กระทียม ยากำลังคู่แข่งถั่งเชา

กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีเรื่องราวอยู่ในแทบทุกวัฒนธรรม กระเทียมเป็นทั้งเครื่องเทศ ยา และเครื่องราง มีความเชื่อกระเทียมมีพลังป้องกันภูตผีปีศาจ โรคร้าย หรือโชคร้ายต่างๆ ดังนั้นชาวเรือจะพกกระเทียมไปด้วยเวลาออกเรือ เพื่อป้องกันเรือล่ม ชาวบ้านใช้กระเทียมกำจัดภูตผีในการขึ้นบ้านใหม่ ใช้สะเดาะเคราะห์ ทหารโรมันจะเคี้ยวกระเทียมเวลาออกศึก เพราะเป็นสมุนไพรประจำตัวของเทพมาร์ส (Mars)เทพเจ้าแห่งสงคราม นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า กระเทียมเป็นยากระตุ้นกำหนัด กระเทียมโทนดองน้ำผึ้งจึงเป็นของคู่บ้านคนไทยในอดีต

ในทางยา กระเทียมเป็นสมุนไพรรสร้อน บำรุงไฟธาตุ บำรุงกำลัง จึงช่วยในโรคเกี่ยวกับการกำเริบของลม เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง ปวดเมื่อย มือเท้าตาย เคลื่อนไหวไม่สะดวก ลดการกำเริบของน้ำหรือเสมหะ เช่น หอบหืด ไอมีเสมหะ อาการบวม เป็นต้น

กระเทียม กำจัดเชื้อโรคที่เป็นพิษ

คนไทยนั้นกินกระเทียมกันทุกวัน เพราะใช้เป็นเครื่องเทศและส่วนประกอบในอาหารสารพัด ถือเป็นของคู่ครัวที่ขาดไม่ได้ คนไทยยังนำกระเทียมมาใส่ในเนื้อสดๆ เพื่อถนอม เช่น ในการทำแหนม เพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่ไม่เป็นอันตรายต่อเชื้อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารที่เรียกว่า โปรไบโอติกส์ (Probiotics)ความรู้ใหม่ๆ ยังพบว่ากระเทียมเป็นพนักงานทำความสะอาดเส้นเลือดชั้นเยี่ยม ป้องกันไขมันสะสมในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ปัจจุบันมีการใช้กระเทียมเป็นยาสมุนไพรไปทั่วโลก สรรพคุณเด่นๆ ของกระเทียมที่ใช้กันคือ ลดโคเลสเตอรอล ลดการแข็งตัวของเลือด ลดความดัน ลดการปวดเกร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รา และไวรัส ต้านมะเร็ง เป็นต้น

กระเทียม ยอดเยี่ยมเรื่องท้อง

ในการแพทย์แผนไทย กระเทียมมีรสร้อน ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องอืดเฟื้อ ทำลายสารพิษ เหมาะเป็นเครื่องเทศ มีงานวิจัยพบว่ากระเทียมช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ผู้ป่วยที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารลดน้อยลงหรือระบบย่อยอาหารไม่ดี ควรกินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้อาการดีขึ้น และมีแนวโน้มว่า กระเทียมจะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

ตำรับยา

ยาจุกเสียดแน่นท้อง – กระเทียม 5-7 กลีบ บดละเอียด เติมน้ำส้มสายชูแท้ 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลลิลิตร) เกลือและน้ำตาลนิดน่อย ผสมให้เข้ากัน เอาแต่น้ำดื่ม

ยาลมในท้อง ท้องอืดบวม – นำใบคนทีสอมายำใสกระเทียมกิน ให้ใส่กระเทียมเยอะๆ

กระเทียมดองสูตรโบราณดั้งเดิม

ส่วนประกอบ – กระเทียม 1 กิโลกรัม เกลือทะเล 3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง

วิธีทำ

1.ปอกกระเทียม ล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ

2.ใส่กระเทียมในโหลสะอาด เหลือที่ว่างจากโหลประมาณ 1 นิ้วครึ่ง

3.เติมเกลือ 3 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำผึ้งจนท่วมกระเทียม แต่อย่าให้เต็มโหล

4.ปิดฝาให้สนิท ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ถ้าไม่สนิทอาจเป็นราได้

5.ทิ้งไว้ 1 เดือน จึงนำมารับประทาน

กระเทียมดอง สูตรโอท๊อป

ส่วนประกอบ – กระเทียม 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 2 ถ้วย เกลือป่น 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ½ ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ถ้วยตวง น้ำ 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1.ปอกกระเทียม ถ้าเป็นกระเทียมแห้งแช่ น้ำทิ้งทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

2.ต้มน้ำให้เดือด เติมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือป่น และน้ำผึ้งลงไป
คนให้ละลาย ทิ้งไว้ให้เย็น

3.นำกระเทียมที่ปอกใส่โหลที่สะอาด ให้เหลือที่ว่างประมาณ 1 นิ้วครึ่ง

4.เติมน้ำดองลงไปในโหลขวด กะให้พอดีแต่อย่าให้เต็มโหล กระเทียมจะลอยขึ้นมา

5.ปิดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้ราขึ้น

6.ทิ้งไว้ 1 เดือน จะหวานพอดี แต่ 3 อาทิตย์ก็รับประทานได้ แต่จะมีรสเผ็ดเล็กน้อย

กระเทียมโทนดอง (สูตรไทยใหญ่)

ส่วนประกอบ – กระเทียมโทน เกลือ พริกขี้หนูสด น้ำอ้อยก้อน หรือน้ำผึ้ง

วิธีทำ

นำกระเทียมโทนมาล้างทำความสะอาด เลือกหัวที่เน่าออก ไม่ต้อง
แกะเปลือกออก คลุกกับเกลือในอัตราส่วน กระเทียมโทน 1.6 กิโลกรัมต่อเกลือ 80 กรัม เมื่อเข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ 3 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วเอาออกมาล้างกับน้ำเปลือกจะหลุดออกมา ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ นำมาปรุงรสด้วยเกลือ พริกขี้หนูแดงสด น้ำอ้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน เก็บใส่ขวดโหล

วิธีกินกระเทียมเพื่อบำรุงร่างกาย

วิธีที่ 1 นำกระเทียม 3 กลีบ ปอกเปลือก ทุบพอแตก กินกับน้ำอุ่นหลังอาหารเช้า

วิธีที่ 2 กินกระเทียมสดพร้อมกับอาหาร ทั้ง 3 มื้อ

น่ารู้

-การใช้ประโยชน์ทางยาจากกระเทียมนั้น ต้องบดกระเทียมให้ละเอียด เพื่อให้สาร alliin ในกระเทียมเปลี่ยนเป็นสารออกฤทธิ์ allicin อย่างเต็มที่

-กระเทียมบดแล้วต้องกินทันทีไม่ทิ้งไว้นาน เพื่อโอสถสารจะได้ไม่สลายตัว

-บางท่านอาจจะแพ้กระเทียม มีทั้งอาการแพ้ทางผิวหนัง หอบหืด ผู้แพ้ละอองเกสรดอกไม้มีโอกาสแพ้กระเทียมมากกว่าคนปกติ

-หากกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดอยู่ ให้ระวังการรับประทานกระเทียม เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ยาดังกล่าว

-ท่านที่รับประทานกระเทียมเป็นประจำ หากต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรแจ้งแพทย์ทราบ เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดไม่แข็งตัวหลังการผ่าตัด

-ผู้ที่มีธาตุร้อนเป็นเจ้าเรือน คือ มีอาการหน้าแดง คอแห้ง ท้องผูก ร้อนในกระหายน้ำ กระเพาะอาหารเป็นแผลหรืออักเสบเรื้อรัง มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ไม่ควรกินหรือกินได้เล็กน้อย

-ดับกลิ่นกระเทียมดิบในปาก ให้เคี้ยวใบชา หรือใช้น้ำชาแก่ๆ บ้วนปาก หรือคี้ยวพุทราจีน 2-3 เม็ด หรือยี่หร่า 3-4 เม็ด หรือถั่วเขียว 4-5 เม็ด

-กระเทียมดองทำให้กินกระเทียมได้ง่ายขึ้น แม้ไม่มีสารออกฤทธิ์ allicin แต่มีสาร S-allycysteine ที่ออกฤทธิ์ได้เช่นกัน

-กระเทียมควรรับประทานพร้อมโปรตีน เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร และไม่ควรรับประทานกระทียมตอนท้องว่าง


ที่มา หนังสือบันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

มะม่วงเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับสังคมชนบทในสมัยก่อน เพราะปลูกง่าย ทนแล้ง ไม่ต้องดูแลอะไรมาก ยิ่งมะม่วงพื้นบ้าน เช่น แก้ว พิมเสน อกร่อง ทองดำ หนังกลางวัน แรด หัวเงน แก้มแหม่ม แก้วลืมคอน หอมทุเรียน กระบอก สำปั้น ปลาซิว ขี้ซี สามฤดู มีสารพัดสายพันธุ์จนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ละพันธุ์มีกลิ่นรสแตกต่างกันออกไป มะม่วงยังเป็นต้นไม้อายุยืนยาว ปลูกรุ่นทวดรุ่นเหลนยังได้กิน ทนทานจริงๆ จะมีก็แต่กาฝาก ถ้าต้นแก่ๆ เปลือกหนาๆ กาฝากก็ยังเจาะไม่ลง

กาฝากมะม่วงนั้นนิยมเอาไปทำยา โดยเอาไปตากแห้งเก็บไว้ต้มกินเป็นยา แรกๆ ยังไม่มีความรู้ว่าทำไมจึงเป็นยา ต่อมาพ่อหมอยาสอนว่ากาฝากมะม่วงนี้ดีนัก มะม่วงมีสรรพคุณอะไร สรรพคุณพวกนั้นก็ถูกกาฝากดูดมาอยู่ในตัวหมด ตั้งแต่เป็นยาลดความดันโลหิต ยาแก้ปวดเมื่อยยาบำรุงร่างกาย ป้องกันโรคภัยได้สารพัด ถ้าเป็นตามคำของหมอยาพื้นบ้านก็หมายความว่า ถ้ากาฝากต้นไม้ชนิดหนึ่งมีสรรพคุณอะไร ก็เชื่อมโยงไปได้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นน่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน แต่บ้านเราไม่ค่อยใช้กิ่ง ใบ ต้น หรือรากของมะม่วงเป็นยา นิยมใช้กาฝากมากกว่าโดยเฉพาะกาฝากมะม่วงกะล่อน เดี๋ยวนี้กาฝากมะม่วงหายากขึ้น ถ้าหากาฝากไม่ได้ ก็ใช้กิ่งใบของมะม่วงแก้ขัดได้

มะม่วง ผลไม้สุขภาพดี มีรสชาติ

มะม่วงเป็นผลไม้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของชีวิตเด็กบ้านนอก เมื่อใดที่ลมฝนพัดมาเด็กๆ จะคว้าตะกร้าวิ่งไปที่ต้นมะม่วงกะล่อนสูงใหญ่ที่บริเวณหัวไร่ปลายนา คอยเก็บลูกที่ร่วงเอามากวน เวลากวนมะม่วงกะล่อนจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน มะม่วงหลักๆ ที่ปลูกไว้ทุกบ้านคือ แก้ว พิมเสน และอกร่อง พันธุ์อื่นๆ อาจจะเบี้ยวออกปีเว้นปีบ้าง แต่สามพันธุ์นี้มาตามนัดตลอด อกร่องบางปีลูกอาจจะน้อย แต่ก็มาอยู่ดี

มะม่วงแก้วกินได้หลายแบบ ดิบก็ไม่เปรี้ยวมาก กินกับน้ำปลาหวานอร่อย และอร่อยสุดตอนสุกปากตะกร้อ ต้องกินเดี๋ยวนั้น กรอบข้างนอกหวานข้างใน คนสมัยใหม่ไม่มีทางรู้ มะม่วงแก้วจะเอามาดองเก็บไว้กินได้ทั้งปี แต่ถ้าเอามากวนจะแข็งมาก ส่วนพิมเสนกินดิบเปรี้ยวจี๊ด เอาไว้กินสุก หรือควรเก็บไว้กินแต่ไม่อยู่ตลอดปี เพราะกินหมดก่อน

ส่วนอกร่องกินดิบไม่อร่อย กวนก็ไม่อร่อย เนื้อเป็นทรายๆ ต้องกินกับข้าวเหนียวมูล ข้าวเหนียวมะม่วงอกร่องนี้นับเป็นสุดยอดของอร่อยอย่างหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ไม่ใช่ความอร่อยอย่างเดียวที่ทำให้อาหารหวานตำรับนี้น่าทึ่ง แต่กะทิที่ใส่ลงไปยังช่วยในการดูดซึมเบต้าแคโรทีนที่มีอยู่อย่างมากมายในมะม่วงด้วย ตำรับของว่างที่สุดยอดอีกอย่างของบ้านเรา คือมะม่วงน้ำปลาหวาน ถ้ารวบรวมจริงๆ คงมีหลายสิบหรือเป็นร้อยสูตรเลยทีเดียว แค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้ว

กินมะม่วง หายห่วงเรื่องท้องไส้

มะม่วงอยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมานานจนกลายเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ต้องหันมามองมะม่วงในมุมใหม่ มีงานวิจัยที่ศึกษามะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ยืนยันตรงกันว่า มะม่วงมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ (prebiotics) คือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ในการใช้มะม่วงเป็นแหล่งให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือเป็นอาหารสุขภาพให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานและมะเร็งได้

พรีไบโอติกส์มีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน ช่วยดูดซับสารพิษ และเป็นอาหารของโปรไบโอติกส์ ทำให้จุลินทรีย์ดีเหล่านี้แข็งแรง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ กำจัดสารพิษ สร้างวิตามินต่างๆ คงเป็นเพราะเหตุนี้เองเด็กบ้านนอกที่โตมากับดินกับทรายเมื่อ 40-50 ปีก่อนจึงไม่รู้จักกับโรคภูมิแพ้ ท้องไส้ไม่ค่อยผูก เพราะกินผักผลไม้มากมาย ถ้าท้องผูกจริงๆ ก็กินมะม่วงอ่อนจิ้มพริกเกลือกินดื่มน้ำตามลงไปมากๆ หรือกินมะม่วงสุกสัก 2-3 ลูก หรือไปเอามะม่วงกวนที่เก็บไว้ในปี๊บมาต้มน้ำกิน เติมน้ำมะขามให้เปรี้ยวนิดๆ ก็ช่วยได้แล้ว

คนโบราณเชื่อว่ามะม่วงสุกจะช่วยคนที่ธาตุอ่อนการย่อยไม่แข็งแรง รักษาริดสีดวงลำไส้ที่ทำให้ท้องเสียบ่อยๆ ถ่ายไม่เป็นเวลา ท้องลั่นท้องลม หากกินมะม่วงจะช่วยได้ ส่วนมะม่วงดิบนอกจากช่วยย่อยอาหารและช่วยระบายแล้ว ยังลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ในขณะที่การวิจัยสมัยใหม่พบว่า สารแมงจิเฟอริน (magiferin) ที่พบทุกส่วนของมะม่วงมีคุณสมบัติในการป้องกันผนังกระเพาะไม่ให้ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์และยาแก้อักเสบอินโดเมธาซิน (indomethacin) และมีรายงานว่าสารต้านมะเร็งจากมะม่วงมีแนวโน้มที่จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

มะม่วง ผลไม้เป็นยา เห็นคุณค่าทั่วโลก

คนหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้กินมะม่วงเป็นแค่ผลไม้ แต่ยังใช้สรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ชาวอินเดียเชื่อว่าการรับประทานมะม่วงช่วยในการขับถ่าย ขับปัสสาวะ กระตุ้นกำหนัด ทำให้สดชื่น ชาวเซเนกัลก็เชื่อเหมือนกันว่ากินมะม่วงจะทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนชาวปานามากินมะม่วงสุกเป็นยาช่วยระบายเหมือนๆ คนไทย สรรพคุณข้อนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงซึ่งพบว่าอุดมไปด้วยใยอาหารที่เป็นพรีไบโอติกส์ วิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งสารโพลีฟีนอลที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วง 100 กรัม จะมีวิตามินเอถึงหนึ่งในสี่ของปริมาณที่คนเราควรได้รับต่อวัน วิตามินเอจะช่วยสร้างเยื่อบุและเซลล์ของผิวหนัง บำรุงปอด และผิว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 1 ซึ่งช่วยบำรุงประสาท และมีวิตามินอีอยู่ไม่น้อย ซึ่งช่วยในการปรับระดับฮอร์โมนของผู้หญิง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนสมัยก่อนเวลาเลือดลมจะมาเขาให้กินมะม่วงกวน ราวกับรู้ว่าในมะม่วงมีวิตามินอีอย่างนั้นแหละ

การศึกษาวิจัยประโยชน์ทางยาของมะม่วงส่วนใหญ่มุ่งไปที่คุณสมบัติของสารสำคัญที่พบในมะม่วงคือ สารแมงจิเฟอรินที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งพบในทุกส่วนของมะม่วง แต่มีมากในใบ เปลือกต้น เปลือกผล สารนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดความดัน ต้านเบาหวาน ชะลอความชรา ต้านการอักเสบ แก้ปวด เป็นต้น ปัจจุบันประเทศคิวบามีการสกัดสารจากเปลือกต้นมะม่วงออกมาจำหน่ายเป็นอาหารเสริมในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ต่างๆของร่างกาย

ในอินเดียและหลายประเทศในแอฟริกามีการใช้ส่วนต่างๆ ของมะม่วงเป็นยากันอย่างแพร่หลาย คนแอฟริกันจะใช้เปลือกต้นมะม่วงต้มกินเป็นยาแก้อักเสบ แก้ปวดและเบาหวาน ส่วนในอินเดียซึ่งมะม่วงเป็นผลไม้ประจำชาติเหมือนกับฟิลิปปินส์นั้น ใช้มะม่วงเป็นยาทุกส่วน เช่น ใบมะม่วงใช้เป็นยาลดน้ำตาล เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเสียง ซึ่งเป็นสรรพคุณที่คล้ายกับบ้านเรา แม้ว่าคนไทยจะนิยมใช้กาฝากมะม่วงมากกว่า แต่ก็มีบางท้องที่นำใบมะม่วงอ่อนมาอังไฟให้กรอบ ชงน้ำร้อนแบบชาวจีนเป็นยาบำรุงร่างกาย ลดความดัน ลดเบาหวาน หรือแก้เสียงแหบแห้งด้วยการนำใบมะม่วงอ่อนมาต้มน้ำกิน นอกจากนี้ยังใช้มะม่วงทั้งห้าต้มกินเพื่อลดความดัน ส่วนเปลือกมะม่วงจะนำมาต้มกินแก้ท้องเสีย บางแห่งเก็บเปลือกผลมะม่วงนำมาตากแห้งชงน้ำกินเพื่อทำให้ชุ่มคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง

มะม่วง เครื่องสำอางชั้นดีราคาประหยัด

มะม่วงใช้เป็นเครื่องสำอางได้ดี มีคุณสมบัติไม่แพ้เครื่องสำอางราคาแพงๆ วิธีใช้คือ นำมะม่วงสุกพอกหน้าไว้เท่านั้นเอง หรือนำไปปั่นให้เหลวเพื่อทาหน้าก็ได้ คุณสมบัติในการบำรุงผิวนี้เกิดจากการที่มะม่วงมีวิตามินซีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูง คือมีมากกว่ามะนาวถึง 3 เท่า และมีคุณสมบัติในการทำให้ผิวหน้าเรียบลื่นนุ่มชุ่มชื้น ในมะม่วงยังมีสารจำพวกน้ำตาลร่วมกับพวกกรดอะมิโนที่ช่วยคงความชุ่มชื้นไว้ที่ชั้นของผิวหนัง วิตามินเอและซีในมะม่วงยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ลบรอยเหี่ยวย่นได้ดี ถ้าอยากสวยอย่างง่ายๆ ก็เพียงแต่เอามะม่วงสุกหนึ่งลูกปั่นแล้วนำมาพอกหน้า ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใส อ่อนเยาว์ได้จริงๆ ไม่ได้โฆษณาเกินจริงเหมือนโฆษณาหน้าเด้ง

ยำยอดมะม่วงอ่อน

ส่วนประกอบ

ยอดมะม่วงอ่อน ปลากระป๋อง หรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่าง ดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง เกลือ

วิธีทำ

เก็บใบมะม่วงอ่อนมาผึ่งให้สลด พักไว้ ทำเครื่องยำโดยนำดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง ตำให้ละเอียดเข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ พักไว้ นำใบมะม่วงที่สลดดีแล้วมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ปลากระป๋องหรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่างลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องยำที่เราตำไว้แล้วชิมรสตามชอบ

 

จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN