มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ขอนำเสนอเป็นการส่งท้ายเกี่ยวกับพระราชประวัติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 อาจจะยังไม่ปรากฏหรือเผยแพร่ที่ใดมากนัก แต่เมื่อใครได้อ่านแล้ว ก็จะเห็นถึง “แววกวี” ที่ทรงมีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ สมกับที่ทรงสนใจในเรื่องของอักษรศาสตร์

เมื่อครั้งยังเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ นั้น รัชกาลที่ 10 ทรงสนพระทัยในวิชาแผนกอักษรศาสตร์ และสนพระทัยการนิพนธ์กลอน ที่ผ่านมาทรงมีผลงานไว้มากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขออัญเชิญพระราชนิพนธ์เรื่อง “น้ำท่วม” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์แบบร้อยแก้วมาให้อ่านกัน พระราชนิพนธ์นี้ทรงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ขณะนั้นพระชันษาเพียง 12 พรรษา แสดงถึงพระอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์ โดยใช้เวลาในการนิพนธ์เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ความว่า…

ตอนค่ำวันเสาร์ ขณะที่ผมกำลังรับประทานข้าวเย็นอยู่ที่บ้าน โทรศัพท์ในห้องอาหารก็ดังขึ้น คนใช้ผมรีบไปรับ เขาพูดโทรศัพท์อยู่สักครู่ใหญ่แล้วก็เดินยิ้มมาพูดกับผมว่า “ข่าวดีครับคุณหนู พรุ่งนี้คุณป้าคุณหนูจะชวนคุณหนูไปที่บ้าน เพื่อไปเล่นพายเรือและเล่นน้ำที่บ้านท่าน บ้านท่านที่อยู่ริมน้ำไงครับ น้ำที่แม่น้ำขึ้น เพราะฝนตกเลยท่วมขึ้นมาล้นสนามในบ้านหมด น้ำลึกถึงเอวเลยครับ”

ผมดีใจมาก จึงรับประทานข้าวไม่ได้มาก ผมรีบลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวและไปแปรงฟัน ทำการบ้าน แล้วก็รีบเข้านอน ตลอดคืนผมนอนไม่หลับเลย เพราะผมรู้สึกเจ็บคอมาก ความจริงผมเจ็บคอมาตั้งแต่รับประทานอาหารแล้ว แต่ผมปิดบังไม่บอกใคร กลัวว่าเขาจะบอกแม่ผมและแม่ผมจะไม่ให้ผมไป ในที่สุดผมก็เลิกคิดเรื่องเจ็บคอ กลับมาคิดเรื่องจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ ว่าจะเอาเพื่อนไปกี่คน และจะไปทำอะไรที่บ้านคุณป้าบ้าง คุณป้าผมเคยบอกว่า คุณป้าชอบให้น้ำท่วมสนามในบ้าน เพราะมีปลาอะไรๆ มากมาย มาว่ายอยู่ในน้ำที่สนาม จะได้จับไปทำอาหาร จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อปลาที่ตลาด

โอย.. ผมปวดหัวเสียแล้ว ผมรู้สึกว่าผมจะเป็นไข้เสียแล้ว แต่ผมก็ไม่ลดละความพยายามที่จะอดกลั้นความเจ็บไว้ เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าบอกคนอื่นผมก็จะอดไปเที่ยว

รุ่งเช้าของวันใหม่มาถึงแล้ว ผมยังนอนแซ่วอยู่บนเตียง ผมรู้สึกว่าตัวร้อนมาก ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ลุกไม่ไหว พอดีคนใช้เห็นเข้าจึงถามว่า “คุณหนูเป็นอะไรไปครับ ดูหน้าตาแดงเชียว” ผมฝืนใจพูดว่า “เปล่า” เบาๆ คนใช้ตรงเข้ามาจับหน้าผากผมและพูดว่า “คุณหนูเป็นอะไร ตัวร้อนนี่” ผมไม่พูดว่าอะไร รู้สึกว่าไม่สบายมาก เกือบจะแข็งใจไม่ไหวแล้ว คนใช้คนนั้นรีบออกจากห้องนอนผมไป คนใช้รีบไปบอกแม่ผมมา แม่ผมรีบเข้ามาในห้องนอนผม และเอาปรอทมาให้ผมอม เมื่อชักปรอทขึ้นจากปากผม ปรอทก็ขึ้นไปถึง 37.2 ซี ผมเลยปลงตกแล้วว่าผมต้องอดไปแน่

แม่ถามผมว่า “รู้สึกตั้งแต่เมื่อไร”
ผมตอบเบาๆ ว่า “เป็นตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
แม่ผมถามอีกว่า “ทำไมไม่บอกเล่า”
ผมนิ่งอึ้งแล้วบอกว่า “ผมกลัวอดไปเที่ยวครับ”

“นั่นแน่จับได้แล้ว” แม่ผมพูด และแม่ผมพูดต่อไปอีกว่า “ลูกรักทำอย่างนี้ไม่ถูกนะลูก ถ้าเผื่อลูกบอกเสียตั้งแต่เมื่อวาน แม่ก็จะได้หายาให้ และตามหมอมาตรวจ และอาจจะไม่เป็นมากเท่านี้ก็ได้ ลูกอย่าเห็นแก่การเที่ยวมากเกินไป ผลเสียมีหลายอย่างนะ นี่…วันจันทร์นี้ก็จะสอบแล้ว ถ้าลูกบอกเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้ หมอก็จะได้ให้ยา วันนี้อาจจะหายแล้ว และวันจันทร์ก็จะได้สอบ นี่ลูกไม่บอกนี่ วันจันทร์นี้ลูกสอบไม่ได้แล้ว จะต้องลาพัก ถ้าเผื่อขาดเรียนบ่อยๆ ความรู้ก็จะไม่ดี และเวลาโตขึ้นลูกก็จะลำบากมาก”

ผมรู้สึกเสียใจมากที่ผมได้ทำผิดครั้งนี้ ก็เพราะห่วงความสนุกนั่นเอง “ต่อไปนี้ ผมจะไม่ทำผิดอีกแล้ว” ผมพูดเบาๆ แล้วก็หลับไป

เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่อง ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงได้นิพนธ์ไว้ แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในด้านการเป็นกวีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน