อย่างที่ได้ยินกันมาว่า “ข้าว” เป็นอาหารที่มีน้ำตาลสูง การกินข้าวเยอะทำให้อ้วน และส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมถึงอาจจะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้

เมื่อ “ข้าว” ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยและคนในภูมิภาคเราตกเป็น “ผู้ต้องหา” ที่ทำให้อ้วน แล้วเราจะกินข้าวอย่างไรไม่ให้ข้าวทำร้ายร่างกาย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ทำการวิจัยและค้นพบกรรมวิธีในการดัดแปลงโครงสร้างเคมีของข้าวเจ้า ออกมาเป็น ข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ (low GI : low glycemic index) ผ่านกระบวนการการควบคุมอุณหภูมิซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างทางเคมีของข้าว โดยไม่ใช้สารเคมี

 กรรมวิธีดัดแปลงโครงสร้างเคมีของข้าวเจ้าออกมาเป็นข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ เริ่มจากนำข้าวเจ้าไปผ่านกระบวนการให้ความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสมด้วยวิธีการนึ่ง แล้วทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วผ่านการแช่เย็น และนำมาอบแห้งอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางเคมีสามารถทนทานต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้ถูกย่อยสลายช้า ร่างกายเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและดูดซึมได้ช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มนาน

การวิจัยและกรรมวิธีนี้สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวได้กว่า 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวเจ้าทั่วไป และเมื่อนำไปป่นให้เป็นแป้งข้าวเจ้า สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลได้ต่ำในระดับเทียบเท่ากับข้าวกล้อง และข้าวไรซ์เบอรี่ ที่เหล่าคนรักสุขภาพนิยมรับประทานกัน

ผศ.ดร.นภัสรพี เหลืองสกุล รองคณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ให้ข้อมูลว่า โดยปกติข้าวที่เรารับประทานทั่วไปมีค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ที่ 85 ขึ้นไป ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง แต่ทีมวิจัยสามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวเจ้าลงมาอยู่ที่ระหว่าง 65-75 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มดัชนีน้ำตาลระดับกลาง โดยผ่านกรรมวิธีที่ไม่ต้องใช้สารเคมี จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผลกระทบและสารตกค้างภายในร่างกายอย่างแน่นอน

ระดับน้ำตาลที่ลดลงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดและสายพันธุ์ของข้าวนั้น ๆ สายพันธุ์ข้าวที่สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลลงมาได้สูงที่สุด คือ ข้าวเสาไห้ และหากนำไปป่นเป็นแป้งข้าวเจ้าจะสามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลลงมาอยู่ระหว่าง 50-55 ซึ่งจัดอยู่ในระดับต่ำ

แม้ว่าในท้องตลาดจะมี ข้าวกล้อง-ข้าวไรซ์เบอรี่ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะ ที่ไม่สามารถรับประทานข้าวชนิดดังกล่าวได้ เนื่องจากมีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง เกินปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย ซึ่งส่งผลต่อระบบหน่วยไตที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น อาจก่อให้เกิดนิ่วในไต และเสี่ยงต่อภาวะไตวาย

อันเป็นโรคแทรกซ้อนอันดับต้น ๆ ของผู้ป่วยโรคดังกล่าว นวัตกรรมข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำนี้ จึงตอบโจทย์การควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้รับการรักษายังสามารถคงพฤติกรรมการบริโภคข้าว อาหารหลักหัวใจชาวไทย ที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้อ โดยไม่ถูกจำกัดปริมาณ ซึ่งส่งผลดีต่อการรักษาทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจ

“ปัจจุบันการวิจัยอยู่ระหว่างกระบวนการนำไปทดสอบและใช้รักษาจริง (clinical test) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้อย่างแพร่หลาย รวมถึงสามารถ

ต่อยอดนวัตกรรมทางการเกษตรดังกล่าวไปเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ อาทิ แป้งข้าวเจ้า

สำหรับใช้ประกอบอาหารและทำขนมเพื่อสุขภาพ ที่สามารถลดปริมาณน้ำตาล หรือข้าวกึ่งสำเร็จรูปน้ำตาลต่ำพร้อมรับประทาน เพื่อเป็นตัวเลือกบริโภคสำหรับประชาชน และลดอัตราเสี่ยงการป่วยเป็นโรคเบาหวานในอนาคต” ผศ.ดร.นภัสรพีกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ข้าวจะมีน้ำตาลสูงและทำให้อ้วน แต่ก็อยู่บนตัวแปรที่ว่า คุณกินมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าคุณกินเข้าไปพอดีกับที่ร่างกายต้องใช้พลังงานในแต่ละวัน ก็ไม่จำเป็นต้องสรรหาวิธีลดแป้ง ลดน้ำตาลอะไรให้ยุ่งยาก และไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วน จะน้ำตาลสูง กินได้สบายใจ แค่ต้องรู้ปริมาณที่พอเหมาะ

 


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

เพราะอาหารดีไม่เพียงแต่ให้ความอร่อยลิ้นอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้สุขภาพดี และสร้างชีวิตให้ยืนยาวได้

ในหนังสือ “กินเปลี่ยนชีวิต ด้วยอาหาร 100 ชนิดจากธรรมชาติ” จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ให้รายละเอียดของอาหารเพื่อสุขภาพตำรับ “ไต้หวัน” ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเป็นการรวบรวมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั้งนักโภชนาการ แพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แผนจีนไต้หวัน จัดเรียงเป็นอันดับสุดยอดอาหารไว้อย่างเข้าใจง่าย

ลองมาดูกันว่า อาหารเพื่อสุขภาพยอดนิยม 10 อันดับที่ต้องกินให้ได้ มีอะไรกันบ้าง

อันดับ 10 ปลาทูน่า มีโปรตีนที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไขมันต่ำ มีกรดไขมัน EPA และ DHA ที่ช่วยในการทำงานของเซลล์สมอง หากกินคู่กับผักผลไม้สีเขียวและสีเหลืองที่มีแคโรทีนจะช่วยบำรุงสมองและป้องกันมะเร็ง ไม่ควรกินปลาทูน่าคู่กับธัญพืชหรืออาหารจำพวกถั่วที่มีกรดไฟติก เพราะสารทั้ง 2 ชนิดนี้จะจับตัวกันกลายเป็นสารที่ละลายยาก ขัดขวางการดูดซึมโปรตีนของร่างกาย
ปลาทูน่า

อันดับ 9 ไข่ไก่ มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการเกือบทุกชนิด โปรตีนในไข่ให้กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ ยังมีดีเอ็นเอเลซิทิน วิตามินเอและบี การกินไข่ไก่ที่มีวิตามินอีคู่กับผักผลไม้สดที่มีวิตามินซี ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแอนติออกซิแดนต์ ป้องกันโรคมะเร็ง ชะลอความแก่ได้ ไม่ควรกินไข่ไก่คู่กับชาหรือผลไม้บางชนิดที่มีกรดแทนนิก เพราะจะทำให้การบีบตัวของลำไส้ช้าลงจนเกิดอาการท้องผูก

อันดับ 8 ถั่วเหลือง (รวมถึงเต้าหู้และน้ำเต้าหู้) อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองอุดมไปด้วยกรดอะมิโน แคลเซียมเลซิทิน และสารฟลาโวนอยด์ที่ร่างกายต้องการ ช่วยให้เซลล์สมองเจริญเติบโต ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ ไม่ควรกินถั่วเหลืองที่มีกรดไฟติกคู่กับตับหรือเนื้อสัตว์ที่มีธาตุเหล็ก เพราะกรดไฟติกจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง


ปวยเล้ง

อันดับ 7 ปวยเล้ง อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร มีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยให้สมองของเด็กเล็กเจริญเติบโต บำรุงรักษาสายตาการกินปวยเล้งที่มีวิตามินเอคู่กับธัญพืชเมล็ดของผลไม้เปลือกแข็งและผักสีเขียวที่มีวิตามินอี จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอได้ดีขึ้น หากกินปวยเล้งที่มีกรดออกซาลิกคู่กับปลาที่มีก้างหรือปลาแห้งที่มีแคลเซียม สารทั้ง 2 ชนิดนี้จะจับตัวกันกลายเป็นสารแคลเซียมออกซาเลตส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายซึ่งอาจทำให้เป็นโรคนิ่วได้

อันดับ 6 ฮ่วยซัว มีสารโดพามีน ซาโปนิน มิวโคโปรตีน และเยอร์มาเนียม ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายหรือเพิ่มจำนวน ปกป้องผนังกระเพาะอาหาร การกินฮ่วยซัวที่มีเส้นใยอาหารคู่กับไข่และนมที่มีกรดทอรีน หรือปลา กุ้ง และหอย ช่วยบำรุงตับและหัวใจ ลดคอเลสเตอรอลได้ แต่หากกินฮ่วยซัวที่อุดมไปด้วยแป้งคู่กับชาเข้ม หรือผลไม้ที่มีสารแทนนิน สารทั้ง 2 ชนิดจะรวมตัวกันกลายเป็นลิ่มที่ย่อยยาก ผู้มีแก๊สในกระเพาะอาหารไม่ควรกิน เพราะจะทำให้กระเพาะและลำไส้ปั่นป่วน

อันดับ 5 แอปเปิล สุดยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ เพราะเส้นใยอาหารและโพแทสเซียมในแอปเปิลช่วยให้กระเพาะและลำไส้บีบตัว กระตุ้นให้ของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดเลว บำรุงเส้นเลือด ลดอัตราการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ กินคู่กับผักสีเขียว เมล็ดของผลไม้เปลือกแข็ง และธัญพืชที่มีวิตามินอีธาตุซีลีเนียมในแอปเปิลจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของแอนติออกซิแดนต์และระบบภูมิคุ้มกัน และในแอปเปิลมีกรดแทนนิก จึงไม่ควรกินคู่กับปลาที่มีก้างหรือปลาแห้งที่มีแคลเซียม เพราะจะกลายเป็นสารชนิดหนึ่งที่ย่อยยาก ทำให้กระเพาะและลำไส้ปั่นป่วน


สาหร่ายทะเล

อันดับ 4 สาหร่ายทะเล อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ แคลอรีต่ำ มีประโยชน์ในการขจัดสารพิษกระตุ้นเมแทบอลิซึม ลดความเครียดและวิตกกังวล ในสาหร่ายทะเลมีแคลเซียมสูง เมื่อกินคู่กับผักใบเขียว อาหารจำพวกไข่และนมที่มีวิตามินเคจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเคได้ดีขึ้น บำรุงกระดูก กระตุ้นการแข็งตัวของเลือด

อันดับ 3 มันเทศ มีเส้นใยที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่มย่อยง่าย ทำให้ขับถ่ายคล่อง มีส่วนช่วยในการขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย รวมถึงป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งมันเทศจึงได้ชื่อว่าเป็น “พืชแห่งการต้านมะเร็ง” หากกินคู่กับผลไม้เปลือกแข็งและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันจะช่วยให้วิตามินเอในมันเทศดูดซึมได้ดีขึ้น

อันดับ 2 หอมหัวใหญ่ หรือ “ราชินีแห่งผัก” มีคุณสมบัติควบคุมสารก่อมะเร็ง อุดมไปด้วยสารเควอซิติน และสารประกอบซัลเฟอร์หลายชนิด หากกินคู่กับเนื้อสัตว์หรือเครื่องในสัตว์ที่มีวิตามินบี 1 ช่วยเสริมประโยชน์ของวิตามินบี 1 คลายความเมื่อยล้า กระตุ้นการเจริญเติบโต ไม่ควรกินหอมหัวใหญ่คู่กับผลไม้ที่ไม่ปอกเปลือก เพราะเมื่อผ่านการย่อยจะทำให้เกิดสารที่ทำให้ต่อมไทรอยด์บวม

และ อันดับ 1 ข้าวกล้อง ข้าวมหัศจรรย์เพื่อสุขภาพ แหล่งพลังงานชั้นยอด อุดมไปด้วยวิตามินกลุ่มบีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเส้นใยอาหารที่ช่วยขจัดสารพิษ ทั้งยังมีแร่ธาตุมากมายรวมทั้งเอนไซม์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพกายใจ เรียกได้ว่ามีสารอาหารที่ร่างกายต้องการหลายชนิด หากนำมากินคู่กับต้นหอม กระเทียม หอมหัวใหญ่ กุยช่ายที่มีสารอัลลิซิน จะช่วยเสริมประโยชน์ของวิตามินบี 1 ช่วยบำรุงผิวพรรณ ไม่ควรกินข้าวกล้องคู่กับอาหารทะเลที่มีเอนไซม์ย่อยวิตามินบี 1 เนื่อง จากวิตามินบี 1 ในข้าวกล้องจะถูกทำลาย

เพราะใน “อาหาร” มี “สารอาหาร” หลายประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ละประเภทยังให้ประโยชน์ต่างกัน หากรับเข้าสู่ร่างกายมากหรือน้อยเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้ ฉะนั้น หัวใจสำคัญของการกินคือ “สมดุลของสารอาหาร”

กินให้ตรงเวลาในปริมาณที่เหมาะสม รักษาสมดุล อีกหนึ่งเคล็ดลับช่วยให้ชีวิตยืนยาว

 


ที่มา เซคชั่นประชาชื่น มติชนรายวัน