมย้ำเตือนคนรอบตัวผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะสมองตาย ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ เป็นกุศลติดตัวผู้เป็นที่รักก่อนจากโลกนี้ไป รวมถึงยังเชิญชาวไทยบริจาคทุนทรัพย์ สมทบทุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการบริจาคอวัยวะและดวงตาผ่าน SMS ระบบทรูมูฟ เอช แอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท หรือโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ของศูนย์รับบริจาคอวัยวะ และ ศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย ร่วมเป็นผู้ให้ได้ตลอดปีนี้ โอนเลย!

นายแพทย์ วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ตลอด 16 ปีมานี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มทรู ได้สนับสนุนโครงการ “Let Them See Love” อย่างต่อเนื่อง สร้างการรับรู้แก่สาธารณชนในวงกว้าง แต่ยอดบริจาคก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการที่มีมากขึ้นทุกปี และสูงถึง 5,817 รายในปัจจุบัน โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้รับการบริจาคอวัยวะเพียง 190 รายเท่านั้น และนำไปปลูกถ่ายช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทั้งสิ้น 429 ราย   เนื่องจากติดข้อจำกัดหลายประการ ที่สำคัญคืออวัยวะที่จะนำมาปลูกถ่ายได้ ต้องมาจากผู้เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายเท่านั้น ซึ่งเป็นภาวะเดียวที่เสียชีวิตแล้วแต่ยังมีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่ออยู่ และจำเป็นต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมได้รับความยินยอมจากญาติผู้เสียชีวิตด้วย ทางศูนย์ฯจึงขอเชิญชวนคนรุ่นใหม่ร่วมกันแสดงพลัง ยื่นความจำนงเป็นผู้บริจาคได้ที่ www.letthemseelove.com”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ลลิดา ปริยกนก ผู้อำนวยการศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ศูนย์ดวงตา รู้สึกยินดีที่โครงการ “Let Them See Love” ร่วมขับเคลื่อนภารกิจบริจาคดวงตามาโดยตลอด ซึ่งทางศูนย์ฯมุ่งหวังว่าในปีนี้ผู้ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2564 ที่มีเพียง 520 รายจากปัจจุบันที่ยังคงมีผู้รอคอยการมองเห็นมากถึง 17,321 ราย โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะดวงตาที่ต้องการบริจาคจะต้องอยู่ในสภาพดีที่สุด ก่อนเริ่มเสื่อมสภาพ และเน่าเปื่อยหากเกินเวลา 6 ชั่วโมงหลังการเสียชีวิต ดังนั้นผู้แจ้งความประสงค์ควรพกบัตรผู้บริจาคติดตัวไว้ รวมทั้งบอกกล่าวให้ญาติรับทราบเจตจำนง และพร้อมโทรแจ้งศูนย์ดวงตาหลังผู้บริจาคเสียชีวิตทันที”

นางรุ่งฟ้า เกียรติพจน์ ผู้บริหารด้านโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารงานประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มทรู ร่วมกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย สานต่อโครงการ “Let Them See Love” ในเดือนแห่งความรักเป็นประจำทุกปี เพื่อรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการให้ พร้อมทั้งเชิญชวนให้เกิดการบริจาคอวัยวะและดวงตาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อันสะท้อนความมุ่งมั่นของเครือฯ ในการสร้างเสริมให้ประชากรไทยมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี พ้นจากอาการเจ็บป่วยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีโอกาสประกอบอาชีพ เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่ครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติ ขับเคลื่อนหลักการความยั่งยืนครอบคลุมมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยครั้งนี้ได้จับมือ บริษัท มันเดย์ พีเพิล จำกัด เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ภายใต้แนวคิด “โอนอวัยวะ” เจาะกลุ่มคนยุคดิจิทัล สร้างความรู้สึกที่เข้าใจง่ายและจริงสุดในโลกยุคปัจจุบัน ที่ไม่ว่าอะไรก็โอนง่าย โอนไว โอนได้หมด เหมือนกับการบริจาคอวัยวะ-ดวงตาที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนสามารถแสดงความจำนงบริจาคได้ง่ายๆ เพราะในวันหนึ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว อวัยวะเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์ที่สามารถโอนให้คนอื่นใช้ต่อไปได้ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ญาติและคนรอบตัวผู้เสียชีวิตด้วยสภาวะสมองตาย พิจารณาเรื่องการบริจาคอวัยวะและดวงตา

แชร์เลย! สร้างการรับรู้ “โอนอวัยวะ” และช่วยกันบริจาคเงินสนับสนุนกระบวนการปลูกถ่ายอวัยวะผ่าน SMS ระบบ ทรูมูฟ เอช โดยพิมพ์ 10 เพื่อบริจาค 10 บาท* หรือ พิมพ์ 100 เพื่อบริจาค 100 บาท* โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ส่งไปที่หมายเลข 91255 ตั้งแต่ 1 ก.พ. – 31 ธ.ค. 2565 (*ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือบริจาคผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท หรือโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ “ศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย” เลขที่บัญชี 045-231390-2 ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย หรือโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย” เลขที่บัญชี 023-1-25888-7 ธนาคาร กรุงไทย สาขา สุรวงศ์ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.letthemseelove.com และเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/CPGroupSustainability/ สามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาได้ที่

https://www.facebook.com/CPGroupSustainability/videos/2968205693490300/

#LetThemSeeLove

#โอนอวัยวะกันYOUNG

#บริจาคอวัยวะ

#บริจาคดวงตา

#สภากาชาดไทย

นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) เปิดเผยว่า  โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร มีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามนโยบายของประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือสังคม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพรไทยและใช้เสริมภูมิคุ้มกัน ในยามที่ขาดแคลนสมุนไพรฟ้าทะลายโจร  โดยจัดให้มีการปลูกฟ้าทะลายโจรบนเนื้อที่ 100 ไร่ที่ฟาร์มแสลงพัน และฟาร์มคำพราน จ.สระบุรี สถานีวิจัยแสลงพัน ของกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือซีพี ซึ่งได้เริ่มปลูกในวันแม่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา  จนถึงปัจจุบันได้ทยอยเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรภายใต้ชื่อ “ปันปลูก” โดยจะแจกฟรีแก่ชุมชน สถานพยาบาล องค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางได้ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของแผ่นดิน และเป็นการร้อยเรียงความดีเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ สอดคล้องตามค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือซีพีอีกด้วย

โครงการปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร 100 ไร่  มีที่ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี แบ่งเป็น  2 แปลง แปลงแรกตั้งอยู่ที่ฟาร์มแสลงพัน บนเนื้อที่ 30 ไร่  และอีกแปลงอยู่ที่ฟาร์มคำพราน บนเนื้อที่ 70 ไร่ โดยใช้ต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 1 ล้านต้นจาก 6 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปราจีนบุรี  สุโขทัย กาญจนบุรี อุบลราชธานี และ พิจิตร  โครงการนี้ผ่านการศึกษาวิจัยทั้งเรื่อง พันธุ์ ลักษณะดินที่เหมาะสม ปริมาณน้ำ ที่พืชต้องการ ขั้นตอนการเพาะปลูกที่เหมาะสม ทั้งเทคนิควิธีการจัดการแปลง อายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ให้ปริมาณสารสำคัญสูง โดยศึกษาร่วมกับเกษตรกรคนเก่งจากทุกพื้นที่ และมีเป้าหมายที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรที่สนใจ

นายสุเมธกล่าวว่า การปลูกฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ในโครงการปันปลูกใช้เทคโนโลยีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ ใช้ข้อมูลความชื้นในดิน  ร่วมกับสถานีวัดปริมาณน้ำฝน เพื่อให้พืชได้น้ำในปริมาณที่เหมาะสม การปลูกแบบแถวยกร่อง มีทั้งแบบร่องเดี่ยว และร่องคู่ ได้ผลผลิตประมาณ 2 ตันต่อไร่ ทั้งนี้แปลงปลูกทั้ง 100 ไร่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) จาก กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกกระบวนการว่าได้มาตรฐานตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยวและการบริหารจัดการ ปัจจุบันเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิต และจะนำเข้าสู่กระบวนการอบลดความชื้นด้วยโรงอบพลังแสงอาทิตย์ จากนั้นส่งมอบวัตถุดิบไปทำการบด และบรรจุเป็นแคปซูลต่อไป

นอกจากนี้ได้ดำเนินการตาม พรบ.ยาสมุนไพร อย่างเคร่งครัด โดยมีการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพร กับทาง สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ที่มีข้อกำหนดด้านปริมาณสารสำคัญ คือ Andrographolide ในวัตถุดิบอย่างเคร่งครัด และใช้ห้องแล็บมาตรฐานที่ได้รับการรับรอง  และตอกย้ำความมั่นใจอีกระดับจากห้องแล็บของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารมาตรฐานระดับโลกในเครือซีพี  และในส่วนการบรรจุแคปซูล ได้คัดเลือกจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐาน GMP PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญของโรงงานผลิตยา  มาร่วมในโครงการฯ  รวมถึงต้องมีการฉายรังสีแกมมาทุกแคปซูล เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีอายุเก็บได้ยาวนานขึ้น ก่อนส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชน 

6 สิงหาคม 2564 – จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ระลอกใหม่  ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น  รวมถึงพื้นที่ในจังหวัดนครพนมที่มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 2,500 ราย  มีผู้ติดเชื้อรายใหม่อีกกว่า 100 ราย  และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งจังหวัดนครพนมมีสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19  ทั้งโรงพยาบาลหลัก  โรงพยาบาลสนาม และศูนย์พักคอย  รวมทั้งสิ้นเพียง  37 แห่ง 1,600 เตียงเท่านั้น  ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วยและเกิดปัญหาคนไข้ล้นเตียง  เครือเจริญโภคภัณฑ์  และบริษัทในเครือฯ  ร่วมเดินหน้าร้อยเรียงความดี  ภายใต้โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19  ที่โรงพยาบาลสนาม  มหาวิทยาลัยนครพนม  จังหวัดนครพนม  สนับสนุนเครื่องอุปโภค บริโภค  และอุปกรณ์สื่อสาร  โดยมี  นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์  และ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)  ร่วมเป็นผู้แทนเครือฯ  มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ด้านการสื่อสาร ให้กับโรงพยาบาลสนาม  โดย  พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มูลนิธิ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว  และคณะ ได้ทำพิธีส่งมอบโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยนครพนม ขนาด 300 เตียงให้แก่จังหวัดนครพนม  เพื่อรองรับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนมที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โดยมี  นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ ธีระตระกูลสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และนายแพทย์กิตติศักดิ์ ฐานวิเศษ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยนครพนม เป็นผู้แทนรับมอบโรงพยาบาลสนาม  ณ  อาคารเรียนรวมคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม 

นายไกรกร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  ในนามของประชาชนชาวจังหวัดนครพนม  ขอขอบพระคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้จนสำเร็จลุล่วงเป็นไปด้วยดี  เพราะจากสถานการณ์ช่วงนี้ในพื้นที่ของจังหวัดนครพนม  ยังคงเพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวังดูแลคัดกรองผู้ป่วยโควิดต่อเนื่อง  เพราะยังมียอดผู้ป่วยต่อวันเพิ่มขึ้น  ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแรงงานและผู้ป่วยติดเชื้อกลับมาจากต่างจังหวัด ส่งผลทำให้สถานพยาบาลเริ่มไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย  ซึ่งการได้โรงพยาบาลสนามแห่งนี้เพิ่มขึ้นมา จะทำให้จังหวัดนครพนมมีพื้นที่รองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว  สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา  กล่าวว่า ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้ป่วยโควิด-19  ที่ต้องการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล  จึงร่วมกับราชการทุกภาคส่วน ภาคประชาชน ภาคธุรกิจในจังหวัดนครพนม และได้รับการสนับสนุนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ หอการค้าไทย-จีน และภาคธุรกิจ ร่วมกันตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยใช้อาคารเรียนรวมคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยนครพนม  เขตพื้นที่มรุกขนคร (บ้านเนินสะอาด) แห่งนี้ขึ้น  ซึ่งใช้เวลาจัดตั้งเพียง 9 วัน และเปิดรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในวันที่ 6 สิงหาคมนี้  โดยสามารถรองรับผู้ป่วย 300 เตียง และเพิ่มเป็น 600 เตียงในอนาคต  เพื่อให้พี่น้องชาวนครพนมได้มีเตียงรองรับการรักษาโดยทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์  ได้ทันท่วงที

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามนโยบายของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือซีพี ให้เดินหน้าสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19”  โดยมีเครื่องอุปโภค  บริโภค และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งเครือข่ายและอุปกรณ์สื่อสาร จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัทในเครือฯ ได้เเก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน), รวมไปถึงโลตัส  เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ นักรบด่านหน้าที่ต้องแบกรับภารกิจอันหนักหน่วง และให้ผู้ป่วยได้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป โดยเครือฯพร้อมสนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้างคนไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

กรุงเทพฯ 15 กรกฎาคม 2564 –  มูลนิธิต่อต้านการทุจริต ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) พร้อมด้วยติ๊กต็อก โดยการสนับสนุนจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จัดโครงการประกวด‘ต่อต้านการทุจริต ผ่านติ๊กต็อก’ ประจำปี 2564 เชิญชวนนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ทั่วประเทศ สร้างสรรค์ผลงานคลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘เยาวชนไทย ไม่ยอม ไม่ทน ต่อการทุจริต’ ความยาวไม่เกิน 50 วินาที โดยเปิดรับผลงานตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม ถึง วันพุธที่ 15 กันยายน 2564 ชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อมเกียรติบัตรและทุนการศึกษามูลค่ากว่า 500,000 บาท

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ

ศาสตราจารย์​พิเศษ​ วิชา​ มหา​คุณ  ประธาน​กรรมการ​มูลนิธิ​ต่อต้าน​การ​ทุจริต   กล่าวว่า  การทุจริตคอร์รัปชัน เป็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งของชาติ ที่สร้างความเสียหายต่อการพัฒนาประเทศตลอดมา  ทั้งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมหาศาล มูลนิธิต่อต้านการทุจริตมุ่งมั่นขจัดปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ โดยจัดให้มีกิจกรรมในการปลูกจิตสำนึกให้คนไทย โดยเฉพาะเยาวชนของชาติให้เป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตและมั่นคงในคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อร่วมกันสร้างสังคมให้โปร่งใสไร้การทุจริต ตลอดจนร่วมกันในการสร้างสังคมที่ไม่เพิกเฉยต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในปีนี้ ทางมูลนิธิได้ผนึกกำลังกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มทรูและติ๊กต็อก ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน)           จัดโครงการประกวดต่อต้านการทุจริต ติ๊กต็อก ประจำปี 2564   เปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ทั่วประเทศ สร้างสรรค์ผลงานคลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘‘เยาวชนไทย ไม่ยอม ไม่ทน ต่อการทุจริต’’ ชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อมเกียรติบัตรและทุนการศึกษากว่า  500,000 บาท โดยเปิดรับผลงานตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันพุธที่ 15 กันยายน 2564

นายนพปฎล เดชอุดม

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัดกล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์และทรู คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมองค์กรเรื่องคุณธรรมและความซื่อสัตย์ ที่เครือซีพียึดมั่นเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจมายาวนานถึง 100 ปี โดยเครือ ฯ ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของภาคเอกชนในการต่อต้านการทุจริต และได้ร่วมสนับสนุนมูลนิธิต่อต้านการทุจริตมาอย่างต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี  เพื่อเป็นส่วนหนี่งในการรณรงค์การปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต รวมทั้งชุมชนและประชาชนทั่วประเทศได้ตื่นรู้ถึงการมีส่วนร่วม เพื่อให้สังคมไทยปราศจากการทุจริตและคอร์รัปชัน 

สำหรับปีนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์และบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมสนับสนุนและดำเนินโครงการประกวด ‘ต่อต้านการทุจริต ผ่านแอปพลิเคชั่นติ๊กต็อก’  ในหัวข้อ ‘เยาวชนไทย ไม่ยอม ไม่ทน ต่อการทุจริต’ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19  โดยปัจจุบันแอปพลิเคชั่นติ๊กต็อก เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากและง่ายต่อการสร้างสรรค์ผลงาน   โดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนต้องกักตัวกันอยู่ที่บ้านสามารถสร้างสรรค์คลิปรณรงค์ต่อต้านการทุจริตได้ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ  การร้องเพลง  การเต้น  การพูด  หรือ  การแสดง  อีกทั้งสามารถนำไปเผยแพร่ต่อเพื่อกระตุ้นความสนใจให้คนอยากปฏิบัติตาม 

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

ดร.คงกระพัน  อินทรแจ้ง  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(GC)  เปิดเผยว่า   GC ให้ความสำคัญกับการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน   ซึ่งเป็นหลักการในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และมุ่งมั่นสร้างมาตรฐานการมีธรรมาภิบาลอยู่ในทุกกระบวนการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง   GC  พร้อมเป็นกำลังสำคัญของภาคเอกชนไทยที่ร่วมสนับสนุนมูลนิธิต่อต้านการทุจริตมากว่า  5     ปี  เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนไทยเป็นทั้งคนเก่งและคนดี เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ไม่ทนต่อการทุจริคคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ

ในการนี้ GC ร่วมสนับสนุนการจัดโครงการประกวดต่อต้านการทุจริต ติ๊กต็อก ประจำปี 2564  เพื่อให้เยาวชนได้สร้างสรรค์ผลงานผ่านคลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘เยาวชนไทย ไม่ยอม ไม่ทน ต่อการทุจริต’ ซึ่งนับเป็นกิจกรรมที่ปรับเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เยาวชนไทยจะสามารถแสดงออกได้ด้วยพลังทางความคิดและจินตนาการผ่านการใช้สื่ออิเล็คทรอนิกส์ที่ทันสมัยอย่างสร้างสรรค์  และสามารถเผยแพร่ให้สังคมไทยได้รับรู้และตระหนักในวงกว้างต่อไป

นายสุรยศ เอี่ยมละออ

นายสุรยศ เอี่ยมละออ Head of Consumer Marketing บริษัท ติ๊กต็อก (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ติ๊กต็อก ในฐานะแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ที่ผ่านมาเราไม่เพียงให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาประสบการณ์แพลตฟอร์มแก่ผู้ใช้ของเราเท่านั้น แต่ติ๊กต็อก ยังมุ่งมั่นเดินหน้าสร้าง Ecosystem ให้เกิดความยั่งยืน ทั้งผู้ใช้ ครีเอเตอร์ พันธมิตรธุรกิจ และ หน่วยงานต่าง ๆ โดยความร่วมมือของติ๊กต็อก และมูลนิธิต่อต้านการทุจริตในครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของติ๊กต็อก ในการเป็นแพลตฟอร์มแห่งการสร้างสรรค์คอนเทนท์ที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุน พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนใช้แพลตฟอร์มติ๊กต็อก ในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพลังบวกให้แก่ผู้คนผ่านคอนเทนท์วิดีโอสั้นในหัวข้อต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจ โดยความร่วมมือในครั้งนี้มูลนิธิต่อต้านการทุจริตร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มทรูจัดโครงการประกวด ‘ต่อต้านการทุจริต ผ่านติ๊กต๊อก’ ในหัวข้อ ‘เยาวชนไทย ไม่ยอม ไม่ทน ต่อการทุจริต’ โดยติ๊กต็อก จะเป็นพื้นที่ในการแข่งขันโดยผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเปิดแอคเคาท์บนติ๊กต็อก และสร้างสรรค์คอนเทนท์วิดีโอสั้นตามหัวข้อที่กำหนด โดยใส่ #เยาวชนไทยไม่ยอมไม่ทนต่อการทุจริต นอกจากนี้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบจะได้ร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปที่จัดโดยติ๊กต็อก ซึ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างสรรคอนเทนท์วิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์ม ในหัวข้อสร้างคอนเทนท์ให้ปังบนโลกออนไลน์ โดยใช้เครื่องมือบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก ที่มีอย่างครบครันทำให้การสร้างสรรค์คอนเทนท์ครบจบในที่เดียว

‘ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการสนับสนุนความสามารถของเยาวชนไทยให้สามารถแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างเปิดกว้าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นประโยชน์แก่ผู้คน อีกทั้งยังเป็นการเติบเต็ม Ecosystem ของเราให้เกิดความยั่งยืนในทุกด้าน’ นายสุรยศ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดโครงการ ฯ และดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.acf.or.th หรือ www.trueplookpanya.com โดยส่งใบสมัครพร้อมผลงานคลิปวิดีโอรณรงค์ต่อต้านการทุจริต ความยาวไม่เกิน 50 วินาที ประเภทไฟล์ mp4 พร้อมแนบคำบรรยายแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานมาทาง E-Mail : [email protected]  ตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2564 รายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 097-289-9246  พร้อมติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ  ‘ช่อสะอาดต้านทุจริต’

เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดตัวภาพยนตร์สั้น “กตัญญู…เท่าชีวิต” ที่สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “ความกตัญญู ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้” ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักที่แท้จริงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สู้ชีวิต และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับครอบครัว ด้วยการเข้าแข่งขันวิ่งมาราธอนด้วยขาเพียงข้างเดียวเพื่อนำเงินรางวัลมารักษาพ่อที่ป่วย   โดยหวังว่าความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยจากพลังแห่งความกตัญญูจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แม้งานนั้นจะท้าทาย หรือทำให้สำเร็จได้ยากเพียงใดก็ตาม เพราะทุกความกตัญญู ไม่ว่าจะทำเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ย่อมมีความหมายและมีคุณค่าเสมอ

“ถ้าเรามีความรัก ความเมตตา  ความสามัคคี  ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความกตัญญู ไม่ว่าจะมีความฝันหรือเป้าหมายอะไร เราจะทำสำเร็จได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าความกตัญญู จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ดังเช่นรตี หญิงสาวผู้พิการคนนี้  เพราะคุณค่าของความกตัญญู เติบโตที่ไหน ที่นั่นจะงดงาม” 

ทั้งนี้ ภาพยนตร์สั้น “กตัญญู…เท่าชีวิต” มีกำหนดเผยแพร่บนสื่อออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทยตระหนักถึงคุณค่าของความกตัญญู ที่จะทำให้เกิดการลงมือทำและให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างสังคมแห่งความกตัญญูรากฐานที่จะทำให้ประเทศยั่งยืน  สามารถติดตามรับชม ภาพยนตร์สั้น “กตัญญู…เท่าชีวิต” ได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=ZTZaQTbpNiM&t=134s&ab_channel=CPGroup

                                                                      

มูลนิธิแพทย์ชนบท รวมพลัง เครือซีพี ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด ชวนคนไทยร่วมบริจาคสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชน

จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกสาม ที่ได้แพร่ระบาดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาส่งผลให้อุปกรณ์ชุดเครื่องมือทางการแพทย์ มีความสำคัญเร่งด่วนต่อการช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ในการรับมือกับวิฤตโควิด-19 ครั้งนี้   มูลนิธิแพทย์ชนบทและเครือเจริญโภคภัณฑ์  จึงได้ร่วมมือกันเปิดตัวแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง รณรงค์และสนับสนุนให้คนไทยทั่วประเทศร่วมแรงร่วมใจระดมทุนบริจาคเงินเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อขึ้นภายในโรงพยาบาลชุมชน นำร่องเป็นต้นแบบครั้งแรกในไทย 15 แห่งทั่วประเทศครอบคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ พร้อมกันนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมบริจาคจำนวน 5 ล้านบาท และสนับสนุนเสบียงอาหาร ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ และน้ำดื่มบรรจุขวดมอบให้แก่โรงพยาบาลชุมชน 50 แห่งทั่วประเทศอีกด้วย

นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า นับแต่มีการระบาดไวรัสโควิดเมื่อกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางมูลนิธิแพทย์ชนบท ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ในการสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชนระดับอำเภอ 778 แห่ง ทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล(รพ.สต.) 9,763 แห่ง ตลอดจนระบบสาธารณสุขมูลฐาน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในการต่อสู้และรับมือโควิด-19 จนมาถึงปัจจุบันประเทศไทยประสบกับวิกฤติการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งรุนแรงและกระจายวงกว้างไปทั่วประเทศ ส่งผลให้โรงพยาบาลชุมชนมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบบริการสุขภาพของอาคารโรคติดเชื้อ หรือ Cohort ward  เพื่อให้เป็นหอผู้ป่วยโควิดแยกออกจากอาคารที่มีอยู่เดิมออกมาเป็นการเฉพาะไม่ให้ปะปนกับอาคารผู้ป่วยปกติ   เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ป้องกันการติดเชื้อสู่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ป้องกันไม่ให้แพร่กระจายไปยังผู้ป่วยอื่น ๆ  รวมถึงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ชุมชน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยมูลนิธิแพทย์ชนบท จะนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลชุมชนจำนวนประมาณ 15 แห่งในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ทั้งนี้มูลนิธิแพทย์ชนบทได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านบาทเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับอาคาร Cohort ward และยังได้รับความร่วมมือในการนำศักยภาพของเครือฯ และบริษัทในเครือฯ เปิดช่องทางการระดมทุนรับบริจาคเงินจากคนไทยทั่วประเทศผ่านแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง ทั้งนี้หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิดคลี่คลายลง โรงพยาบาลชุมชนจะได้มีอาคารโรคติดเชื้ออย่างถาวร สามารถใช้ได้ กับโรคติดต่อ หรือโรคระบาดอื่น ๆ ต่อไป

 “การระดมทุนในครั้งนี้ผ่านแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง  เป็นการช่วยติดอาวุธเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลชนบทที่ได้เสียสละทุ่มเทร่วมต่อสู้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  การได้รับความร่วมมือจากคนไทยทั่วประเทศจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อขึ้นในโรงพยาบาลชุมชน เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ปลอดภัย และนำพาประเทศชาติให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าว พร้อมขอบคุณในน้ำใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่สนับสนุนมูลนิธิแพทย์ชนบทมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปีที่แล้วสนับสนุนการผลิตเต็นท์ความดันติดลบ (Negative Pressure Chamber) เป็นการเร่งด่วนเพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้โรงพยาบาลชุมชนที่ขาดแคลน 150 แห่งทั่วประเทศ  และในปีนี้นอกจากร่วมทำแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้สนับสนุนเสบียงอาหารแก่แพทย์พยาบาลบุคลากรทางการแพทย์ให้กับมูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อนำไปช่วยเหลือโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้จะมีการนำร่องในโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย 15 แห่ง ที่มีขนาด 60-120 เตียง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการรับผู้ป่วยโควิดที่ไม่รุนแรงที่ส่งต่อมาจาก โรงพยาบาลชุมชนข้างเคียงที่มีขนาด 10-30 เตียง หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รพ.สต. และจะต้องเป็นโรงพยาบาลชุมชนที่มีผลงานดี ได้รับการยอมรับจากชุมชน เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านได้ โดยในภาคเหนือ มี 3 แห่ง ได้แก่ 1. รพร.เด่นชัย จ.แพร่ 2.รพ.สูงเม่น จ.แพร่ 3.รพร.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์  ภาคกลาง ได้แก่  1.รพ.ป่าโมก จ.อ่างทอง 2.รพ.แก่งคอย จ.สระบุรี 3.รพ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 4. รพ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ 1.รพ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น 2.รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ 3.รพ.กาบเชิง จ.สุรินทร์  และภาคใต้  1. รพ.สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี จ.สงขลา 2. รพ.ละงู จ.สตูล 3. รพ.ตากใบ จ.นราธิวาส 4. รพ.จะนะ จ.สงขลา 5. รพ.รามัน จ.ยะลา

ด้าน นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงวิกฤต มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคนไทยทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านในโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศที่เป็นหน้าด่านสำคัญในการรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้   เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงต้องการช่วยแบ่งเบาภาระของมูลนิธิแพทย์ชนบทซึ่งถือเป็นองค์กรกลางในการช่วยระดมความช่วยเหลือไปสู่โรงพยาบาลชุมชนในการรับมือและต่อสู้กับภัยโควิด โดยสนับสนุนภารกิจการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ ซึ่งจะแยกออกมาต่างหากสำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อ เริ่มจากโควิดที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายวงกว้างสู่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยอื่น ๆ รวมถึงป้องกันการแพร่ระบาดสู่ชุมชน เครือเจริญโภคภัณฑ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสังคมไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้หากทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือก็จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงภารกิจสำคัญของมูลนิธิแพทย์ชนบทในครั้งนี้ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้สนับสนุนการดำเนินโครงการรณรงค์ในแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง  และขอเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศช่วยกันสนับสนุนจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ขาดแคลนเร่งด่วนในโรงพยาบาลชุมชนที่ห่างไกลให้สามารถมีอาวุธในการต่อสู้ช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชนบทให้ปลอดภัยจากวิกฤตการแพร่ระบาดในครั้งนี้

มูลนิธิแพทย์ชนบท ระบุว่า ในการพัฒนาหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ ต้องใช้จ่ายเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ขาดแคลนและจำเป็นกว่า 965,000 บาทต่อหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ 1 แห่ง  โดยจะนำไปจัดซื้อเครื่องวัดความดันอัตโนมัติ (Auto BP) เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (AED.) เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในเลือด (Pulse oxymetre) และเครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ (Mobile X Ray) เพื่อช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชนบทให้ปลอดภัยจากวิกฤตการแพร่ระบาดในครั้งนี้

ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตโควิด-19  ได้อย่างเร็วที่สุดนอกเหนือจากการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่การเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยังคงมีความสำคัญไม่แพ้กัน  มูลนิธิแพทย์ชนบทและเครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนในแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง

โดยท่านสามารถร่วมบริจาคเงิน 100 บาท + 1 แชร์ ถึงเพื่อนในโซเชียลมีเดีย อาทิ  เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เพื่อช่วยบอกต่อให้เกิดพลังความร่วมมือในการซื้อชุดอุปกรณ์การแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลชุมชนในชนบท ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน  โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคได้หลายช่องทางตามกำลังศรัทธา คือ1. บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ (ออมทรัพย์) สาขางามวงศ์วาน ชื่อบัญชี มูลนิธิแพทย์ชนบท-โครงการการสนับสนุนเครื่องมือแพทย์โรงพยาบาลสนามในโรงพยาบาลชุมชน เลขบัญชี 319-298168-1  2. ผ่านแอพพลิเคชั่น ทรูมันนี่     3. ลูกค้าทรูมูฟ เอช กด *948*7707*10# เพื่อบริจาค 10 บาท หรือ กด *948*7707*100# เพื่อบริจาค 100 บาท 4. บริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ดูรายละเอียดการบริจาคและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://donate.ruraldoctor.or.th/

6 พฤษภาคม 2654 – บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ผนึกกำลังกับบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ บมจ.ซีพี ออลล์ และ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น ร่วมมือกับ “สมาคมสหพันธ์ช้างไทย” เปิดโครงการ “คนไทยรักช้าง” เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารและสุขภาพของช้างเลี้ยงและควาญช้างในเครือข่ายของสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยจากทุกภาคส่วนร่วมกันแบ่งปันน้ำใจให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 อย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย นำร่องโดย ซีพีเอฟได้สนับสนุนอาหารช้าง จำนวน 60 ตัน  หรือ 60,000 กิโลกรัม มอบให้แก่สมาคมสหพันธ์ช้างไทย เพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี  นอกจากนี้ กลุ่มทรู ยังสนับสนุนเทคโนโลยีอัจฉริยะทรู 5G ในระบบสื่อสารของรถพยาบาลช้าง พร้อมเปิดช่องทางรับบริจาคจากประชาชน ร่วมแบ่งปันน้ำใจให้ช้าง ผ่านระบบทรูมูฟ เอช แอปทรูยู แอปทรูไอดี และ แอปทรูมันนี่ วอลเล็ท รวมทั้งช่องทางของซีพี ออลล์ ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา  ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจสัตว์บก บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ  กล่าวว่า  สถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลกระทบในวงกว้าง ซีพีเอฟจึงขอเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการคนไทยรักช้าง” ส่งมอบความช่วยเหลือ เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาของปางช้าง ควาญช้าง ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้ ทำให้ช้างขาดแคลนอาหาร โดยใช้ศักยภาพและประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ สนับสนุนอาหารช้าง จำนวน 60 ตัน  หรือ 60,000 กิโลกรัม ผ่านสมาคมสหพันธ์ช้างไทย  เพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี  ซึ่งอาหารช้างที่ส่งมอบในครั้งนี้  ผลิตโดยโรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จ.สระบุรี ของซีพีเอฟ ได้ปรับสายการผลิตเพื่อมาผลิตอาหารช้างเอราวัณ กระจายให้ปางช้าง กำหนดส่งมอบรวม 3 งวด งวดละ 20 ตัน เป็นอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการอาหารสัตว์ ทั้งโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ช่วยส่งเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี แข็งแรง เติบโตตามธรรมชาติ  สามารถกินควบคู่กับอาหารหยาบ เช่น กล้วย อ้อย หญ้า ซึ่งเป็นอาหารหลักของช้างได้ดี ช่วยบรรเทาปัญหาในภาวะขาดแคลนอาหารที่ใช้เลี้ยงช้างจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 

“ซีพีเอฟ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการคนไทยรักช้าง และมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระ บรรเทาปัญหาของปางช้าง ควาญช้าง และช่วยเหลือช้างที่ขาดแคลนอาหารในช่วงโควิด -19 ” นายสิริพงศ์กล่าว

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านการศึกษา บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู ในฐานะภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างคุณค่าแก่สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้นำศักยภาพนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ร่วมสนับสนุนโครงการ “คนไทยรักช้าง” โดยนำเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G สนับสนุนระบบสื่อสารในรถพยาบาลช้าง ที่จะส่งสัญญาณภาพความละเอียดสูงเพื่อช่วยให้สัตวแพทย์ สามารถติดตามอาการของช้างและแนะนำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบเรียลไทม์ผ่านกล้องมอนิเตอร์ที่ติดในรถ ในกรณีที่ต้องมีการส่งตัวช้างที่มีอาการป่วยหรือจำเป็นต้องขนย้ายไปจุดต่างๆ ให้กับคนที่ดูแลช้างหรือควาญช้างระหว่างการเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยให้การรักษาช้างทันท่วงทีมากขึ้น รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ Tracking เพื่อตรวจสอบเส้นทางรถพยาบาลซึ่งจะแสดงผลผ่านสมาร์ทโฟน 5G และคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังนำศักยภาพความเป็นสื่อมาช่วยผลิตสปอต พร้อมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในเครือ อาทิ TNN16 ทรูโฟร์ยู ทรูปลูกปัญญา ทรูวิชั่นส์ และสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังเปิดช่องทางรับบริจาคผ่านระบบทรูมูฟ เอช แอปทรูยู แอปทรูไอดี และ แอปทรูมันนี่ วอลเล็ท

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการบริการความสะดวกเป็นช่องทางในการรับบริจาคภายใต้แคมเปญ “ร่วมแบ่งมื้อให้ช้างพ้นโควิด” ในโครงการ “คนไทยรักช้าง” ผ่านช่องทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมาจนถึงวันที่31 ธันวาคม 2564 เพื่อนำไปช่วยเหลือช้างไทยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆตามความเหมาะสมเร่งด่วน เพื่อให้ช้างไทยก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปพร้อมกัน

ด้านนายธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีช้างเลี้ยงจำนวน ประมาณ 3,800 เชือก และเคยมีปางช้างก่อนวิกฤตโควิด-19 ถึง 250 ปาง ซึ่งก่อนหน้านี้ธุรกิจปางช้างถือเป็นหนึ่งในธุรกิจการท่องเที่ยวที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยนับหมื่นล้านบาทต่อปี  แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่อง  ส่งผลให้ช้างและควาญช้างตามปางช้างทั่วประเทศประสบปัญหาขาดรายได้ที่เคยได้รับจากนักท่องเที่ยว ทำให้ช้างเลี้ยงกว่า 3,000 เชือกขาดแคลนอาหาร ปางช้างส่วนใหญ่ปิดตัวลงชั่วคราว ช้างเป็นจำนวนมากตกงานและเคลื่อนย้ายออกจากปางเพื่อกลับถิ่นฐาน ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานระดมทุนบริจาคแต่ไม่เพียงพอ โดยแต่ละวันช้างเลี้ยงต้องการหญ้าและอาหารที่เหมาะสมอย่างน้อยวันละ10% ของน้ำหนักตัวหรือประมาณ 200-300 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน  มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 10,000-15,000 บาทต่อตัว  อย่างไรก็ตาม สมาคมสหพันธ์ช้างไทยและเครือข่ายได้ดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ควาญช้างและช้างด้วยการจัดส่งอาหารไปให้ช้างแล้วจำนวน 1,699 เชือก แต่ยังคงเหลือช้างเลี้ยงอีกจำนวนมากที่ยังต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นทางเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ เข้ามาร่วมให้การสนับสนุนอาหารเสริมสำหรับช้างและเปิดช่องทางรับบริจาคช่วยเหลือช้างในครั้งนี้ มีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤตที่ยังคงต่อเนื่องนี้ได้เป็นอย่างดี  ทางสมาคมฯ จึงขอเชิญชวนคนไทยร่วมด้วยช่วยกันในการช่วยเหลือช้างและปางช้างให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

สมาคมสหพันธ์ช้างไทยและเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอเชิญชวนให้คนไทยช่วยกันแบ่งปันคนละเล็กคนละน้อยเพื่อให้ช้างไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 โดยสามารถบริจาคเงินโดยตรงเข้าบัญชี สมาคมสหพันธ์ช้างไทยเพื่อคนไทยรักช้าง ธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกสนามบิน เชียงใหม่ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 092-1-98873-7 หรือ บริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถบริจาคผ่านระบบทรูมูฟ เอช โดยกด *948*1303*10# โทรออกเพื่อบริจาค10 บาท *948*1303*100# โทรออกเพื่อบริจาค 100 บาท ผ่านแอปทรูยู โดยใช้ 100 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 10 บาท 500 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 50 บาท และ 1,000 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 100 บาท ผ่านแอปทรูไอดี โดย สแกน QR Code  https://tmn.app.link/TEAA01 และผ่านแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยบริจาคได้ทุกเครือข่าย