เทวิกา จิวเวลรี่ แก้ Pain Point ธุรกิจ ทำเครื่องประดับให้เป็นแฟชั่นสวมใส่ได้ทุกวัน
เพิ่มแวลูสินค้าปั๊มยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

เทวิกา จิวเวลรี่ ผู้ผลิตเครื่องประดับเพชรพลอย ชื่อดังของจันทบุรี แก้ Pain Point ของธุรกิจทำเครื่องประดับให้เป็นแฟชั่นสวมใส่ได้ทุกวัน ข้ามเส้นเรื่องของอายุ เพิ่มแวลูสินค้า ดันยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมร่วมงาน JGAB 2024 ดันธุรกิจเติบโตเพิ่ม

นางวันเพ็ญ มณีเวศย์วโรดม กล่าวว่า เรามีความชำนาญด้านพลอยมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่จะเป็นการคัดแยกพลอย เดินพลอย ส่งพลอยเข้าโรงงาน จนกระทั่งแต่งงานเราก็ยังคงทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลอยทั้งสิ้น ในเวลาต่อมาไม่นานได้เห็นโอกาสในการขายใหม่ เป็นการนำพลอยมาลงตัวเรือน ต่อมาเราจึงทดลองทำตัวเรือนทองใส่พลอยเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ด้วยความที่เราเป็นผู้ผลิตพลอยเอง เราจึงมีข้อได้เปรียบหลายๆ อย่าง พอนำมาออกมาขายก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกๆ ของจันทบุรีที่ทำตัวเรือนพลอยขายทั่วร้านทองในจังหวัด และส่งออกไปขายที่กรุงเทพฯ ด้วยตอนทำตัวเรือนทอง และตัวเรือนเงินมาใส่เพชรและพลอยขาย ตอนนั้นเราก็คิดแบบง่ายๆ ไม่เอากำไรมาก แต่เน้นขายได้เยอะ และที่สำคัญเราเด่นเรื่องการดีไซน์ ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น ต่อมาไม่นานคุณเทวิกา ก็มาช่วยเราสร้างแบรนด์นำสินค้าของเราไปลงนิตยสารต่างๆ จนเป็นที่รู้จัก และจุดเปลี่ยนที่สำคัญๆ เลยคือ การไปออกบูธงานแฟร์ต่างๆ ทำให้เรารู้เลยว่าที่ผ่านมาโลกของเรายังไม่กว้างพอ และไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เครื่องประดับจากเทวิกาได้รับความนิยมจากลูกค้า ส่วนหนึ่งเราเห็นPain Point สำคัญของธุรกิจเครื่องประดับ คนส่วนใหญ่อยากใส่เครื่องประดัับทั้งนั้นไม่ได้เกี่ยงว่าราคาจะมากน้อยแค่ไหน แต่ที่ไม่อยากใส่กันเพราะทำให้ดูมีอายุ หรือทำให้ดูแก่ เราจึงพัฒนาดีไซน์เครื่องประดับพลอยของเราให้ดูทันสมัย ให้เป็นแฟชั่น สวมใส่ได้ทุกวัน

นางสาว ณัฐชยา มณีเวศย์วโรดม กล่าวต่อว่า สำหรับ เทวิกา ถือว่าการออกงานแฟร์ช่วยขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้เราได้เป็นอย่างดี ก่อนเกิดโควิดที่เราไปออกงานแฟร์นั้น เครื่องประดับของเราขายดีมากๆ แค่ไม่กี่วันก็หมด เรียกได้ว่าเอาไปเท่าไรก็ไม่เคยเหลือกลับมา บางครั้งต้องกลับมาเอาสินค้าเพิ่มก็มี โดยลูกค้าที่ชื่นชอบเครื่องประดับจากเทวิกาได้แก่ บราซิล สหรัฐฯ อเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย ฝรั่งเศส จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา แต่พอมีวิฤกตโควิดทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศไปร่วมงานแฟร์ได้ ยอดขายของเราก็ค่อยๆ ดร็อปลง เรียกได้ว่ากระทบจน

เกือบจะต้องเลิกกิจการ แต่เราก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการทำการตลาดออนไลน์ เปิดขายเครื่องประดับผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จนทำให้ยอดขายเราเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิม

“พอขายออนไลน์ดีขึ้น เราจึงเริ่มคิดว่าควรมีหน้าร้าน เพราะลูกค้าสอบถามเข้ามาว่ามีหน้าร้านไหมอยากเข้ามาดูสินค้า เพราะเครื่องประดับเราราคา 50,000-60,000 บาท เขาก็อยากจะมาสัมผัสชิ้นงานจริง เราจึงพัฒนาเปิดเป็น Jewelry Cafe เพื่อให้ลูกค้ามาเข้าสัมผัสเครื่องประดับอัญมณีพลอยแท้ด้วยตัวเอง”

สำหรับงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok หรือ JGAB 2024 ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-4 พ.ค. 67
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  เป็นงานระดับนานาชาติ ที่รวบรวมผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำจากทั้งในประเทศและต่างประเทศมารวมตัวกัน ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่จะทำให้เราได้รับประสบการณ์ดี ๆ ทั้งด้านแรงบันดาลใจ ได้พูดคุยเจรจาธุรกิจและได้รับความรู้ เทรนด์ใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลก เทวิกา จิวเวลรี่ ได้เข้าร่วมงานด้วยนั้นเรามั่นใจว่าจะช่วยทำให้นานาชาติรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้นและได้โชว์งานเครื่องประดับพลอยงานฝีมือดีๆ จากช่างฝีมือจันทบุรีที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้อีกด้วย

สนใจเข้าชม หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jewellerygemaseanbkk.com และร่วมติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดของงานได้ทาง Facebook และ Instagram /JGABThailand

เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว หลายคนก็อยากจะเปลี่ยนลุครับซัมเมอร์บ้าง ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล แบรนด์ผู้นำด้านการดูแลเส้นผมและแฟชั่นสีผมระดับโลก เลยได้แนะนำเทรนด์สีผมใหม่ ที่มาแรงรับปี 2020 อย่าง “พาสเทล แอช” ที่เป็นการมิกซ์ผสมระหว่าง สีโทนแอชหรือสีโทนหม่น และพาสเทล ให้สวยๆ เท่ๆ ช่วยเสริมลุคได้ทั้งชายและหญิง

เริ่มจาก สีพาสเทลแอช “ซิลเวอร์ มูน” ที่กำลังอินเทรนด์ที่ไทยอยู่ขณะนี้ เป็นสีมิกซ์ระหว่างสีพาสเทลประกายแอช ประกายหม่น และสีพาสเทลประกายม่วง เกิดเป็นสีผมแบบทรานซ์ลูเซนท์ โทนสีเทาเงินซอฟต์ๆ ประกายม่วงเบาๆ ดูธรรมชาติ เหมาะกับคนผิวขาวเป็นพิเศษ ช่วยขับสีผิวให้ดูมีออร่า เหมาะกับคนต้องการลุคเท่ๆ คูลๆ ไม่ซ้ำใคร

สีพาสเทลแอช “นู้ด เบจ” ได้รับความนิยมในเกาหลีและญี่ปุ่น นำเอาสีพาสเทลประกายแอช และประกายเบจ มามิกซ์รวมกัน ให้ผลลัพธ์ประกายสีผม โทนสีเบจซอฟต์ๆ ติดประกายเทาเบาๆ เข้าได้กับทุกสีผิว ให้ดูดีมีออร่า สไตล์เกาหลี มีเสน่ห์น่าค้นหา

สีพาสเทลแอช “แคนดี้ พิ้งค์” สำหรับโทนสีชมพู เป็นอีกสีหนึ่งที่ยอดนิยมของคนไทย ลุคนี้เรียกได้ว่าเป็นโทนสีแฟชั่น เกิดจากการผสมผสานการใช้สีแบบทูโทน ในการครีเอทลุค ระหว่างสีพาสเทลประกายแอช ประกายหม่น ประกายชมพู เป็นสีน้ำตาลแฟชั่นใหม่ ติดประกายสีชมพูแบบซอฟต์ๆ เหมาะกับสีผิวคนเอเชีย ช่วยเพิ่มความร่าเริ่ง สดใส มีชีวิตชีวา สะท้อนความเป็นตัวตนของตัวเอง สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้

และสีพาสเทลแอช “มิ้นท์ ซิลเวอร์” โทนสีผมประกายหม่น อีกหนึ่งสีฮิตของคนไทย ลุคสีผมแฟชั่น เกิดจากเทคนิคการใช้สีแบบทูโทน ระหว่างสีพาสเทลประกายแอช/ประกายหม่น และประกายเขียว เป็นสีผมแฟชั่นพาสเทลโทนเย็น เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผลลัพธ์สีผมติดแดงติดส้ม ให้ลุคเรียบหรู ดูแพง มีเสน่ห์น่าค้นหา เป็นสีผมแฟชั่นที่ทำแล้วสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ง่าย

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวันหน้า 17                                                                                                                                                                                                                                                                      เผยแพร่ : วันที่ 20 มีนาคม 2563

หากกล่าวคำว่า “ออริกามิ” (Origami) เชื่อว่าหลายๆ อาจจะคุ้นหูกันบ้าง เพราะคือศิลปะการพับกระดาษของญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของกระเป๋าที่สามารถพับได้หลายรูปแบบของแบรนด์ ฮานะ-ฟู (Hanaa-fu) ซึ่งมีคอนเซ็ปต์ว่าเป็นกระเป๋าแห่งอนาคตที่มาพร้อมความสนุกและมัลติฟังก์ชั่น ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถือผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่มีความเรียบหรู สะดุดตา และมีสีสันน่าดึงดูด ทั้งยังแมตช์ได้กับทุกไลฟ์สไตล์ตั้งแต่ลักชัวรี ไปจนถึงสายสตรีทแฟชั่น โดยแต่ละรุ่นจะมีความหลากหลายในการพับ สามารถใช้งานได้ถึง 6 แบบ 6 สไตล์ ทั้งยังคงทนด้วยวัสดุแบบไมโครไฟเบอร์และหนังแท้ และเพื่อตอบรับเทรนด์ปี 2020 ต้องไม่พลาดกับโทนสีสุดจี๊ด อาทิ สีเขียวมิ้นต์ สีม่วง สีน้ำเงิน และสีเหลืองขมิ้น

สนุกไปกับการถือกระเป๋า

ที่มา : มติชนออนไลน์

สําหรับผู้หญิงแล้ว แค่ติดตามแฟชั่นเสื้อผ้า ทรงผม ดูจะไม่พอ แต่เรื่องของ “เมกอัพ” ก็เป็นสิ่งที่ต้องคอยอัพเดตไม่ให้ตกเทรนด์อยู่เหมือนกัน เพื่อให้สวยดูดีเป็นองค์รวม

บีชู รันเวย์ จัดเวิร์กช็อป “บีชู เพอร์เฟกต์ ลุค” อัพเดตเทรนด์แต่งหน้า ทำผม ปี 2020 ดึงเมกอัพอาร์ติสแนวหน้าเมืองไทย ชาติ-นพกร เพชรล้ำ หรือ Chartmakeup และแฮร์สไตล์ลิสชื่อดัง ต้า-ศิริศักดิ์ โพธิ์ชัยรัตน์ มาแนะนำเทคนิคการแต่งหน้า ทำผม ที่โชว์รูม “บีชู รันเวย์” สาขาสยามสแควร์ ซอย 3

ชาติ-นพกร เผยว่า การแต่งหน้างานกลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเผยผิวให้ดูสุภาพดี พื้นฐานต้องมาจากการบำรุงผิวหน้าให้สุขภาพดีอย่างสม่ำเสมอ ก่อนแต่งหน้าควรมาส์กหน้าทิ้งไว้สัก 15 นาที จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รองพื้นติดทน หากมีปัญหาผิวอย่างรูขุมขนกว้าง ก่อนลงรองพื้นควรลงไพรเมอร์ก่อนเพื่อปกปิดรูขุมขนให้ดูตื้นขึ้น หากมีสิวที่แห้งแล้วก็ใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดได้

สำหรับคนพักผ่อนน้อยที่เจอปัญหารองพื้นไม่ติดหน้า เมื่อมาส์กหน้าเสร็จแล้วควรใช้รองพื้นเนื้อแมตต์ เพราะหากเป็นแบบฉ่ำวาวจะยิ่งไม่ติด หากเป็นงานกลางวันเน้นเป็นสีแนว

เอิร์ธโทน ส่วนงานกลางคืนก็อาจจะเลือกโทนเข้มขึ้นมาหน่อย เพิ่มการติดขนตา ลงกลิตเตอร์ที่เปลือกตา เฉดดิ้งกรอบหน้าให้ชัด

“เทรนด์เมกอัพเด่นปี 2020 ยังนิยมการเขียนคิ้วแบบฟุ้งๆ เน้นเขียนเส้นคิ้วให้คมชัด ส่วนการแต่งตาก็มีการเพิ่มกลิตเตอร์เข้ามาให้ดูสนุกขึ้น พวงแก้มจะเป็นโทนสีส้มแบบลุคธรรมชาติ ส่วนการทาลิปสติกจะไม่เน้นการทาขอบปากมาก เทรนด์จะเป็นการทาแบบเลยปากนิดๆ ให้ปากดูอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ” ชาติเผย

ด้าน แฮร์สไตล์ลิส ต้า-ศิริศักดิ์ เผยว่า สิ่งสำคัญของการทำผม ต้องดูภาพรวมของลุคและบุคลิกก่อน เพราะต้องมั่นใจกับทรงผม หากเป็นงานกลางวันก็ได้ทั้งม้วนวอลุ่มเบาๆ หรือรวบขึ้นหลวมๆ ทำเส้นฟุ้งให้ดูธรรมชาติ เมื่อไปงานกลางคืนก็อาจรวบตึง หรือรวบหลวมแบบมีเส้นฟุ้ง หากอยากได้ลุคที่ดูหวานอาจจะเริ่มไดร์ตรงก่อน หรือม้วนปลายให้มีวอลุ่ม

ที่นิยมอีกลุคคือ เวท ลุค ไดร์ตรงแล้วปาดขึ้นเลย อาจใช้แวกซ์จัดทรง อีกหนึ่งทรงที่ง่ายสำหรับผู้หญิงผมยาว คือรวบตึง แต่ถ้าผมบางไม่แนะนำให้เสยผมขึ้น ควรปล่อยตรงแล้วแสกกลางหรือข้างดีกว่า เพราะหากเสยจะทำให้เห็นหนังศีรษะชัด

ที่มา : มติชนออนไลน์

นพกร เพชรล้ำ, ศิริศักดิ์ โพธิ์ชัยรัตน์
บรรยากาศการเวิร์คช็อป
ลุคออกงานกลางคืนสไตล์สาวเซ็กซี่อย่างมีระดับ และลุคออกงานกลางวันสไตล์สาวหวาน
ลุคออกงานกลางคืนสไตล์สาวอินเตอร์
ลุคออกงานกลางวันสไตล์สาวสดใส

ตื่นเต้นไม่แพ้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็บรรดา “เพื่อนเจ้าสาว” นี่แหละ “บีชู รันเวย์” แหล่งรวมแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ   จัดเวิร์กช็อปร่วมกับกูรูแฟชั่นชื่อดัง กานดา สายทุ้ม มาแนะนำเคล็ดลับเทคนิคการเลือกชุดไปงานแต่งให้ดูดีอย่างมีสไตล์

กานดาเผยว่า สาวๆ ที่ต้องเตรียมตัวเป็น “เพื่อนเจ้าสาว” ต้องเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและผิวพรรณไม่ต่างจากคู่บ่าวสาว เพื่อให้สวมชุดสวยได้อย่างมั่นใจ

สำหรับทริคการเลือกชุดไปงานแต่งของ “สาวๆ ที่มีหน้าท้อง” อาจจะหาคอร์เซ็ตใส่ไว้ข้างในเพื่อเป็นการกระชับทรงสร้างความมั่นใจ และชุดที่เลือกควรมีดีเทลที่เน้นเข้ารูปช่วงเอว

เจนธิรา อรรถสกุลชัย, นัยนชนก ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา
กานดา สายทุ้ม

เพื่อโชว์รูปร่างที่ดูดี ส่วน “ผู้หญิงหุ่นลูกแพร์” ควรเลือกใส่ชุดพอดีตัว เน้นสร้างสมดุลของรูปร่างช่วงบนและช่วงล่างของลำตัว เช่น เดรสปล่อยชายพลิ้วช่วยอำพรางช่วงล่างให้ดูเล็กลง และ “ผู้หญิงที่ไม่มั่นใจช่วงต้นแขน” ก็อาจจะเลือกเป็นชุดเดรสเปิดไหล่แบบมีแขนก็ได้ ส่วน “คนไม่มั่นใจในเรียวขา” สามารถเลือกเป็นชุดเดรสยาวแต่อาจจะที่มีดีไซน์ช่วงบนเป็นสายเดียวหรือเปิดไหล่ เพราะหากใส่ชุดเดรสที่ปิดมิดชิดทั้งตัวจะทำให้รูปร่างของเราดูใหญ่ขึ้น

กูรูแฟชั่นแนะนำ 6 ลุค ใส่ไปร่วมงานแต่ง ดังนี้

“ชุดเดรสสายเดี่ยวผ้าลูกไม้สไตล์คลาสสิก” เหมาะกับงานกลางวันรูปแบบงานจัดในสวนดอกไม้

“ชุดสูทผ้าทวีต” เหมาะกับงานกลางวันที่เน้นความเป็นทางการ มีบุคลิกทะมัดทะแมง ซึ่งเป็นการผสมผสานงานดีไซน์ทั้งสวยและเท่เอาไว้ได้อย่างลงตัว

“ชุดเดรสยาวปักประดับเลื่อม” ให้ลุคที่เป็นทางการ เหมาะสำหรับงานกลางคืน

“เดรสสั้นปักประดับเลื่อมเข้ารูป” ยังเหมาะกับคนที่ต้องการลุคที่ดูเซ็กซี่ เหมาะใส่ในงานกลางคืนหรืออาฟเตอร์ปาร์ตี้ เน้นความหรูหราดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก

“ชุดเดรสลายดอกไม้คอวี” มีลูกเล่นโดยการเว้าช่วงเอว เผยให้เห็นผิวพรรณและสัดส่วนของผู้หญิงได้ชัดเจน ด้วยลักษณะของเนื้อผ้าที่เป็นผ้าซิลค์พิมพ์ลายดอกไม้ทำให้ลุคดูมีความโมเดิร์น จึงเหมาะกับงานกลางคืนในโรงแรมหรู และเหมาะกับสาวๆ ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง

“ชุดเดรสสีแดงเรียบโก้สำหรับงานกลางคืน” เหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการให้ลุคที่ดูทางการและดูโตเป็นผู้ใหญ่ แสดงออกถึงความมั่นอกมั่นใจจากเฉดสีแดง

ที่มา : มติชนรายวันหน้า 18

สัมผัสประสบการณ์การชมแฟชั่นโชว์อันแสนน่าประทับใจพร้อมจิบน้ำชายามบ่ายแสนหอมกรุ่นที่สร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษจากความงดงามของเครื่องประดับแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี ‘มิสซิส’ (MISIS) โดย ดร. ฐิติพร สถาวรมณี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซตเต้ เพคคาติ จำกัด มัลติแบรนด์สโตร์ชั้นนำผู้นำเข้าเครื่องประดับดีไซน์เก๋จากประเทศอิตาลีแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ได้จัดงาน “มิสซิส เจ็ม ออฟ เดอะ ซี” (MISIS Gems of the Sea) เปิดประสบการณ์การชมจิวเวลรี่อย่างเหนือระดับกับแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นล่าสุดจากแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ที่สร้างสรรค์แรงบันดาลใจในการออกแบบจากความงดงามใต้ท้องทะเล พร้อมสะท้อนเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้านงานดีไซน์รูปแบบใหม่ผ่านการรังสรรค์ชุดน้ำชายามบ่ายรสเลิศทั้งเมนูคาวหวานโดยเชฟมากฝีมือจากโรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ที่บริเวณเซนต์ รีจิส บาร์ ชั้น 12 เมื่อบ่ายวันก่อน

โดยงานครั้งนี้ถือว่ามีความเอ็กซ์คลูซีฟเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจาก มร.โลเรนโซ กาลันตี (Mr. Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทยเข้าร่วมงาน พร้อมกันนั้นยังมีไฮไลท์พิเศษจากดีไซน์เนอร์สาวมากฝีมือ กรัชเพชร อิสสระ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์แบรนด์เสื้อผ้า ‘เข็มอิสสระ’ (KEMISSARA) มาร่วมสร้างความน่าประทับใจให้กับโชว์ด้วยการรังสรรค์ชุดสวยเพื่อนำเสนอคอลเลกชั่นของ ‘มิสซิส’ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติ

จากเหล่าสาวสวยเซเลบริตี้แถวหน้ามาร่วมสร้างสีสันเป็นนางแบบถ่ายทอดความงดงามของเครื่องประดับ อาทิ หม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล, ปาวา นาคาศัย, เขริกา โชติวิจิตร,          สรัย วัชรพล, ภิรญา สิงหะ, นิโคล กิตติวัฒน์, วีรานันท์ สดากรวงศ์วัชร์, ภัทรศยา ยงรัตนมงคล และมาลินี โคทส์

และยังมีเหล่าแฟนคลับแบรนด์ที่ตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อยลโฉมกับความอลังการของแฟชั่นโชว์พร้อมดื่มด่ำการลิ้มรสชุดน้ำชายามบ่ายชั้นเลิศอย่างคับคั่ง อาทิ จริยดี สเปนเซอร์, กรกนก        ยงสกุล, พลอย จริยะเวช, ยุวเรต ศรุตานนท์, เมลนีย์ อยู่วิทยา, ชวมณฑ์-ภณภิสา ปวโรดม, รัสวดี ควรทรงธรรม, นวดี โมกขะเวส, ปรมา ไรวา, มธุนาฏ ซอโสตถิกุล, จุฬาลักษณ์  ปิยะสมบัติกุล, พลอย ปิ่นแสง, ญาณินท์ วีระไวทยะ, ยลวารี สัตยนาวิน, ภิพัชรา แก้วจินดา, สรัญรัชต์ สุทธินาค และอีกมากมาย

‘มิสซิส’ (MISIS) แบรนด์เครื่องประดับจากเมืองวิเซนซ่า (Vicenza) ประเทศอิตาลี ที่ก่อตั้งขึ้นปีค.ศ.1986 โดย ‘อัลแบร์โต้ เปียสเซริโก’ (Alberto Piaserico) ซึ่งได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในแวดวงเครื่องประดับ ที่ครองใจหญิงสาวมาแล้วทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์การออกแบบอันโดดเด่นที่เต็มไปด้วยจินตนาการและไอเดียอันสดใหม่ มีความทันสมัยสอดคล้องกับเทรนด์แฟชั่นในแต่ละฤดูกาล สะท้อนผ่านความงดงามจิวเวลรี่คุณภาพสูงภายใต้การรังสรรค์ผลงานจากช่างฝีมือผู้มากด้วยประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรูปแบบเฉพาะของเครื่องประดับ ‘มิสซิส’ ที่ทุกคนต่างจดจำ โดยร้านสาขาแรกถูกเปิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองเวโรน่า (Verona) จากการพัฒนาแบรนด์อย่างไม่หยุดยั้งส่งผลให้ ‘มิสซิส’ (MISIS) เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้การยอมรับจากศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย รวมถึงยังเป็นแบรนด์ที่เหล่าคนดังต่างเลือกสวมใส่เข้าร่วมงานระดับโลกอย่างแกรมมี่ อวอร์ด ณ มหานครลอสแอนเจลิส อีกด้วย

โดยแรงบันดาลใจหลักสำหรับการสร้างสรรค์เครื่องประดับของแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) นั้นล้วนถูกถ่ายทอดมาจากสีสันของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ แง่มุมความสุขในการใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ของหญิงสาวอันโดดเด่น ซึ่งจะถูกตีความแตกต่างกันออกไปตามคอนเซ็ปต์การดีไซน์ของแต่ละคอลเลกชั่น ผ่านการรังสรรค์สีสันของจิวเวลรี่อันแสนงดงามที่แฝงไว้ซึ่งนัยยะอันยอดเยี่ยม ที่ในบางครั้งดูประชดชันหรือในบางครั้งก็เต็มไปด้วยความนุ่มนวล เรียกได้ว่าเป็นเครื่องประดับที่สามารถนำเสนอถึงเอกลักษณ์ความแตกต่างของหญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

ดร.ฐิติพร สถาวรมณี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า “มิสซิสเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่ดีไซน์มีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างชัดเจน ด้วยรูปแบบของงานดีไซน์ที่มีการผสมผสานวัสดุหลากหลายแบบเข้าด้วยกัน ทั้งอัญมณี หินสี ที่ต้องใช้เทคนิคการประดับที่ประณีต ดังนั้นสำหรับการนำเสนอ 5 คอลเลกชั่นใหม่ครั้งนี้เราจึงอยากสร้างความแตกต่างให้กับการชมเครื่องประดับ ที่นอกจากการทำแฟชั่นโชว์ให้น่าสนใจแล้ว เรายังสร้างสรรค์เซ็ตน้ำชายามบ่าย ที่สะท้อนเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้านงานดีไซน์จากเครื่องประดับคอลเลกชั่นล่าสุดของแบรนด์ ซึ่งทั้ง 5 คอลเลกชั่นนี้ มีแรงบันดาลใจหลักมาจากความงดงามใต้ท้องทะเลที่แฝงลูกเล่นงานดีไซน์เอาไว้มากมาย จึงเกิดเป็น ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ เมนูอาหารคาวหวานที่เตรียมไว้ให้ทุกคนได้ชิมและยลโฉมเครื่องประดับไปพร้อมๆ กัน”

โดยคอลเลกชั่นใหม่ของ ‘มิสซิส’ (MISIS) ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันยังเป็นคอนเซ็ปต์ในการสร้างสรรค์ชุดน้ำชาสุดพิเศษนั้น ประกอบไปด้วย 5 คอลเลกชั่น เริ่มจาก คอลเลกชั่น ‘รีฟ ปาร์ตี้’ (Reef Party) สะท้อนความงดงามจากแนวปะการังที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าค้นหา แต่ยังแฝงไว้ซึ่งประกายความสดใสเหนือจินตนาการ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายที่ติดอยู่กับแนวปะการังอันงดงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็น ปลาดาวสีสด ปะการังสีแดง และเปลือกหอยสีทอง โดยความงดงามดังกล่าวทางทีมออกแบบได้ถ่ายทอดเป็นชิ้นเครื่องประดับดีไซน์เก๋ที่สร้าง ลูกเล่นด้วยเส้นสายโมเดิร์นซึ่งสะท้อนถึงความสวยงามของปะการังพร้อมแต่งแต้มสีสันด้วยรูปทรงปลาดาวซึ่งมาในชิ้นเด่นอย่างสร้อยคอ ต่างหู และแหวน บนโทนสีแดง สีขาว สีฟ้า และสีชมพู พร้อมเติมเต็มลุคให้หญิงสาวผู้มีไลฟ์สไตล์อันโฉบเฉี่ยวได้มั่นใจในทุกโอกาส โดยคอลเลกชั่นนี้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจหลักของการดีไซน์ธีมตกแต่งของชุดน้ำชายามบ่ายในครั้งนี้

ถัดมาที่ คอลเลกชั่นแอมา’ (Ama) คอลเลกชั่นสไตล์เฟมินีนที่ได้แรงบันดาลใจจากอิสตรีแห่งท้องทะเลผู้มีความชำนาญด้านการดำน้ำ เพื่อเสาะหาเปลือกหอยชนิดต่างๆ ซึ่งนับเป็นประเพณีการดำน้ำที่ปรากฎขึ้นเมื่อราวสองพันปีก่อน และมักถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของจิตรกรและนักประพันธ์ รวมถึงแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ด้วยเช่นกัน ซึ่ง    คอลเลกชั่น ‘แอมา’ (Ama) นี้ทางแบรนด์ได้เลือกใช้แมททีเรียลอย่างอัญมณีแคลเซโดนีสีฟ้า (Blue Chalcedony) เปลือกหอยสีขาวและสีส้มเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างงดงาม พร้อมประดับด้วย      คิวบิค เซอร์โคเนียสีขาว (White Cubic Zirconia) และไวท์ อเกตสีขาวนวล (White Agate)  เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์แห่งสีสันให้กับหญิงสาวผู้สวมใส่ที่ถ่ายทอดลงบนจิวเวลรี่ชิ้นเด่นอย่างต่างหู รูปทรงเปลือกหอยที่ห้อยระย้าซึ่งประดับด้วยหินสี จิวเวลรี่สีทองรูปม้าน้ำ และปลาดาว รวมถึงสร้อยคอเฉดสีทองที่มาในดีเทลของการสร้างเลเยอร์พร้อมประดับด้วยจิวเวลรี่รูปทรงเปลือกหอย ม้าน้ำ ปลาดาว และสร้อยคอเส้นยาวที่ประดับด้วยอัญมณีแคลเซโดนีสีฟ้า (Blue Chalcedony) อันโดดเด่น โดยเอกลักษณ์ของเครื่องประดับคอลเลกชั่นนี้ได้ถูกรังสรรค์ให้เกิดเป็นเมนูชั้นเลิศของ ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ (Gems of the Sea Afternoon Tea) ได้แก่ Edible Oyster Shells, Avocado Crème, Salmon Pearls ที่นำเสนอความหอมอบอวลของครีมอโวคาโดเสริมรสชาติด้วยไข่ปลาแซลมอนได้อย่างอร่อยลงตัว รวมถึง Blue Curacao Bubbles มูสช็อคโกแลตสีน้ำทะเลรสนุ่มชุ่มลิ้นที่มาพร้อมลวดลายอันพริ้วไหวผสานความโค้งมนดุจเกลียวคลื่น สะท้อนความมีชีวิตชีวาของท้องทะเลและความทรงจำอันแสนสดชื่นในช่วงฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี

คอลเลกชั่นต่อมา ‘โปซีตาโน’ (Positano) มนต์เสน่ห์ความงดงามแห่งท้องทะเลจากเมืองโปซีตาโน ชายหาดที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาแห่งประวัติศาสตร์ของแคว้นทัสคัน (Tuscan) ด้วยผืนฟ้าสีน้ำเงินโคบอลต์ที่ตัดกับหาดทรายสีขาวและบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ที่อบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวาของผู้คนและนักท่องเที่ยว ได้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคอลเลกชั่นนี้ ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์ทะเลและดอกไม้นานาพรรณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันอันน่าสนใจ บนดีไซน์ของจิวเวลรี่รูปปูที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางหินปะการังสีน้ำเงินเคลือบเรซิ่นที่ผสมผสานเข้ากับอัญมณีได้อย่างลงตัว ซึ่งมีชิ้นเด่นเป็นกำไลข้อมือพลอยกรีน อเกต (Green Agate) และเทอรคอยส์ (Turquoise) ที่มาในโทนสีเขียวน้ำทะเล และโทนสีฟ้าสดใส พร้อมประดับด้วยจิวเวลรี่รูปทรงปลาดาวและปูสีทอง รวมถึงต่างหูสตั๊ดรูปปูที่ประดับด้วยอัญมณีกรีน อเกตสีเขียว พร้อมเติมเต็มลุคให้หญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุดเด่นของ คอลเลกชั่นนี้ได้ถูกหยิบยกมาสร้างสรรค์เป็นเมนู Black Forest Stone Cake เค้กช็อคโกแลตอันหอมหวานที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนเมื่อได้ลิ้มลอง

ต่อมาที่คอลเลกชั่น ‘โพไซดอน’ (Poseidon) อีกหนึ่งคอลเลกชั่นที่ยังคงนำเสนอแรงบันดาลใจแห่งทะเลแต่แฝงไว้ด้วยนัยยะแห่งการอนุรักษ์และล้อเลียนสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลให้ดูน่าขบขัน โดยความมหัศจรรย์เหนือคำบรรยายของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นจิวเวลรี่รูปทรงพระราชาปลาหมึกยักษ์ และปลาปักเป้าสีทองที่ห้อยอยู่บนสร้อยข้อมือชิ้นเด่นและสร้อยคอยาว พร้อมประดับด้วยหินอาเกตสีน้ำเงิน (Blue Agate) รวมถึงต่างหูสเตทเม้นท์ดีไซน์โดดเด่นที่มาในรูปทรงปลาหมึกสีทองอันสะดุดตา โดยคอนเซ็ปต์ของคอลเลกชั่นนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเมนูอาหารคาวที่ชื่อว่า Octopus and Olive Baguette สลัดปลาหมึกยักษ์เสิร์ฟบนขนมปังฝรั่งเศสแสนอร่อย

ปิดท้ายที่ ‘อิสลา มูเคเรส’ (Isla de mujeres) คอลเลกชั่นที่สะท้อนเรื่องราวการเดินทางไปสู่ใต้ท้องทะเลลึกซึ่งค้นพบกับความงามของฝูงปลาดาวและหมู่เรือลำใหญ่ที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางทะเลสีฟ้าครามเมื่อยามต้องแสงแดด โดยทางทีมดีไซน์ได้ถ่ายทอดไอเดียดังกล่าวลงบนเครื่องประดับดีไซน์เก๋อย่างแหวนและกำไลรูปทรงปลาดาวผ่านเทคนิคการเล่นโทนสีที่ประกอบไปด้วยสีทองซึ่งเปรียบเสมือนผืนทรายไปจนถึงสีส้มที่เปรียบดั่งแสงแดดยามเย็น รวมถึงสร้อยคอยาวประดับจิวเวลรี่รูปทรงปลาดาวสีเขียวและหินสี ซึ่งคอลเลกชั่นดังกล่าวได้ถูกรังสรรค์ออกมาเป็นเมนู Salmon Confit Lollipop with Wasabi Mayonnaise and Dulse Flakes เต็มอิ่มกับรสชาติแห่งความอร่อยของปลาแซลมอนปรุงกับวัตถุดิบชั้นเลิศที่พร้อมให้เหล่านักชิมได้ลิ้มรส

ด้านเหล่าเซเลบริตี้สาวร่วมเผยไลฟ์สไตล์การเลือกเครื่องประดับเสริมลุค พร้อมเผยถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ประทับใจเมื่อต้องเยือนประเทศอิตาลี เริ่มที่สาวสังคม ปาวา นาคาศัย เล่าว่า “ส่วนตัวเป็นคนที่สไตล์แอคทีฟ ลุยๆ ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งอยู่บ่อยๆ เสื้อผ้าก็จะเลือกเน้นความคล่องตัว และจะขาดเครื่องประดับไม่ได้เลย โดยเฉพาะต่างหูกับแหวนดีไซน์สวยๆ อาจจะมี ลูกเล่นเป็นรูปสัตว์ทะเลน่ารักๆ ในเฉดสีทองที่มีความคลาสสิกใส่ได้กับชุดทุกเฉดสี ส่วนสถานที่ที่ชอบมากที่สุดก็คือเกาะคาปรี (Capri) ที่ถือได้ว่าเป็นเกาะสวรรค์ที่มีธรรมชาติโอบล้อมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ไปเที่ยว โดยเฉพาะถ้ำ Blue Grotto ซึ่งภายในถ้ำจะมีน้ำทะเลเป็นสีฟ้าสดใส น่าลงไปแหวกว่าย”

ถัดมาที่สาวสวยหน้าคม วีรานันท์ สดากรวงศ์วัชร์ เผยว่า “สไตล์การแต่งตัวของเราเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งให้หวานเลี่ยนจนเกินไป โดยจะเน้นแต่งสไตล์ที่มีการผสมผสานกันระหว่าง          เฟมินีนกับมาสคิวลีนอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้มาร่วมเดินแบบในชุดเดรสพลีทสีแชมเปญ เราก็พลิกแพลงด้วยการนำสร้อยเส้นยาวที่เป็นรูปเปลือกหอย ปะการัง มาแมทช์เป็นเข็มขัดคาดเอวก็ช่วยขับรูปร่างเราให้ดูสมส่วนขึ้น และแหล่งท่องเที่ยวที่ชอบมากต้องยกให้เป็นเกาะบูราโน่ (Burano) ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นหมู่บ้านน่ารักๆ สีสันสดใสและดูเป็นระเบียบ ยิ่งมีฉากหลังเป็นท้องทะเลสีฟ้าสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง”

ต่อมาที่สาวนักเดินทาง จุฬาลักษณ์ ปิยะสมบัติกุล เล่าว่า “เราเป็นคนที่พิถีพิถันในการเลือกแต่งตัวรวมทั้งเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมทช์เสริมลุค โดยจะเลือกพวกเครื่องประดับที่มีดีไซน์คลาสสิกใส่ได้ตลอดไม่เชยง่ายๆ อย่างการเลือกสวมใส่แหวนที่มีดีไซน์สวยๆ สักวงคู่กับสร้อยข้อมือที่เข้ากัน ก็จะช่วยให้เราสามารถออกไปงานได้อย่างมั่นใจ ด้านสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลื้มที่สุดคือชายฝั่งอามาลฟี (Amalfi) จุดเด่นคือเป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยหน้าผาและชายหาดสวยงาม เหมาะแก่การไปพักผ่อนสร้างแรงบันดาลใจในวันหยุด”

ปิดท้ายที่สาวมีสไตล์ รัสวดี ควรทรงธรรม เผยว่า “เราเป็นคนที่ชอบแต่งตัวสไตล์มินิมอลเรียบง่าย เน้นความคล่องตัว ออกแนวทะมัดทะแมงหน่อย และจะเลือกเครื่องประดับที่มีดีเทล น่ารัก อย่างต่างหูสีสันสดใสมาช่วยเบรกลุคไม่ให้ดูแมนมากจนเกินไป แถมยังเพิ่มเสน่ห์ดูน่าค้นหาในตัวเราด้วย ส่วนเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่ชื่นชอบคือโปซีตาโน (Positano) ซึ่งเป็นเมืองที่น่ารัก มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีสีสันไล่ไปตามไหล่เขาขึ้นไป ด้วยสีสันของหมู่บ้านตัดกับสีฟ้าของท้องทะเลและท้องฟ้าได้อย่างสวยงาม ทำให้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากเวลาไปเที่ยว    ที่นั่น”

สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำค่าจากเครื่องประดับแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ได้แล้ววันนี้ที่ร้านเซตเต้ เพคคาติ บูทีคส์ (SETTE PECCATI BOUTIQUE) ชั้น M ศูนย์การค้าสยาม พารากอน, ชั้น G ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ บริเวณโซนเครื่องประดับผู้หญิง (HER LAB) และศูนย์การค้าสยาม ทาคาชิมายา  ชั้น 2 บริเวณโซนเครื่องประดับผู้หญิง รวมถึงทางอินสตาแกรม @misis_th และ @settepeccati พร้อมร่วมลิ้มรสชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษ ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ (Gems of the Sea Afternoon Tea) ได้แล้ววันนี้ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ บริเวณ เดอะ เซนต์ รีจิส บาร์ และเดอะ ดรอว์อิ้งรูม ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ในเวลา 14.00 น. – 17.00 น. ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2562

โอกาสสำหรับผู้ที่มีใจรักด้านแฟชั่นและการแต่งตัวได้เดินทางมาถึงอีกครั้ง เมื่อศูนย์รวมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชื่อดังของคนรุ่นใหม่ ยูเนี่ยน มอลล์ (UNION MALL) ได้จัดโครงการ สตรีท แฟชั่น สไตลิสต์ อวอร์ด 2019 (STREET FASHION STYLIST AWARD 2019) ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 3 กับการเปิดพื้นที่ให้เหล่าคนรักแฟชั่นได้ถ่ายทอดไอเดียสดใหม่ ด้านการสไตล์ลิ่งเสื้อผ้าและการแต่งตัวได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์บนเส้นทางแฟชั่นให้กับคนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำด้านสตรีทแฟชั่นของทางศูนย์การค้า และยังสามารถช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้โดดเด่น รวมถึงความสามารถของบุคลากรด้านแฟชั่นของไทยให้เป็นที่จับตามองในระดับสากล

จิดาภา ศิริจิตร ผู้บริหาร บริษัท สยามจตุจักร จำกัด และศูนย์การค้า ยูเนี่ยน มอลล์ (UNION MALL) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดโครงการฯ นี้ “ไม่ว่ากี่ยุคสมัย สตรีทแฟชั่นยังคงเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากคนจำนวนมากอยู่เสมอ เพราะด้วยสไตล์ของเสื้อผ้าที่ถูกทำมาให้สวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ประกอบกับในยุคสมัยที่แฟชั่นไม่มีผิดไม่มีถูก คนจึงกล้าที่จะแต่งตัวและสนุกกับแฟชั่นมากขึ้น และศูนย์การค้าฯ ของเราก็โดดเด่นด้านศูนย์รวมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์สำหรับรุ่นใหม่ ที่ต้องการอัพเดทเทรนด์อยู่เสมอ เราจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบแฟชั่น ให้มีพื้นที่ในการโชว์ไอเดียและสไตล์ที่โดดเด่นด้วยการจัดประกวดเฟ้นหาสไตสิสต์หน้าใหม่ ผู้ที่มีความสามารถ

ด้านการนำเสื้อผ้ามามิกซ์แอนด์แมทช์ หรือประยุกต์เสริมเพิ่มเติมให้มีมูลค่ามากขึ้นภายใต้หัวข้อที่เรากำหนด และยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าประกวดได้ฝึกประสบการณ์กับมืออาชีพ ซึ่งการประกวด สตรีท แฟชั่น สไตลิสต์ อวอร์ด ได้จัดต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาตลอด และครั้งนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างวงการแฟชั่นไทยให้ก้าวไปข้างหน้า และสามารถแข่งขันกับเวทีต่างๆ ในระดับโลกได้”

สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ทาง ยูเนี่ยน มอลล์ (UNION MALL) ได้หยิบยกเสน่ห์แห่งการคาดเดาของโลกอนาคตภายใต้คอนเซ็ปต์ THINK ABOUT THE FUTURE! มาเป็นแนวคิดหลักให้เหล่าผู้เข้าประกวดได้สร้างสรรค์และบรรเลงไอเดียกันได้อย่างเปิดกว้าง อีกทั้งยังดึงเหล่ากูรูคนแฟชั่นชั้นนำของเมืองไทยมาร่วมให้แง่คิดและความรู้กับผู้เข้าประกวด ในแบบที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน อาทิ ลินดา เจริญลาภ, แพท-ณภัทร สุทธิธน, วิสกี้-วชิรปาณี มากดี ที่จะมาร่วมเป็นโค้ชฝึกสอนและให้ความรู้กับผู้เข้าประกวดอย่างใกล้ชิดในตลอดระยะเวลาของการแข่งขัน รวมถึง พันธ์สิริ สิริเวชชะพันธ์ ช่างภาพแนวหน้าของเมืองไทยที่ได้ให้เกียรติมาร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งครั้งนี้ทางยูเนี่ยน มอลล์ ยังได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์อีกมากมาย อาทิ สถาบันสอนแฟชั่นชื่อดัง RASARA FASHION COLLEGE จากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้,  สถาบันสอนศิลปะการแต่งหน้าที่มีหลักสูตรการสอนจากยุโรป IMC, แบรนด์เครื่องสำอางระดับอินเตอร์ MAKE UP STORE, สถาบันสอนศิลปะการออกแบบทรงผม HAIR MAFIA และสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย TGMA ที่ได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฟ้นหาสุดยอดสไตล์    ลิสต์หน้าใหม่ที่จะมาประดับวงการแฟชั่นไทย

และรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศการประกวดครั้งนี้จะได้รับรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท อีกทั้งยังได้ไปเรียนด้านแฟชั่นที่สถาบัน RASARA FASHION COLLEGE ประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา 1 เดือน โดยรอบชิงชนะเลิศมีกำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ที่ยูเนี่ยน มอลล์ (UNION MALL) ชั้น 6 และสำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมลงสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 ทาง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdXKbryAStOyVa0mE3gIZq8pSPjIP1uZINNlKiqH6A63UrwrA/viewform

เพราะแม่สะดวกแบบนี้… ล่าสุดตัวแม่แห่งวงการแฟชั่น ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ได้สร้างเสียงฮือฮาในโลกโซเชียลอีกครั้ง ด้วยการโพสต์ภาพตนเองในขณะที่กำลังซื้อข้าวโพดต้มอยู่ข้างทาง แต่สิ่งที่สะดุดตาเหล่าแฟนคลับนั้นกลับเป็นชุดดีไซน์เก๋ที่แม่ชมเลือกใส่มามากกว่า ซึ่งเป็นชุดในคอลเลกชั่นล่าสุดจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ‘ลา บูทีคส์’ (LA BOUTIQUE) ที่นอกจากแม่ชมจะเลือกให้เป็นหนึ่งแบรนด์ในดวงใจแล้ว เหล่าซุป’ตาร์ชื่อดังอีกมากมายต่างก็ชื่นชอบแบรนด์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เบลล่า-ราณี แคมเปน, ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล, ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์, มิน-พีชญา วัฒนามนตรี, แซมมี่-ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์, เก้า-สุภัสสรา ธนชาต, ดาว พิมพ์ทอง วชิราคม, วิว-วรรณรท สนธิไชย, เมย์ เฟื่องอารมย์, เป้ย-ปานวาด เหมมณี, เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ, เฮเลน่า-ขนิษฐา บุช, ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น และอีกมากมาย

‘ลา บูทีคส์’ (La Boutique) แบรนด์แฟชั่นสตรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘นีโอ โรแมนติก’ ที่ถ่ายทอดความงดงามทางแฟชั่นกับกลิ่นอายประวัติศาสตร์ทางศิลปะอันน่าจดจำมาผสมผสานด้วยแนวความคิดที่ร่วมสมัย หล่อหลอมผ่านมุมมองการออกแบบอันสร้างสรรค์ออกมาเป็นเครื่องแต่งกายดีไซน์ทันสมัย พร้อมการตัดเย็บสุดประณีตให้สัมผัสในแบบฉบับของห้องเสื้อชั้นสูงสไตล์ฝรั่งเศส ให้ผู้สวมใส่มีเสน่ห์โดดเด่นกว่าใครทั้งในชีวิตประจำวันจวบจนถึงกระทั่งปาร์ตี้ในยามค่ำคืน

โดย Damini Dress ชิ้นที่ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต สวมใส่นั้นเป็นบูสติเย่ร์มินิเดรส ชุดกระโปรงสั้นในผ้าทวีตสีม่วงไลแลค ที่ผสานระหว่างความเฟมินีนและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว โดยมีโครงสร้างซิลลูเอทแบบคอร์เซ็ทที่ช่วยเสริมรูปร่างให้กับผู้สวมใส่ให้ผอมเพรียวขึ้น และดีเทลแขนแบบ Leg o’ mutton ที่สร้างวอลลุ่มบริเวณหัวไหล่ให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยชุดดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในชุดซิกเนเจอร์จากคอลเลกชั่นพรีฟอล 2019 ที่ชื่อว่า เลอ พาสสาจ ออง อินเดีย (Le Passage En India) จาก ‘ลา บูทีคส์’ (La Boutique) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์ของสตรีสูงศักดิ์ของอินเดียที่ชื่อว่า มหารานี คยาตรี เทวี (Maharani Gayatri Devi) เจ้าหญิงผู้เลอโฉมที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 สตรีที่งดงามที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีอิสระทางความคิด และใช้ชีวิตได้อย่างมีสีสัน ซึ่งได้ถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบเสื้อผ้าที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของศิลปะอันงดงามแบบอินเดีย โคโลเนียล (India Colonial) มาผสานกับสไตล์นีโอ-โรแมนติก (Neo-Romantic) นิยามแห่งความงามที่ถูกตีความขึ้นใหม่ ผ่านมุมมองทางความคิด ศิลปะ วัฒนธรรม  และสังคมยุคปัจจุบันจากครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ฝีมือเฉียบ ที่สามารถสร้างเสน่ห์ชวนหลงใหลอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับเสื้อผ้าของ ‘ลา บูทีคส์’ (La Boutique) ได้อย่างน่าสนใจ

ด้านครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ พัชรวัฒน์ ตระกาลสันติกูล ได้แนะนำเคล็ดลับการแต่งตัวให้สวยโฉบเฉี่ยวอย่างซุป’ตาร์ว่า “จากประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดง นางแบบทั้งในและต่างประเทศมามาก เราจะเห็นว่าคุณสมบัติที่ทุกคนมีคือความมั่นใจ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกใส่เสื้อผ้าให้ดูดีข้อแรกเลยคือความรักในตัวเองและเสื้อผ้าที่สวมใส่ เพราะจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนต่อมาคือการรู้จักเลือกเสื้อผ้าที่ดี มีคุณภาพ โดยให้เริ่มจากการเลือกที่คัตติ้งการตัดเย็บที่ปราณีต มีมาตรฐาน ต่อมาควรเลือกจากสีของเสื้อผ้าที่เข้ากับโทนสีผิวของเรา เพราะจะช่วยขับให้เราดูโดดเด่นขึ้น รวมถึงดีไซน์ที่มีความทันสมัยทั้งซิลลูเอท เนื้อผ้า และวัสดุ จะต้องมีลูกเล่นของดีเทลที่แปลกใหม่ เช่น การตัดเย็บผ้าด้วยเทคนิคแพทช์เวิร์ค ที่จะเลือกใช้ผ้าต่างสีหรือต่างชนิดมาตัดเย็บเข้าด้วยกัน รวมถึงการปักประดับคริสตัลต่างๆ ก็จะช่วยสร้างลุคที่น่าสนใจขึ้นได้”

พัชรวัฒน์ ตระกาลสันติกูล

ร่วมสร้างสรรค์สไตล์ให้โดดเด่นกว่าใครด้วยเสื้อผ้าจากแบรนด์ ‘ลา บูทีคส์’ (La Boutique) ได้แล้ววันนี้ที่ แฟลกชิพสโตร์ ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน ชั้น 2 โทร. 096-884-0825, แฟลกชิพสโตร์โฉมใหม่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โทร.096-884-0295, ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น 1 โทร.090-797-2479 และทาง www.laboutiqueofficial.com

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 อย่างงดงาม สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีหรู โพเอม’ (POEM) ที่ครองใจเหล่าแฟชั่นนิสต้ามาอย่างยาวนาน โดยล่าสุด ฌอนชวนล ไคสิริ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ฝีมือเฉียบได้เนรมิตรันเวย์ต้อนรับฤดูกาลออทั่ม/วินเทอร์ 2018 อวดโฉมเสื้อผ้าดีไซน์ล่าสุด โดยนำเสนอแรงบันดาลใจจากแสงเงาและสุนทรียะความงดงามของดวงจันทร์ ผ่านเส้นสายการออกแบบเสื้อผ้าอันปราณีตบรรจงในคอลเลกชั่นที่มีชื่อว่า เทล ออฟ เดอะ ลูมิเนรี่ (Tale of the Luminaries) นิทานพระจันทร์: วัฏจักรแห่งแสงและอารมณ์ผู้หญิง ให้เหล่าแฟนคลับแบรนด์ได้ยลโฉมพร้อมกันอย่างใกล้ชิดท่ามกลางบรรยากาศการชมความงดงามของดวงจันทร์ โดยมีนักแสดงสาวชื่อดัง อุรัสยา เสปอร์บันด์ ร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในชุดฟินาเล่สุดอลังการ ที่เกษรวิลเลจ ชั้น 19 บริเวณห้องเกษร คริสตัล บ็อกซ์ ในค่ำคืนที่ผ่านมา

โดยในงานได้รับเกียรติจากเหล่าเซเลบริตี้แฟนคลับแบรนด์ตบเท้าเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง อาทิ ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูรอรชุมา ดุรงค์เดชกรกนก ยงสกุลยุวเรต ศรุตานนท์ปาวา นาคาศัยภิรญา สิงหะเขริกา โชติวิจิตร และอีกมากมาย

รวมถึงนักแสดงชื่อดัง อาทิ แอน ทองประสมสู่ขวัญ บูลกุลกัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกลเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณนนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชรมารี เบิร์นเนอร์สุชาร์ มานะยิ่งอุษามณี ไวทยานนท์วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศรพุฒิชัย เกษตรสินเข็มอัปสร สิริสุขะเดียร์น่า ฟลีโปพิจักขณา วงศารัตนศิลป์ซอนญ่า สิงหะสุภัสสรา ธนชาตอามีนา กูล และอีกมากมาย

โพเอม’ (POEM) แบรนด์เสื้อผ้าสตรีคุณภาพสูงที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 กับการดีไซน์ที่ผสมผสานการตัดเย็ บเสื้อผ้าแบบบูติคเข้ากับไลฟ์สไตล์ของหญิงสาวในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว โดยมีแนวคิดหลักจากการนำมุมมองในเรื่องโครงสร้าง รูปทรง และเส้นสายทางสถาปัตยกรรมมาผสมผสานเข้ากับสัดส่วนโค้งเว้าตามแบบสรีระของผู้หญิง ผ่านไอเดียของ ฌอนชวนล ไคสิริ อดีตนักศึกษาสถาปัตยกรรมผู้ผันตัวมาเป็นดีไซเนอร์สร้างสรรค์แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ ที่หลงใหลในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ที่ใช้เทคนิคการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบเดรสเมคกิ้งจากประเทศฝรั่งเศส

ฌอนชวนล ไคสิริ กล่าวถึงแนวคิดหลักของการออกแบบเสื้อผ้าคอลเลกชั่นนี้ว่า คอลเลกชั่นนี้เราได้หยิบยกเอาเรื่องราวของพระจันทร์มาร้อยเรียงผ่านปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่มีความงดงามและน่าจดจำ โดยหนึ่งปรากฏการณ์ที่ถูกนำมาใช้เป็นไอเดียหลักของการทำเสื้อผ้าครั้งนี้ก็คือซูเปอร์บลูมูนสีเลือด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงที่เคลื่อนเข้าใกล้โลกมากเป็นพิเศษ จึงทำให้เราเห็นพระจันทร์ดวงโตและสว่างขึ้นกว่าปกติ และเมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ เราจึงมองเห็นพระจันทร์เป็นสีเลือด รวมถึงเรื่องของพลังธาตุที่ถูกนำมาสร้างสมดุลให้กับงานดีไซน์ชุดผ่านการเลือกใช้เฉดสีที่ลงตัว ซึ่งความมหัศจรรย์เหล่านี้ทำให้เรามองเห็นความงดงามของธรรมชาติ ในหลากหลายแง่มุมขึ้น เปรียบได้กับอารมณ์และคาแรคเตอร์ของผู้หญิงที่มักมีความโดดเด่นในแบบของตัวเองที่ทำให้รู้สึกน่าค้นหาอยู่เสมอ

และนอกจากปรากฏการณ์ซูเปอร์บลูมูนสีเลือดแล้ว แสงเงาและพลังธรรมชาติที่่เชื่อมโยงถึงกันยังร่วมสร้างมิติความงามชวนมองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาบนท้องฟ้าไปจนถึงการตกผลึกของหินแร่ใต้พื้นดิน ซึ่งเมื่อมองผ่านสายตาของคนที่รักการถ่ายภาพอย่างครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ฝีมือเฉียบ ฌอน-ชวนล ไคสิริ แล้ว ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ย่อมให้มิติความงดงามที่แตกต่างและน่าสนใจอย่างแน่นอน

โดยในคอลเลกชั่นออทั่ม/วินเทอร์ 2018 เทล ออฟ เดอะ ลูมิเนรี่ (Tale of the Luminaries) นิทานพระจันทร์: วัฏจักรแห่งแสงและอารมณ์ผู้หญิง ทางทีมดีไซน์ได้บรรจงถ่ายทอดความงดงามของพระจันทร์ผ่านรูปทรงวงกลมที่เปรียบเสมือนรากฐานสำคัญของ โพเอม’ (POEM) ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นเส้นสายที่ทีมออกแบบได้ใช้สร้างสรรค์ชิ้นซิกเนเจอร์ประจำแบรนด์อย่างกระโปรงวงกลม ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้หญิงเคลื่อนย้ายสรีระได้อย่างสะดวกและสง่างาม รวมถึงเกาะอกคอร์เซ็ททรงโค้ง, มินิสเกิร์ตทรงวงกลม และเดรสคอเว้า ไอเท็มเด่นที่สร้างคาแรคเตอร์ให้หญิงสาว โพเอม’ (POEM) โดดเด่นและน่าจดจำโดยเสมอมา ซึ่งในซีซั่นนี้ทางแบรนด์ยังได้สร้างสรรค์ชิ้นแฟชั่นสำหรับเหล่าแฟชั่นนิสต้าอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดรสทรงสอบผ้ากำมะหยี่ที่เหมาะสำหรับฤดูหนาว สร้างเสน่ห์ให้วันธรรมดาด้วยเสื้อแขนยาวคอปาดลึก พร้อมขับเน้นส่วนโค้งเว้าด้วยบอดี้สูทผ้าตาข่ายแบบพิเศษ (Power Mesh) แมทช์กับกระโปรงวงกลมผ้าตาข่ายเนื้อนิ่ม (Tulle) มอบสัมผัสเบาสบายเมื่อสวมใส่ และเสื้อคลุมสไตล์ชุดคลุมอาบน้ำที่ตัดเย็บจากผ้าวูล ซึ่งคัดสรรเนื้อผ้าวูลชนิดอุ่นกำลังดี และมีน้ำหนักเบา

ถ่ายทอดความสวยงามของแสงเงาผ่านเทคนิคการพิมพ์ไล่สี (Ombre) ที่ใช้แทนการย้อมสี เพราะการย้อมจะไม่สามารถควบคุมการซึมของสีบนกระโปรงให้ออกมาสวยงามได้ โดยลายพิมพ์เด่นประจำซีซั่นนี้เกิดจากสีของแสงเงาอย่างสีขาวและสีดำที่ถูกดีไซน์ให้เป็นลวดลายฮาวส์ทูธ (Houndstooth) พร้อมสร้างความโก้หรูให้ฤดูกาลออทั่ม/วินเทอร์ 2018 นี้ ด้วยเฉดสีทรงพลังอย่างสีดำเข้ม (Super black) รวมถึง สีน้ำเงิน (Navy Blue) และสีน้ำเงินหม่น (Midnight Blue) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธาตุน้ำ และตัดกับเฉดสีจากธาตุไฟ อย่างสีชมพู, สีแดงสด และสีแดงเลือดนก (Maroon)

นอกจากนี้เหล่าแฟชั่นนิสต้าแฟนคลับแบรนด์ยังได้แนะนำเคล็ดลับการเตรียมตัวก่อนออกงานสำคัญอย่างมั่นใจ รวมถึงสไตล์การแต่งตัวในแบบของตนเอง เริ่มจากสาวเวิร์คกิ้งวูแมน ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร เผยว่า การจะแต่งตัวให้ดูดีนั้นต้องเริ่มจากพื้นฐานที่ต้องหมั่นดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่างเราเองเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพและรูปร่างอยู่แล้ว ในแต่ละวันต้องออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย ชั่วโมง เพราะเราเชื่อเสมอว่ารูปร่างดีใส่อะไรก็สวย อย่างสไตล์การแต่งตัวของเราก็จะเป็นแนวเรียบโก้ไม่หวือหวามาก ส่วนใหญ่จะเลือกในโทนสีเบสิค ขาว เทา ดำ เบจ และเลือกชุดที่เหมาะกับบุคลิกที่คล่องแคล่วของตัวเอง

ต่อมาที่สาวสังคม ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ เล่าว่า เวลาที่จะต้องเตรียมตัวไปออกงาน เราควรเลือกเสื้อผ้าที่เป็นตัวเองให้มากที่สุด เพราะเมื่อต้องออกไปพบเจอกับผู้คนมากมาย สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความมั่นใจ เพราะฉะนั้นเราจะต้องสวยในแบบที่เราเป็น อย่างเราเป็นคนที่รูปร่างค่อนข้างเล็กก็จะชอบเลือกใส่ชุดที่เผยช่วงไหล่ และมีซิลลูเอทที่เข้ารูป แต่ถ้าต้องไปออกงานสำคัญก็อาจจะเลือกชุดที่มีดีเทลการตัดเย็บเพิ่มขึ้นมากหน่อย เพราะจะช่วยเสริมเสน่ห์ให้เราโดดเด่นขึ้น

คนต่อมาเซเลบริตี้สาวชื่อดัง ปาวา นาคาศัย เผยว่า ‘เวลาไปงานต่างๆ สิ่งแรกที่เราจะคำนึงถึงเลยก็คื อการให้เกียรติเจ้าของงาน ดังนั้นในทุกๆ ครั้ง เราก็จะเตรียมตัวเป็นอย่างดีให้เข้ากับงานและถูกต้องตามกาลเทศะ อย่างถ้าเป็นงานแฟชั่นโชว์ที่มีโอกาสจะได้พบเจอกับผู้ใหญ่ เราก็ต้องมีสัมมาคารวะรู้จักยิ้มแย้มให้กับทุกคน ส่วนเสื้อผ้าก็จะเลือกใส่เป็นเดรสเรียบโก้ถือกับกระเป๋าคลัทช์เก๋ๆ แต่ถ้าเป็นงานที่มีแต่เพื่อนๆ เราก็จะชอบสไตล์การแต่งตัวแบบมิกซ์แอนด์แมทช์ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของงาน’

ด้านนักแสดงสาวหน้าหวาน กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล เล่าว่า สำหรับเราสิ่งสำคัญที่จะทำให้ใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาสวยก็คือรูปร่างและบุคลิกภาพ เราต้องดูก่อนว่าเราพอใจกับรูปร่างของตัวเองมากน้อยแค่ไหน ส่วนเสื้อผ้านั้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนคาแรคเตอร์ของเราให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น อย่างเราเป็นคนสดใส ยิ้มแย้มตลอดเวลา สไตล์การเลือกเสื้อผ้าก็จะชอบชุดที่ดีไซน์มีความเฟมินีนปนเซ็กซี่ เล็กๆ ให้ดูน่าค้นหา

ปิดท้ายที่สาวหน้าคม มารี เบิร์นเนอร์ เผยว่า การเตรียมตัวก่อนออกงานสำคัญนั้นนอกจากรูปร่างที่เราต้องใส่ใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เรื่องผิวพรรณก็สำคัญเช่นกัน เพราะผิวที่สวยสุขภาพดีก็จะยิ่งขับให้ชุดดูเด่นขึ้นไปอีก ส่วนเสื้อผ้าก็จะเลือกจากแบรนด์ที่เข้าใจในคาแรคเตอร์ของผู้หญิง และสามารถดึงจุดเด่นของเราออกมาได้ เพราะเวลาที่ต้องเจอแสงแฟลชเราจะได้รู้สึกมั่นใจ

ความสวยงามของพระจันทร์ได้ถูก โพเอม’ (POEM) นำมาจัดเรียงวงโคจรใหม่ จึงเปล่งพลังธรรมชาติอันล้ำลึกที่สะท้อนถึงคาแรคเตอร์ของหญิงสาวผู้สวมใส่ได้อย่างมีชั้นเชิง ในคอลเลกชั่น เทล ออฟ เดอะ ลูมิเนรี่ (Tale of the Luminaries) นิทานพระจันทร์: วัฏจักรแห่งแสงและอารมณ์ผู้หญิง ซึ่งสามารถยลโฉมได้แล้ววันนี้ที่อาณาจักรห้องเสื้อหรูใจกลางเมืองแห่งใหม่ของแบรนด์ โพเอม’ (POEM) เกษรวิลเลจ ชั้น 2, ชั้น ศูนย์การค้าสยามสแควร์วันชั้น เอ็มศูนย์การค้าเทอร์มินอล21, ชั้น ศูนย์การค้าสยามพารากอนชั้น ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ และชั้น โซนเซน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมกันนี้ ‘โพเอม’ (POEM) ยังมีวางขายอยู่ในศูนย์การค้าชั้นนำในประเทศจีนฮ่องกง และสิงคโปร์อีกด้วย

 

เปิดมุมมองการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จของ 4 เซเลบริตี้สาวเวิร์คกิ้งวูแมนชื่อดัง พร้อมเผยสไตล์การแต่งตัวอันเรียบโก้ ผ่านแบรนด์เสื้อผ้า ‘จิออร์ดาโน่ เลดี้ส’ (Giordano Ladies) คอลเลกชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2018 ที่มีชื่อว่า ‘บี ที่ชื่อว่า เฮียร์ นาว ; ดิ อาร์ต ออฟ สโลว์เนส’

ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน นอกจากจะต้องมีความสามารถในการทำงานรอบด้านแล้ว การดูแลตนเองให้มีบุคลิกภาพที่ดีอยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะในทุกวันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการที่จะพบเจอผู้คนที่แปลกใหม่หรือการได้รับโอกาสใหม่ๆ ซึ่งความประทับใจแรกพบนั้นนับเป็นประตูบานแรกที่จะเปิดโอกาสให้เข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้น ซึ่งล่าสุดแบรนด์เสื้อผ้า ‘จิออร์ดาโน่ เลดี้ส’ (Giordano Ladies) จึงได้เชื้อเชิญ 4 เซเลบริตี้เวิร์คกิ้งวูแมนมาร่วมถ่ายทอดมุมมองการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด และแนวคิดการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงเคล็ดลับการแต่งตัวให้ช่วยเสริมบุคลิกเพื่อเพิ่มความมั่นใจในเวลาที่ต้องไปทำงานตามสไตล์ของตนเอง

แพรพรรณ ธรรมวัฒนะ

เริ่มจากสาวเก่งเจ้าของฉายาเจ้าแม่ดิสนีย์เมืองไทย แพร-แพรพรรณ ธรรมวัฒนะ ที่นอกจากร้านของเล่น เพลย์เฮ้าส์ (Play House) แล้ว ก็ยังมีธุรกิจนำเข้าเครื่องประดับ กะรัต ลอนดอน (Carat London) โดยมีหัวใจหลักของการทำงานคือความขยันและรู้จักแบ่งเวลาให้เป็น

‘ตอนนี้เราทำธุรกิจหลายอย่าง ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์ก็ทำงานครบทั้ง 7 วัน โดยแต่ละวันก็จะวางแผนไว้เลยว่าวันนี้จะทำของแบรนด์อะไร ปกติจันทร์-ศุกร์ ก็จะเข้าออฟฟิศ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ก็จะเข้าหน้าร้าน เพราะเราก็ต้องลงไปดูแลลูกค้าเองด้วยว่ามีอะไรที่ยังต้องปรับปรุงบ้าง อย่างช่วงแรกที่เริ่มทำร้านของเล่นก็จะมีปัญหาเรื่องลูกค้าแย่งของกัน เราก็ต้องแก้ปัญหาด้วยความใจเย็น ไม่ย่อท้อกับปัญหา พยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งพอธุรกิจนี้เข้าที่เราก็เริ่มมองหาการทำธุรกิจใหม่ๆ เพราะเชื่อเสมอว่าชีวิตของคนเราต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้

แต่นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว ก็ต้องรู้จักแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย เพราะผู้หญิงเรามีหลายบทบาทความรับผิดชอบ ทั้งการทำงาน การเป็นลูก การเป็นเพื่อน หรือแม้แต่การเป็นภรรยา หลังจากเลิกงานก็ต้องใช้เวลาอยู่กับครอบครัว กับเพื่อน เพื่อเป็นการพักผ่อน ถ้าช่วงไหนมีเวลาก็จะออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ส่วนการแต่งตัวเวลาทำงาน ถ้าเป็นนัดสำคัญที่ต้องพบผู้ใหญ่เราก็จะคำนึงกาลเทศะเป็นอันดับแรก สไตล์เราก็จะชอบใส่กางเกงขายาวสีดำใส่กับเสื้อเชิ้ตทรงเรียบโก้ แล้วเพิ่มเครื่องประดับอย่างตุ้มหูเพชร นาฬิกาที่ดูดีก็จะดูน่าเชื่อถือขึ้น ส่วนลุคทำงานในวันปกติก็จะเน้นความทะมัดทะแมง อย่างวันนี้ก็เลือกใส่กางเกงพลีทสีดำแมทช์กับเสื้อเปิดไหล่ ก็จะได้ลุคที่คล่องตัวที่มีความเฟมินีนแฝงอยู่’

อัชฌา เจริญรัศมีเกียรติ

ด้านสาวยิ้มสดใส แป้ง-อัชฌา เจริญรัศมีเกียรติ ผู้เชื่อเสมอว่าการมีทีมที่ดีและให้คนทำงานตามความสามารถจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้เร็ว โดยปัจจุบันเป็นผู้นำเข้าคาเฟ่ขนมหวานจากไต้หวัน คิวคิว ดิเสิร์ท (QQ Dessert) ที่สามารถขยายสาขาได้มากถึง 6 สาขาภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี

‘การเริ่มต้นทำธุรกิจของเรานั้นเริ่มจากการมองเรื่องใกล้ตัวว่าเราชอบอะไร ถนัดอะไร แล้วก็พยายามเปลี่ยนสิ่งนั้นให้มีมูลค่า เพราะถ้าเราได้ทำในสิ่งที่รักในทุกๆ วัน เราจะทำมันได้ดี อย่างเราเป็นคนที่ชอบกินขนม ชอบลองอะไรใหม่ๆ และเป็นคนเดินทางบ่อยก็จะได้ไปลองกินของอร่อยอยู่เสมอ จนกระทั่งได้ไปเจอคิวคิว ดิเสิร์ท ที่เป็นขนมหวานของคนไต้หวัน กินง่ายและกินแล้วสดชื่นเหมาะกับอากาศร้อนของเมืองไทย บวกกับช่วงนั้นเทรนด์สุขภาพในบ้านเรากำลังมาแรง จึงตัดสินใจนำเข้ามาทันที โดยหัวใจหลักในการเริ่มต้นทำแบรนด์ก็คือทีมงาน เราต้องรู้ความสามารถและศักยภาพของแต่ละคนว่าใครถนัดด้านไหน ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างรวดเร็ว อย่างเราเองก็มีพาร์ทเนอร์ 3 คน ที่แต่ละคนก็จะมีหน้าที่หลักแตกต่างกัน คนแรกก็จะดูเรื่องไฟแนนซ์ คนถัดมาจะควบคุมเรื่องเมนูอาหารและรสชาติ ส่วนเราจะดูแลเรื่องการตลาดและการโปรโมท ซึ่งแน่นอนว่าภาพลักษณ์คือสิ่งสำคัญ

สไตล์การแต่งตัวไปทำงานของเราก็จะเป็นแบบมิกซ์แอนด์แมทช์สนุกๆ แต่ต้องแฝงความโดดเด่น อย่างการมีเครื่องประดับที่เป็นกิมมิคเพิ่มเข้ามา อย่างลุคที่ใส่วันนี้ก็เลือกแมทช์จากสีที่เป็นโทนสีตุ่น ด้วยเสื้อแขนกุดสีเหลืองกับกางเกงทรงซิกกาแรตต์สีเขียว ซึ่งเป็นกางเกงที่ผู้หญิงทุกคนควรมีติดตู้ไว้ เพราะใส่ง่ายเข้าได้กับหลายชุด แล้วก็เพิ่มกิมมิคด้วยผ้าโพกหัวเก๋ๆ แต่หากจะต้องไปพบลูกค้าคนสำคัญเราก็แค่หยิบสูทสีดำมาสวมทับแล้วถอดผ้าโพกหัวออกก็โอเคแล้ว’

จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา

ถัดมาที่เจ้าของธุรกิจอาหารปูดองสไตล์เกาหลีเจ้าแรกของเมืองไทย ปูดองอันยอง ที่ประสบความสำเร็จจนมีหน้าร้านถึง 14 สาขา จากความใส่ใจรายละเอียดในทุกกระเบียดนิ้วของการทำแบรนด์ โดย จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา จนต่อยอดสู่ร้านอาหาร โซลจู ปูดอง

‘อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดำเนินชีวิตของคน ซึ่งเราคิดว่าปัจจัยสี่ยังไงก็สำคัญจึงริเริ่มทำธุรกิจนี้ ซึ่งการทำธุรกิจอาหาร ความท้าทายก็คือต้องทำให้รสชาติถูกปากคน อย่างธุรกิจปูดองอันยองเราเริ่มต้นจากการขายออนไลน์และส่งเดลิเวอรี่ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก หลังจากนั้นเราก็มีเป็นหน้าร้านให้ซื้อกลับบ้าน และขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ในมุมของการทำธุรกิจออนไลน์นั้นมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้นเราก็ต้องพยายามต่อยอดและหาสิ่งที่แตกต่างจากคู่แข่ง ตอนนี้ก็เลยมีเปิดเป็นร้านอาหารชื่อโซลจู ปูดอง ซึ่งหัวใจสำคัญในการทำร้านอาหารก็คือ คุณภาพของอาหาร ความสะอาด หน้าตาต้องดูน่ากินและรสชาติต้องอร่อย รวมถึงการบริการที่ดีเยี่ยม

แต่ในการใช้ชีวิตนอกจากเรื่องการทำงานแล้ว เราก็ต้องรู้จักหาเวลารีแลกซ์ให้ตัวเองด้วย ถ้าช่วงไหนเริ่มคิดอะไรใหม่ๆ ไม่ออก ก็ลองเปลี่ยนสถานที่จากที่อยู่ประจำก็ออกไปข้างนอก อย่างเช่นเปลี่ยนร้านอาหาร นัดไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน หรือไม่ก็ออกเดินทาง

ส่วนเรื่องการแต่งตัวเวลาไปทำงานเราก็จะเลือกเสื้อผ้าที่มีความเรียบร้อย แต่งออกมาแล้วดูดี เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกน้อง อย่างลุควันนี้ก็เลือกเป็นชุดที่ใส่ง่ายและคล่องตัว เป็นกางเกงสีดำใส่กับเสื้อโทนสีอ่อน ทับด้วยเบลเซอร์ที่มี เลเยอร์และสีสัน เป็นการทำให้ลุคดูสนุกสนานขึ้น แต่ถ้าเป็นการคุยงานที่เป็นทางการเราจะเลือกใส่เป็นชุดเดรสที่มีความเฟมินีน และเพิ่มความโก้ด้วยเบลเซอร์ตัวสั้นสักตัว เพราะเราเชื่อเสมอว่าเวลาที่คนเราเจอกันอย่างคนไม่รู้จัก เราก็จะต้องดูเรื่องการแต่งตัวเป็นอันดับแรก และถ้าเราแต่งตัวดีเขาก็เชื่อถือเราไปแล้วครึ่งหนึ่ง’

พลอย ปิ่นแสง

ปิดท้ายที่สาวนักกีฬาทีมชาติ พลอย ปิ่นแสง เจ้าของสตูดิโอสำหรับนักปั่นที่รักการเต้นไปตามเสียงเพลง ‘ไทรบ์ บีเคเค’ (TRIBE BKK) ที่เชื่อว่าการลงมือในสิ่งที่ตนเองรักนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จ

‘ตอนนี้เราก็ยังเป็นนักกีฬาโปโลอยู่ แต่ว่าก็จะเล่นแค่ช่วงฤดูกาลแข่งขัน โดยส่วนใหญ่ก็ไปแข่งที่ต่างประเทศ ซึ่งทุกครั้งที่ไปมันเหมือนเป็นการเปิดโลกให้เราเหมือนกันว่าแต่ละที่เขาพัฒนากันยังไง และคนกำลังสนใจสิ่งไหน แต่นอกจากโปโลแล้วเราก็มีทำสตูดิโอปั่นจักรยานสปินนิ่งที่เป็นครูสอนเองด้วย โดยกิจกรรมนี้เราเคยมีโอกาสได้เล่นแล้วรู้สึกชอบ ก็เลยเริ่มศึกษาอย่างจริงจังอยู่ประมาณ 2 ปี ด้วยการเดินทางไปลองเรียนกับหลายๆ ประเทศ เพื่อเรียนรู้ว่าเขามีวิธีสอนกันยังไง การเลือกเพลง การใช้เสียง ใช้ไฟ รวมถึงการควบคุมอากาศ จนกระทั่งเราได้รูปแบบที่เหมาะสมกับคนไทยที่สุด เพราะเราเป็นคนที่ถ้าจะลงมือทำอะไรแล้วก็ต้องเข้าใจและรู้รายละเอียดของสิ่งๆ นั้นอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้สอนคนที่จะมาเป็นลูกน้องและช่วยงานของเราได้ ซึ่งเราโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทั้งสองอย่าง เลยไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยเลย ฉะนั้นถ้าใครรู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรืออยากทำธุรกิจอะไร ก็แค่ลงมือทำ อย่าไปกลัว เพราะถ้าเป็นสิ่งที่เรารักมันจะออกมาดี

ส่วนการแต่งตัวเวลาทำงานหลักๆ จะเป็นชุดกีฬาหรือชุดออกกำลัง แต่ถ้าเป็นนัดที่ต้องไปเจรจากับผู้ใหญ่ก็จะแต่งให้ดูแคชชวลขึ้น อย่างเช่นชุดวันนี้ก็เป็นชิ้นที่มีความสปอร์ตด้วยเนื้อผ้าที่เป็นผ้าร่ม และชิ้นล่างสามารถใส่ให้เป็นได้ทางกางเกงและกระโปรง ใส่กับเสื้อที่เข้าชุดกันในโทนสีส้มเพื่อช่วยขับผิวเราให้สวยขึ้น’

โดยในงานครั้งนี้เหล่าเซเลบริตี้สาวได้เลือกสวมใส่ชุดจากแบรนด์เสื้อผ้าสตรีจากเกาะฮ่องกง ‘จิออร์ดาโน่ เลดี้ส’ (Giordano Ladies) ในคอลเลกชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2018 ที่มีชื่ว่า ‘บี เฮียร์ นาว ดิ อาร์ต ออฟ สโลว์เนส’ (Be Here Now The Art of Slowness) ที่ทางทีมดีไซน์ได้หยิบยกแรงบันดาลใจจากหญิงสาวที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ผู้ดื่มด่ำกับความงดงามทางธรรมชาติและสิ่งเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวจนทำให้ทุกวันกลายเป็นวันอันแสนพิเศษได้ และเสน่ห์อันน่าค้นหาของหญิงสาวผู้นี้ได้ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นเสื้อผ้าสไตล์มินิมอลผ่านการเลือกใช้เลือกใช้โทนสีที่เปรียบเสมือนตัวแทนของธรรมชาติจากหลากหลายแง่มุม มอบความเพลิดเพลินให้กับหญิงสาวที่สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์ได้อย่างไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็น ความงดงามของวิวทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นที่สะท้อนให้เห็นถึงโทนสีฟ้า สีน้ำเงิน และสีส้ม ได้ถูกถ่ายทอดลงบนเสื้อสเวตเตอร์ผ้าฝ้ายน้ำหนักเบา และกระโปรงตัวยาวแมทช์กับรองเท้าคัชชูหนังเปิดส้น ช่วยสร้างลุคเด่นรับลมร้อนได้อย่างน่าสนใจ

รวมถึงโทนสีที่สื่อถึงอารมณ์และสัมผัสอันอบอุ่นอย่างสีเอิร์ธโทน ที่เกิดจากสีสันความงดงามของสวนสวยและหมู่มวลแมกไม้นานาพรรณ ก็ได้ถูกนำมาดีไซน์เป็นชิ้นเด่นประจำคอลเลกชั่นอย่างเสื้อโค้ทและกระโปรงอัดพลีทสีเขียวมอสส์ รวมถึงเบลเซอร์ลายทางและกางเกงเอวสูงในโทนสีธรรมชาติที่สร้างผิวสัมผัสอันโดดเด่นด้วยการเลือกใช้ผ้าลินิน และโทนสีสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากห้วงมหาสมุทรและหาดทรายในดินแดนอันไกลโพ้น โดดเด่นด้วยสีฟ้าน้ำทะเล สีเหลืองของหาดทราย และสีส้มโทนร้อนจากไอแดด ได้ถูกนำมาถ่ายทอดลงบนเสื้อแขนกุดผ้าเดนิมฟอกสีกับกางเกงทรงคูลอต เพิ่มความเก๋ด้วยเทคนิคการไล่สีที่ตัดกันอย่างฟ้า-ขาว รวมถึงเสื้อไหมพรมประดับพู่ห้อยล้วนเป็นไอเท็มสำหรับนักเดินทางช่วงฤดูร้อนนี้

นอกจากนี้ ต้น-ปรีดาพร แสงสีเรืองรอง ผู้จัดการแบรนด์จิออร์ดาโน่ เลดี้ส์ ประเทศไทย ยังได้แนะนำเคล็ดลับการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าเพื่อสร้างสรรค์ลุคที่ดูดีอย่างเวิร์คกิ้งวูแมนมืออาชีพ ‘การแต่งตัวที่ดีนอกจากจะช่วยเสริมบุคลิกภาพแล้วยังสามารถเพิ่มความมั่นใจในการทำงานได้อีกด้วย และยังเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเจอได้ ซึ่งสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงเวลาที่ต้องแต่งตัวไปคุยงานก็คือกาลเทศะ และไอเท็มที่ผู้หญิงทุกคนควรมีติดตู้ไว้เลยก็คือกางเกงขายาวสีดำ สูทหรือเบลเซอร์ในโทนสีเบสิค และจั๊มสูทตัวยาวเรียบๆ สักตัว โดนอาจจะหยิบจั๊มสูทแขนกุดมาแมทช์กับเสื้อด้านใน ซึ่งอาจจะเลือกเป็นแขนยาวที่มีดีเทลการผูกตรงปลายแขน ก็จะได้ลุคทางการที่มีความเฟมินีนแฝงอยู่ หรืออาจจะเป็นชุดเสื้อกับกางเกงโทนสีอ่อนแล้วทับด้วยเบลเซอร์ที่มีสีเข้ากว่าก็จะได้ลุคมินิมอลที่ดูน่าสนใจไม่แพ้กัน หรืออาจจะใส่เป็นกางเกงขายาวสีดำ โดยมีเบลเซอร์และเสื้อตัวในที่เข้าชุดกัน ก็จะได้ลุคทางการที่ดูโดดเด่นและภูมิฐานมากขึ้น’

พบกับเสื้อผ้าคอลเลกชั่น ‘บี เฮียร์ นาว ดิ อาร์ต ออฟ สโลว์เนส’ (Be Here Now The Art of Slowness) พร้อมกันได้แล้ววันนี้ที่ร้าน ‘จิออร์ดาโน่ เลดี้ส’ (Giordano Ladies) สาขาเซ็นทรัล ชิดลม, Zen ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ และเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่