จะมีสักกี่มื้อที่เรากินอาหารแล้วรู้สึกอร่อย ดีต่อสุขภาพ แถมยังรู้สึกร่วมรับผิดชอบต่อสังคมไปด้วย

แต่เราจะได้รับความรู้สึกครบทุกแบบแน่นอน เมื่อได้กินอาหารที่ “ฌานา” ร้านอาหารเพื่อสุขภาพน้องใหม่ใจกลางเมืองอย่างสยามเซ็นเตอร์ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นร้านอาหารในเครือบริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ที่มีร้านอาหารในเครือ บาร์บีคิวพลาซ่า และจุ่มแซ่บฮัท

“คุณเป้-ชาตยา สุพรรณพงศ์” เจ้าของร้านฌานา เล่าถึงที่มาที่ไปของฌานาให้ฟังว่าเกิดจากการมองเห็นว่าชีวิตของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เร่งรีบ ไม่ค่อยแข็งแรง ทำอย่างไรคนไทยถึงจะได้เข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แล้วยังอร่อย จึงอยากจะสร้างนิยามใหม่ให้ทุกคนที่มากินรู้สึก Feel Good ครบทุกด้าน คือ รสชาติอร่อย ดีต่อสุขภาพ และยังดีต่อใจเพราะที่มาของวัตถุดิบแต่ละชนิดนั้นดีต่อสังคม

ชื่อร้านอาจฟังดูแปลกๆ ซึ่งคุณเป้เฉลยว่า “ฌานา” ผันมาจากคำใกล้เคียงในภาษาฮิบรู แปลว่า เจริญงอกงาม ด้วยความตั้งใจที่อยากจะโอบอุ้มทุกคนที่ได้มากินให้มีสุขภาพดีไปด้วยกัน

ส่วนเมนูอาหารที่ฌานาบรรจงคัดสรรมาที่ร้านนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแนวสุขภาพที่แตกต่างจากร้านอื่น โดยมี 6 ประเภทด้วยกัน คือ หม้อไฟสมุนไพร, เมนูย่าง, สลัด, อาหารจานเดียว, เครื่องดื่มดีต่อสุขภาพ และของหวานที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน

จุดเด่นของฌานาคือ “การเลือกใช้วัตถุดิบ” ที่ล้วนมีเรื่องราว และมีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการลงไปหาเกษตรกรด้วยตัวเอง แต่ละอย่างล้วนผลิตขึ้นด้วยการใช้เกษตรอินทรีย์ หรือใช้วิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้จะมีกินได้ในเพียงบางฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งฌานาก็จะหาวัตถุดิบอื่นในฤดูกาลนั้นมาทดแทน และพร้อมที่จะอธิบายให้ลูกค้าฟัง เกิดเป็นเรื่องเล่าที่จะบอกต่อๆ กัน และมีคนเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น

ประเดิมเมนูแรกกันด้วยเมนูที่ใครมาแล้วไม่สั่งถือว่าพลาดอย่าง “Farm Pot” หม้อไฟสมุนไพรไซส์กำลังน่ารัก มาพร้อมน้ำซุปสูตรเก่าแก่กว่า 20 ปี การันตีว่าไม่ใส่ผงชูรสแน่นอน หอมกลิ่นสมุนไพรและเครื่องเทศ โดยเฉพาะจิงจูฉ่ายที่ใส่ใบสดมาด้วย เพิ่มความหอมให้น้ำซุปได้ดีทีเดียว โดยมีน้ำซุปให้เลือก 2 แบบ คือ น้ำซุปไก่ และน้ำซุปต้มยำ

น้ำซุปไก่
น้ำซุปต้มยำ

สำหรับการกินหม้อไฟเราสามารถเลือกเนื้อสัตว์เป็นเซตทะเล, เซตหมู หรือเซตเนื้อวัว และสามารถไปตักผักที่โซน Farm Station ได้อย่างไม่อั้น มีผักให้เลือกมากกว่า 50 ชนิด เช่น ผักกาดขาว ผักบุ้ง แครอท เผือก ใบโหระพา กะหล่ำปลี บ็อกชอยหรือกวางตุ้งไต้หวัน มะระขี้นก ปวยเล้ง เป็นต้น

สารพัดผักที่ Farm Station

ทีเด็ดของร้านเลยก็คือ “น้ำจิ้ม” ที่มีให้เลือกถึง 5 แบบ คือ น้ำจิ้มฌานา หรือน้ำจิ้มแจ่ว, น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและน้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรเด็ดของครอบครัวคุณเป้, น้ำจิ้มพอนสึ และน้ำจิ้มงา เอาเป็นว่าใครชอบแบบไหนก็เลือกได้เลย

น้ำจิ้มมีให้เลือก 5 แบบ

เริ่มต้นหม้อไฟกันด้วยเซตหมูที่เขาใช้ชื่อว่า “สามเกลอหมูอารมณ์ดี” หมูอารมณ์ดีนี้มาจากบริษัทกรีนพอร์ค ที่เลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ และไม่ทำให้หมูไม่ป่วย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การคัดพ่อแม่พันธุ์ เลี้ยงด้วยอาหารที่เป็นธัญพืช เสริมความแข็งแรงด้วยการให้โปรไบโอติกส์ ใช้สมุนไพรในการเลี้ยงและการรักษาโรค เปิดเพลงให้หมูฟัง และปล่อยแบบเลี้ยงทุ่ง ทำให้หมูมีพื้นที่เดิน ร่างกายแข็งแรง

ชุดสามเกลอหมูอารมณ์ดี

ในชุดเสิร์ฟเนื้อหมูมา 3 ประเภท คือ สันใน สันนอก และสันคอ แกว่งในน้ำซุปเดือดๆ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วนี่ฟินมากจนแทบไม่อยากวางช้อน

จากหมูเข้าสู่ของทะเลกันบ้างกับ “แก๊งประมงรักษ์โลก” ใช้ของทะเลสดๆ จากเครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชาวประมงพื้นบ้าน ทำการประมงแบบอนุรักษ์ระบบนิเวศ คือ ใช้เครื่องมือที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อวนตาใหญ่ ทำให้สัตว์น้ำที่ยังตัวเล็กอยู่ลอดออกไปเจริญเติบโตก่อนได้ นอกจากนี้ยังใช้การขนส่งที่ไม่ใช้สารเคมี คือใช้เพียงน้ำแข็งเท่านั้น ทำให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ด้วย

ชุดแก๊งประมงรักษ์โลก

อาหารทะเลในเซตนี้จะมาตามฤดูกาล เช่น ปลานิล ในหนึ่งปีจะมีแค่ 3 เดือนเท่านั้น ปลาหมึกก็จะมาตามฤดูกาล เพื่อให้ไม่บีบคั้นธรรมชาตินั่นเอง

ส่วนในช่วงเปิดร้านซึ่งเป็นต้นเดือนพฤศจิกายน ในชุดแก๊งประมงรักษ์โลกจะมี ปลากะพงหินอินทรีย์ หมึกศอกอินทรีย์ และกุ้งแชบ๊วยอินทรีย์ เลยขอลองหมึกศอกก่อนเป็นอย่างแรก ลวกพอสุกแล้วจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยจนเกินบรรยาย หมึกสดราวกับเพิ่งตกขึ้นมาจากทะเล ส่วนปลากะพงหินและกุ้งแชบ๊วยก็สดและสะอาดมากจนพูดได้เลยว่า ของดีจากน่านน้ำไทยยังมีอยูู่จริง

ปลากะพงหินสดๆ ลวกแล้วจิ้มน้ำจิ้ม

นอกจากเมนูหม้อไฟจะโดดเด่นแล้ว ที่น่าสนใจก็คือเมนูย่างอย่าง Farm Grill ที่ใช้เนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีคุณภาพมาทำวิธีการย่างที่เหมาะสม เช่น ย่างบนเตาหินลาวา ย่านสมุนไพร ย่างถ่าน เป็นต้น เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป โดยเมนูที่เราได้ชิมในวันนี้คือ “หมูม้วนอารมณ์ดีไส้แอปเปิลผักโขม” ใช้เบค่อนย่างแล้วม้วนสอดไส้ด้วยผักโขมและแอปเปิล เสิร์ฟพร้อมสลัดที่มีทั้งผักสดและผักอบแห้ง ทำให้ได้ความกรุบกรอบ เคี้ยวเพลินดีเลยทีเดียว

หมูม้วนอารมณ์ดีไส้แอปเปิลผักโขม
สลัดที่มาพร้อมหมูม้วน

อีกเมนูน่ากิน “ตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็ม” ที่ได้ข้าวโพดทับทิมสยามมาจากไร่บุญฉลวย ซึ่งเป็นข้าวโพดที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์จนสามารถกินแบบดิบได้ มีรสหวาน ไม่มีแป้ง ทำให้ไม่อืดท้อง

ตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็ม

โดยไร่บุญฉลวยเป็นไร่ที่ทำการเกษตรโดยยึดหลัก “นวธรรมชาติ” คือทำเกษตรแบบไม่ใช้มูลสัตว์ พื้นที่ปลูกอยู่ติดภูเขาซึ่งเดิมเป็นป่า ทำให้มีแร่ธาตุเยอะ จึงไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ

ข้าวโพดทับทิมสยาม

ส่วนเมนูตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็มก็ดีงามมาก เม็ดข้าวโพดโตๆ มาแบบดิบๆ แต่รสชาติหวานนุ่ม กินกับน้ำส้มตำและไข่เค็มในคำเดียวกันนี่อร่อยเหาะเลยทีเดียว

ที่ได้ลองชิมอีกเมนูคือ “ยำสาลี่” เป็นสาลี่หั่นเต๋าชิ้นพอดีคำมาในน้ำยำรสกลมกล่อม โรยด้วยมะพร้าวคั่วบดและหอมแดง ให้อารมณ์เหมือนกินเมี่ยงคำ กินเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็เหือบหมดจานแล้ว

ยำสาลี่

หรือสำหรับคนเมืองที่อยู่ในชั่วโมงรีบเร่ง ที่ฌานาก็มีเมนูอาหารจานเดียวรองรับด้วย จานเด็ดแนะนำคือ “ข้าวเกษตรอินทรีย์ คลุกปลาทูแม่กลอง ไข่ขบถออนเซ็น” ซึ่งไข่ขบถและอาหารประเภทเส้น แป้ง ข้าวทั้งหมด มาจากกิจการเพื่อสังคมบ้านรักษ์ดิน จ.กาญจนบุรี ที่ทุกอย่างเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด

ที่น่าสนใจคือ “ไข่ขบถ” หรือไข่ที่มาจากการเลี้ยงแม่ไก่ในรูปแบบที่ขบถจากระบบอุตสาหกรรมเดิม คือ ผลิตอาหารขึ้นเอง เพราะเชื่อว่าไม่ต้องใช้หัวอาหารและฮอร์โมนเร่ง โดยใช้ต้นกล้วย ผักตบชวา เอามาทำอาหารให้แม่ไก่ นอกจากนี้ยังเปิดเพลงให้แม่ไก่ฟัง เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ให้แม่ไก่สามารถออกไขาได้อย่างปกติ ไข่ไก่ที่ได้จากที่นี่จะมีไข่แดงที่ไม่แดงมาก ไข่คาวเป็นวุ้นรอบไข่แดง และไม่คาว

กินอาหารกันมาเยอะแล้ว ขอจิบเครื่องดื่มกันบ้าง ไฮไลท์ของฌานาก็คือ “มะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์” รสชาติหวานชื่นใจมาก แตกต่างจากมะพร้าวน้ำหอมทั่วไปที่ออกจืดจนบางครั้งเปรี้ยว แต่ของที่นี่หวานละมุนจริงๆ จนกินน้ำหมดแล้วต้องขอแคะเนื้อกินต่อเลย

มะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์

เคล็ดลับคือเขาใช้มะพร้าวอินทรีย์จาก Aromatic Farm จ.ราชบุรี ความพิเศษของการปลูกแบบอินทรีย์ของที่นี่คือมีการใส่ใจมะพร้าวทั้ง 369 ต้น ด้วยการทำ identify ทุกต้น ทำให้จะรู้ว่าช่วงเวลาที่ควรเก็บของมะพร้าวแต่ละต้นคือวันไหน เป็นการตั้งใจนำของที่ดีที่สุดมาสู่ผู้บริโภค

ปิดท้ายมื้อแห่งความสุขด้วยของหวานที่ดีต่อสุขภาพเช่นเคย กับเมนู “ไอศกรีมกะทิ” เสิร์ฟมาพร้อมบัวลอยเผือกด้านล่าง ถั่วแดง และลูกเดือย ที่ชอบคือตัวไอศกรีมกะทิที่หวานน้อยมาก กินกับเครื่องที่ใส่มาแล้วรู้สึกดี เพราะเป็นการกินของหวานแบบไม่ต้องกลัวอ้วนเลย

ไอศกรีมกะทิ ด้านล่างเป็นบัวลอยเผือก ถั่วแดง และลูกเดือย
เต้าหู้ทอดเนื้อแน่น

ใครสนใจอยากลองกินอาหารสุขภาพแนวใหม่ ใช้วัตถุดิบชั้นดีส่งตรงจากเกษตรกรไทย แถมรสชาติยังอร่อยมาก ไปลองกันได้ที่ “ฌานา” ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์

รับรองว่าจะติดใจ!