“พาณิชย์”ลงพื้นที่ติดตามการรับซื้อมะม่วง เผยปีนี้ราคาดีมาก เกษตรกรยิ้มออก

กรมการค้าภายในลงพื้นที่ติดตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 67 เกาะติดการรับซื้อมะม่วง พบราคาปีนี้ดีมาก ดีสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง เผยน้ำดอกไม้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25-40 บาท ฟ้าลั่นกิโลกรัมละ 9-11 บาท โชคอนันต์ กิโลกรัมละ 10-12 บาท เขียวเสวย กิโลกรัมละ 24 บาท หลังประสานผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อ และมีการเข้าซื้อต่อเนื่อง

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ลงพื้นที่ — ติดตามการดำเนินมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2567 ตามนโยบายนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 โดยไปติดตามการรับซื้อมะม่วง ที่ขณะนี้เข้าสู่ฤดูกาลผลิต พบว่า สถานการณ์ด้านราคาปีนี้ดีมาก ถือว่าราคาดีสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าผลผลิตในภาพรวมจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีปริมาณ 1.3 ล้านตัน เนื่องจากมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ลงพื้นที่ — ติดตามการดำเนินมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2567 ตามนโยบายนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 โดยไปติดตามการรับซื้อมะม่วง ที่ขณะนี้เข้าสู่ฤดูกาลผลิต พบว่า สถานการณ์ด้านราคาปีนี้ดีมาก ถือว่าราคาดีสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าผลผลิตในภาพรวมจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีปริมาณ 1.3 ล้านตัน เนื่องจากมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

S__2924695
S__2924703

ส่วนสถานการณ์ด้านราคามะม่วงน้ำดอกไม้ ปีที่แล้วเกรด A ราคาเฉลี่ยกิโลกรัม (กก.) ละ 25-30บาท ปีนี้เฉลี่ย กก.ละ 25-40 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ดีมาก และดีเป็นประวัติการณ์ ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้คละ ปีที่แล้วสูงสุดอยู่ที่กก.ละ 20 บาท ปีนี้สูงสุดอยู่ที่ กก.ละ 25 บาท ถือว่าราคาดีเช่นเดียวกัน ส่วนมะม่วงอื่น ๆ เช่น ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เขียวเสวย ราคาดีหมดทุกตัว โดยฟ้าลั่น ปีที่แล้วเบอร์ 1 อยู่ที่ กก.ละ 8-10 บาท ปีนี้อยู่ที่ กก.ละ 9-11 บาท เกรดคละ กก.ละ 3-5 บาท ปีนี้อยู่ที่ กก.ละ 4-5 บาท โชคอนันต์ ปีที่แล้วอยู่ที่ กก.ละ 10-12 บาท ปีนี้ราคาใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ช่วงผลผลิตออกมาเยอะ ราคาอาจลงบ้าง แต่กรมได้เข้าไปช่วยพยุงราคาไว้ไม่ให้ต่ำกว่าปีที่แล้ว และในบางพื้นที่ ราคาสูงกว่าปีที่แล้ว และเขียวเสวย ปีที่แล้วอยู่ที่ กก.ละ 23 บาท ปีนี้อยู่ที่ กก.ละ 24 บาท

นายวัฒนศักย์กล่าวว่า มาตรการที่กรมได้นำมาใช้ในการดูแลผลผลิตมะม่วงในปีนี้ ได้มีการนำผู้ประกอบการ โรงงานแปรรูป ผู้รวบรวม ผู้ส่งออก ห้างค้าปลีกค้าส่ง เช่น บิ๊กซี แม็คโคร โลตัส ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต เดอะมอลล์ โกโฮล เซลล์ ห้างท้องถิ่น และปั๊มน้ำมัน มาทำเกษตรพันธสัญญากับกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ใน จ.พิษณุโลก จ.พิจิตร และ จ.สุโขทัย ประมาณ 45,000 ตัน ซึ่งได้มีการส่งมอบไปแล้วกว่า 32,000 ตัน และในส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบให้ครบถ้วนต่อไป โดยพี่น้องประชาชน หากพบเห็นมะม่วงที่ไหน ขอให้ช่วยกันซื้อ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร และขอให้เกษตรกรดูแลคุณภาพผลผลิตให้ดี มีคุณภาพ เพื่อให้ขายได้ราคาดีต่อไป

นอกจากนี้ กรมยังได้ร่วมมือกับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หรือกลุ่ม YEC ที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ทั้งการเพิ่มช่องทางการตลาด การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ ทั้งในกระบวนการผลิต การทำตลาด เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพี่น้องเกษตรกร ตามที่นายภูมิธรรม ได้ให้นโยบายในเรื่องการใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร

ผลไม้ประจำชาติของอินเดีย คือ “มะม่วง” จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย มะม่วงได้ถูกแพร่ให้ปลูกกระจายไปทั่วภูมิภาคเขตร้อน รวมถึงประเทศไทยที่ถือว่ามีการปลูกมะม่วงส่งออกมากเป็นอันดับ 3 ของโลก สำหรับมะม่วงมีหลากหลายสายพันธุ์ สามารถรับประทานได้ทั้งผลดิบและสุก พันธุ์ที่นิยมรับประทานผลดิบก็มีทั้งมะม่วงมัน อย่างเช่น พันธุ์เขียวเสวยหรือฟ้าลั่น และมะม่วงเปรี้ยวที่มักรับประทานคู่กับน้ำปลาหวานหรือจิ้มพริกเกลือ เช่น พันธุ์แรดหรือแก้ว ส่วนพันธุ์ที่นิยมรับประทานผลสุก ก็เช่นพันธุ์น้ำดอกไม้หรืออกร่อง

การรับประทานมะม่วงก็ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น เนื่องจากมีวิตามิน C สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มะม่วงมีวิตามิน A วิตามิน C ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบายยิ่งขึ้น ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติปรับสมดุลภายใน ถ้ารับประทานผลดิบจะให้ฤทธิ์เย็น ในขณะที่ผลสุกนั้นให้ฤทธิ์ร้อน

มะม่วงก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับผลไม้ที่มีวิตามิน E ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายพร้อมต่อสู้กับการติดเชื้อ ส่วนคาร์โบไฮเดรตในมะม่วงดิบจะอยู่ในรูปของแป้ง เมื่อมะม่วงเริ่มสุกแป้งเหล้านี้จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอย่างกลูโคส ฟรักโทส และซูโครส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เร็ว มีผลให้ร่างกายได้รับน้ำตาลและพลังงานในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จึงควรระวังเรื่องปริมาณในการบริโภคมะม่วงสุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนโพลีฟีนอลในมะม่วงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดอาการอักเสบและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งและโรคหัวใจ จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า สารแมนจิเฟอริน (Mangiferin) ที่สกัดได้จากใบและเปลือกต้นของมะม่วงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อไวรัส ซึ่งตรงกับสรรพคุณของยาไทยที่ใช้กันมาแต่โบราณ ที่นำใบสดมาต้มน้ำดื่มแก้อาการท้องอืดแน่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือใบสดตำละเอียดพอกแผลให้สมานเร็วขึ้น ส่วนเปลือกต้นนำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้ตัวร้อน หรือฝนน้ำปูนใสทารักษาแผลมีหนอง แต่บางคนเมื่อสัมผัสยางในใบหรือเปลือกมะม่วงที่มีสารนี้อยู่ ผิวหนังอาจระคายเคืองหรือบวมได้

ที่มา : แม่บ้าน

ถ้าจะพูดถึงผลไม้ไทยแล้วล่ะก็ “มะม่วง” ดูจะเป็นผลไม้ที่ติดอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์หรือรสชาติที่สามารถทานได้ทั้งเปรี้ยวหรือหวาน ซึ่งมะม่วงในเมืองไทยนั้นมีมากกว่า 50 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกันทั้งลักษณะภายนอกและรสชาติ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว มะม่วงที่เราชอบทานกันนั้นคือพันธุ์อะไร ต้องเลือกความสุกแค่ไหน เพื่อให้ทานอร่อยยิ่งขึ้น แต่ในวันนี้ที่เราจะมาแนะนำมะม่วงให้คุณได้รู้จัก เราขอเลือกสายพันธุ์ที่คุ้นเคยและพบเจออยู่บ่อยๆ ว่ามีลักษณะและความแตกต่างกันอย่างไรและพันธุ์ไหนเลือกทานยังไงให้อร่อยที่สุดมาบอกกันค่ะ

ก่อนอื่นขอแบ่งตามประเภทของการทานซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท

1. ถ้าชอบแบบทานดิบ มะม่วงกลุ่มนี้จะมีรสหวานมันตอนแก่จัด แต่เมื่อสุกแล้วจะหวานชืด ไม่อร่อย และนิยมรับประทานกับน้ำปลาหวานเพื่อเพิ่มรสชาติ เช่น

“พันธุ์เขียวเสวย” จะมีลักษณะผลเรียวยาว ผิวเรียบ เปลือกหนามีสีเขียวเข้ม เมื่อแก่ผิวเปลือกจะออกสีนวล เนื้อเป็นสีขาวจะมีความละเอียด กรอบ มีเสี้ยนค่อนข้างน้อย เมื่อแก่จัดจะมีรสมัน

“พันธุ์แรด” ลักษณะผลบริเวณใกล้ขั้วจะมีติ่งงอกออกมาคล้ายนอแรด ผลสุกจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม แต่ถ้าผลดิบจะมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งเหมาะจะทานคู่กับน้ำปลาหวาน

“พันธุ์ฟ้าลั่น” จะมีลักษณะผลกลม ท้ายแหลม เมื่อปอกเปลือก เนื้อมะม่วงจะปริแตก จึงเป็นที่มาของชื่อ “ฟ้าลั่น”

“พันธุ์หนองแซง” ผลดิบมีรสชาติมัน หวานกรอบ พอผลสุกจะมีรสชาติหวาน หอมติดเปรี้ยวนิดๆ

2. ถ้าชอบแบบทานสุก มะม่วงกลุ่มนี้เมื่อดิบจะมีรสเปรี้ยวมาก ต้องบ่มให้สุกก่อนทาน พอผลสุกจะมีสีเหลืองทั้งเปลือกและเนื้อ นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน  เช่น

“พันธุ์น้ำดอกไม้” จะมีลักษณะลูกยาวป้อม มีรูปทรงของผลสวยงาม ผลมีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ผลสุกจะมีรสหวาน เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อละเอียดมีกลิ่นหอมมาก และเมล็ดบาง

“พันธุ์อกร่อง” ผลจะมีลักษณะเป็นร่องตื้น ผลสุกจะมีสีเหลืองทองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อในละเอียดมีสีเหลืองอ่อนหรือสีครีม มีเสี้ยนเล็กน้อย มีรสหวานมากและจะหวานมากกว่ามะม่วงทุกชนิด

3. ถ้าชอบนำมาแปรรูป มะม่วงกลุ่มนี้เมื่อแก่จัดจะมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อผลเริ่มสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวหรือหวานชืด ไปเลยจึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงกวนและอื่นๆ เช่น

“พันธุ์แก้ว” จะมีลักษณะผลอ้วนป้อม เล็ก เปลือกเหนียว ถ้าผลดิบเนื้อจะกรอบมีรสเปรี้ยว ตอนใกล้สุกเปลือกจะมีสีอมส้มหรืออมแดง เนื้อนุ่ม เหนียว ไม่เละง่าย จะนิยมนำมาทำมะม่วงแช่อิ่ม

“พันธุ์พิมเสนสามปี” รสชาติจะเปรี้ยวหวาน เนื้อสีเหลือง มีเสี้ยน จะนิยมนำมาทำมะม่วงกวน

พอจะเห็นภาพและแยกออกกันบ้างแล้วใช่ไหมว่าหน้าตา ลักษณะแบบนี้เค้าเรียกว่าพันธุ์อะไร ในครั้งหน้าถ้าไปเลือกซื้อมะม่วง ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบ ซึ่งจริงๆ มะม่วงยังมีอีกหลายสายพันธุ์ที่เราไม่ได้เลือกมาแนะนำให้รู้จัก เช่น พันธุ์แก้วลืมรัง ผลสุกจะมีรสหวาน กินกับข้าวเหนียวมะม่วง เป็นมะม่วงเฉพาะถิ่น พันธุ์ยายกล่ำ ผลสุกเนื้อจะมีรสชาติหวาน ไม่เละ ไม่มีเสี้ยน พันธุ์ทองดำ ผลสุกเปลือกจะมีสีเขียวเข้ม เนื้อสีส้ม รสชาติหวาน มะม่วงมหาชนก มีลักษณะสีผิวสวย เมื่อสุกจัดจะมีสีเหลืองทองอมส้ม มีรสชาติหวานและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นต้น  ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็จะมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน อยากลองทานแบบไหน ก็สามารถไปเลือกซื้อเลือกทานกันได้เลยนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) ส่งเมนูแมงโก้สติ๊กกี้ไรซ์ครีมแฟรบปูชิโน่ปั่น รสชาติหอมหวานสดชื่นมาเอาใจคนรักข้าวเหนียวมะม่วง พร้อมทั้งดริ๊งค์แวร์แมงโก้คอลเลคชั่นที่จะมาเติมเต็มซัมเมอร์นี้ให้สมบูรณ์แบบ โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ

 

แมงโก้สติ๊กกี้ไรซ์ครีมแฟรบปูชิโน่ปั่น เมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศไทย มอบส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างน้ำมะม่วงผสมเสาวรส ปั่นกับนมเนื้อเนียนนุ่ม ด้านล่างเติมเต็มความหอมหวานด้วยส่วนผสมของข้าวเหนียว และเจลลี่มะม่วงจากราชามะม่วงอัลฟองโซ่ ท็อปด้วยวิปครีมเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนที่ยิ่งทำให้รสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็ก ๆ ลงตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั่น แมงโก้ สติ๊กกี้ ไรซ์ ครีม แฟรบปูชิโน่ปั่น ยังเป็นเพียงเมนูเดียวในประเทศไทยที่มีดริ้งค์แวร์เข้าคู่เป็นของตัวเอง ยิ่งทำให้เมนูนี้มีความพิเศษมากขึ้น ไม่ลองไม่ได้แล้ว

 

 

ดริ๊งค์แวร์แมงโก้คอลเลคชั่น

  • ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีลสองชั้นแบบสุญญากาศ สีขาวตัดเหลือง ลายมะม่วงสดใส มาพร้อมกับซิลิโคนสีดำกันกระแทกที่ใต้ทัมเบลอร์ เหมาะสำหรับทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 1,350 บาท

 

  • ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีลสองชั้นแบบสุญญากาศ มาพร้อมฝาปิดสองแบบคือ ฝาปิดสีเขียวเข้มแบบ traveler และฝาปิดซิลิโคนทรงวิปครีมสีขาวสลับกับสีเขียว เหมาะสำหรับทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 1,150 บาท

 

  • ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีลสองชั้นแบบสุญญากาศ มาพร้อมฝาปิดสองแบบคือ ฝาปิดสีขาวแบบ traveler และฝาปิดซิลิโคนทรงวิปครีมสีขาวสลับกับสีเหลือง เหมาะสำหรับทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 1,150 บาท

 

  • ทัมเบลอร์พลาสติกสองชั้น ด้านนอกโปร่งใส ส่วนด้านในเป็นลายมะม่วง มาพร้อมกับฝาผิดพลาสติกที่สามารถกันน้ำหกหรือรั่วไหลได้อย่างดี และสามารถใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 480 บาท

 

  • ทัมเบลอร์พลาสติกสองชั้น ที่มาพร้อมกับที่จับแก้วซิลิโคนสีขาว-เหลืองที่สื่อให้เห็นถึงเลเยอร์ของเครื่องดื่มแฟรบปูชิโน่ และยังมีหลอดพลาสติกสีเขียวอ่อน ที่สามารถเก็บไว้ข้างทัมเบลอร์ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มชนิดเย็น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 480 บาท

 

  • ขวดน้ำพลาสติกทูโทนที่ส่วนบนเป็นสีเหลืองแบบโปร่งแสง ส่วนล่างเป็นสีส้มแบบโปร่งแสง ส่วนกลางของทัมเบลอร์สามารถถอดออกได้เพื่อให้ง่ายต่อการใส่น้ำแข็ง มาพร้อมฝาปิดสีขาวแบบเกลียวที่สามารถกันน้ำหกหรือรั่วไหลได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับเครื่องดื่มชนิดเย็นเท่านั้น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 500 บาท

 

  • ขวดน้ำพลาสติกสีเขียวโปร่งแสง ส่วนกลางของทัมเบลอร์สามารถถอดออกได้เพื่อให้ง่ายต่อการใส่น้ำแข็ง มาพร้อมฝาปิดสีเขียวเข้มแบบเกลียวที่สามารถกันน้ำหกหรือรั่วไหลได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับเครื่องดื่มชนิดเย็นเท่านั้น ขนาด 16 ออนซ์ ราคา 500 บาท

 

  • ทัมเบลอร์แก้วที่มาพร้อมกับฝาปิดทรงวิปครีมทนความร้อนและหลอดพลาสติกสีเขียวตัดขาวที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มชนิดเย็น ขนาด 12 ออนซ์ ราคา 600 บาท

 

  • ทัมเบลอร์แก้วที่มาพร้อมกับฝาปิดทรงวิปครีมทนความร้อนและหลอดพลาสติกสีเหลืองตัดขาวที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มชนิดเย็น ขนาด 12 ออนซ์ ราคา 600 บาท

 

นอกจากนี้สตาร์บัคส์ยังนำเสนอ เกมส์ ‘Show Your Flavor’ ให้ได้ร่วมสนุกลุ้นรับคูปองแลกซื้อเครื่องดื่มแฟรบปูชิโน่ในราคาพิเศษสุดๆ โดยสามารถร่วมสนุกได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15-20 พฤษภาคม 2561 และนำมาแลกซื้อเครื่องดื่มที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 11 มิถุนายน 2561 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/StarbucksThailand/

มะม่วงเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับสังคมชนบทในสมัยก่อน เพราะปลูกง่าย ทนแล้ง ไม่ต้องดูแลอะไรมาก ยิ่งมะม่วงพื้นบ้าน เช่น แก้ว พิมเสน อกร่อง ทองดำ หนังกลางวัน แรด หัวเงน แก้มแหม่ม แก้วลืมคอน หอมทุเรียน กระบอก สำปั้น ปลาซิว ขี้ซี สามฤดู มีสารพัดสายพันธุ์จนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ละพันธุ์มีกลิ่นรสแตกต่างกันออกไป มะม่วงยังเป็นต้นไม้อายุยืนยาว ปลูกรุ่นทวดรุ่นเหลนยังได้กิน ทนทานจริงๆ จะมีก็แต่กาฝาก ถ้าต้นแก่ๆ เปลือกหนาๆ กาฝากก็ยังเจาะไม่ลง

กาฝากมะม่วงนั้นนิยมเอาไปทำยา โดยเอาไปตากแห้งเก็บไว้ต้มกินเป็นยา แรกๆ ยังไม่มีความรู้ว่าทำไมจึงเป็นยา ต่อมาพ่อหมอยาสอนว่ากาฝากมะม่วงนี้ดีนัก มะม่วงมีสรรพคุณอะไร สรรพคุณพวกนั้นก็ถูกกาฝากดูดมาอยู่ในตัวหมด ตั้งแต่เป็นยาลดความดันโลหิต ยาแก้ปวดเมื่อยยาบำรุงร่างกาย ป้องกันโรคภัยได้สารพัด ถ้าเป็นตามคำของหมอยาพื้นบ้านก็หมายความว่า ถ้ากาฝากต้นไม้ชนิดหนึ่งมีสรรพคุณอะไร ก็เชื่อมโยงไปได้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นน่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน แต่บ้านเราไม่ค่อยใช้กิ่ง ใบ ต้น หรือรากของมะม่วงเป็นยา นิยมใช้กาฝากมากกว่าโดยเฉพาะกาฝากมะม่วงกะล่อน เดี๋ยวนี้กาฝากมะม่วงหายากขึ้น ถ้าหากาฝากไม่ได้ ก็ใช้กิ่งใบของมะม่วงแก้ขัดได้

มะม่วง ผลไม้สุขภาพดี มีรสชาติ

มะม่วงเป็นผลไม้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของชีวิตเด็กบ้านนอก เมื่อใดที่ลมฝนพัดมาเด็กๆ จะคว้าตะกร้าวิ่งไปที่ต้นมะม่วงกะล่อนสูงใหญ่ที่บริเวณหัวไร่ปลายนา คอยเก็บลูกที่ร่วงเอามากวน เวลากวนมะม่วงกะล่อนจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน มะม่วงหลักๆ ที่ปลูกไว้ทุกบ้านคือ แก้ว พิมเสน และอกร่อง พันธุ์อื่นๆ อาจจะเบี้ยวออกปีเว้นปีบ้าง แต่สามพันธุ์นี้มาตามนัดตลอด อกร่องบางปีลูกอาจจะน้อย แต่ก็มาอยู่ดี

มะม่วงแก้วกินได้หลายแบบ ดิบก็ไม่เปรี้ยวมาก กินกับน้ำปลาหวานอร่อย และอร่อยสุดตอนสุกปากตะกร้อ ต้องกินเดี๋ยวนั้น กรอบข้างนอกหวานข้างใน คนสมัยใหม่ไม่มีทางรู้ มะม่วงแก้วจะเอามาดองเก็บไว้กินได้ทั้งปี แต่ถ้าเอามากวนจะแข็งมาก ส่วนพิมเสนกินดิบเปรี้ยวจี๊ด เอาไว้กินสุก หรือควรเก็บไว้กินแต่ไม่อยู่ตลอดปี เพราะกินหมดก่อน

ส่วนอกร่องกินดิบไม่อร่อย กวนก็ไม่อร่อย เนื้อเป็นทรายๆ ต้องกินกับข้าวเหนียวมูล ข้าวเหนียวมะม่วงอกร่องนี้นับเป็นสุดยอดของอร่อยอย่างหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ไม่ใช่ความอร่อยอย่างเดียวที่ทำให้อาหารหวานตำรับนี้น่าทึ่ง แต่กะทิที่ใส่ลงไปยังช่วยในการดูดซึมเบต้าแคโรทีนที่มีอยู่อย่างมากมายในมะม่วงด้วย ตำรับของว่างที่สุดยอดอีกอย่างของบ้านเรา คือมะม่วงน้ำปลาหวาน ถ้ารวบรวมจริงๆ คงมีหลายสิบหรือเป็นร้อยสูตรเลยทีเดียว แค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้ว

กินมะม่วง หายห่วงเรื่องท้องไส้

มะม่วงอยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมานานจนกลายเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ต้องหันมามองมะม่วงในมุมใหม่ มีงานวิจัยที่ศึกษามะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ยืนยันตรงกันว่า มะม่วงมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ (prebiotics) คือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ในการใช้มะม่วงเป็นแหล่งให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือเป็นอาหารสุขภาพให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานและมะเร็งได้

พรีไบโอติกส์มีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน ช่วยดูดซับสารพิษ และเป็นอาหารของโปรไบโอติกส์ ทำให้จุลินทรีย์ดีเหล่านี้แข็งแรง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ กำจัดสารพิษ สร้างวิตามินต่างๆ คงเป็นเพราะเหตุนี้เองเด็กบ้านนอกที่โตมากับดินกับทรายเมื่อ 40-50 ปีก่อนจึงไม่รู้จักกับโรคภูมิแพ้ ท้องไส้ไม่ค่อยผูก เพราะกินผักผลไม้มากมาย ถ้าท้องผูกจริงๆ ก็กินมะม่วงอ่อนจิ้มพริกเกลือกินดื่มน้ำตามลงไปมากๆ หรือกินมะม่วงสุกสัก 2-3 ลูก หรือไปเอามะม่วงกวนที่เก็บไว้ในปี๊บมาต้มน้ำกิน เติมน้ำมะขามให้เปรี้ยวนิดๆ ก็ช่วยได้แล้ว

คนโบราณเชื่อว่ามะม่วงสุกจะช่วยคนที่ธาตุอ่อนการย่อยไม่แข็งแรง รักษาริดสีดวงลำไส้ที่ทำให้ท้องเสียบ่อยๆ ถ่ายไม่เป็นเวลา ท้องลั่นท้องลม หากกินมะม่วงจะช่วยได้ ส่วนมะม่วงดิบนอกจากช่วยย่อยอาหารและช่วยระบายแล้ว ยังลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ในขณะที่การวิจัยสมัยใหม่พบว่า สารแมงจิเฟอริน (magiferin) ที่พบทุกส่วนของมะม่วงมีคุณสมบัติในการป้องกันผนังกระเพาะไม่ให้ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์และยาแก้อักเสบอินโดเมธาซิน (indomethacin) และมีรายงานว่าสารต้านมะเร็งจากมะม่วงมีแนวโน้มที่จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

มะม่วง ผลไม้เป็นยา เห็นคุณค่าทั่วโลก

คนหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้กินมะม่วงเป็นแค่ผลไม้ แต่ยังใช้สรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ชาวอินเดียเชื่อว่าการรับประทานมะม่วงช่วยในการขับถ่าย ขับปัสสาวะ กระตุ้นกำหนัด ทำให้สดชื่น ชาวเซเนกัลก็เชื่อเหมือนกันว่ากินมะม่วงจะทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนชาวปานามากินมะม่วงสุกเป็นยาช่วยระบายเหมือนๆ คนไทย สรรพคุณข้อนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงซึ่งพบว่าอุดมไปด้วยใยอาหารที่เป็นพรีไบโอติกส์ วิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งสารโพลีฟีนอลที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วง 100 กรัม จะมีวิตามินเอถึงหนึ่งในสี่ของปริมาณที่คนเราควรได้รับต่อวัน วิตามินเอจะช่วยสร้างเยื่อบุและเซลล์ของผิวหนัง บำรุงปอด และผิว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 1 ซึ่งช่วยบำรุงประสาท และมีวิตามินอีอยู่ไม่น้อย ซึ่งช่วยในการปรับระดับฮอร์โมนของผู้หญิง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนสมัยก่อนเวลาเลือดลมจะมาเขาให้กินมะม่วงกวน ราวกับรู้ว่าในมะม่วงมีวิตามินอีอย่างนั้นแหละ

การศึกษาวิจัยประโยชน์ทางยาของมะม่วงส่วนใหญ่มุ่งไปที่คุณสมบัติของสารสำคัญที่พบในมะม่วงคือ สารแมงจิเฟอรินที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งพบในทุกส่วนของมะม่วง แต่มีมากในใบ เปลือกต้น เปลือกผล สารนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดความดัน ต้านเบาหวาน ชะลอความชรา ต้านการอักเสบ แก้ปวด เป็นต้น ปัจจุบันประเทศคิวบามีการสกัดสารจากเปลือกต้นมะม่วงออกมาจำหน่ายเป็นอาหารเสริมในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ต่างๆของร่างกาย

ในอินเดียและหลายประเทศในแอฟริกามีการใช้ส่วนต่างๆ ของมะม่วงเป็นยากันอย่างแพร่หลาย คนแอฟริกันจะใช้เปลือกต้นมะม่วงต้มกินเป็นยาแก้อักเสบ แก้ปวดและเบาหวาน ส่วนในอินเดียซึ่งมะม่วงเป็นผลไม้ประจำชาติเหมือนกับฟิลิปปินส์นั้น ใช้มะม่วงเป็นยาทุกส่วน เช่น ใบมะม่วงใช้เป็นยาลดน้ำตาล เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเสียง ซึ่งเป็นสรรพคุณที่คล้ายกับบ้านเรา แม้ว่าคนไทยจะนิยมใช้กาฝากมะม่วงมากกว่า แต่ก็มีบางท้องที่นำใบมะม่วงอ่อนมาอังไฟให้กรอบ ชงน้ำร้อนแบบชาวจีนเป็นยาบำรุงร่างกาย ลดความดัน ลดเบาหวาน หรือแก้เสียงแหบแห้งด้วยการนำใบมะม่วงอ่อนมาต้มน้ำกิน นอกจากนี้ยังใช้มะม่วงทั้งห้าต้มกินเพื่อลดความดัน ส่วนเปลือกมะม่วงจะนำมาต้มกินแก้ท้องเสีย บางแห่งเก็บเปลือกผลมะม่วงนำมาตากแห้งชงน้ำกินเพื่อทำให้ชุ่มคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง

มะม่วง เครื่องสำอางชั้นดีราคาประหยัด

มะม่วงใช้เป็นเครื่องสำอางได้ดี มีคุณสมบัติไม่แพ้เครื่องสำอางราคาแพงๆ วิธีใช้คือ นำมะม่วงสุกพอกหน้าไว้เท่านั้นเอง หรือนำไปปั่นให้เหลวเพื่อทาหน้าก็ได้ คุณสมบัติในการบำรุงผิวนี้เกิดจากการที่มะม่วงมีวิตามินซีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูง คือมีมากกว่ามะนาวถึง 3 เท่า และมีคุณสมบัติในการทำให้ผิวหน้าเรียบลื่นนุ่มชุ่มชื้น ในมะม่วงยังมีสารจำพวกน้ำตาลร่วมกับพวกกรดอะมิโนที่ช่วยคงความชุ่มชื้นไว้ที่ชั้นของผิวหนัง วิตามินเอและซีในมะม่วงยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ลบรอยเหี่ยวย่นได้ดี ถ้าอยากสวยอย่างง่ายๆ ก็เพียงแต่เอามะม่วงสุกหนึ่งลูกปั่นแล้วนำมาพอกหน้า ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใส อ่อนเยาว์ได้จริงๆ ไม่ได้โฆษณาเกินจริงเหมือนโฆษณาหน้าเด้ง

ยำยอดมะม่วงอ่อน

ส่วนประกอบ

ยอดมะม่วงอ่อน ปลากระป๋อง หรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่าง ดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง เกลือ

วิธีทำ

เก็บใบมะม่วงอ่อนมาผึ่งให้สลด พักไว้ ทำเครื่องยำโดยนำดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง ตำให้ละเอียดเข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ พักไว้ นำใบมะม่วงที่สลดดีแล้วมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ปลากระป๋องหรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่างลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องยำที่เราตำไว้แล้วชิมรสตามชอบ

 

จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN

ปัจจุบันมะม่วงได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เช่น อุดรธานี ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น และพิษณุโลก ซึ่งมีทั้งจำหน่ายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะกำลังเป็นผลไม้ยอดนิยมในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน สร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่าพันล้านบาทต่อปี

โดยออร์เดอร์จากต่างประเทศมาจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมทั้งเวียดนาม โดยมะม่วงสุกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองและน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ส่งไปจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขณะที่มะม่วงดิบพันธุ์เขียวเสวย ฟ้าลั่น ส่งออกไปเวียดนาม โดยจังหวัดฉะเชิงเทรากำลังยื่นขอขึ้นทะเบียนจีไอ หรือสินค้าผลไม้ที่ได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (geographical indications : GI) มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้

แหล่งปลูกมะม่วงที่สำคัญของ จ.ฉะเชิงเทรา อยู่ที่ อ.บางคล้า อ.พนมสารคาม อ.คลองเขื่อน อ.ราชสาส์น และ อ.แปลงยาว รวมพื้นที่ปลูกประมาณ 28,000 ไร่ เกษตรกร 7,300 ราย และได้มาตรฐานการผลิตพืชตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ good agriculture practices (GAP) 57 ราย พันธุ์ที่ปลูกหลัก ๆ ได้แก่ แรด เขียวเสวย น้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์ 4 ขายตึก และมันทวายเดือน 9 ผลผลิตออกมากเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 75-80% ซึ่งราคานอกฤดูกาลจะสูงกว่าในฤดูเกือบ 50% ปีที่ผ่านมาสร้างมูลค่ารวมประมาณ 900 ล้านบาท

ขณะที่ จ.อุดรธานี นอกจากจะมีการส่งออกผลผลิตไปยัง สปป.ลาว ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เวียดนาม และรัสเซีย พันธุ์ที่ได้รับความนิยม คือ น้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์ 4 ล่าสุดเกษตรกรได้ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายเกาหลีส่งออกมะม่วงเสียบไม้ นอกจากนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคและเพิ่มการขายให้มีมากขึ้น จังหวัดได้ติดต่อประสานงานให้เกษตรกรไปจัดแสดงสินค้าและจำหน่ายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศ เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดเมืองทองเจริญศรี

ขณะเดียวกันก็มีการส่งเสริมให้เกษตรกรแปรรูปมะม่วงเพื่อจำหน่ายมากขึ้น อาทิ ไอศกรีม มะม่วงแช่อิ่ม วุ้นมะม่วง

นอกจาก อ.หนองวัวซอ ที่เป็นแหล่งปลูกสำคัญแล้ว จังหวัดยังส่งเสริมให้เกษตรกรอีก 10 อำเภอ ขยายฐานการปลูกมะม่วง อาทิ อ.กุมภวาปี นายูง น้ำโสม ทุ่งฝน ไชยวาน เป็นต้น และได้จัดโครงการพัฒนาการผลิตมะม่วงอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และสหกรณ์ชมรมสวนมะม่วง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อนำกลับไปพัฒนาการผลิตมะม่วงให้ได้คุณภาพและมาตรฐานการส่งออก ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

สำหรับตลาดมะม่วงของพิษณุโลก นอกจากจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อเพื่อนำไปกระจายยังตลาดไท ตลาดสี่มุมเมืองแล้ว ผลผลิตส่งที่ได้จำนวนหนึ่งมีการส่งออกไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และยุโรป คาดว่ามูลค่าการส่งออกปี 2559/2560 มากกว่า 1,000 ล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณ 40-50% ของผลผลิตรวมทั้งหมด

โดยปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกมะม่วง 169,682 ไร่ กว่า 95% หรือ 97,622 ไร่ ปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองและน้ำดอกไม้เบอร์ 4 และปลูกมากที่ อ.เนินมะปราง และวังทอง มีเกษตรกร 7,513 ครัวเรือน มะม่วงของพิษณุโลกจะออกตั้งแต่ช่วมกราคม-มีนาคม เฉลี่ยราคาในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 บาท/กิโลกรัม ส่วนส่งออกราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 บาท/กิโลกรัม

สำหรับ จ.ขอนแก่น ขณะนี้จังหวัดได้ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกมะม่วงเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น อ.บ้านแฮด จากที่ผ่านมา สามารถส่งออกผลผลิตที่ได้ไปเกาหลี ญี่ปุ่น และขณะนี้จังหวัดอยู่ระหว่างการเตรียมจะพากลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตมะม่วงของอำเภอบ้านแฮดไปเปิดตลาดที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

 


เรียบเรียงจาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 เมษายน