เนื้อไก่ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังดูแลสุขภาพ เพราะเนื้อไก่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ให้พลังงานสูงและมีไขมันน้อย ช่วยสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกายเสริมสมรรถภาพในการออกกำลังกายให้ดีขึ้น และคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการทานอกไก่อาจช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ก่อนอื่นมาทราบถึงวิธีการเลือกเนื้อไก่ให้ถูกต้องกันก่อนค่ะ

  1. เลือกซื้อจากร้านค้าที่สะอาดได้มาตรฐาน หรือร้านที่มีการรับรองคุณภาพจากกรมปศุสัตว์
  2. เลือกอกไก่ที่ถูกเก็บรักษาด้วยความเย็น เพราะความเย็นช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเลือกซื้อเนื้อไก่ที่มีสีธรรมชาติ เนื้อไม่คล้ำ
  3. ไม่มีจุดเลือดออก ไม่มีรอยฟกช้ำ และไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
  4. เก็บเนื้อไก่ที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นทันที โดยเก็บไว้ในช่องธรรมดาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4.4 องศาเซลเซียสสำหรับใช้ประกอบอาหารภายใน 1-2 วัน หรือเก็บในช่องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -17.8 องศาเซลเซียส หากต้องการเก็บไว้ในระยะยาว
  5. หากมั่นใจว่าแหล่งที่มาและการขนส่งเนื้อไก่สะอาดปลอดภัยดี ไม่แนะนำให้ล้างทำความสะอาดอกไก่ด้วยน้ำเปล่าก่อนปรุงอาหาร เพราะอาจทำให้เชื้อต่างๆ แพร่กระจายออกไปได้ เช่น เข้าสู่มือ เสื้อผ้า พื้นที่ปรุงอาหาร หรืออุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ เป็นต้น เพราะการใช้ความร้อนจากการปรุงอาหารจะฆ่าเชื้อโรคเหล่านั้นได้อยู่แล้ว

ประเภทของไก่ที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก

เชื่อหรือไม่ว่าไก่บ้านและไก่ดำมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไก่เนื้อพันธุ์ที่เราทานกันปกติถึง 25-30% และแน่นอนว่าย่อมเป็นที่ถูกใจของคนที่กำลังลดความอ้วน แต่หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบเพราะไก่บ้านและไก่ดำที่มีไขมันน้อยกว่า ก็มาพร้อมกับเนื้อแข็ง แห้ง เหนียวกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อไก่ปกติ

ปริมาณแคลอรี่ในส่วนต่างๆ ของไก่มีเท่าไหร่กันบ้าง

ปีก                             203  กิโลแคลอรี่
สะโพก                  209  กิโลแคลอรี่
อก                             165  กิโลแคลอรี่
น่อง                           172  กิโลแคลอรี่

*** จำนวนกิโลแคลอรี่ / 100 กรัม ***

จะเห็นได้ว่าอกไก่จะให้ปริมาณแคลอรี่น้อยที่สุด แต่เนื้อไก่ส่วนที่มีไขมันและให้พลังงานมากมักเป็นส่วนที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด คือส่วนของปีกและสะโพก ก็เพราะว่ามีความนุ่ม ชุ่ม ฉ่ำ ไม่แห้งจนเกินไปนั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วงในครั้งนี้เรามีวิธีทำอกไก่ให้นุ่มน่าทาน ไม่แห้งจนกระด้างและมีความชุ่มชื้นของเนื้อไก่มาบอกกัน แถมยังเพิ่มความอร่อยมากขึ้นอีกด้วย

วิธีปรุงไก่ให้นุ่มน่าทาน

  1. ควรเลือกเนื้อไก่ที่มีคุณภาพดี สด สะอาด และใหม่
  2. หมักเนื้อไก่อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรืออาจจะค้างคืน สูตรหมักไก่แล้วแต่ชอบ หากอยากทานคลีนๆ แนะนำหมักไก่ด้วยนมสด เกลือ พริกไทย และเบคกิ้งโซดาเล็กน้อย หรือจะหมักด้วยน้ำมันมะกอกก็ได้ แต่สูตรน้ำนมอาจจะนุ่มกว่า
  3. การใช้วิธีการปรุงด้วยเครื่องซูวี (sous-vide) ใครชอบทำอาหาร หรือชอบดูรายการทำอาหารน่าจะเคยได้ยินคำนี้ เป็นการนำเนื้อไปใส่ในถุงสุญญากาศ แล้วนำไปทำให้สุกด้วยการนำลงไปลอยในน้ำอุ่น 60 องศาเซลเซียส โดยอาจจะใช้เวลาในการทำให้สุกนานกว่าปกติ (อุณหภูมิน้ำ และเวลาในการนำลงไปแช่ แตกต่างกันตามขนาดของเนื้อไก่) แต่การใช้อุณหภูมิต่ำ ค่อยๆ ทำให้สุกผ่านถุงสุญญากาศ จะช่วยกักเก็บความนุ่มชุ่มชื้นของน้ำในไก่ไว้ได้มากกว่านำไปต้มในน้ำเดือดตรงๆ

เนื้อไก่ส่วนที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพช่วยควบคุมน้ำหนักต้องยกให้เนื้อไก่ส่วนอกและเพื่อประโยชน์สูงสุดก็ต้องปรุงด้วยวิธีการต้มหรือนึ่งจะได้ไม่มีไขมันอันเป็นตัวการของความอ้วน ยังไงก็ตามหากต้องเลือกซื้อเนื้อไก่มาทำอาหารก็ควรเลือกให้เหมาะสมตามความต้องการ และกินในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าจะกินเนื้อส่วนที่มีไขมันมากก็กินในปริมาณที่พอดี จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอล อีกทั้งจะได้มีสุขภาพดี ได้กินเนื้อไก่ไปอีกนานด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.pobpad.com/อกไก่-กับประโยชน์ต่อสุข
https://cooking.kapook.com/view207006.html#cxrecs_s
https://www.healthline.com/nutrition/calories-in-chicken#bottom-line

สิ่งสําคัญเหนืออื่นใดคือความสดใหม่ เรามาสังเกตไก่สดให้เป็น เพื่อจะได้ปรุงเมนูไก่แสนอร่อยกันเถอะ

วิธีแยกคุณภาพและความสดใหม่

-เนื้อสีชมพูอ่อน เนื้อน่องมีสีแดง มันวาว ควรซื้อ

-ยืดหยุ่น หนังและเนื้อติดกันแน่น หนังใส ควรซื้อ

-เนื้อซีด แห้ง ไม่ควรซื้อ

(ยิ่งถ้าใช้ไก่อ่อนเนื้อจะนุ่มอร่อย ไก่อ่อนคือไก่ที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือน ไก่ตอนมีอายุ 3-5 เดือน แม่ไก่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไป)

เคล็ดลับความอร่อย

เนื้อไก่มีโปรตีนสูงและมีแคลอรีต่ำ “ไก่เนื้อ” จะมีสารอาหารน้อยและมีไขมันที่หนังมากกว่า “ไก่บ้าน” 3 เท่า ถ้านําไขมันสีเหลืองด้านในของหนังไก่เนื้อออกจะกินอร่อยกว่า เนื้อไก่ย่อยง่าย กระเพาะอาหารไม่ต้องทํางานหนัก จึงเหมาะสําหรับผู้ป่วย แต่เน่าง่าย ซื้อมาควรรีบทําอาหารให้หมด

มาตรฐานการปรุงอาหาร

ให้ความร้อนผ่านหนังไก่เข้าไป เมื่อสีเริ่มเปลี่ยนให้กลับด้าน หากเนื้อไก่เป็นสีขาวจนถึงกระดูก แสดงว่าไก่สุกแล้ว

วิธีป้องกันเนื้อหด

ใช้มีดบั้งหนังไก่หรือใช้ส้อมจิ้มให้เป็นรู

การเพิ่มความอร่อย

ดึงเส้นเอ็นตรงสันในไก่ออก โดยทําเขียงให้เปียกเนื้อจะได้ไม่เละ กดมีดไว้แล้วดึงเส้นเอ็นออกมา

วิธีกําจัดกลิ่นเนื้อไก่ ให้ใช้สาเกและมะนาว


ที่มา หนังสือ เคล็ดลับงานบ้าน เล่มเดียวเอาอยู่! สนพ.นานมีบุ๊คส์

เวลาได้กลิ่นเนื้อย่างทีไร ทำไมน้ำลายสอทุกที ยิ่งนึกถึงน้ำจิ้มรสเด็ด เผ็ดเปรี้ยวกำลังดี เล่นเอาหิวขึ้นมาเลยทีเดียว เราต่างก็รู้ว่าเนื้อสัตว์เป็นแหล่งของโปรตีน และรสชาติของเนื้อชั้นดีก็อร่อยเกินห้ามใจ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญแนะว่า จะกินเนื้อสัตว์ให้ได้ประโยชน์ ต้องคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี ควรกินเนื้อสัตว์ให้ถูกวิธี และกินในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย กินให้ดี ก็ได้ประโยชน์ ถ้ากินไม่ดี ก็จะเป็นผลเสียกับร่างกายในระยะยาว อย่ากระนั้นเลย เหล่านักกินเนื้อทั้งหลายมาดูกันดีกว่าว่า เนื้อแต่ละชนิด เราควรเลือกกินกันอย่างไร

เนื้อหมู เนื้อสัตว์ยอดนิยมของคนไทยส่วนใหญ่ เรียกว่ากินกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่เรากลับไม่รู้ว่ากำลังกินเนื้อส่วนไหนอยู่นี่สิ นักโภชนาการกล่าวว่า เนื้อหมูส่วนที่มีคุณภาพโปรตีนมากที่สุดคือส่วนของ เนื้อหมูสันใน เป็นส่วนของเนื้อหมูที่มีความนุ่ม เนื้อเส้นใยเล็ก ไม่มีไขมันแทรก ส่วนเนื้อสันคอ จะเป็นเนื้อส่วนที่มีริ้วไขมันแทรก ทำให้เป็นส่วนของเนื้อหมูที่มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและเด้ง เนื้อมีความฉ่ำน้ำเมื่อนำไปประกอบอาหาร ซึ่งร้านอาหารบางแห่งนำเนื้อสันคอไปใช้ในการปิ้ง ทำให้ได้เนื้อที่นุ่มลิ้น ฉ่ำน้ำ รสชาติอร่อย ขณะที่ส่วนที่มีไขมันมากที่สุดคือ หมูสามชั้น คอหมู และซี่โครงหมู (แหม ของชอบทั้งนั้น) การเลือกกินเนื้อหมูที่ดีจึงควรให้ได้สารอาหารสมดุลกับปริมาณที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ เพราะนอกจากโปรตีนแล้ว ในเนื้อหมูยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 ช่วยลดอาการเหน็บชา วิตามินเอ บำรุงสายตา ฟอสฟอรัส และไนอาซีน ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และบำรุงสมอง

เนื้อวัว สำหรับนักกินเนื้อ การได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อวัวชั้นดีจากแหล่งเลื่องชื่อระดับโลกคงเหมือนการได้เติมเต็มความฟินให้กับชีวิต แต่ถึงแม้เนื้อวัวจะมีปริมาณโปรตีนสูง ก็พ่วงมากับปริมาณไขมันที่สูงเช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อโคขุนทั้งหลาย เพราะฉะนั้นใครที่กำลังลดน้ำหนัก ควรเลือกกิน เนื้อสันส่วนบน ซึ่งมีโปรตีนสูงแต่มีไขมันแทรกอยู่น้อย นอกจากนี้ในเนื้อวัวยังมีธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงเลือด และวิตามินบี 12 ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และสมองเสื่อม แม้ว่าเนื้อที่ดีคือเนื้อที่มีไขมันน้อย แต่ในการปรุงเนื้อสัตว์ก็ควรมีไขมันติดปนอยู่กับชิ้นเนื้อบ้าง เพราะจะทำให้เนื้อนั้นไม่กระด้างเมื่อถูกความร้อนขณะปรุงอาหาร นอกจากนี้ เนื้อที่มีไขมันติดจะมีกลิ่นและรสชาติที่ดีกว่าเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดไขมันเลย ตรงนี้จึงอยู่ที่การเลือกกินให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายอีกเช่นกัน

เนื้อไก่ จัดเป็นเนื้อชนิดแรกๆ ที่คนรักสุขภาพจะนึกถึง เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อที่ให้โปรตีนคุณภาพสูง ยังมีปริมาณไขมันที่น้อยมากๆ (เมื่อเลาะหนังออกแล้วนะ) โดยเฉพาะ เนื้ออก ซึ่งมีไขมันเพียงร้อยละ 8.2 ส่วนสะโพก ปีก และส่วนตูดไก่ คือส่วนที่มีไขมันมากที่สุด นอกจากนี้ไก่ยังมีสารอาหาร เช่น วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด รวมทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง จึงไม่ต้องแปลกใจที่เนื้อไก่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาและคนรักสุขภาพนั่นเอง ส่วนของน่องสะโพกก็เป็นที่โปรดปรานของใครหลายคนไม่แพ้กัน จึงมีการเลือกนำส่วนนี้ไปสร้างสรรค์เมนูอาหารที่หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการนำเนื้อไก่มาหมักซอสต่างๆ ก็ทำให้เนื้อไก่มีรสชาติที่อร่อยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เนื้อแกะ คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่สำหรับอีกหลายประเทศทั่วโลก เนื้อแกะ คือหนึ่งในเนื้อยอดนิยมที่ต้องมีติดเมนูในเกือบทุกร้านอาหาร โดยเนื้อแกะจัดว่าเป็นเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลต่ำ มีเลซิติน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร และลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ วิตามินบี กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก ซีลีเนียม สังกะสี และอีกมากมาย แต่หลายคนอาจกังวลว่าเนื้อแกะจะมีกลิ่นสาบตามธรรมชาติติดมาด้วย ซึ่งเนื้อแกะที่ดีจะขจัดกลิ่นดังกล่าวด้วยการหมัก ไม่ว่าจะหมักด้วยไวน์แดงแบบยุโรป หมักด้วยโยเกิร์ตแบบแขก หรือหมักด้วยน้ำมันงาแบบเกาหลี ซึ่งนอกจากกลิ่นสาบจะลดลง ยังช่วยให้เนื้อนุ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ เวลาเสิร์ฟสเต็กเนื้อแกะ หรือซี่โครงแกะ ก็มักจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสมินต์ เพื่อลดกลิ่นและเพิ่มรสชาติ

เนื้อปลาและซีฟู้ด มาถึงเมนูตัวท็อปที่อยู่บนยอดพีรามิดของแทบทุกร้านอาหาร นั่นคือบรรดาอาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะ เนื้อปลา นอกจากจะมีโปรตีนชนิดที่ย่อยง่ายแล้ว ในเนื้อปลายังมีโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี มีส่วนช่วยบำรุงสมอง สายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และดี มีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย อย่างเช่น ไอโอดีน ช่วยป้องกันโรคคอพอก ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก ส่วนกุ้ง หอย ปู ปลา และหมึก ก็เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี แคลเซียมจากเปลือกกุ้งช่วยเสริมสร้างกระดูก และยังมีโอเมกา 3 เช่นกัน

 

ข้อมูลจาก บาร์บีคิวพลาซ่า