“ตำลึง” ผักข้างรั้ว สุดเฮลท์ตี้ รักษาเบาหวาน

Health สุขภาพดีๆ

ตำลึง เป็นพืชเถาที่คนนิยมนำมาปรุงอาหาร ลวก ต้ม นึ่ง จิ้มน้ำพริก ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุคุณค่าทางโภชนาการของใบตำลึงและยอดอ่อนตำลึงปริมาณ 100 กรัม ไว้ว่าให้พลังงาน 39 กิโลแคลอรี, น้ำ 90.7 กรัม, โปรตีน 3.3 กรัม, ไขมัน 0.4 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม, ใยอาหาร 1.0 กรัม, แคลเซียม 126 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม, เบต้าแคโรทีน 5,190 ไมโครกรัม, วิตามินเอ 865 ไมโครกรัม, ไทอามีน 0.17 มิลลิกรัม, ไรโบฟลาวิน 0.13 มิลลิกรัม, ไนอะซิน 1.2 มิลลิกรัม, วิตามินซี 34 มิลลิกรัม

ลักษณะต้นตำลึง เป็นไม้ล้มลุกเช่นเดียวกับแตง น้ำเต้า ฟักข้าว ฟักแฟง ลำต้นเป็นเถาทอดเลื้อยไปตามดินและมีมือจับ (Tendril) คล้ายลวดสปริง เกาะปีนป่ายสิ่งที่อยู่ใกล้ เวลาถูกลมพัดจะแกว่งไกวไปมา ลำต้นอ่อนมีขนาดเล็กต้องอาศัยยึดเกาะไปอย่างนั้น แต่ถ้าปล่อยไว้หลายปี จะมีเถาที่โตขนาดข้อมือคนเราก็มี

ใบตำลึงรูปร่างคล้ายห้าเหลี่ยม มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีแฉกเว้าลึกมากเรียกว่า “ตำลึงตัวผู้” ส่วนใบที่ขอบใบไม่เว้าลึกเรียก “ตำลึงตัวเมีย”

ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามบริเวณซอกใบ ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น มีฐานดอกสีเขียวโตประมาณครึ่งนิ้ว ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก โคนดอกตัดกันเป็นกรวย กลีบดอกสีขาว ดอกตัวเมียมีรังไข่ ก้านดอกเป็นรูปคล้ายผลอ่อน สามารถนำมากินได้อร่อยด้วย

ผลสดสีเขียวประจุดขาว กลมรีคล้ายแตงไทย แตงกวา แต่เป็นผลเล็กๆ แก่มาจะมีสีส้มและแดงจัด นกชอบจิกกินแล้วไปถ่ายมูลทิ้งเกิดต้นใหม่ จึงพบต้นตำลึงอยู่ทั่วไป

ข้อมูลจาก “จุลสารข้อมูลสมุนไพร” โดยคุณอรัญญา ศรีบุศราคัม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงสรรพคุณของตำลึงไว้ว่า ในตำรายาพื้นบ้านของไทย มีการใช้รากตำลึงแก้ดวงตาเป็นฝ้า แก้โรคตา ดับพิษทั้งปวง แก้ไข้ทุกชนิด แก้เบาหวาน

ส่วนของต้นใช้กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้นใช้รักษาเบาหวาน ส่วนของใบใช้แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน และผลใช้แก้ฝีแดง ในอินเดียและ บังคลาเทศจะใช้ส่วนของรากและใบในการรักษาเบาหวาน

การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีพบว่า

ใบ ประกอบด้วย สารบีตาแคโรทีน, บีตาไซโตสเตอรอล (sitosterol), พอลิพรีนอล (polyprenol), วิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินเค 1, แทนนิน, โปรตีน, โปแตสเซียม

ผล ประกอบด้วย สารคิวเคอร์บิตาซิน บี (cucurbitacin B), บีตาแคโร-ทีน, ไลโคพีน (lycopene), คริพโตแซนทิน (cryptoxanthin), บีตาไซโตสเตอรอล, เดาโคสเตอรอล (daucosterol), ทาราซีโรน (taraxerone), ทาราซีรอล (taraxerol), ลูพีออล (lupeol), บีตาอะไมริน (amyrin), วิตามินซี, เส้นใย, โปรตีน และเพกติน (pectin)

 

ราก ประกอบด้วย สารคอกซินิโคไซด์ เค (coccinioside-K), ลูพีออล, บีตาอะไมริน, บีตาไซโตสเตอรอล

เมล็ด ประกอบด้วย กรดไขมัน ได้แก่ กรดปาล์มิติก, โอเลอิก (oleic acid), ลิโนเลอิก (linoleic)

จากสรรพคุณพื้นบ้านทั้งของไทยและต่างประเทศที่มีการใช้ตำลึงในการรักษาเบาหวาน มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มาสนับสนุนสรรพคุณในการรักษาเบาหวานของตำลึง โดยศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองปกติและที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน และมีการนำเกือบทุกส่วนของตำลึงมาใช้ในการศึกษา ได้แก่ ใบ ผล เถา ส่วนเหนือดิน และราก เป็นต้น

พบว่าตำลึงมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน โดยสารสกัดลำต้นตำลึงมีฤทธิ์กระตุ้นการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพิ่มระดับอินซูลิน ทำให้มีการสังเคราะห์ไกลโคเจนเพิ่มขึ้น และลดการเปลี่ยนไกลโคเจนมาเป็นกลูโคสเป็นผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้สารสกัดจากใบและส่วนเหนือดินยังมีผลในการ ลดไขมันด้วย

สำหรับการศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานระยะเริ่มต้น (ระดับน้ำตาลในเลือด 110-180 มก./ดล.) ซึ่งได้รับสารสกัดด้วย 50% แอลกอฮอล์จากใบและผล ขนาด 1 ก./วัน เป็นเวลา 90 วัน พบว่าผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (fasting blood glucose) และหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง (postprandial blood glucose) ลดลงร้อยละ 16 และ 18 ตามลำดับ และยังมีผลลดน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) แต่ไม่มีผลต่อระดับไขมันในเลือด และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานยาเม็ดผงแห้งจากใบตำลึง ครั้งละ 3 เม็ด (ไม่ระบุปริมาณผงแห้ง/เม็ด) วันละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ จากนั้นทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test) โดยให้กลูโคส 50 ก. วัดระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังทำการทดสอบ พบว่าผู้ป่วยมีความทนต่อกลูโคสดีขึ้น และไม่พบความผิดปกติของน้ำหนักตัว ค่าทางโลหิตวิทยา เอนไซม์แอสพาร์เทตทรานส์อะมิเนส (aspartate transaminase) อะลานีนทรานส์อะมิเนส (alanine transaminase) ยูเรีย และไตของผู้ป่วย

และในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานสารสกัดจากตำลึง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และตัวทำละลาย) ขนาด 500 มก./กก./วัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดมีผลลดระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสลายกลูโคส ได้แก่ กลูโคส-6-ฟอสฟาเตส (glucose-6-phosphatase) และแลกเตตดีไฮโดรจิเนส (lactate dehydrogenase) และเพิ่มระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายไขมัน คือ ลิโปโปรตีนไลเปส (lipoprotein lipase) แสดงว่าสารสกัดจากตำลึงทำหน้าที่คล้ายกับอินซูลินในยับยั้งการสร้างน้ำตาลและกระตุ้นการสลายไขมันซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยได้

การศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีที่รับประทานอาหารเช้าที่ประกอบด้วย ใบตำลึง 20 ก. ผสมกับมะพร้าวและเกลือ จากนั้นทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล โดยให้รับประทานกลูโคส 70 ก. และวัดระดับน้ำตาลในเลือด พบว่าใบตำลึงมีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครได้

ข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัย จะเห็นว่าตำลึงมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ และนับเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการที่จะนำมารักษาเบาหวาน แม้ว่ารายงานวิจัยในคนมีจำนวนไม่มากนัก แต่การใช้ในรูปแบบพื้นบ้าน และการรับประทานเป็นอาหาร อาจจะช่วยเสริมให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และที่แน่นอนก็คือ ได้รับประโยชน์จากสารอาหารต่างๆ ที่มีในตำลึงด้วยนั่นเอง

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์