ปลาแซลมอนทอดบนกระทะ ซอสโรเมสโก้และมันบด

การตระเวนชิมอาหารสรรหาของอร่อยยังคงวนเวียนกันอยู่ที่ย่าน ประชานิเวศน์ 1 นะคะ ฉบับนี้มีร้านอาหารเปิดใหม่มาแนะนำกัน

ความรู้สึกแรก คือ แปลกใจนิดๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีร้านหาญกล้าเปิดขึ้นมาสวนกระแสเศรษฐกิจในยามนี้ด้วย เลยต้องขอเข้าไปส่องซักหน่อย

ชื่อร้าน Pike/Pine ค่ะ เพิ่งเปิดใหม่ได้เพียง 3 เดือน เป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรปแบบโฮมเมดแท้ๆ ด้วยความที่ยังไม่ค่อยมีร้านแบบนี้ให้เห็นในย่านนี้นัก ทำให้ร้านน้องใหม่ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี ฉายแววดาวรุ่งน่าจับตา

Pike/Pine เป็นร้านอาหารสไตล์ Casual Dining กึ่งคาเฟ่ กึ่งร้านอาหาร มีการตกแต่งค่อนข้างเนี้ยบ แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หย่อนก้นลงนั่งแล้วรู้สึกสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน

อาหารจะมีเมนูที่ยืนพื้นประจำ กับเมนูพิเศษที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป เพื่อให้เห็นภาพรวมของอาหาร แฮ่ม..เราต้องจัดเต็มค่ะ

สำหรับเมนูประจำที่ปั๊วะปังสุดสุด ในตอนนี้ แคลร์ บริลเลียนเตส สาวลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์ วัย 26 ปี เจ้าของร้าน พ่วงตำแหน่งเชฟ และอีกหลายหน้าที่ในร้าน ภูมิใจนำเสนอ ได้แก่ ปลาแซลมอนทอดบนกระทะ ซอสโรเมสโก้ และมันบด (285 บาท)

แซลมอนชิ้นโตทอดหนังเกรียมกรอบเนื้อสุกพอดีวางบนมันบดที่เชฟตั้งใจทำให้มีความไลท์กว่าปกติเพื่อสุขภาพ คือ ไม่หนักเนยนมมากนัก พอกินผสมกับซอสโรเมสโก้แบบสเปนที่ร้านนำมาพลิกแพลงอีกทอดด้วยการใช้พริกหวานสีแดงก็ทำให้มันบดอร่อยขึ้นเยอะ กินพร้อมกับผักย่างตามฤดูกาลหลากหลาย เป็นจานที่กินเพลิน พอร์ชั่นนี้มาไม่เล็กถือว่าอิ่มกำลังดี

สลัดผักรวมเมล็ดฟาโรห์ (130 บาท) เป็นการรวมมิตรของผักใบเขียวที่สดกรอบหั่นมาเป็นชิ้นเล็กพอดีคำผสมกับผักดองที่ทำเองคลุกเคล้าน้ำสลัดสูตรเฉพาะเป็นเรดไวน์เวเนก้า พระเอก คือ เมล็ดฟาโรห์ ที่ว่ากันว่าเป็นพืชดึกดำบรรพ์อยู่คู่โลกมาเนิ่นนาน เทกเจอร์ของมันจะมีความกรึบหนึบ จานนี้ควรมีติดโต๊ะค่ะ

ต่อด้วยเมนูคนรักเนื้อ สเต๊กเนื้อบาแวต ซอสชิมิชูริ และมันบด (270 บาท) เนื้อย่างแบบมีเดียมฉ่ำๆ วางบนมันบด โรยเกลือ Sea Salt Flakes แบบผลึกแบน กินกับเห็ดย่าง ราดด้วยซอสชิมิชูริรสเปรี้ยวหวานซึ่งเป็นซอสที่ชาวอเมริกาใต้นิยมใช้ก็เข้ากันดีมาก

แคลร์บอกว่า ที่เลือกใช้เนื้อบาแวต หรือเนื้อส่วนพื้นท้อง เพราะว่าเป็นทางเลือกที่ 3 รองจาก นิวยอร์ก และริบอาย ด้วยราคาไม่สูงมากแต่หากมีกรรมวิธีการทำที่ถูกต้องก็ให้รสชาติที่น่าประทับใจเช่นกัน ข้อแนะนำควรสั่งแบบมีเดียมจะได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด

ตามด้วย สตูเนื้อไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวร์โด (220 บาท) จานนี้รสชาติเข้มข้น ใช้เนื้อส่วนเสือร้องไห้โพนยางคำ ทำได้เปื่อยนุ่มดีเพราะมีกระบวนการทำค่อนข้างละเอียด ส่วนขนมปังซาวร์โดเป็นโฮมเมดที่เชฟบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ที่เอาความรักความชอบส่วนตัวทุ่มลงไปในการทำ

ฟักทองญี่ปุ่นอบ (110 บาท) มันมีความหวานอร่อยด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ราดด้วยซอสบัลซามิกรีดักชั่นเพิ่มความจี๊ดจ๊าด

สเต๊กเนื้อบาแวต ซอสชิมิชูริ และมันบด
เฟตตูชินีกุ้งขาว
ฟักทองญี่ปุ่นอบ

มาถึงเมนูพิเศษไม่ประจำจะมีเป็นช่วงเวลาหนึ่ง สปาเกตตีไส้กรอก (210 บาท) จุดเด่นคือ ทั้งเส้นและไส้กรอกนั้นโฮมเมดทั้งหมด จานนี้ครบรสมีความเค็มนิดๆ สไปซี่หน่อยๆ จากไส้กรอก เปรี้ยวหวานจากมะเขือเทศ เฟตตูชินี่กุ้งขาว (230 บาท) เส้นทำเองสดใหม่เช่นกัน กุ้งขาวไซซ์เบิ้ม ปรุงรสชาติจัดจ้าน หอมจากเลมอน และเผ็ดเล็กๆ ด้วยพริกชี้ฟ้า

ส่วนคนรักเบอร์เกอร์ ที่ร้านก็มี เฮาส์เบอร์เกอร์ (250 บาท) โฮมเมดตั้งแต่บัน ไส้ ผักดอง พริกดอง ซอสอัลยอลี ทำเองทุกกระบวนการ เพราะเป็นอีกเมนูที่เชฟโปรดปรานเป็นการส่วนตัว

ส่วนเครื่องดื่มที่อยากให้ลอง คือ จินเจอร์ เบียร์ หรือ จินเจอร์ เอล (50 บาท) เป็นคราฟต์โซดาที่หมักเอง แซงเกรีย ไวน์แดงผสมผลไม้ เรด โพชั่น (75 บาท) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ถ้าเป็นชื่อฝรั่งจริงๆ คือ shrub เป็นสไตล์เอาผลไม้หมักกับแอปเปิลไซเดอร์แล้วผสมกับโซดา รสชาติเปรี้ยวสดชื่น สตรอเบอรี่ ลาเต้ (85 บาท) ใช้สตรอเบอรี่ที่กวนเองผสมกับนมสด

สำหรับคอกาแฟที่นี่ก็มีให้บริการเป็นเมล็ดกาแฟอราบิก้าคัดสรรจากภาคเหนือมานั่งจิบไปชิมขนมไปเพลินดีค่ะ ขนมที่นี่โดดเด่นมากคือครัวซองต์แบบฝรั่งเศส อร่อยแค่ไหนต้องลองมาชิมกัน

สตูเนื้อไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวร์โด

แอบกระซิบว่าร้านนี้อนุญาตให้นำไวน์มาเปิดได้ จะมานั่งชนแก้วกรุ๊งกริ๊งกันตามสบาย ตราบใดที่สั่งอาหารในร้านก็โอเค

ที่พิเศษอีกอย่าง ร้านจะมีกิจกรรมต้อนรับเทศกาลต่างๆ อยู่เสมอ อาทิ แพคเกจวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ มีอะไรบ้างเข้าไปเช็กในเพจได้

สำหรับ “แคลร์” ในวัยที่เพิ่งจะ 26 ปี ด้วยบุคลิกภายนอกดูเป็นเชฟสาวห้าวเล็กๆ แววตาซนหน่อยๆ มีไฟฝันแรงกล้า ทุ่มเททำงานที่รักเกินร้อย ต้องยอมรับว่าในฐานะที่รับบทบาททั้งเชฟและเจ้าของร้านถือว่ามีความรับผิดชอบเกินวัยจริงๆ

ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ มีชื่อนามสกุลเป็นฝรั่ง แต่พูดไทยปร๋อ เพราะเกิดและเติบโตในเมืองไทย แคลร์เรียนจบปริญญาตรี นิติศาสตร์ จุฬาฯ แต่เมื่อทบทวนหัวใจตัวเองดูแล้วว่างานกฎหมายไม่น่าจะใช่ชีวิตตัวเอง เลยผันไปเรียนต่อด้านอาหารที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เรียนไปด้วยทำงานร้านอาหารไปด้วย รวมเวลาเกือบ 2 ปี และด้วยความที่ต้องการเปิดร้านอาหารที่มีทั้งคาวหวาน บวกกับมีความสนใจด้านเบเกอรี่อยู่แล้วเลยดั้นด้นไปเทกคอร์สทำขนมอบต่อที่ปารีสอีกราวครึ่งปี กลับมาลับคมฝีมืออยู่อีก 1 ปี จนตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา

แคลร์ บอกว่า Pike/Pine เป็นย่านการค้า หัวใจของเมืองซีแอตเทิล มีผูกพันกับเมืองนี้เลยมาตั้งชื่อร้าน ถ้าถามว่าในร้านมีอะไรเป็นซีแอตเทิล ก็ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศ คือ มีความชิลไม่เป็นทางการจ๋า คนที่นั่นจะมีความชิลสูงแต่งตัวใส่เสื้อมีฮู้ด อาหารก็เลยมีความ Casual สูงตาม คือ อาหารหน้าตาดีแต่คุณแต่งตัวยังไงก็ได้ไปกิน ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราชอบมาก

“ไอเดียอาหารคือทุกอย่างต้องไปด้วยกัน เป็นสไตล์ที่ดูง่ายทานง่าย เน้นทำเองทุกอย่าง อยากให้คนมาแล้วรู้สึกว่ามาบ้านใครซักคนที่คุณรู้จักแล้วกินอาหารอร่อยๆ เพราะเราทำทุกอย่างเองทั้งหมด ขนมปังทำเอง เบคอนทำเอง ไส้กรอกก็ทำเอง เราพยายามทำทุกอย่างที่เราทำได้จริงๆ”

พิกัดร้าน Pike/Pine อยู่บนถนนเทศบาลสงเคราะห์ ถ้ามาจากทางวัดเสมียนร้านอยู่ซ้ายมือ วิ่งมาเกือบถึงคลองประปาแล้ววกรถกลับไปนิดเดียว ถ้ามาจากถนนประชาชื่นร้านอยู่ซ้ายมือ ตั้งอยู่เยื้องกับสวนป่าน้อยๆ ประชานิเวศน์ 1 หรือจะเข้าตรงซอยเทศบาลรังสรรเหนือ 2 ก็ได้ ร้านไม่มีที่จอดรถต้องหาจอดริมฟุตปาธ หรือจอดที่จอดรถของตลาดประชานิเวศน์ 1 ค่าจอด 10 บาท เดินมานิดเดียว

ร้าน Pike/Pine วันอังคาร-พฤหัสฯ เปิดเวลา 09.00-20.00 น. วันศุกร์-เสาร์ เปิด 09.00-20.30 น.อาทิตย์เปิด 10.00-15.00 น. ปิดวันจันทร์ โทร 09-9287-0660 เฟซบุ๊ก @PikePineBKK หรือเว็บไซต์ www.pikepinebkk.com

สปาเก็ตตี้ไส้กรอก
สลัดผักรวมเมล็ดฟาโรห์
เฮ้าส์เบอร์เกอร์
ขนมปังโฮมเมดทั้งหมด รวมถึงเบค่อนที่ทำเองเช่นกัน
ด้านหลังติดถนนเทศบาลสงเคราะห์
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

กลับมาอีกครั้งกับ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่จะพาทุกคนไปพบกับของดี 5 ภาคไม่ว่าจะเป็นอาหารขึ้นชื่อ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงการแสดงและกิจกรรมต่างๆ ที่มีทั้งหมดถึง 9 โซน โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด “เมืองไทย…สวยทุกที่ เท่ทุกเวลา” ระหว่างวันที่ 23-27 มกราคม 2562 ณ สวนลุมพินี

ครั้งนี้ มติชนอคาเดมี ก็ไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปพบกับความยิ่งใหญ่ของงาน โดยจะพาไปชิมอาหารทั้งของคาวและของหวานที่ขึ้นชื่อของแต่ละภาค ซึ่งจัดอยู่ในโซนที่ 3 โดยแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีอะไรบ้างก็อยากให้ลองตามไปดูกัน แต่ไม่รับประกันความชวนหิวนะจ๊ะขอบอก!

ประเดิมด้วยโซน “ภาคกลาง” มีอาหารให้เลือกชิมมากมาย ไม่ว่าจะอาหารคาวหรือหวาน ที่มาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคกลาง ที่เห็นแล้วสะดุดตาวัยสะรุ่นเลยก็คือ “ขนมเรไร” จากร้านยายเปี๊ยก ความน่ากินอยู่ที่การใช้แป้งข้าวเจ้าละลายน้ำ และนำไปกวน จากนั้นร่อนจากกระทะ นำมานวดอีกครั้ง ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ และเอาไปนึ่ง ปั้นแป้งให้ขนาดพอดีกับเครื่องพิมพ์ แค่นี้ก็ได้เป็นขนมเรไรสีสวย กินคู่กับน้ำตาลและกะทิ ได้รสกลมกล่อม ละมุนลิ้นสุดๆ   

ขนมเรไร

อีกร้านในโซนภาคกลางที่น่าสนใจคือ “ยำผักบุ้งกรอบทรงเครื่อง ร้านครัว 2 ภาค ดอนเมือง” กับเมนู “ยำผักบุ้งกรอบ” สูตรเด็ดของทางร้านที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือน้ำยำที่คลุกเคล้ากับผักบุ้งที่ทอดจนกรอบ กินคู่กันแล้วลงตัวฟินแน่นอน

โฉบเฉี่ยวมาภาคกลางทั้งที ของที่ไม่แวะชิมไม่ได้ก็คือเมนู “กระยาสารท” นี่แหละ เจ้านี้คือแบรนด์ “ตาไก่กระยาสารทน้ำอ้อย เขตบางพลัด” ที่มีให้เลือกถึง 2 รสชาติ ทั้งงาขาวและงาดำ ซึ่งงาดำจะให้ความหอมมากกว่างาขาว ถือเป็นเมนูที่หากินได้ยาก ความพิเศษคือการใช้น้ำอ้อยแทนน้ำตาล ทำให้รสชาติที่ออกมา หอม มัน หวานกำลังดี

กระยาสารท

ก่อนจะไม่มีท้องไว้กินเมนูอื่นเลยต้องออกจากโซนภาคกลางมาต่อกันที่โซน “ภาคเหนือ” เหล่าคนรักสุขภาพไม่ควรพลาด เพราะมีอาหารจากจังหวัดอื่นๆ อีกมากมายที่มาจากภาคเหนือให้ได้ลองเลือกกินกัน เช่น ร้าน “ไก่ย่าง หน้า ช.ค. 34” กับเมนู “ไส้อั่ว” ที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร สูตรเด็ดของร้าน คือการใช้สมุนไพร 7 ชนิด ปั่นผสมกับเครื่องปรุงของที่ร้าน ไม่ใส่มันหมู กินแล้วไม่เลี่ยน แถมเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพสุดๆ

ไส้อั่ว

ที่น่าสนใจในโซนภาคเหนืออีกคือร้าน “น้ำพริกน้ำย้อย แม่คำน้อย” กับเมนู “น้ำพริกน้ำย้อย” โอท็อปขึ้นชื่อของชาวแพร่ที่ใครมาแอ่วเมืองนี้ต้องไปโดนให้ได้ น้ำพริกน้ำย้อยนั้นเอาไว้กินควบคู่ไปกับขนมจีนเส้นสด ที่ชาวแป้เขาเรียกว่าน้ำย้อย หรือใครจะเอาน้ำพริกไว้กินกับข้าวสวยก็ลำขนาดเจ้า!

น้ำพริกน้ำย้อย ไวกินคู่กับขนมจีน

ปิดท้ายด้วยร้านอาหารเหนือแท้ๆ อย่างร้าน “ลาบเหนือเมืองแพร่” อาหารเหนือหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำเงี้ยว ลาบหมู ข้าวซอย แอ็บหมู และไส้อั่ว สำหรับคนที่อยากมาสำผัสรสชาติอาหารเหนือแท้ๆ ไม่ควรพลาด

ลาบแบบชาวเหนือ

ความ (อยาก) กินที่มีมากกว่าความหิวก็พาให้สองเท้าก้าวเข้ามาในโซน “ภาคใต้” ที่มีอาหารขึ้นชื่ออย่าง “หมูย่าง ตรัง” จากร้าน “โกสุยหมูย่าง ตรัง” แต่ของดีงามไม่ได้อยู่ที่หมูย่างเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะอร่อยเด็ดจนต้องยกนิ้วก็คือ “ป่อเปี๊ยะ” นี่แหละจ้า ความพิเศษคือไส้ป่อเปี๊ยะ ที่ใช้หมูสูตรเฉพาะของทางร้าน ห่อด้วยแผ่นแป้งอย่างดีแล้วนำไปทอดในน้ำมันจนสุกเหลือง ทานกับซอสมะเขือเทศได้อร่อยลงตัว

ป่อเปี๊ยะ

มาต่อกันด้วย เมนู “ไก่ฆอและ” หรือที่บางคนเรียกไก่กอและ สูตรเด็ดคือ กะทิ หอมแดง ไม่ใส่แป้งเพราะจะทำให้ไก่เสีย เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวปัตตานี มีรสชาติหวานและความมันจากกะทิ อร่อยแน่นอน

ไก่ฆอและ หรือไก่กอและ

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่างโรตี ชาชัก จากร้าน “ชาชักอีซัน&โรตี” ที่มีจุดเด่นคือลีลาการชงชาที่ไม่เหมือนภาคอื่นๆ เพราะว่าชาชักจะอร่อยและมันกว่าชาธรรมดา เสิร์ฟพร้อมโรตีแผ่นกรอบและใหญ่ อร่อยหวานมันลงตัวมากกกก

โรตีชาชัก

 

มาถึงโซน “ภาคอีสาน” จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือเมนู หม่ำหมู จากร้าน “หม่ำแม่คำตัน” ถือว่าเป็นของขึ้นชื่อของชาวจังหวัดชัยภูมิ ทำมาจากเนื้อหมูแดงล้วนผสมกากหมูลงไป กินควบคู่กับผักสดและพริกสด บอกได้คำเดียวเลยว่าแซ่บอีหลีเด้อ

หม่ำหมู

อีกเมนูขึ้นชื่อของชาวจังหวัดอุบลราชธานีก็คือ “หมูยอ” จากร้าน หมูยอ ป.อุบล ที่ทำมาจากหมูเนื้อแดงและเครื่องเทศไม่มีแป้งผสม ยิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆร้อนๆ อร่อยแน่นอน ฟันธง หากินได้ง่ายในจังหวัดอุบลฯ คนชอบกินหมูยอไม่ควรพลาดงานนี้

หมูยอ

และสำหรับคนชอบกินเผ็ดควรมาลองก็คือ เมนู “กุ้งจ่อมแท้” จากร้าน “แม่เนย” เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวอีสาน ชาวอีสานชอบกินเพราะมีรสชาติดี จัดจ้าน มีส่วนประกอบไปด้วย พริก หอม ขิง กะทิ ตะไคร้ จุดเด่นของร้านก็ไม่ธรรมดา คือการใช้น้ำปลาทิพรสและข้าวคั่ว ทำให้กุ้งจ่อมมีรสชาติอร่อย จัดจ้าน นัวกลมกล่อม จนต้องยกนิ้วให้

น้ำพริกกุ้งกลางดง

ปิดท้ายกันที่โซน “ภาคตะวันออก” ก็ยังคงมีอาหารมากมายมาให้เลือกกินไม่แพ้ภาคอื่นๆ เริ่มกันที่เมนูแรกกันเลย “กุ้งเหยียด” จากร้าน “กุ้งเหยียดบ้านสาขลา จากพระสมุทรเจดีย์”  กรรมวิธีในการทำก็ดูไม่ยาก คือเอากุ้งสดมาจากฟาร์มธรรมชาติ ดัดให้ตรง แล้วเอาไปเรียงในหม้อ โรยน้ำตาและ เกลือลงไปเพื่อปรุงรสเพิ่มความอร่อย กินคู่กับน้ำจิ้ม บอกได้เลยว่าอร่อยลงตัวสุดๆ

กุ้งเหยียด

กินของคาวกันแล้วมาต่อกันที่เมนูของหวานกันบ้าง นั่นก็คือ เมนู “ขนมเบื้องญวนวิวาห์” จากร้าน “บุหลัน ดั้นเมฆ” เป็นขนมโบราณของภาคตะวันออกที่หากินยาก ส่วนประกอบมี ไข่ แป้ง หน้ากุ้ง ถั่ว เต้าหู้ หัวไซโป๊ และถั่วงอก ที่มีให้เลือกทานถึง 2 แบบ คือ แบบกรอบและแบบนุ่ม กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาด รสชาติหวานเค็มพอดี จนต้องกลับมากินอีกครั้ง

ขนมเบื้องญวน

มาถึงเมนูขนมไทยโบราณอย่าง “ขนมตะโก้” จากร้าน “ ตะโก้แม่พิมพ์ใจ” ร้านขนมเจ้าเด็ดจากจังหวัดสมุทรปราการ เคล็ดลับความหอมมันอยู่ที่การใช้กะทิสดในการทำ และไม่ใส่สารกันบูด ทำให้ขนมมีกลิ่นหอมมัน รสชาติหวาน กลมกล่อม อร่อยแบบยอมอ้วนเลยทีเดียว

ตะโก้

นอกจากจะมีอาหารครบทุกภูมิภาคมาให้เหล่านักชิมได้อิ่มหนำกันแล้ว ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2562 ยังมีสินค้าหัตถกรรม งานฝีมือ สินค้าโอท็อปจากชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศมาให้เลือกช้อป อุดหนุนฝีมือคนไทย พร้อมมีบูธกิจกรรมให้ถ่ายรูปและร่วมเล่นสนุกอีกมากมาย เช่น การแสดงศิลปวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค การแสดงศิลปะร่วมสมัย รวมถึงการแสดงของศิลปินชื่อดัง เพื่อเติมเต็มความสุขสนุกสนานให้กับผู้ชมภายในงานอีกด้วย

บอกเลยว่าสำหรับสายเที่ยว กิน ชิม ช้อปไม่ควรพลาด!!!

จะมีสักกี่มื้อที่เรากินอาหารแล้วรู้สึกอร่อย ดีต่อสุขภาพ แถมยังรู้สึกร่วมรับผิดชอบต่อสังคมไปด้วย

แต่เราจะได้รับความรู้สึกครบทุกแบบแน่นอน เมื่อได้กินอาหารที่ “ฌานา” ร้านอาหารเพื่อสุขภาพน้องใหม่ใจกลางเมืองอย่างสยามเซ็นเตอร์ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นร้านอาหารในเครือบริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ที่มีร้านอาหารในเครือ บาร์บีคิวพลาซ่า และจุ่มแซ่บฮัท

“คุณเป้-ชาตยา สุพรรณพงศ์” เจ้าของร้านฌานา เล่าถึงที่มาที่ไปของฌานาให้ฟังว่าเกิดจากการมองเห็นว่าชีวิตของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เร่งรีบ ไม่ค่อยแข็งแรง ทำอย่างไรคนไทยถึงจะได้เข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แล้วยังอร่อย จึงอยากจะสร้างนิยามใหม่ให้ทุกคนที่มากินรู้สึก Feel Good ครบทุกด้าน คือ รสชาติอร่อย ดีต่อสุขภาพ และยังดีต่อใจเพราะที่มาของวัตถุดิบแต่ละชนิดนั้นดีต่อสังคม

ชื่อร้านอาจฟังดูแปลกๆ ซึ่งคุณเป้เฉลยว่า “ฌานา” ผันมาจากคำใกล้เคียงในภาษาฮิบรู แปลว่า เจริญงอกงาม ด้วยความตั้งใจที่อยากจะโอบอุ้มทุกคนที่ได้มากินให้มีสุขภาพดีไปด้วยกัน

ส่วนเมนูอาหารที่ฌานาบรรจงคัดสรรมาที่ร้านนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแนวสุขภาพที่แตกต่างจากร้านอื่น โดยมี 6 ประเภทด้วยกัน คือ หม้อไฟสมุนไพร, เมนูย่าง, สลัด, อาหารจานเดียว, เครื่องดื่มดีต่อสุขภาพ และของหวานที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน

จุดเด่นของฌานาคือ “การเลือกใช้วัตถุดิบ” ที่ล้วนมีเรื่องราว และมีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการลงไปหาเกษตรกรด้วยตัวเอง แต่ละอย่างล้วนผลิตขึ้นด้วยการใช้เกษตรอินทรีย์ หรือใช้วิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้จะมีกินได้ในเพียงบางฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งฌานาก็จะหาวัตถุดิบอื่นในฤดูกาลนั้นมาทดแทน และพร้อมที่จะอธิบายให้ลูกค้าฟัง เกิดเป็นเรื่องเล่าที่จะบอกต่อๆ กัน และมีคนเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น

ประเดิมเมนูแรกกันด้วยเมนูที่ใครมาแล้วไม่สั่งถือว่าพลาดอย่าง “Farm Pot” หม้อไฟสมุนไพรไซส์กำลังน่ารัก มาพร้อมน้ำซุปสูตรเก่าแก่กว่า 20 ปี การันตีว่าไม่ใส่ผงชูรสแน่นอน หอมกลิ่นสมุนไพรและเครื่องเทศ โดยเฉพาะจิงจูฉ่ายที่ใส่ใบสดมาด้วย เพิ่มความหอมให้น้ำซุปได้ดีทีเดียว โดยมีน้ำซุปให้เลือก 2 แบบ คือ น้ำซุปไก่ และน้ำซุปต้มยำ

น้ำซุปไก่
น้ำซุปต้มยำ

สำหรับการกินหม้อไฟเราสามารถเลือกเนื้อสัตว์เป็นเซตทะเล, เซตหมู หรือเซตเนื้อวัว และสามารถไปตักผักที่โซน Farm Station ได้อย่างไม่อั้น มีผักให้เลือกมากกว่า 50 ชนิด เช่น ผักกาดขาว ผักบุ้ง แครอท เผือก ใบโหระพา กะหล่ำปลี บ็อกชอยหรือกวางตุ้งไต้หวัน มะระขี้นก ปวยเล้ง เป็นต้น

สารพัดผักที่ Farm Station

ทีเด็ดของร้านเลยก็คือ “น้ำจิ้ม” ที่มีให้เลือกถึง 5 แบบ คือ น้ำจิ้มฌานา หรือน้ำจิ้มแจ่ว, น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและน้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรเด็ดของครอบครัวคุณเป้, น้ำจิ้มพอนสึ และน้ำจิ้มงา เอาเป็นว่าใครชอบแบบไหนก็เลือกได้เลย

น้ำจิ้มมีให้เลือก 5 แบบ

เริ่มต้นหม้อไฟกันด้วยเซตหมูที่เขาใช้ชื่อว่า “สามเกลอหมูอารมณ์ดี” หมูอารมณ์ดีนี้มาจากบริษัทกรีนพอร์ค ที่เลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ และไม่ทำให้หมูไม่ป่วย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การคัดพ่อแม่พันธุ์ เลี้ยงด้วยอาหารที่เป็นธัญพืช เสริมความแข็งแรงด้วยการให้โปรไบโอติกส์ ใช้สมุนไพรในการเลี้ยงและการรักษาโรค เปิดเพลงให้หมูฟัง และปล่อยแบบเลี้ยงทุ่ง ทำให้หมูมีพื้นที่เดิน ร่างกายแข็งแรง

ชุดสามเกลอหมูอารมณ์ดี

ในชุดเสิร์ฟเนื้อหมูมา 3 ประเภท คือ สันใน สันนอก และสันคอ แกว่งในน้ำซุปเดือดๆ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วนี่ฟินมากจนแทบไม่อยากวางช้อน

จากหมูเข้าสู่ของทะเลกันบ้างกับ “แก๊งประมงรักษ์โลก” ใช้ของทะเลสดๆ จากเครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชาวประมงพื้นบ้าน ทำการประมงแบบอนุรักษ์ระบบนิเวศ คือ ใช้เครื่องมือที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อวนตาใหญ่ ทำให้สัตว์น้ำที่ยังตัวเล็กอยู่ลอดออกไปเจริญเติบโตก่อนได้ นอกจากนี้ยังใช้การขนส่งที่ไม่ใช้สารเคมี คือใช้เพียงน้ำแข็งเท่านั้น ทำให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ด้วย

ชุดแก๊งประมงรักษ์โลก

อาหารทะเลในเซตนี้จะมาตามฤดูกาล เช่น ปลานิล ในหนึ่งปีจะมีแค่ 3 เดือนเท่านั้น ปลาหมึกก็จะมาตามฤดูกาล เพื่อให้ไม่บีบคั้นธรรมชาตินั่นเอง

ส่วนในช่วงเปิดร้านซึ่งเป็นต้นเดือนพฤศจิกายน ในชุดแก๊งประมงรักษ์โลกจะมี ปลากะพงหินอินทรีย์ หมึกศอกอินทรีย์ และกุ้งแชบ๊วยอินทรีย์ เลยขอลองหมึกศอกก่อนเป็นอย่างแรก ลวกพอสุกแล้วจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยจนเกินบรรยาย หมึกสดราวกับเพิ่งตกขึ้นมาจากทะเล ส่วนปลากะพงหินและกุ้งแชบ๊วยก็สดและสะอาดมากจนพูดได้เลยว่า ของดีจากน่านน้ำไทยยังมีอยูู่จริง

ปลากะพงหินสดๆ ลวกแล้วจิ้มน้ำจิ้ม

นอกจากเมนูหม้อไฟจะโดดเด่นแล้ว ที่น่าสนใจก็คือเมนูย่างอย่าง Farm Grill ที่ใช้เนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีคุณภาพมาทำวิธีการย่างที่เหมาะสม เช่น ย่างบนเตาหินลาวา ย่านสมุนไพร ย่างถ่าน เป็นต้น เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป โดยเมนูที่เราได้ชิมในวันนี้คือ “หมูม้วนอารมณ์ดีไส้แอปเปิลผักโขม” ใช้เบค่อนย่างแล้วม้วนสอดไส้ด้วยผักโขมและแอปเปิล เสิร์ฟพร้อมสลัดที่มีทั้งผักสดและผักอบแห้ง ทำให้ได้ความกรุบกรอบ เคี้ยวเพลินดีเลยทีเดียว

หมูม้วนอารมณ์ดีไส้แอปเปิลผักโขม
สลัดที่มาพร้อมหมูม้วน

อีกเมนูน่ากิน “ตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็ม” ที่ได้ข้าวโพดทับทิมสยามมาจากไร่บุญฉลวย ซึ่งเป็นข้าวโพดที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์จนสามารถกินแบบดิบได้ มีรสหวาน ไม่มีแป้ง ทำให้ไม่อืดท้อง

ตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็ม

โดยไร่บุญฉลวยเป็นไร่ที่ทำการเกษตรโดยยึดหลัก “นวธรรมชาติ” คือทำเกษตรแบบไม่ใช้มูลสัตว์ พื้นที่ปลูกอยู่ติดภูเขาซึ่งเดิมเป็นป่า ทำให้มีแร่ธาตุเยอะ จึงไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ

ข้าวโพดทับทิมสยาม

ส่วนเมนูตำข้าวโพดทับทิมสยามไข่เค็มก็ดีงามมาก เม็ดข้าวโพดโตๆ มาแบบดิบๆ แต่รสชาติหวานนุ่ม กินกับน้ำส้มตำและไข่เค็มในคำเดียวกันนี่อร่อยเหาะเลยทีเดียว

ที่ได้ลองชิมอีกเมนูคือ “ยำสาลี่” เป็นสาลี่หั่นเต๋าชิ้นพอดีคำมาในน้ำยำรสกลมกล่อม โรยด้วยมะพร้าวคั่วบดและหอมแดง ให้อารมณ์เหมือนกินเมี่ยงคำ กินเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็เหือบหมดจานแล้ว

ยำสาลี่

หรือสำหรับคนเมืองที่อยู่ในชั่วโมงรีบเร่ง ที่ฌานาก็มีเมนูอาหารจานเดียวรองรับด้วย จานเด็ดแนะนำคือ “ข้าวเกษตรอินทรีย์ คลุกปลาทูแม่กลอง ไข่ขบถออนเซ็น” ซึ่งไข่ขบถและอาหารประเภทเส้น แป้ง ข้าวทั้งหมด มาจากกิจการเพื่อสังคมบ้านรักษ์ดิน จ.กาญจนบุรี ที่ทุกอย่างเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด

ที่น่าสนใจคือ “ไข่ขบถ” หรือไข่ที่มาจากการเลี้ยงแม่ไก่ในรูปแบบที่ขบถจากระบบอุตสาหกรรมเดิม คือ ผลิตอาหารขึ้นเอง เพราะเชื่อว่าไม่ต้องใช้หัวอาหารและฮอร์โมนเร่ง โดยใช้ต้นกล้วย ผักตบชวา เอามาทำอาหารให้แม่ไก่ นอกจากนี้ยังเปิดเพลงให้แม่ไก่ฟัง เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ให้แม่ไก่สามารถออกไขาได้อย่างปกติ ไข่ไก่ที่ได้จากที่นี่จะมีไข่แดงที่ไม่แดงมาก ไข่คาวเป็นวุ้นรอบไข่แดง และไม่คาว

กินอาหารกันมาเยอะแล้ว ขอจิบเครื่องดื่มกันบ้าง ไฮไลท์ของฌานาก็คือ “มะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์” รสชาติหวานชื่นใจมาก แตกต่างจากมะพร้าวน้ำหอมทั่วไปที่ออกจืดจนบางครั้งเปรี้ยว แต่ของที่นี่หวานละมุนจริงๆ จนกินน้ำหมดแล้วต้องขอแคะเนื้อกินต่อเลย

มะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์

เคล็ดลับคือเขาใช้มะพร้าวอินทรีย์จาก Aromatic Farm จ.ราชบุรี ความพิเศษของการปลูกแบบอินทรีย์ของที่นี่คือมีการใส่ใจมะพร้าวทั้ง 369 ต้น ด้วยการทำ identify ทุกต้น ทำให้จะรู้ว่าช่วงเวลาที่ควรเก็บของมะพร้าวแต่ละต้นคือวันไหน เป็นการตั้งใจนำของที่ดีที่สุดมาสู่ผู้บริโภค

ปิดท้ายมื้อแห่งความสุขด้วยของหวานที่ดีต่อสุขภาพเช่นเคย กับเมนู “ไอศกรีมกะทิ” เสิร์ฟมาพร้อมบัวลอยเผือกด้านล่าง ถั่วแดง และลูกเดือย ที่ชอบคือตัวไอศกรีมกะทิที่หวานน้อยมาก กินกับเครื่องที่ใส่มาแล้วรู้สึกดี เพราะเป็นการกินของหวานแบบไม่ต้องกลัวอ้วนเลย

ไอศกรีมกะทิ ด้านล่างเป็นบัวลอยเผือก ถั่วแดง และลูกเดือย
เต้าหู้ทอดเนื้อแน่น

ใครสนใจอยากลองกินอาหารสุขภาพแนวใหม่ ใช้วัตถุดิบชั้นดีส่งตรงจากเกษตรกรไทย แถมรสชาติยังอร่อยมาก ไปลองกันได้ที่ “ฌานา” ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์

รับรองว่าจะติดใจ!

จากคอลัมน์ เคี้ยวตุ้ย…ตะลุยกิน โดย ชม นำพา [email protected]

 

เส้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่แค่เส้นสายคอนเน็กชั่น แต่หมายถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกประเภท ขึ้นชื่อว่าของดี กินอร่อย รับประกันหายห่วงคนแน่นร้านทุกวัน

ร้านบะหมี่หัวโต ตลาดศรีย่าน จัดเป็นหนึ่งในลิสต์มีดีที่เส้น ร้านนี้เปิดกิจการมายาวนานตั้งแต่รุ่นเตี่ย สืบทอดมาถึงรุ่นลูก รวมๆ แล้วร้านมีอายุยาวนานกว่า 50 ปีแล้ว ถือว่าเป็นร้านเก่าแก่ในย่านนี้ คนพื้นที่รู้จักกันดี

ชื่อร้านบะหมี่หัวโตมาจากฉายาของผู้เป็นเตี่ย ปัจจุบันตั้งอยู่ในตลาดศรีย่าน เข้าซอยไปนิดเดียวก็จะเห็นตึกแถวสีส้ม โดดเด่นด้วยลายฉลุคอนกรีตแบบจีนให้อารมณ์โรงเตี๊ยม มีทั้งหมด 3 ตึก ในบริเวณใกล้เคียงกัน ตึกหนึ่งเป็นส่วนของร้านทำก๋วยเตี๋ยว และอีก 2 ตึกเป็นส่วนโต๊ะนั่งสำหรับลูกค้า

ทีเด็ดของบะหมี่หัวโต อันดับแรก คือ เส้นบะหมี่ที่ทำเอง เป็นสูตรของต้นตระกูล นวดด้วยมือ และไม่ใส่วัตถุกันเสีย จุดเด่นคือเป็นเส้นกลม ใหญ่ เคี้ยวมัน ให้รสชาติ และเนื้อสัมผัสเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

อันดับต่อมา คือ เกี๊ยวหมูรสเด็ด กัดเต็มปากเต็มคำ ตามมาด้วย หมูแดง หมูกรอบ คำโตๆ และจุดเด่นอีกอย่างของบะหมี่หัวโต คือ กระเทียมเจียวที่มีสีดำ กลิ่นหอมมาก ซึ่งเป็นเทคนิคการเจียวลับเฉพาะ

นอกจากบะหมี่ ยังมีเมนูให้เลือกอีกหลายรายการ เริ่มจากของว่างมี เปาะเปี๊ยะ ถุงทอง กระเพาะปลา และเมนูข้าวหลากหลาย อาทิ ข้าวราดผัดกะเพราหมูกรอบ ข้าวผัดหมูแดง และอีกเพียบกว่า 40 รายการ

ใครจะมาชิมของอร่อยแนะนำว่าให้มาก่อนเที่ยง เพราะเครื่องเครายังเหลือครบ มาหลังจากนั้นอาจพลาดของอร่อย เช่น ซี่โครงหมูอบ และ หมูกรอบ ที่หมดไวสุดสุด

กล่าวถึงพ่อครัวใหญ่ของร้าน คุณจิว-ธีรชัย เจริญวัฒนาเลิศ รุ่นที่ 2 ของตระกูล รับหน้าที่เป็นทั้งพ่อครัว ผู้ปรับปรุงสูตร และหัวขบวนในบริหารจัดการร้าน มีเรื่องราวชีวิตผกผันเขียนเป็นนิยายยาวได้เรื่องหนึ่ง

คุณจิวอดีตเป็นนายแบงก์ แต่งตัวโก้ใส่สูทผูกไท แต่ด้วยความรักในงานอาหารจึงลาออก แล้วนำพาตัวเองไปหาประสบการณ์เรื่องฟู้ดแอนด์เบฟเวอร์เรจ ที่ซิดนีย์อยู่หลายปี การสืบทอดที่ร้านก็มีเรื่องขัดแย้งกับผู้เป็นเตี่ยหลายหน จนสุดท้ายได้กลับมาทำเพราะเตี่ยเกษียณอายุด้วยสุขภาพไม่อำนวยแล้ว

ธีรชัย เจริญวัฒนาเลิศ

คุณจิวมารื้อระบบเก่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการเรื่องกงสี การปรับสูตร เพิ่มเมนู แตกไลน์อาหาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตที่ใหญ่ขึ้น

จุดเด่นเรื่องเส้นบะหมี่ คุณจิวบอกว่า การนวดมือจะต่างจากการนวดด้วยเครื่อง นวดมือเราสามารถสัมผัสได้ว่าแป้งเป็นอย่างไร เหมือนเป็นงานคราฟท์ มีฟิลลิ่งได้สัมผัสจะรู้ว่ามันได้แล้วหรือยัง

ส่วนท็อปปิ้งนั้นเพิ่มเติมจากเดิมมีแค่เกี๊ยวหมู กับหมูแดง ก็มีหมูกรอบ ซี่โครงหมูอบ ไก่ย่างเทริยากิ กุนเชียง ไข่ต้ม เพิ่มเข้ามาให้หลากหลายมากขึ้น จากนั้นก็แตกไลน์เมนูใหม่ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่มีมาพัฒนา เช่น กะเพราหมูกรอบ คะน้าหมูกรอบ ข้าวผัดสไตล์จีน คือ ใส่หมูแดง กุนเชียง

“อย่างบะหมี่ผัด เราก็ใช้บะหมี่ที่มีอยู่ผัดใส่ถั่วงอก หมูแดง กุนเชียง ปรุงรส ใส่ต้นหอมซอย โรยหน้าด้วยไข่เจียวฝอย ก็อร่อยแล้ว”

คุณจิวบอกว่า ยังอยากพัฒนาอีกมาก ที่ใฝ่ฝันเลยคือ อยากทำร้านอาหารที่ใช้บะหมี่เป็นวัตถุดิบหลักๆ แล้วพัฒนาเป็นหลายเมนู เบส คือ บะหมี่ ตั้งแต่ของว่าง ยัน ของหวาน

“เราอยากขายตัวเรา อัตลักษณ์ของเรา ความเป็นบะหมี่ของเรา”

นอกจากงานประจำที่ร้านบะหมี่หัวโต คุณจิวยังเจียดเวลาเป็นอาจารย์ให้กับ “มติชน อคาเดมี” เปิดสอนคอร์ส “บะหมี่หัวโต” เรียนตั้งแต่การทำเส้น และหมูแดง หมูกรอบ สูตรเด็ดของร้านแบบไม่กั๊ก

ล่าสุดกำลังจะเปิดสอนกันวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561 นี้ ในราคา 2,140 บาทเท่านั้น

สำหรับคนอยากกินของอร่อยต้องพุ่งไปที่ร้านบะหมี่หัวโต แต่ใครอยากได้สูตรเด็ดต้องดิ่งมาเรียนที่ มติชน อคาเดมี โทร 08-2993-9097, 08-2993-9105 รับประกันไม่มีผิดหวัง

ระยะเวลาอาทิตย์กว่าๆ ที่ได้มีโอกาสไปทำงานที่จังหวัดแพร่ นอกจากจะหลงเสน่ห์ความเป็นเมืองเล็กๆ ที่แสนจะน่ารักแล้ว ร้านอาหารก็เป็นอีกอย่างที่สร้างความประทับใจไม่ลืม

บรรดาร้านอาหารในอำเภอเมืองมี 3 ร้านที่วนเวียนหิ้วท้องไปฝากอยู่เป็นประจำ เพราะติดใจในรสชาติ และราคาที่น่าคบหา

ร้านแรก “หอมรสโภชนา” ร้านนี้เป็นตึกแถวขนาดกะทัดรัด อยู่ใกล้แยกร่องซ้อ เป็นร้านอาหารตามสั่ง มีทั้งแบบจานเดียว และแบบเป็นกับข้าว เปิดขายจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสามทุ่ม ภายในร้านมีโต๊ะให้นั่ง 7-8 โต๊ะ

เข้าไปชิมครั้งแรกลองสั่งเมนูพื้นๆ จำพวกอาหารจานเดียว ราคาย่อมเยา 35-40 บาท ปรากฏว่ารสมือใช้ได้ วันต่อมาลองไล่ดูเมนูมีอาหารน่าสนใจหลายรายการ ลองสั่ง “กุ้งผัดพริกกระเทียม” มาชิม ราคา 150 บาท ที่ร้านใช้ทั้งกุ้งแม่น้ำ และกุ้งขาว แล้วแต่ว่าวันนั้นจะได้วัตถุดิบอะไรมา รสชาติเผ็ดจัดจ้านเข้ากันได้ดีกับเนื้อกุ้งหวานแน่น จำได้ว่าได้กุ้งมาเต็มจาน 7-9 ตัว รับประทานมันระเบิดเถิดเทิง

ที่ติดใจอีกอย่าง คือ “แกงป่าไก่” เครื่องแกงจัดเต็มน้ำข้นคลั่กรสชาติถึงใจ ในราคา 70-100 บาท ต่อด้วย “กุ้งอบวุ้นเส้น” 120 บาท มาผ่อนดีกรีความเผ็ดร้อนลงหน่อย จังหวะแม่ครัวเดินออกมาได้พูดคุยนิดหน่อยจึงถึงบางอ้อ อดีตนั้นเคยเป็นเชฟโรงแรมที่หัวหินมาก่อน มิน่าฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา

ใครผ่านไปผ่านมาเมืองแพร่ตามรอยกันได้ โทร 08-4041-7473

ร้านต่อมา “ไผ่เหลือง” ร้านนี้เป็นร้านตามสั่งง่ายๆ ในราคา 30-40 บาท ตั้งอยู่บนถนนน้ำคือ ภายในร้านมีที่จอดรถหายห่วง ความโดดเด่นของร้านนี้ คือ ใช้น้ำมันหมูทำอาหาร บางจานก็ผัดกากหมูใส่มาด้วย ลาภปากคนรักกากหมู จานที่ชวนให้ชิม คือ กะเพราตับ และ ข้าวกะเพราคลุก จานหลังอาจมันเลี่ยนไปนิด แต่รสชาติอร่อยเด็ดจริงๆ แนะนำว่าอย่าไปเย็นมาก เพราะตกบ่าย ร้านก็ปิดแล้ว

ใครสนโทรไปเลยเบอร์นี้ 0-5451-1362, 0-5452-3061

ร้านที่สาม “ก๋วยเตี๋ยวลุงป๋า” อยู่บนถนนคุ้มเดิม ตำบลในเวียง ใกล้ศาลหลักเมือง ขายก๋วยเตี๋ยวมาร่วม 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ขายให้นักเรียนชามละ 10 บาท ปัจจุบันธรรมดา 30 บาท พิเศษ 35 บาท มีให้เลือกทั้งแบบน้ำใส ต้มยำ น้ำตก และเย็นตาโฟ วัตถุดิบลุงป๋าคัดสรรแบบใส่ใจตั้งแต่เส้น ลูกชิ้น เนื้อหมู และน้ำซุปที่ต้มกระดูกหมูเคี่ยวจนหอมหวาน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยทุกอย่าง กินกันให้หนำรับประกันแบงก์ร้อยยังมีทอน

ในร้านเดียวกันมีโซนขายเครื่องดื่มรสชาติดี ชื่อร้าน “july 4th cafe” ที่ภรรยาของลุงป๋าเป็นคนดูแล พูดคุยถึงชื่อร้านได้ความว่าไม่ใช่วันชาติอเมริกา แต่เป็นวันเกิด วันเปิดร้าน และเป็นวันที่เธอลาออกจากการเป็นพยาบาลในกรุงเทพฯ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด อารมณ์ประกาศอิสรภาพเลยทีเดียว เรื่องรสชาตินั้นต้องบอกว่าดีไม่แพ้คาเฟ่หรู บางเมนูอร่อยกว่าด้วย เช่น นมน้ำผึ้ง 30 บาท หอม หวาน กลมกล่อม ชื่นใจจริงๆ

เอาเป็นว่าใครผ่านไปผ่านมาเมืองแพร่ ต้องห้ามพลาดมากินมาเที่ยวมาพักที่นี่ แล้วจะรู้ว่าเมืองเล็กแห่งนี้ก็มีดีไม่เป็นสองรองใครเลย


จากคอลัมน์ เคี้ยวตุ้ย…ตะลุยกิน โดย ชม นำภา นสพ.มติชนรายวัน