จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบัน ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤตพบผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หลายภาคส่วนต้องร่วมผนึกกำลังกันมาช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ให้ได้ไปด้วยกัน เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และได้จัดทำโครงการต่างๆช่วยเหลือเร่งด่วนมาตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา จนถึงการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่เครือซีพีได้ให้การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข ตลอดจนการบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยมาโดยตลอด ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือฯได้ประกาศความตั้งใจเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 ที่จะเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ด้วยการจัดตั้งโครงการ “ปลูกฟ้าทะลายโจร100 ไร่ 100 วัน” เพื่อผลิตยาสมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจรจำนวน 30 ล้านแคปซูลแจกจ่ายฟรีให้ประชาชน พร้อมย้ำว่า ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ตามที่สาธารณสุขกำหนด และสุดท้ายแล้ว การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา และการป้องกันที่ดีที่สุดคือการเร่งฉีดวัคซีน โดยต้องเร่งจัดหาวัคซีนที่มีความหลากหลาย และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการออกไปติดเชื้อ แต่เมื่อติดโควิดแล้ว เริ่มมีอาการมากขึ้น ก็ต้องเข้าถึงยาจากแพทย์อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวสู้กับเชื้อไวรัส คือภูมิคุ้มกันของเราเอง

นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) เปิดเผยว่า โครงการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเป็นไปตามนโยบายของประธานอาวุโสเครือซีพี นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ตระหนักว่าขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างรุนแรง และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดูแลรักษาเบื้องต้นสามารถใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยลดภารกิจของสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์ ประธานอาวุโสซีพีจึงมีนโยบายให้เครือซีพีซึ่งมีศักยภาพที่จะช่วยเหลือสังคมได้อย่างเร่งด่วนทำหน้าที่เป็นทัพเสริมช่วยหนุนการปลูกและผลิตสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่ขณะนี้กำลังขาดแคลน ด้วยสรรพคุณของฟ้าทะลายโจรพืชสมุนไพรไทยที่สามารถใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอ เจ็บคอ และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต้านการอักเสบ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจกจ่ายยาฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา และกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง มีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ ทำให้ความต้องการยาฟ้าทะลายโจรมีเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาฟ้าทะลายโจรขาดตลาด และเพื่อรองรับความต้องการที่มีมากขึ้นในช่วงนี้ เครือซีพีจึงดำเนินโครงการ “ปลูกฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ 100 วัน” ขึ้นมาและเริ่มดีเดย์เพาะปลูกวันแรกตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ในพื้นที่ จ.สระบุรี โดยระดมอาสาสมัครและพนักงานในเครือซีพีมาร่วมปลูกให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันกำหนดภายใน 100 วัน ตามเป้าหมายที่ซีพีต้องการส่งมอบยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรชุดแรก 30 ล้านเม็ดแจกจ่ายไปยังชุมชนและประชาชนทั่วไป โดยจะเริ่มส่งมอบได้ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 นี้

นายสุเมธ กล่าวว่า ซีพีได้ศึกษากระบวนการขั้นตอนตั้งแต่สายพันธุ์เพื่อการเพาะปลูกจนถึงการผลิตและบรรจุที่มีการดำเนินการอย่างเป็นมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยเราได้นำสายพันธุ์จากทั่วทุกภาคมาทำการศึกษาทั้งเมล็ดพันธุ์และกล้าพันธุ์เพื่อพัฒนาเป็นองค์ความรู้ที่สมบูรณ์แบบของประเทศไทย เพื่อในอนาคตจะได้มอบพันธุ์ที่ศึกษาไว้ทั้งหมดแก่เกษตรกรและชาวบ้านทั่วไปนำไปขยายพันธุ์เพาะปลูกรวมทั้งให้คำแนะนำเทคนิคในการเลี้ยงดูและการปลูกให้ได้ผลด้วย โดยหลังจากผ่านการขอพิจารณาแนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี และปลอดภัยตามมาตรฐานที่กาหนด หรือ GAP ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ เครือซีพีจะถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สมบูรณ์แบบทั้งการเพาะปลูกและการดูแลรักษาฟ้าทะลายโจร รวมทั้งการส่งมอบพันธุ์เพาะปลูกทั้งหมดที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์และศึกษาไว้ให้แก่พี่น้องประชาชนทั่วไป และเกษตรกรไทยที่สนใจนำไปปลูกได้ด้วยตัวเองเพื่อสร้างเสริมเป็นรายได้ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆกับเกษตรกร สามารถนำไปปลูกได้อิสระเพราะเชื่อว่าเมื่ออนาคตตลาดสมุนไพรไทยขยายและเติบโตขึ้น ความต้องการฟ้าทะลายโจรจะมีมากขึ้นในไทย รวมทั้งหลายประเทศในภูมิภาคนี้ และอาจขยายได้ทั่วโลก องค์ความรู้เหล่านี้ทั้งหมดก็จะส่งต่อให้เกษตรกรไทยต่อไป

“ฟ้าทะลายโจรถือเป็นยาสมุนไพรโบราณของไทย เราอยากเทิดทูนถึงองค์ความรู้ด้านตำรับยาไทยที่บรรพบุรุษของเราได้สืบทอดมา ซึ่งจากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญพบว่าแม้แต่การเพาะปลูกพืชตัวนี้ก็ยังถือเป็นพืชที่ต้านทานโรคและแมลงได้ด้วยตัวเอง ซึ่งซีพีจะดำเนินการเพาะปลูกและดูแลรักษาโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฟ้าทะลายโจรจึงถือเป็นพืชสมุนไพรที่บรรพบุรุษส่งต่อสืบทอดมาให้เราอย่างแท้จริง”ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัดกล่าว

 ทั้งนี้ นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 กลุ่มธุรกิจในเครือซีพีได้ระดมสรรพกำลังร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 โดยสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์สื่อสาร และภารกิจด้านสาธารณสุข บริจาคเครื่องมือแพทย์ เต็นท์ความดันลบ เครื่องช่วยหายใจไปแล้วมากกว่า 2,000 โรงพยาบาล ตลอดจนแจกหน้ากากอนามัยที่ซีพีผลิตเองไปแล้วกว่า 16 ล้านชิ้น รวมถึงบรรเทาความเดือดร้อนในชุมชนและกลุ่มผู้เปราะบางต่างๆ จนถึงขณะนี้ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นกลุ่มธุรกิจในเครือซีพีได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนกว่า 100 พันธมิตรต่างๆ ทั้งมูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา ภาคประชาสังคมและองค์กรสื่อ ในการผนึกำลังดำเนินโครงการ “ครัวปันอิ่มร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” ส่งมอบข้าวกล่องปรุงสุกถูกหลักโภชนาการจำนวน 2 ล้านกล่องในระยะเวลา 2 เดือน โดยเป็นข้าวกล่องผลิตจากซีพี 1 ล้านกล่อง และอีกส่วนคือซีพีซื้อข้าวกล่องปรุงสุกจากร้านอาหารรายย่อยต่างๆอีก 1 ล้านกล่อง เพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 40 ชุมชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล ตลอดจนยังเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย ขนาดกลางและเล็กได้ดำเนินธุรกิจในช่วงนี้ต่อไปได้ ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรดำเนินการแจกจ่ายข้าวกล่องตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นมา

เครือซีพี ตอกย้ำจุดยืนร่วมลดโลกร้อน เป็น 1 ใน 53 องค์กรพันธมิตร จับมือ อบก.เปิดตัว “เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย” ขับเคลื่อนเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมเปิดแพลตฟอร์ม “Thailand Carbon Credit Exchange” สร้างมิติใหม่ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตออนไลน์ครั้งแรกของไทย

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตร อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ จำกัด (PwC) เป็นต้น ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว “เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย” หรือ Thailand Carbon Neutral Network : TCNN ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยการรวมตัวขององค์กรธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆกว่า 53 องค์กรที่มีแนวคิดและจุดยืนความรับผิดชอบต่อการมุ่งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยภาคีเครือข่ายจะร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยได้รับเกียรติจาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี

นอกจากนี้ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาตลาดคาร์บอนภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกของภาคเอกชนไทยระหว่าง อบก. เครือข่าย TCNN กับ ส.อ.ท. โดยเปิดตัวแพลตฟอร์ม Thailand Carbon Credit Exchange ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตออนไลน์ครั้งแรกในประเทศไทย

นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เครือข่าย Thailand Carbon Neutral Network จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส ตามประชาคมโลก โดยภาคีสมาชิกของเครือข่ายนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบนิเวศน์สำหรับการใช้กลไกราคาคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการแลกเปลี่ยนคุณค่าของคาร์บอนเครดิตซึ่งกันและกัน สร้างความโปร่งใส และ ยุติธรรมในตลาดคาร์บอน รวมทั้งร่วมสนับสนุนโครงการภาคป่าไม้ประเภทต่างๆ ตามนโยบายของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจก สร้างผลประโยชน์ร่วมให้แก่ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การลดต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยรวมให้ต่ำที่สุด โดยผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต (Thailand Carbon Credit Exchange Platform) ที่อบก. และส.อ.ท.ร่วมกันพัฒนาขึ้น

ด้านนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. กล่าวว่า การจัดตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย หรือ TCNN เป็นการส่งเสริมความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่นในการร่วมรับผิดชอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ Net zero ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยภายในปี 2573 และยังสอดคล้องกับการขับเคลื่อนของกลุ่มองค์กรระดับโลกตามข้อตกลงปารีสอย่าง Race To Zero โดยขณะนี้มีองค์กรที่สนใจเข้าร่วมเครือข่าย TCNN รวม 53 องค์กร  และ อบก.ได้ร่วมมือกับส.อ.ท.พัฒนาแพลตฟอร์ม Thailand Carbon Credit Exchange ทำหน้าที่เป็นตัวกลางตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตที่โปร่งใสเชื่อถือได้ สามารถรายงานระดับราคาที่ยุติธรรม โดยองค์กรในเครือข่ายจะได้มาแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิตร่วมกัน นำไปสู่การลดต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยรวมให้ต่ำที่สุด และในอนาคตจะพัฒนาไปสู่การซื้อขายในระดับสากล

นายนพปฏล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า เครือซีพีตระหนักถึงบทบาทของประเทศไทยที่จะร่วมเป็นหนึ่งในประชาคมโลก ที่จะร่วมจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนสำคัญของโลกขณะนี้ โดยเครือซีพีร่วมเป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจของไทยที่จะขับเคลื่อนไปกับภาครัฐในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งองค์กรพันธมิตรเครือข่าย Carbon Neutral Thailand ที่มีกว่า 53 องค์กร เป็นองค์กรมีศักยภาพและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นแนวร่วมสำคัญในการช่วยการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย สอดคล้องกับเครือซีพีที่ตั้งเป้าสู่องค์กรปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2573 ขณะเดียวกันการผนึกกำลังสร้างเครือข่ายนี้ยังนำไปสู่การผลักดันให้ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเติบโต ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มธุรกิจ องค์กร และหน่วยงานต่างๆทุกภาคส่วนหันมาใช้เรื่องตลาดคาร์บอนเครดิตลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สร้างสังคม Net Zero ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไป

การประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืน ประจำปี 2564 ปีนี้ หรือ UN Global Compact Leaders Summit 2021 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน 2564 ในรูปแบบการประชุมเสมือนจริงทางออนไลน์ ที่มีผู้นำองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ และองค์กรความยั่งยืนตลอดจนนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจากทั่วโลกเข้าร่วมงานกว่า 25,000 คน

สำหรับปีนี้ถือเป็นวาระสำคัญของประเทศไทยที่ได้แสดงบทบาทและเจตจำนงในการร่วมลดโลกร้อนกับนานาประเทศ โดยมีตัวแทนผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมขึ้นเวทีหลักร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ภาคเอกชนไทยต่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับเชิญให้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดเสวนาบนเวทีระดับโลก

ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” หรือ Southeast Asia’s Net Zero Transformation for Agriculture & Food Sector” เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา โดยมี นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์กับตัวแทนภาครัฐจากประเทศไทย ได้แก่ ดร.กลย์วัฒน์ สาขากร ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานงานกลางอนุสัญญา สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)  พร้อมด้วย นายโบ ดาเมน เจ้าหน้าที่ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก นายโอเล่ เฮนริกสัน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการไทย ไรซ์ นามา (Thai Rice NAMA) ซึ่งดำเนินกิจกรรมด้านการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นายซันนี่ แวร์คีส ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท โอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งทำธุรกิจด้านอาหารและเกษตร เพื่อช่วยกันผลักดัน และแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในระดับนานาชาติที่จะขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์เพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี น.ส.กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

น.ส.กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตอาหารและการเกษตรที่สำคัญ มีแรงงานประมาณ 30% ทำงานในภาคอุตสาหกรรมนี้  เมื่อพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจพบว่า เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตของภาคการเกษตรและอาหาร ยังดำเนินการได้ช้ากว่าภาคส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายเหล่านี้  ด้วยการนำการเกษตรอัจริยะด้านสภาพภูมิอากาศไปใช้ในการปรับปรุงการผลิตทางด้านอาหารและการเกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรในภูมิภาคนี้มากขึ้นและจะยังเป็นการบรรลุเป้าหมาย SDGs ด้วย

ขณะที่ นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เครือซีพีมีบทบาทในการดำเนินธุรกิจอาหารและเกษตรในระดับภูมิภาคอาเซียน โดยตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาคธุรกิจเกษตรและอาหาร จึงได้กำหนดเป้าหมายที่จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้สุทธิเป็นศูนย์ตลอดห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของเรา ทั้งยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรและคู่ค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน อาทิ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยมลพิษตั้งแต่ระดับต้นน้ำ นำกลยุทธ์การดำเนินการตามแนวทางการทำเกษตรกรรมที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Smart Agriculture มาใช้ในการดำเนินธุรกิจของซีพี โดยใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนกระบวนการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทานแบบยั่งยืนเพื่อลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ อาทิ ซีพีใช้พลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่างๆในธุรกิจเกษตรเช่นข้าวโพด ฟาร์มกุ้ง หมู และไก่ การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากมูลสัตว์ มีการใช้มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่มีคุณภาพมาใช้เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและเจ็บป่วยของสัตว์ ใช้เทคโนโลยีเฝ้าติดตามปศุสัตว์แบบดิจิทัล การจัดการคุณภาพน้ำ และโดรนเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ยังได้พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ตลอดจนกระบวนการผลิตและเทคนิคทางการเกษตร ซึ่งนำไปสู่การจัดการเชิงนิเวศในผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายนพปฎล กล่าวว่า ซีพีดำเนินแนวทางดังกล่าวคู่ขนานไปกับความพยายามในการกักเก็บคาร์บอนด้วยการจัดโครงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่ป่าในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในประเทศไทยและจีน ตลอดจนขยายไปยังประเทศอื่นๆที่ซีพีเข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งพนักงานของซีพีกว่า 450,000 คน ทั่วโลกได้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวเข้ามาร่วมโครงการปลูกต้นไม้ที่จะช่วยลดโลกร้อนเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้สำเร็จให้ได้

ดร.กลย์วัฒน์ สาขากร ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานงานกลางอนุสัญญา สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า การเข้าร่วมร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืนในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าร่วมประชาคมโลกในการมุ่งมั่นลงมือทำจริงเพื่อลดผลกระทบจากสภาวะเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดทำนโยบายเพื่อลดภาวะโลกร้อน ที่ผ่านมาประเทศไทยได้สนับสนุนข้อตกลงปารีสอย่างเต็มที่ และยังได้ทำงานร่วมกับเพื่อนสมาชิกอาเซียนผ่านเครือข่าย AWGCC (ASEAN Working Group on Climate Change) ในการหาทางออกลดผลกระทบร่วมกัน ซึ่งมองว่าธุรกิจการผลิตอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรเป็นภาคธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ควรเน้นไปในเรื่องของ Climate Smart Agriculture ผ่านการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อวางแผนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน

นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การทำงานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ร่วมกับ สผ. ในการสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาโดยตลอด โดยอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของประเทศไทยนั้นถือว่ามีศักยภาพในการลดการปล่อยมลพิษและการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งยังต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยอบก. ได้จัดตั้ง Carbon Neutral Network เพื่อส่งเสริมให้บริษัทและองค์กรธุรกิจต่างๆ ให้คำมั่นและประกาศแผนปฏิบัติการเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำอีกด้วย

นายโบ ดาเมน เจ้าหน้าที่ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคงทางด้านอาหารและการเกษตรสูงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ดังนั้นการร่วมปฏิบัติการลดโลกร้อนในภูมิภาคนี้จะต้องลงทุนในกลุ่มเกษตรกรและการจัดการใช้ที่ดิน รวมไปถึงการนำนวัตกรรมรูปแบบใหม่มาใช้ในกระบวนการเพื่อเพิ่มผลผลิตและนำไปสู่การเกษตรที่ทันสมัยและเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในภูมิภาคนี้ได้

ขณะที่นายโอเล่ เฮนริกสัน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการไทย ไรซ์ นามา (Thai Rice NAMA) กล่าวถึงกรณีศึกษาการทำนาในวิถียั่งยืนที่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการปลูกข้าว เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก้ปัญหาโลกร้อน ซึ่งการมีเทคนิควิธีการปลูกข้าวที่ทำให้เกิดคาร์บอนต่ำเหล่านี้ได้เพิ่มผลผลิต และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตทั้งในส่วนของการใช้น้ำ การใช้ปุ๋ย  โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ได้แก่ การปรับระดับที่ดินโดยใช้เลเซอร์ การจัดการฟางเพื่อป้องกันการเผาไหม้ในพื้นที่ การทำนาข้าวให้เปียกและแห้งสลับกัน และการจัดการสารอาหารเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้จะมีการพัฒนาเพื่อนำไปสู่นโยบายระดับชาติเพื่อสนับสนุนกรณีศึกษาเหล่านี้ต่อไป

นายซันนี่ แวร์คีส ซีอีโอบริษัท โอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทธุรกิจด้านอาหารและเกษตร กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของโลก รวมทั้งมีการใช้น้ำถึง 71% ของโลก สิ่งที่จะช่วยลดผลกระทบได้จะต้องนำระบบดิจิทัลมาร่วมสร้างความยั่งยืนให้โลก โดยบริษัทโอแลมได้นำเทคโนโลยี AtSource แพลทฟอร์มที่ติดตามตัวชี้วัดความยั่งยืนใน 10 หัวข้อความยั่งยืนที่สำคัญมาใช้รวบรวมและจัดการข้อมูลในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า เพื่อสนับสนุนการเกษตรที่ส่งผลดีต่อโลก และเตรียมขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตอาหาร เจ้าของแบรนด์ ผู้ค้าปลีก และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามาร่วมใช้แพลทฟอร์มนี้ รวมทั้งยังนำระบบ AI มาให้คำแนะนำแก่เกษตรกรรายย่อยถึงวิธีจัดการฟาร์มเพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกันองค์กรธุรกิจด้านอาหารและเกษตรก็ต้องช่วยให้เกษตรกรรายย่อยที่ถือเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบทางการเกษตร 80% ให้กับโลก ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก้าวพ้นเส้นความยากจนโดยเฉลี่ยเพื่อสร้างสภาพความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกคนตลอดจนรักษาสุขภาพของโลกใบนี้ไปพร้อมกัน

มูลนิธิแพทย์ชนบท รวมพลัง เครือซีพี ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด ชวนคนไทยร่วมบริจาคสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชน

จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกสาม ที่ได้แพร่ระบาดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาส่งผลให้อุปกรณ์ชุดเครื่องมือทางการแพทย์ มีความสำคัญเร่งด่วนต่อการช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ในการรับมือกับวิฤตโควิด-19 ครั้งนี้   มูลนิธิแพทย์ชนบทและเครือเจริญโภคภัณฑ์  จึงได้ร่วมมือกันเปิดตัวแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง รณรงค์และสนับสนุนให้คนไทยทั่วประเทศร่วมแรงร่วมใจระดมทุนบริจาคเงินเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อขึ้นภายในโรงพยาบาลชุมชน นำร่องเป็นต้นแบบครั้งแรกในไทย 15 แห่งทั่วประเทศครอบคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ พร้อมกันนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมบริจาคจำนวน 5 ล้านบาท และสนับสนุนเสบียงอาหาร ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ และน้ำดื่มบรรจุขวดมอบให้แก่โรงพยาบาลชุมชน 50 แห่งทั่วประเทศอีกด้วย

นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า นับแต่มีการระบาดไวรัสโควิดเมื่อกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางมูลนิธิแพทย์ชนบท ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ในการสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชนระดับอำเภอ 778 แห่ง ทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล(รพ.สต.) 9,763 แห่ง ตลอดจนระบบสาธารณสุขมูลฐาน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในการต่อสู้และรับมือโควิด-19 จนมาถึงปัจจุบันประเทศไทยประสบกับวิกฤติการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งรุนแรงและกระจายวงกว้างไปทั่วประเทศ ส่งผลให้โรงพยาบาลชุมชนมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบบริการสุขภาพของอาคารโรคติดเชื้อ หรือ Cohort ward  เพื่อให้เป็นหอผู้ป่วยโควิดแยกออกจากอาคารที่มีอยู่เดิมออกมาเป็นการเฉพาะไม่ให้ปะปนกับอาคารผู้ป่วยปกติ   เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ป้องกันการติดเชื้อสู่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ป้องกันไม่ให้แพร่กระจายไปยังผู้ป่วยอื่น ๆ  รวมถึงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ชุมชน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยมูลนิธิแพทย์ชนบท จะนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลชุมชนจำนวนประมาณ 15 แห่งในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ทั้งนี้มูลนิธิแพทย์ชนบทได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านบาทเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับอาคาร Cohort ward และยังได้รับความร่วมมือในการนำศักยภาพของเครือฯ และบริษัทในเครือฯ เปิดช่องทางการระดมทุนรับบริจาคเงินจากคนไทยทั่วประเทศผ่านแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง ทั้งนี้หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิดคลี่คลายลง โรงพยาบาลชุมชนจะได้มีอาคารโรคติดเชื้ออย่างถาวร สามารถใช้ได้ กับโรคติดต่อ หรือโรคระบาดอื่น ๆ ต่อไป

 “การระดมทุนในครั้งนี้ผ่านแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง  เป็นการช่วยติดอาวุธเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลชนบทที่ได้เสียสละทุ่มเทร่วมต่อสู้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  การได้รับความร่วมมือจากคนไทยทั่วประเทศจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อขึ้นในโรงพยาบาลชุมชน เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ปลอดภัย และนำพาประเทศชาติให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าว พร้อมขอบคุณในน้ำใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่สนับสนุนมูลนิธิแพทย์ชนบทมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปีที่แล้วสนับสนุนการผลิตเต็นท์ความดันติดลบ (Negative Pressure Chamber) เป็นการเร่งด่วนเพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้โรงพยาบาลชุมชนที่ขาดแคลน 150 แห่งทั่วประเทศ  และในปีนี้นอกจากร่วมทำแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้สนับสนุนเสบียงอาหารแก่แพทย์พยาบาลบุคลากรทางการแพทย์ให้กับมูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อนำไปช่วยเหลือโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้จะมีการนำร่องในโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย 15 แห่ง ที่มีขนาด 60-120 เตียง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการรับผู้ป่วยโควิดที่ไม่รุนแรงที่ส่งต่อมาจาก โรงพยาบาลชุมชนข้างเคียงที่มีขนาด 10-30 เตียง หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รพ.สต. และจะต้องเป็นโรงพยาบาลชุมชนที่มีผลงานดี ได้รับการยอมรับจากชุมชน เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านได้ โดยในภาคเหนือ มี 3 แห่ง ได้แก่ 1. รพร.เด่นชัย จ.แพร่ 2.รพ.สูงเม่น จ.แพร่ 3.รพร.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์  ภาคกลาง ได้แก่  1.รพ.ป่าโมก จ.อ่างทอง 2.รพ.แก่งคอย จ.สระบุรี 3.รพ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 4. รพ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ 1.รพ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น 2.รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ 3.รพ.กาบเชิง จ.สุรินทร์  และภาคใต้  1. รพ.สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี จ.สงขลา 2. รพ.ละงู จ.สตูล 3. รพ.ตากใบ จ.นราธิวาส 4. รพ.จะนะ จ.สงขลา 5. รพ.รามัน จ.ยะลา

ด้าน นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงวิกฤต มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคนไทยทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านในโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศที่เป็นหน้าด่านสำคัญในการรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้   เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงต้องการช่วยแบ่งเบาภาระของมูลนิธิแพทย์ชนบทซึ่งถือเป็นองค์กรกลางในการช่วยระดมความช่วยเหลือไปสู่โรงพยาบาลชุมชนในการรับมือและต่อสู้กับภัยโควิด โดยสนับสนุนภารกิจการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ ซึ่งจะแยกออกมาต่างหากสำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อ เริ่มจากโควิดที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายวงกว้างสู่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยอื่น ๆ รวมถึงป้องกันการแพร่ระบาดสู่ชุมชน เครือเจริญโภคภัณฑ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสังคมไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้หากทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือก็จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงภารกิจสำคัญของมูลนิธิแพทย์ชนบทในครั้งนี้ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้สนับสนุนการดำเนินโครงการรณรงค์ในแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง  และขอเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศช่วยกันสนับสนุนจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ขาดแคลนเร่งด่วนในโรงพยาบาลชุมชนที่ห่างไกลให้สามารถมีอาวุธในการต่อสู้ช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชนบทให้ปลอดภัยจากวิกฤตการแพร่ระบาดในครั้งนี้

มูลนิธิแพทย์ชนบท ระบุว่า ในการพัฒนาหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ ต้องใช้จ่ายเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ขาดแคลนและจำเป็นกว่า 965,000 บาทต่อหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ 1 แห่ง  โดยจะนำไปจัดซื้อเครื่องวัดความดันอัตโนมัติ (Auto BP) เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (AED.) เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในเลือด (Pulse oxymetre) และเครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ (Mobile X Ray) เพื่อช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชนบทให้ปลอดภัยจากวิกฤตการแพร่ระบาดในครั้งนี้

ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตโควิด-19  ได้อย่างเร็วที่สุดนอกเหนือจากการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่การเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยังคงมีความสำคัญไม่แพ้กัน  มูลนิธิแพทย์ชนบทและเครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนในแคมเปญ #อย่าให้แพทย์ชนบทสู้ลำพัง

โดยท่านสามารถร่วมบริจาคเงิน 100 บาท + 1 แชร์ ถึงเพื่อนในโซเชียลมีเดีย อาทิ  เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เพื่อช่วยบอกต่อให้เกิดพลังความร่วมมือในการซื้อชุดอุปกรณ์การแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลชุมชนในชนบท ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน  โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคได้หลายช่องทางตามกำลังศรัทธา คือ1. บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ (ออมทรัพย์) สาขางามวงศ์วาน ชื่อบัญชี มูลนิธิแพทย์ชนบท-โครงการการสนับสนุนเครื่องมือแพทย์โรงพยาบาลสนามในโรงพยาบาลชุมชน เลขบัญชี 319-298168-1  2. ผ่านแอพพลิเคชั่น ทรูมันนี่     3. ลูกค้าทรูมูฟ เอช กด *948*7707*10# เพื่อบริจาค 10 บาท หรือ กด *948*7707*100# เพื่อบริจาค 100 บาท 4. บริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ดูรายละเอียดการบริจาคและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://donate.ruraldoctor.or.th/

เครือซีพี ผนึกกำลัง “ซีพี ออลล์-ทรู” ร่วมมือกทม.และสปสช. เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนผ่านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วกทม. ด้าน “ทรู” เตรียมพร้อมระบบ Call Center  ช่วยให้คำแนะนำลูกค้าลงทะเบียน มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่มากที่สุดและเร็วที่สุด หยุดเชื้อ ฟื้นประเทศเร็ววัน

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  พร้อมด้วย นายอาณัติ  เมฆไพบูลย์วัฒนา รองประธานคณะกรรมการบริหาร ของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น  เข้าร่วมการแถลงข่าวระบบลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย”  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคีเครือข่าย  เพื่อให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิในการรับบริการฉีดวัคซีน  ณ  หน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ในรูปแบบของ web based ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  โดยมี พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  พร้อมด้วยผู้บริหารจากภาคเอกชนเข้าร่วมแถลงข่าว ณ ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง)

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  กล่าวว่า  เครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ  พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของพลังความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ ระหว่างหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร(กทม.) และภาคีเครือข่าย ในการรับลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่กทม.ได้รับการฉีดวัคซีนกันอย่างทั่วถึง และมีภูมิคุ้มกันหมู่มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อทำให้เศรษฐกิจ สังคม กลับคืนมาสู่ปกติโดยเร็ววัน เนื่องจากกทม.เป็นพื้นที่ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด  คือการฉีดวัคซีน  เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อ

ในการนี้ เครือซีพี โดยบมจ.ซีพี ออลล์ จะเปิดให้บริการรับลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ผ่านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาในพื้นที่กทม. รวม 3,314 สาขา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 โดยขอให้ประชาชนที่ต้องการลงทะเบียนที่เซเว่นฯ ขอให้ตรวจสอบสิทธิของตนเองก่อน และนำบัตรประชาชน พร้อมโทรศัพท์มือถือไปแจ้งที่เซเว่นฯได้ทุกสาขา พนักงานเซเว่นฯจะอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนสำหรับบุคคลทั่วไปผ่านเว็บไซต์ www.ไทยร่วมใจ.com หรือช่วยดำเนินการให้กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการเองได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้อย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ ทั้งนี้ นอกจากนี้ ได้นำความเชี่ยวชาญของบริษัทในเครือ คือ กลุ่มทรูที่มีการดูแลลูกค้ากว่า 30 ล้านคนมาช่วยสนับสนุนผ่านระบบ Call Center ช่วยให้คำแนะนำปรึกษาให้พี่น้องประชาชนสามารถลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงมากที่สุด

“วิกฤตโควิดครั้งนี้ แม้จะทำให้ทุกคนต้องพบกับความทุกข์มหาศาลที่กระทบกับทุกองค์กร ทุกภาคส่วนและทุกครอบครัว แต่เมื่อผ่านพ้นครั้งนี้ไปได้ เชื่อมั่นว่าจะทำให้เรามีความสามัคคีและเข้มแข็งยิ่งขึ้น” นายนพปฎลกล่าว

“เครือซีพี” ผนึกกำลัง “Plug and Play” บริษัทพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลก ประกาศความร่วมมือส่งเสริมศักยภาพสตาร์ทอัพไทย-ต่างประเทศ หนุนโครงการ Thailand Smart Cities ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมปักหมุดเครือซีพีสู่ผู้นำ “องค์กรแห่งนวัตกรรม”

เครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย ร่วมกับ Plug and Play บริษัทผู้พัฒนาแพลตฟอร์มนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจสตาร์อัพระดับโลกจาก Silicon Valley สหรัฐอเมริกา ประกาศความร่วมมือเพื่อเพิ่มศักยภาพและขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ยั่งยืนภายใต้โครงการ “สมาร์ทซิตี้” ของประเทศไทย (Thailand Smart Cities) โดยมีความร่วมมือกันในประเด็นต่างๆ อาทิ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การสร้างความยั่งยืน (Sustainability) การบริการทางการแพทย์ด้านดิจิทัล (Digital Health) การเชื่อมโยงและเชื่อมต่อข้อมูลทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ต (Internet of Things – IoT) การสร้างพลังงานสะอาด (Clean Energy) การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง (Real Estate & Construction) โดยความร่วมมือของเครือซีพีและ Plug and Play จะสามารถช่วยพัฒนาและผลักดันให้ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและในต่างประเทศมาร่วมเป็นพันธมิตรกับภาคเอกชนไทย เพื่อสร้างทีมนวัตกรรมที่มีศักยภาพและความพร้อมที่จะมุ่งมั่นในการนำแนวคิดใหม่ๆมาสร้างสรรค์และต่อยอดเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

ดร.จอหน์ เจียง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญและสอดคล้องกับนโยบายของเครือฯ ที่จะพัฒนางานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับศักยภาพของเครือซีพีในการดำเนินธุรกิจให้ให้เติบโตเคียงคู่สังคมในหมุดหมายที่จะเป็น “องค์กรแห่งนวัตกรรม” ให้เติบโตทัดเทียมบนเวทีระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับในวาระครบรอบ 100 ปี ที่เครือซีพีมุ่งมั่นขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืนด้วยนวัตกรรมที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะที่ดีให้กับผู้บริโภคและประชาชนในทุกประเทศที่เครือฯเข้าไปดำเนินธุรกิจผ่านประสบการณ์และองค์ความรู้ของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมบริการใหม่ๆ ผ่านโครงการความร่วมมือกับสตาร์ทอัพระดับโลก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางแผนการทำงานของเครือฯที่จะสร้างมูลค่าและโอกาสการเติบโตทางธุรกิจต่อไปในอนาคต โดยที่ผ่านมา Plug and Play เป็นองค์กรแพลทฟอร์มที่มีประสบการณ์ดูแลและสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งจำนวนมากในต่างประเทศ และยังมีความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมากในหลากหลายธุรกิจ

“เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ Plug and Play ในการผสานระหว่างความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือซีพี กับกลุ่มธุรกิจสตาร์อัพที่มีนวัตกรรมใหม่ๆจากทั่วโลกที่จะได้มีโอกาสร่วมลงทุนในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับและขยายระบบนิเวศทางดิจิทัลของทุกธุรกิจในเครือซีพี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนบริการและโซลูชั่นต่างๆในด้านนวัตกรรมของเครือฯให้เติบโตต่อไป” ดร.จอห์น เจียงกล่าว

ขณะที่นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ซึ่งเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัลในประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือกับ Plug and Play จะส่งต่อการมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มธุรกิจในเครือฯซีพี กับบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเพื่อพัฒนาภารกิจด้านนวัตกรรมของเครือฯและคู่ค้า และอีกสิ่งสำคัญคือทำให้เกิดความร่วมมือในการเพิ่มศักยภาพและบ่มเพาะกลุ่มธุรกิจสตาร์อัพของไทยให้เติบโตสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้

ด้าน มร.Shawn Dehpanah รองกรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปฟิก  Plug and Play กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับเครือซีพีในการขยายแพลตฟอร์มนวัตกรรมขององค์กร Plug and Play  โดยเป้าหมายร่วมกันของทั้งสององค์กรคือความร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับองค์กรชั้นนำ ซึ่เราพร้อมที่จะร่วมขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมให้กับกลุ่มธุรกิจของเครือฯอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ ปัจจุบัน Plug and Play มีความร่วมมือดำเนินงานร่วมกับ บริษัท 7 แห่งของไทยในโครงการ Thailand Smart Cities ได้แก่ เครือซีพี, บมจ. กลุ่มปตท., ไทยออยล์ กรุงเทพ, ดุสิตเวชการ, K.E. Group, Filinvest Development Corporation และบางจาก

รพ.สนาม โรงพยาบาลตำรวจ รับมอบเสบียงอาหาร-เครื่องดื่ม-ระบบสื่อสาร เครือซีพี ใช้งบประมาณส่วนหนึ่งจากกรอบโครงการใหญ่ 200 ล้านตามนโยบายเจ้าสัวธนินท์ ผนึกกำลังทุกบริษัทในเครือ ร่วมแสดงพลัง “ซีพีร้อยเรียงความดี” ยึดมั่นในค่านิยมองค์กรที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเพื่อชาติ

จากสถานการณ์โควิด19 ระลอกใหม่ ที่่แพร่ระบาดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการเปิดโรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกลุ่มธุรกิจและบริษัทในเครือ ได้ผนึกกำลังกันภายใต้โครงการ “ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ตามนโยบายของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือฯ ที่ประกาศภารกิจเพื่อชาติสนับสนุนงบประมาณรวม 200 ล้านบาท ดำเนินการสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม และการสื่อสารให้แก่โรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่ ล่าสุดนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือซีพี กล่าวขอบคุณแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ที่เป็นด่านหน้าต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ และ ได้มอบหมายผู้แทนจากบริษัทในเครือ นำโดย นายวรวิทย์ เจนธนากุล กรรมการบริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ

ซีพีเอฟ นายพรเทพ เจียรวนนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียไต๋ จำกัด นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น น.ส.รุจนาฏก์ วิมลสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านบรรษัทสัมพันธ์ เครือซีพีและ ว่าที่ร้อยตรี พรทิพา เรืองฉาง ผู้ชำนาญการอาวุโส บมจ ซีพี ออลล์ ร่วมเป็นผู้แทนเครือฯ ส่งมอบเครื่องอุปโภค บริโภค อาหารพร้อมรับประทาน และอำนวยความสะดวกระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ต รวมทั้งน้ำยายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส (i-Sol Tech) จากเจียไต๋ ให้แก่โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลสนามของรพ.ตำรวจ โดยมี พล.ต.ท.พรชัย สุธีรกุล นายแพทย์ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ และพล.ต.ต. วัชรินทร์ พิภพมงคล นายแพทย์ (สบ. 7) โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้รับมอบ ณ ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ โรงพยาบาลตำรวจ

นายวรวิทย์ เจนธนากุล กรรมการบริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้แทนเครือซีพีกล่าวว่า ภารกิจการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของสังคมและแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลักถือเป็นเป้าหมายภารกิจเพื่อชาติที่จำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกลุ่มธุรกิจและบริษัทในเครือ ตลอดจนผู้บริหารและพนักงานซีพีทุกคนขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจ “ซีพีร้อยเรียงความดี” (CP for Good Deeds) ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์และทุกกลุ่มธุรกิจในเครือได้ร่วมแสดงพลังความดี และความภาคภูมิใจในฐานะองค์กรที่ยึดมั่นในค่านิยม 6 ประการ ผนึกกำลังสร้างความรัก ความสามัคคีส่งกำลังใจให้กับสังคมไทยผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เครือซีพี พร้อมด้วยทุกกลุ่มธุรกิจและพนักงานของเราทุกคนขอส่งความห่วงใยไปยังแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้ารับมือสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 รวมทั้งให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาตัวทุกคน โดยเครือซีพีในฐานะภาคเอกชนที่เคียงข้างสังคมไทยมาตลอด 100 ปี พร้อมระดมสรรพกำลังจากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือมอบเสบียงเติมเต็มพลังกาย พลังใจ เพื่อสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามที่ถือเป็นภารกิจเพื่อประเทศชาติให้ลุล่วงด้วยดี และขอขอบคุณบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลสนามทุกท่านที่ได้เสียสละดูแลสังคมในวิกฤตนี้” นายวรรวิทย์กล่าว

นายมนัสส์  มานะวุฒิเวช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู เร่งนำศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัลและนวัตกรรมเทคโนโลยี อำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ให้ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น  ไม่สะดุด โดยจัดส่งหุ่นยนต์อัจฉริยะ True 5Gเทมิ” ช่วยดูแลผู้ป่วยได้จากระยะไกล ทั้งติดตามอาการและให้คำแนะนำในการรักษา ลดการสัมผัสและความเสี่ยงติดเชื้อ ทำให้สามารถดูแลคนไข้ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมถึงติดตั้งไฟเบอร์อินเทอร์เน็ต และตัวกระจายสัญญาณ WiFi ภายในอาคาร ตลอดจนมอบ True SMART 4G Adventure (Walkie Talkie) พร้อมซิมทรูมูฟ เอชแบบเติมเงิน ให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้โทรและดาต้าฟรี นานปี และเพิ่มความผ่อนคลายด้วยบริการ “ทรูวิชั่นส์ นาว” (TrueVisions NOW) รับชม 24 ช่องดังจากทรูวิชั่นส์ได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชันทรูไอดี โดยมอบรหัสดูฟรีให้ผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังเปิดคอลล์ เซ็นเตอร์เฉพาะกิจ 02-700-9022 เพื่อดูแลเครือข่ายและบริการในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มทรู ที่ต้องการเคียงคู่คนไทยและประเทศไทย ให้ก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

พล.ต.ต. วัชรินทร์ พิภพมงคล นายแพทย์ (สบ. 7) โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพีที่สนับสนุนเสบียงอาหาร 3 มื้อ พร้อมเครื่องดื่ม และสนับสนุนระบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์ในสถานการณ์โควิด-19 นี้ โดยโรงพยาบาลตำรวจให้การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลหลักและการเปิดโรงพยาบาลสนามในพื้นที่โรงพยาบาลตำรวจคู่ขนานกันไปด้วยตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ดำริว่าต้องสนับสนุนภารกิจของประเทศชาติช่วยเหลือทั้งตำรวจและประชาชนที่มีการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังมีผู้ป่วยถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ต้องรับมือและเร่งปฏิบัติหน้าที่สลับเวรกันตลอด 24 ชั่วโมง จึงอยากขอความร่วมมือให้ประชาชนการ์ดอย่าตก ดูแลตัวเองให้เข้มงวดทั้งการใส่แมสก์ ล้างมือด้วยสบู่ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่สาธารณะที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่จะไม่เสี่ยงติดเชื้อ และยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระระบบการแพทย์และสาธารณสุข

ซีอีโอ เครือซีพี รับนโยบาย ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ เดินหน้าสนับสนุน รพ.สนาม-รพ.รามาธิบดี ร่วมสู้โควิด-19 ระลอกใหม่เคียงข้างคนไทยต่อเนื่อง เสริมเสบียงอาหาร น้ำดื่ม พร้อมระบบสื่อสาร แก่ผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ที่่ยังคงแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยกระจายตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่ ปัจจุบันเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ดำเนินการตามนโยบายท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ ภายใต้งบประมาณรวม 200 ล้านบาท สนับสนุนด้านอาหาร น้ำดื่ม และการสื่อสารแก่โรงพยาบาลสนาม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสังคมและช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลัก  โดยเป็นการผนึกกำลังทุกบริษัทในเครือซีพี อาทิเช่น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น บมจ.สยามแม็คโคร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงฯ และกลุ่มธุรกิจพืชไร่ ฯลฯ ในการสนับสนุนภารกิจสำคัญ

ที่ถือเป็นวาระแห่งชาติในครั้งนี้ ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และเชื่อมั่นว่าด้วยพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชนที่ร่วมกันฝ่าคลื่นโรคร้ายที่ยิ่งใหญ่ของโลกในครั้งนี้จะทำให้พวกเราคนไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้อย่างรอดปลอดภัย และในวันนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้นำเสบียงอาหารน้ำดื่มและการสื่อสารส่งมอบแก่โรงพยาบาลสนามในความดูแลของโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นอีกแห่งต่อเนื่องจากที่ได้ดำเนินการก่อนหน้าไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสนามในเครือกองทัพอากาศ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปยัง รพ.สนามอื่นๆ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว

ล่าสุด 5 พ.ค. 2564 เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกลุ่มธุรกิจและบริษัทในเครือฯ โดย นายพงษ์เทพ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงและกิจการไอศกรีม เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายพิชิต ธันโยดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วยนายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ และ น.ส.รุจนาฏก์ วิมลสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านบรรษัทสัมพันธ์ เครือฯ ร่วมเป็นผู้แทนเครือฯ ส่งมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และอำนวยความสะดวกระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตภายใต้ “โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” เพื่อสนับสนุนภารกิจให้แก่โรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์เพื่อช่วยกันรับมือวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยมี ผศ.นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้รับมอบ ณ ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณบดี โรงพยาบาลรามาธิบดี ถนนพระราม 6

นายพงษ์เทพ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงและกิจการไอศกรีม เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ยังคงวิกฤต มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งเครือซีพี ห่วงใยการทำงานของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนอาสาสมัคร ที่เป็นทัพหน้าทุ่มเทการทำงานและเผชิญกับภารกิจที่ต้องเสียสละเพื่อปกป้องคนไทยให้รอดพ้นจากการระบาดระลอกใหม่ โดยเครือฯพร้อมสนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้างคนไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ตามเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ซึ่งดำริให้มี “โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ขึ้นมาเพื่อให้การสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามอย่างเร่งด่วน

“เครือฯ ขอขอบคุณในความเสียสละของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ การสนับสนุนทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และระบบสื่อสาร เพื่อส่งกำลังใจและมอบความปรารถนาดีให้บุคลากรทางการแพทย์ นักรบด่านหน้าที่ต้องแบกรับภารกิจอันหนักหน่วง และให้ผู้ป่วยได้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ซึ่งเครือซีพียังคงมุ่งมั่นระดมสรรพกำลังบริษัทในเครือสานต่อโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ในฐานะภาคเอกชนที่เคียงข้างสังคมไทยมาตลอด 100 ปี เพื่อเคียงข้างไปกับคนไทยทั้งชาติ จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย “นายพงษ์เทพกล่าว

นายพิชิต ธันโยดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู ได้นำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโซลูชันให้แก่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ทั้งแพลตฟอร์ม Teleclinic อำนวยความสะดวกแพทย์ในการนัดหมายและจัดระบบคิวสำหรับผู้ป่วยนอกที่ต้องการปรึกษาแพทย์ โดยสามารถให้คำปรึกษาผ่าน Teleconsult และบริการ Line@telecare ให้ผู้ป่วยรายงานสุขภาพประจำวัน พร้อมจัดทำรายงานผ่าน Dashboard เพื่อให้ทีมแพทย์ใช้ในการดูแลและสื่อสารกับผู้ป่วย ได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด อีกทั้งติดตั้งอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และตัวกระจายสัญญาณ WiFi ภายในอาคาร ตลอดจนมอบซิมทรูมูฟ เอชแบบเติมเงิน เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ใช้ฟรี นาน 1 ปี และเพิ่มความผ่อนคลายด้วยบริการ “ทรูวิชั่นส์ นาว” (TrueVisions NOW) ให้รับชม 24 ช่องดังจากทรูวิชั่นส์ได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชันทรูไอดี โดยมอบรหัสดูฟรีตลอดช่วงกักตัว 15 วัน พร้อมเปิดคอลล์ เซ็นเตอร์เฉพาะกิจ 02-700-9022 เพื่อดูแลเครือข่ายและบริการในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิดด้วย

ผศ.นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพีในความห่วงใยที่ให้กับบุคลากรทางการแพทย์มาโดยตลอดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงขณะนี้ที่เครือซีพียังคงส่งมอบความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นขวัญกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนได้มีแรงที่จะสู้วิกฤตโควิด-19 ร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ

6 พฤษภาคม 2654 – บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ผนึกกำลังกับบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ บมจ.ซีพี ออลล์ และ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น ร่วมมือกับ “สมาคมสหพันธ์ช้างไทย” เปิดโครงการ “คนไทยรักช้าง” เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารและสุขภาพของช้างเลี้ยงและควาญช้างในเครือข่ายของสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยจากทุกภาคส่วนร่วมกันแบ่งปันน้ำใจให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 อย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย นำร่องโดย ซีพีเอฟได้สนับสนุนอาหารช้าง จำนวน 60 ตัน  หรือ 60,000 กิโลกรัม มอบให้แก่สมาคมสหพันธ์ช้างไทย เพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี  นอกจากนี้ กลุ่มทรู ยังสนับสนุนเทคโนโลยีอัจฉริยะทรู 5G ในระบบสื่อสารของรถพยาบาลช้าง พร้อมเปิดช่องทางรับบริจาคจากประชาชน ร่วมแบ่งปันน้ำใจให้ช้าง ผ่านระบบทรูมูฟ เอช แอปทรูยู แอปทรูไอดี และ แอปทรูมันนี่ วอลเล็ท รวมทั้งช่องทางของซีพี ออลล์ ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา  ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจสัตว์บก บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ  กล่าวว่า  สถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลกระทบในวงกว้าง ซีพีเอฟจึงขอเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการคนไทยรักช้าง” ส่งมอบความช่วยเหลือ เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาของปางช้าง ควาญช้าง ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้ ทำให้ช้างขาดแคลนอาหาร โดยใช้ศักยภาพและประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ สนับสนุนอาหารช้าง จำนวน 60 ตัน  หรือ 60,000 กิโลกรัม ผ่านสมาคมสหพันธ์ช้างไทย  เพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี  ซึ่งอาหารช้างที่ส่งมอบในครั้งนี้  ผลิตโดยโรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จ.สระบุรี ของซีพีเอฟ ได้ปรับสายการผลิตเพื่อมาผลิตอาหารช้างเอราวัณ กระจายให้ปางช้าง กำหนดส่งมอบรวม 3 งวด งวดละ 20 ตัน เป็นอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการอาหารสัตว์ ทั้งโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ช่วยส่งเสริมให้ช้างมีสุขภาพดี แข็งแรง เติบโตตามธรรมชาติ  สามารถกินควบคู่กับอาหารหยาบ เช่น กล้วย อ้อย หญ้า ซึ่งเป็นอาหารหลักของช้างได้ดี ช่วยบรรเทาปัญหาในภาวะขาดแคลนอาหารที่ใช้เลี้ยงช้างจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 

“ซีพีเอฟ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการคนไทยรักช้าง และมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระ บรรเทาปัญหาของปางช้าง ควาญช้าง และช่วยเหลือช้างที่ขาดแคลนอาหารในช่วงโควิด -19 ” นายสิริพงศ์กล่าว

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านการศึกษา บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู ในฐานะภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างคุณค่าแก่สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้นำศักยภาพนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ร่วมสนับสนุนโครงการ “คนไทยรักช้าง” โดยนำเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G สนับสนุนระบบสื่อสารในรถพยาบาลช้าง ที่จะส่งสัญญาณภาพความละเอียดสูงเพื่อช่วยให้สัตวแพทย์ สามารถติดตามอาการของช้างและแนะนำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบเรียลไทม์ผ่านกล้องมอนิเตอร์ที่ติดในรถ ในกรณีที่ต้องมีการส่งตัวช้างที่มีอาการป่วยหรือจำเป็นต้องขนย้ายไปจุดต่างๆ ให้กับคนที่ดูแลช้างหรือควาญช้างระหว่างการเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยให้การรักษาช้างทันท่วงทีมากขึ้น รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ Tracking เพื่อตรวจสอบเส้นทางรถพยาบาลซึ่งจะแสดงผลผ่านสมาร์ทโฟน 5G และคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังนำศักยภาพความเป็นสื่อมาช่วยผลิตสปอต พร้อมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในเครือ อาทิ TNN16 ทรูโฟร์ยู ทรูปลูกปัญญา ทรูวิชั่นส์ และสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังเปิดช่องทางรับบริจาคผ่านระบบทรูมูฟ เอช แอปทรูยู แอปทรูไอดี และ แอปทรูมันนี่ วอลเล็ท

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการบริการความสะดวกเป็นช่องทางในการรับบริจาคภายใต้แคมเปญ “ร่วมแบ่งมื้อให้ช้างพ้นโควิด” ในโครงการ “คนไทยรักช้าง” ผ่านช่องทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมาจนถึงวันที่31 ธันวาคม 2564 เพื่อนำไปช่วยเหลือช้างไทยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆตามความเหมาะสมเร่งด่วน เพื่อให้ช้างไทยก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปพร้อมกัน

ด้านนายธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีช้างเลี้ยงจำนวน ประมาณ 3,800 เชือก และเคยมีปางช้างก่อนวิกฤตโควิด-19 ถึง 250 ปาง ซึ่งก่อนหน้านี้ธุรกิจปางช้างถือเป็นหนึ่งในธุรกิจการท่องเที่ยวที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยนับหมื่นล้านบาทต่อปี  แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่อง  ส่งผลให้ช้างและควาญช้างตามปางช้างทั่วประเทศประสบปัญหาขาดรายได้ที่เคยได้รับจากนักท่องเที่ยว ทำให้ช้างเลี้ยงกว่า 3,000 เชือกขาดแคลนอาหาร ปางช้างส่วนใหญ่ปิดตัวลงชั่วคราว ช้างเป็นจำนวนมากตกงานและเคลื่อนย้ายออกจากปางเพื่อกลับถิ่นฐาน ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานระดมทุนบริจาคแต่ไม่เพียงพอ โดยแต่ละวันช้างเลี้ยงต้องการหญ้าและอาหารที่เหมาะสมอย่างน้อยวันละ10% ของน้ำหนักตัวหรือประมาณ 200-300 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน  มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 10,000-15,000 บาทต่อตัว  อย่างไรก็ตาม สมาคมสหพันธ์ช้างไทยและเครือข่ายได้ดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ควาญช้างและช้างด้วยการจัดส่งอาหารไปให้ช้างแล้วจำนวน 1,699 เชือก แต่ยังคงเหลือช้างเลี้ยงอีกจำนวนมากที่ยังต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นทางเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ เข้ามาร่วมให้การสนับสนุนอาหารเสริมสำหรับช้างและเปิดช่องทางรับบริจาคช่วยเหลือช้างในครั้งนี้ มีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤตที่ยังคงต่อเนื่องนี้ได้เป็นอย่างดี  ทางสมาคมฯ จึงขอเชิญชวนคนไทยร่วมด้วยช่วยกันในการช่วยเหลือช้างและปางช้างให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

สมาคมสหพันธ์ช้างไทยและเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอเชิญชวนให้คนไทยช่วยกันแบ่งปันคนละเล็กคนละน้อยเพื่อให้ช้างไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 โดยสามารถบริจาคเงินโดยตรงเข้าบัญชี สมาคมสหพันธ์ช้างไทยเพื่อคนไทยรักช้าง ธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกสนามบิน เชียงใหม่ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 092-1-98873-7 หรือ บริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถบริจาคผ่านระบบทรูมูฟ เอช โดยกด *948*1303*10# โทรออกเพื่อบริจาค10 บาท *948*1303*100# โทรออกเพื่อบริจาค 100 บาท ผ่านแอปทรูยู โดยใช้ 100 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 10 บาท 500 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 50 บาท และ 1,000 ทรูพอยท์ แทนเงินบริจาค 100 บาท ผ่านแอปทรูไอดี โดย สแกน QR Code  https://tmn.app.link/TEAA01 และผ่านแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยบริจาคได้ทุกเครือข่าย

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัยใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยซีพี  ได้เปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมาและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรีแก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล และประชาชนกลุ่มเปราะบาง  ไปแล้วกว่า 11 ล้านชิ้น และปัจจุบันยังผลิตหน้ากากอนามัยมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเป็นประจำทุกเดือนๆ ละกว่า 300,000 ชิ้น นอกจากนี้ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทในเครือยังร่วมสนับสนุนการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยซีพีแก่กลุ่มผู้เปราะบางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่ต้องการให้บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมหลังผ่านวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพื่อนำผลกำไรที่เกิดขึ้นมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยต่อไป

ทั้งนี้ ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ ยังคงผลิตหน้ากากอนามัยฟรีมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเป็นประจำทุกเดือนๆ ละกว่า 300,000 ชิ้น  และแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรีผ่านโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ครอบคลุมโรงพยาบาล มูลนิธิ  และองค์กรการกุศลกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฎิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ได้นำไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย และสามารถนำหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย รวมถึงการส่งมอบหน้ากากอนามัยซีพีให้กับสถานทูตลาว กัมพูชาและเวียดนาม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มแรงงานที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และในช่วงที่ผ่านมา ได้ขยายการส่งต่อความห่วงใยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมอบหน้ากากอนามัยซีพีจำนวน 1 ล้านชิ้นให้แก่รัฐบาลเมียนมาเพื่อแจกจ่ายไปยังประชาชนชาวเมียนมาในช่วงที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิดระบาด

ในการนี้ ศาสตราจารย์ นพ. ซอ ตัน ตุน  อธิบดีกรมวิจัยทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขและการกีฬา  สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา กล่าวว่า ขอชื่นชมพร้อมขอบคุณที่เครือซีพี  ได้เล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่เมียนมา  เพื่อใช้ในการป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อดังกล่าว  โดยทางกระทรวงฯจะดำเนินการจัดสรรหน้ากากอนามัยที่ได้รับจากซีพีไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการเร่งด่วนในกลุ่มแพทย์ พยาบาล บุคลาการทางการแพทย์ และประชาชนเมียนมา เพื่อใช้ป้องกันโควิด-19 ต่อไป

นายเชิดเกียรติ อัตถากร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  กล่าวว่า หน้ากากอนามัยที่ได้รับจากเครือซีพี ถือเป็นขวัญกำลังใจและให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ที่ยังมีความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงการต่างประเทศจะนำไปมอบให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศทั่วโลก รวมทั้งหน่วยงานทีมประเทศไทย ซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะด่านหน้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ด้านพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  กล่าวว่า หน้ากากอนามัยที่ได้รับมอบจากเครือซีพี ได้เร่งนำไปแจกจ่ายกับกลุ่มผู้เปราะบางที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย รวมไปถึงอาสาสมัครในพื้นที่  เพราะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นหน้ากากอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็นในเวลานี้ที่จะช่วยป้องกันไวรัส

นางสาวจิราภรณ์ ศรไชย  รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล โรงพยาบาลสงฆ์  กล่าวว่า ปัจจุบัน โรงพยาบาลมีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยไม่ต่ำกว่าวันละ 600 ชิ้น ซึ่งเครือซีพีเป็นองค์กรเอกชนที่ตระหนักถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ และมีบทบาทสำคัญในการเร่งสร้างโรงงานหน้ากากอนามัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ขณะที่บาทหลวงเทพรัตน์ ปิติสันต์ อธิการเจ้าคณะนักบวชซาเลเซียน ประเทศไทย  กล่าวว่า  หน้ากากอนามัยซีพีที่ได้รับมานี้  ได้นำไปแจกจ่ายฟรีแก่โรงเรียนและสถาบันต่าง ๆ ในครอบครัวซาเลเซียนจำนวน 30 แห่งทั่วประเทศไทย  โดยเฉพาะเยาวชนที่ยากจนและด้อยโอกาส  พร้อมขอบคุณเครือซีพีที่เล็งเห็นความสำคัญโดยเฉพาะกับกลุ่มคนเปราะบางที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด

น.ส.ปิยธิดา นิยม ผู้อำนวยการเขตคลองเตย  กล่าวว่า  ชุมชนคลองเตยเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่  ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนที่ไม่สามารถจัดหาหรือเปลี่ยนหน้ากากอนามัยได้บ่อยๆ  รวมถึงกลุ่มคนเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19  ได้ง่าย  ซึ่งการได้รับมอบหน้ากากอนามัยถือว่ามีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดและป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด 19  

สำหรับหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดย บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่เรียกว่า Surgical Mask จัดอยู่ในกลุ่มของอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางการแพทย์จึงมั่นใจได้เต็มที่ในการใช้ป้องกันโรคโควิด-19 โดยได้รับการรับรองจาก  Nelson Labs องค์กรมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์จากสหรัฐอเมริกาถึงคุณภาพมาตรฐานหน้ากากอนามัยซีพี ตอกย้ำความมั่นใจในการใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี