DERMOND เปิดตัวบูติกแฟลกชิปโฉมใหม่ ณ สยามพารากอน พร้อมจัดงาน “Reimagine Luxury” ฉลอง 33 ปีแห่งความสำเร็จ ไฟน์จิวเวลรี่ฝีมือคนไทย ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และทรงคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น

DERMOND (เดอมอนด์) ผู้นำด้านการออกแบบไฟน์จิวเวลรี่สัญชาติไทยมากว่า 33 ปี นำโดยนาย สิรพัฐ พิพัฒน์วีรวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ จัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งครั้งสำคัญ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Reimagine Luxury ณ ลาน แฟชั่นฮอล์ ชั้น 1 สยาม พารากอน พร้อมเปิดบ้านต้อนรับคนรักงานไฟน์จิวเวลรี่ทุกท่าน สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับในพื้นที่โชว์รูมกว่า 200 ตารางเมตร อันแสดงถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะ Thai Global Fine Jewelry House อย่างแท้จริง

จากจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จในประเทศไทย เดอมอนด์ได้ผสานศาสตร์แห่ง “Diamond Mastery” เข้ากับ “Thai Craftsmanship” ได้อย่างกลมกลืน ผ่านการคัดสรรเพชรคุณภาพเหนือมาตรฐานสากล และการรังสรรค์ผลงานโดยช่างฝีมือผู้สืบทอดองค์ความรู้มากว่า 3 ทศวรรษ จนกลายเป็นเครื่องประดับที่เปี่ยมด้วยรายละเอียดอันประณีต สะท้อนรากเหง้าวัฒนธรรมไทยในมาตรฐานระดับโลก ตลอดกว่า 33 ปีที่ผ่านมา เดอมอนด์ได้รับความไว้วางใจอย่างมั่นคงจากผู้หลงใหลในไฟน์จิวเวลรี่ทั่วประเทศ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์ยังได้เริ่มก้าวสู่เวทีสากลอย่างสง่างาม โดยได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากทั้งลูกค้าระดับบนและพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย กาตาร์ คูเวต และบาห์เรน ที่ต่างชื่นชมในคุณภาพ ความประณีต และเอกลักษณ์ของแบรนด์ จนกลายเป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับเลือกให้นำเสนอในตลาดไฟน์จิวเวลรี่ของประเทศเหล่านั้น

เพื่อสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของ เดอมอนด์ บูติก แฟลกชิปสโตร์ โฉมใหม่ใจกลางเมือง ณ สยามพารากอน  ที่เหล่าคนรักงานไฟน์จิวเวลรี่ทั่วโลกต่างยกให้เป็นหมุดหมายชวนฝันแห่งใหม่ ในการเดินทางมาค้นพบถึง “ความหรูหรา” และ “อบอุ่น” ที่แตกต่างกว่าที่เคยภายใต้แนวคิดการออกแบบลักซ์ชูรี รีเทล Reimagine Timeless Luxury ในความหมายใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความงามของสุนทรียศาสตร์ แต่เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์แห่งความประทับใจ เชื่อมต่อความพิเศษร่วมไว้ด้วยกัน เสมือนได้ท่องงานศิลป์อันละเมียดผ่านการเจียระไน สื่อถึงความเป็น Craftsmanship ที่สะท้อนถึงพลังและความเชื่อของเฮาส์แบรนด์บนเส้นทางใหม่ที่มีลายเส้นแห่ง ดวงดาว เป็นแสงทองส่องนำทาง สะท้อนถึงสัญลักษณ์ของความหวัง ความฝัน และแรงบันดาลใจต่างๆ ที่สอดแทรกไว้ทุกอณู ณ บูติกโฉมใหม่แห่งนี้  ให้กับผู้คนได้เปิดเข้ามาสัมผัสชื่นชมความงดงามของไฟน์จิวเวลรี่ได้ทุกมุมมองอย่างชัดเจน ผ่าน 3 โซนหลัก เริ่มด้วย         

Bridal Zone

มุมที่สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกของคู่รัก ถ่ายทอดความอบอุ่นและงดงามของแหวนหมั้นเพชรน้ำงามคุณภาพสูง และดีไซน์ตัวเรือนที่หลากหลายแบบไร้รอยต่ออันเป็นเอกลักษณ์ของการผลิตคุณภาพสูงเช่นเดียวกับ High Jewelry ทั้งแบบเรียบง่ายหรือหรูหราให้ลองสัมผัส เพราะ DERMOND เชื่อว่าความแตกต่างในความต้องการของลูกค้าทุกคู่ คือ สิ่งที่เราใส่ใจนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์แต่คงไว้ซึ่งความหมายส่วนตัวที่สัมผัสได้ด้วยใจของผู้ครอบครองในวันสำคัญ

Classic Zone

ไม่ว่าจะเป็นเทนนิสเบรซเลต หรือต่างหูเพชรเม็ดเดี่ยว ทุกชิ้นได้รับการคัดเลือกเพชรคุณภาพสูง ประกอบขึ้นด้วยความประณีตและนวัตกรรมอันแม่นยำ พร้อมฟังก์ชั่นที่ช่วยทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกมั่นใจผ่านการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทุกชิ้นถ่ายทอดเทคนิคการผลิตแบบพิเศษผ่านความชำนาญและใส่ใจในงานดีไซน์ ตอบรับการสวมใส่ในโอกาสที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน  แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งการครอบครองผ่านการผสานอดีตสู่ปัจจุบัน และพร้อมส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างงดงาม

Collection Zone

มุมแสดงชิ้นงานออกแบบซิกเนเจอร์ของแบรนด์ DERMOND เริ่มต้นด้วย Absolute Deco คอลเลกชันที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยงานฝีมือเชิงศิลป์ขั้นสูงโดยช่างฝีมือชำนาญการกว่า 33 ปี ที่สะท้อนถึงศิลปะในยุค Art Deco โดยตัวผลงานสะท้อนถึงความหรูหราผ่านเส้นโค้งที่อ่อนช้อยอันเฉียบคมแสดงถึงรายละเอียด ความวิจิตร ที่ได้รับการต้อนรับอย่างสูงต่อเนื่องมาในปัจจุบัน จนถึง Chic Collection ที่ได้นำมา Relaunch และเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการในงาน Reimagine luxury นี้ ซึ่งในคอลเลคชั่นนี้เอง ดีไซน์เนอร์ได้ให้นิยามว่า Stylish, Elegant and Unconventional ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคาแรคเตอร์ของแบรนด์ ในการสร้างสรรค์เครื่องประดับอย่างเรียบง่าย แต่แตกต่างอย่างแยบยล และถ่ายทอดแนวคิดใหม่ของเครื่องประดับเพชรที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความหรูหรา แต่คือการเผยตัวตนผ่านดีไซน์เรียบง่าย เท่ ฉีกการออกแบบ และการใส่เครื่องเพชร แบบไม่มีข้อจำกัด ทุกองค์ประกอบถูกสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน พร้อมดีเทลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคอลเลคชั่น Chic คอลเลคชั่นนี้จึงเป็นมากกว่าคอลเลกชันเครื่องประดับ แต่คือปรัชญาความงามรูปแบบใหม่ที่แสดงถึงความงดงามอย่างมีคาแรคเตอร์

โดยในค่ำคืนสุดพิเศษนี้ เดอมอนด์ ได้เนรมิตพื้นที่ลานแฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน บริเวณชั้น 1 ระหว่างวันที่ 3 – 6 กรกฏาคม 2568 ชวนทุกคนร่วมฉลองโอกาสสุดพิเศษภายใต้คอนเซปต์ Reimagine Luxury งานที่จะพาทุกคนก้าวข้ามกรอบเดิมๆ ของคำว่าหรูหรา สู่การตีความใหม่ โดยพื้นที่ในงานถูกเนรมิตรให้มีความสดใสดั่งสวนดอกไม้อันรื่นรมย์ ล้อไปกับแสงทองอันสดใสแห่งฤดูร้อน ที่ช่วยให้บรรยากาศภายในงานดูผ่อนคลายเป็นกันเองและอบอุ่น พร้อมด้วยเหล่าเซเลบริตี้อีกคับคั่ง อาทิ ณัชชา เตชะหรูวิจิตร, ศศิวัลย์ เอี่ยมลำเนา, ณิชชา บุณยากร, สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ ภิญญาดา จันทร์แจ่มจรูญ, ธัญวรรณ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, นวดี โมกขะเวส, แสงแข เหมกมลเศรษฐ์  พร้อมรับชมแฟชั่นโชว์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากเหล่านางแบบและแขกรับเชิญคนสำคัญ นัทตี้ – นันทนัท ฐกัดกุล, จีน่า – ญีนา ซาลาส, พีพี – ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ เพิ่มความสดใสให้กับผู้ร่วมงาน พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่ Generation to Generations ถ่ายทอดเรื่องราวเครื่องประดับชิ้นโปรด ที่ถ่ายทอดมรดกที่มีทั้งมูลค่าและคุณค่าทางใจ และโดยงานนี้ยังได้รับเกียรติจาก Helena Rubinstein แบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางชั้นสูงให้ความพิเศษกับลูกค้าของ เดอมอนด์ ทุกท่าน

เชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์การสวมใส่ไฟน์จิวเวลรี่ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย สะท้อนความงดงามของคุณไปกับ เดอมอนด์ บูติกแฟลกชิปสโตร์โฉมใหม่ ณ สยามพารากอน ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บริเวณชั้น 1 ฝั่งนอร์ทโซน

AVALON แบรนด์จิวเวลรี่ได้จัดทำ เข็มกลัดที่ระลึก “ม่วงประกายพรึก” ประดับพลอยอเมทิสต์ เป็นเข็มกลัดที่ระลึก เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในปีพ.ศ. ๒๕๖๗

เข็มกลัดที่ระลึกคอลเล็คชั่นพิเศษ “ม่วงประกายพรึก” ประดับพลอยอเมทิสต์จาก AVALON JEWELRY คือ การรวมเอาความหมายที่ลึกซึ้งและความงดงามเข้าด้วยกัน เป็นเครื่องประดับที่สมบูรณ์แบบ สำหรับผู้ที่ต้องการแสดงออกถึงความเป็นผู้นํา ปัญญาและความสง่างาม

มงกุฎ – สื่อความเป็นผู้นำ มีเมตตาและความเสียสละ
อเมทิสต์ – สื่อถึงปัญญาและความสงบสุข เป็นสัญญลักษณ์ของการทำดีและการเสียสละเพื่อผู้อื่น
สีม่วง – เป็นสีมงคลและเกียรติยศ สื่อถึงความสูงส่งและเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่

สูง ๖.๕ เซนติเมตร กว้าง ๒.๐ เซนติเมตร มี ๓ รุ่น คือ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้ออัลลอยด์

๑. เนื้อทองคำ ประดับพลอยอเมทิสแท้ จำนวน ๒๐ ชิ้น ราคาขายชิ้นละ ๑๙,๙๙๙ บาท
๒. เนื้อเงิน ประดับพลอยอเมทิสแท้ จำนวน ๑๐๐ ชิ้น ราคาขายชิ้นละ ๑,๙๙๙ บาท
๓. เนื้ออัลลอยด์ ประดับพลอยอเมทิสแท้ จำนวน ๑,๐๐๐ ชิ้น ราคาขายชิ้นละ ๙๙๙ บาท
รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่าย จะมอบสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AVALON JEWELRY
โทร 097-102-8171, 084-360-0625, 085-219-0888, 02-222-9775
Facebook : AVALON JEWELRY
www.avalonjewel.com

เรื่อง-ภาพ ภัทรสุดา พิบูลย์

ยุคนี้เป็นยุคหนึ่งที่เรียกได้ว่า “คนรุ่นใหม่” อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยความสนใจด้านธุรกิจ หรือแม้แต่การอยากถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปก็ตาม

หนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจคือ “อิง-ยลวารี สัตยนาวิน” เจ้าของแบรนด์ “YOLWAREE” (ยลวารี) ผู้เข้าร่วมประกวดโครงการ Talent Thai & Designers’ Room โครงการเฟ้นหาดีไซเนอร์ไทยผู้มีงานดีไซน์ที่โดดเด่นของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเธอได้รังสรรค์ไอเดียผลงานผ่านเครื่องประดับ “จิวเวลรี่” จนกลายเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยม

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า ก่อนหน้านั้น สอบตรงติดคณะบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อยากลองหาอะไรทำ ด้วยความที่ชอบจิวเวลรี่อยู่แล้ว เลยใช้เวลาว่างในการออกแบบจิวเวลรี่ แม้ไม่ได้มีทักษะทางด้านนี้เลย แต่เพราะความชอบก็เลยลองเขียนแบบขึ้นมา และทำขายในชื่อแบรนด์ “Haus of Jewelry” ผลที่ตอบรับกลับมาช่วงนั้นเป็นอะไรที่ได้กำไรมาก จากนั้นจึงนำเงินก้อนมาทำเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ในแบรนด์ “YOWAREE”

“ชื่อแบรนด์ YOLWAREE (ยลวารี) มาจากชื่อของตัวเอง ที่แปลว่า มองดูสายน้ำ สำหรับคอเล็คชั่นล่าสุดนี้อยากให้สินค้าสอดคล้องกับชื่อแบรนด์ จึงตั้งคอนเซ็ปต์ว่า วารี โดยดีไซน์จะเป็นแนววินเทจโมเดิร์น คือสวนงามแบบไม่ตกยุค”

อิง-ยลวารี บอกอีกว่า ในคอลเล็คชั่นวารีจะมีต่างหูห่วงและแหวน โดยเพชรทั้งหมดที่นำมาประดับผลงานจะเป็นสเต็ปคัต ทำให้ได้ชิ้นงานที่เหมือนเส้นของสายน้ำลึก สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ ทั้งนี้ ผลงานแต่ละชิ้นจะมีความวินเทจโมเดิร์น เป็นไอเท็มคลาสสิกที่ใส่ได้ตลอดกาล เพื่อความเก๋ในสไตล์วารี

อิง-ยลวารี สัตยนาวัน

“การผลิตของเราอย่างแรกจะเริ่มหาแรงบันดาลใจ ขั้นตอนต่อไปทำการร่างแบบ และใส่ทรีดี หรือสามมิติ จากนั้นนำมาแว็กซ์ และขึ้นตัวแม่พิมพ์หลัก แล้วทำการผลิตออกมา ซึ่งเรามีโรงงานผลิตอีกที วัตถุดิบที่ใช้ก็จะเป็นหินสีแสด ชุบเงินกับทองคำแท้”

ด้านกลุ่มลูกค้าของแบรนด์มีหลากหลายช่วงวัย แต่ที่นิยมมากสุดเป็นผู้หญิงช่วงวัยทำงาน อายุ 25-40 ปี เพราะราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้น 3,000 บาท จนถึง 12,000 บาท เป็นงานเงินแท้ ชุบทองและทองคำขาว

และมีอีกแบรนด์ที่ชื่อว่า “Haus of Jewelry” (เฮาส์ ซับ จิวเวลลี่) เป็นแบรนด์ที่เด็กกว่า ส่วนใหญ่จะอายุ 18-35 ปี เป็นงานเงินแท้ที่เอาใจวัยรุ่น ชวนใส่ง่าย เหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวัน

“ปัจุบันเรายังไม่ได้ส่งออกนอกประเทศ เพียงแต่เปิดเป็นบูธไปกับทางกรมฯ ที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว และก็อยู่กับกรมฯมาตลอด นอกจากนี้ยังเคยออกงานเจมส์แอนด์จิวเวลรี่ซ้อนกัน 3 ปี และออกงานไทยสไตล์ ที่ไบเทคบางนามา 3 ปีแล้วเช่นกัน”

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์ คือต้องเริ่มจากสิ่งที่เรารัก ถ้าไม่เริ่มจากสิ่งที่เรารัก ก็จะไม่ออกมาเป็นตัวตนของเรา ทุกอย่างก็จะไม่เต็มที่กับมัน

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างนักธุรกิจดีไซเนอร์ ที่นำสไตล์ความเป็นตัวเอง ผ่านผลงานศิลปะ แม้จะไม่เคยมีทักษะทางด้านการออกแบบจิวเวลลี่ แต่ความชอบและมุ่งมั่นก็สามารถนำเธอประสบความเร็จในด้านธุรกิจได้