เป็นกันมั้ยคะ เวลาเห็นงานออกบูธอาหารในห้าง แม้ไม่หิวก็ต้องเดินเข้าไปดูให้ทั่ว และในที่สุดก็จะได้อะไรติดมือกลับมาจนได้เพราะเดี๋ยวนี้อาหารตามบูธที่มาออกร้านดูแล้วน่ากินทั้งนั้น

แว่วข่าวล่าจากเพื่อนในแวดวงออร์แกไนซ์ บอกว่า ช่วงเดือนสิงหาคม ระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง “เฮียจก โต๊ะเดียว” ก็ยังตกปากรับคำจะไปออกบูธกับเขาเหมือนกัน ที่งาน “MEGA Food Tastival 2019” จัดที่ ลาน Foodwalk Plaza ศูนย์การค้าเมกา บางนา ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2562 นี้

ได้ยินแบบนี้ก็หูผึ่งเลยล่ะค่ะ เพราะอาหารของเฮียจกไม่ใช่คิดเมื่อไหร่แล้วจะได้กินทันที ต้องจองโต๊ะกันนานเป็นเดือน แต่งานนี้เฮียจกมาเอง เปิดบูธขายกัน 5 วันเต็มๆ แล้วมิตรรักแฟนเพลงจะพลาดได้อย่างไร

เฮียจกมีฝีมือปรุงอาหารชั้นครู มีคติประจำใจอยู่ 4 ข้อ คือ วัตถุดี เทคนิคดี เครื่องปรุงดี และอัธยาศัยดี มี 4 อย่างนี้คือจบปิ้ง

ที่น่าทึ่งที่สุด คือ ลิ้นระดับเทพที่สามารถแยกแยะได้ว่าที่กินไปนั้นปรุงด้วยอะไร ปรุงแบบไหน ดังนั้น หากเฮียจกอยากจะได้สูตรอาหารเมนูไหน ขอแค่ได้กินเท่านั้น รับรองว่าไม่ใช่แค่เหมือน แต่เฮียจกยังปรับปรุงให้จี๊ดจ๊าดขึ้นไปอีก เพื่อนพ้องต่างยกย่องหาคนเทียบยาก

ร้านเฮียจกหลักๆ จะเป็นเมนูซีฟู้ด แต่งานนี้คัดเลือกแบบที่กินง่ายขายคล่องมาให้ชิมกัน คือ “เกี๊ยวกุ้งลวกราดกระเทียมเจียว” ตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนเมนูธรรมดาทั่วไป แต่รสชาติระดับเสิร์ฟฮ่องเต้ กินแล้วรับรองเลยว่าต้องคิดถึงคนที่รักอยากซื้อไปฝากให้ได้กินของอร่อยด้วยอย่างแน่นอน

เรื่องเกี๊ยวกุ้งนี้มีที่มา คือ เมื่อหลายสิบปีก่อนพ่อของเฮียจกเสียชีวิต เฮียซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัยที่กำลังโลดแล่นทำงานตามต่างประเทศ ก็ต้องกลับมาบวชให้พ่อ ตกดึกมาเกิดหิวเหลือบไปเห็นของไหว้กงเต๊ก มีจานเกี๊ยววางอยู่ หยิบมากินก็รู้สึกว่าอร่อยมาก ไม่เคยกินเกี๊ยวที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน ถามหาจนได้ร้าน เทียวไล้เทียวขื่อ บวกกับพรสวรรค์ในการแยกรสชาติ ไม่นานนักสูตรเกี๊ยวแสนอร่อยก็ตกเป็นของเฮียจกในที่สุด

“เกี๊ยวกุ้งผมใช้กุ้งธรรมชาติ โอคั่ก เปลือกดำ พันธุ์ตัวเล็ก เนื้อจะมีคุณสมบัติ หวาน กรอบ เด้ง เวลาลวกใช้ไฟแดงให้เกี๊ยวเด้ง”

เฮียจกแนะว่า แค่จิ้มกับจิ๊กโฉ่ดีๆ ก็เลิศแล้ว ใครอยากกินต้องมาลอง ในราคากล่องละ 100 บาท มี 10 ตัวใหญ่ๆ เต็มปากเต็มคำ

ใช้กุ้งโอคั่กรสชาติดี หวาน เด้ง กรอบ
ใช้กุ้งโอคั่กรสชาติดี หวาน เด้ง กรอบ
เกี๊ยวกุ้ง
โฉมหน้าเกี๊ยวกุ้งราดกระเทียมเจียว
โฉมหน้าเกี๊ยวกุ้งราดกระเทียมเจียว

อีกเมนูของเฮียจกที่ยังยืนหนึ่งในยุทธจักร “กระเพาะปลาน้ำแดง” เมนูนี้เด็ดที่น้ำซุปกับเครื่องเทศ ที่เฮียจกลงมือเคี่ยวเองเกือบ 1 วันเต็มๆ จนได้รสชาติที่กลมกล่อม

นอกจากร้านเฮียจกโต๊ะเดียว ที่น่าสนใจในงานเดียวกันอีกร้าน คือ วิยะแครบ (Viya Crab) ร้านนี้เด่นเรื่อง ปู สินค้ามีตั้งแต่ปูแช่แข็ง เนื้อปูพาสเจอไรซ์ ไปถึงอาหารที่ใช้ปูเป็นวัตถุดิบ อย่างปูจ๋า จ๊อปู ปูดองน้ำปลา ไปถึงซาลาปู

งานนี้จัดเต็มขนมาให้ลิ้มลองเพียบ ตั้งแต่เนื้อปูพาสเจอไรซ์ จ๊อปู ปูดองน้ำปลา และซาลาปู ใช่ค่ะ ซาลาปู ไม่ใช่ซาลาเปา เจ้าของร้านเขาเล่นคำจากซาลาเปาไส้ปู มีให้เลือก 2 ไส้ คือ ไส้ปูผัดผงกะหรี่ กับไข่ปูลาวา

กระเพาะปลาน้ำแดง

ซาลาปูของวิยะแครบอาจราคาสูงกว่าท้องตลาด คือ ลูกละ 50 บาท แต่ใครได้กินรับรองว่าคุ้มค่าเงินที่จ่าย แป้งที่ใช้ทำเป็นแป้งหมั่นโถ กว่าจะได้สูตรที่ลงตัวก็ต้องตระเวนไปชิมตามที่ต่างๆ ชอบใจแบบไหนก็ลองมาทำจนได้สูตรแป้งที่ลงตัวส่วนไส้ปูที่เป็นปูผัดผงกะหรี่จะเน้นเนื้อปูที่สด เมื่ออุ่นร้อนกัดลงไปจะฉ่ำชุ่มอร่อยมาก ส่วนไส้ลาวาจะผสมไข่เค็มด้วย ได้รสชาติเข้มข้น หอมหวานมันเค็ม

“มารียา เล่าเจริญ” ผู้ช่วยผู้จัดการ วัย 26 ปี ลูกสาวของคุณวิยะเจ้าของบริษัท บอกว่า หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็เข้ามาช่วยธุรกิจ “วิยะแครบ” ของคุณแม่ทันที

วิยะแครบ เริ่มแรกจากแพปู โดยคุณแม่วิยะ เริ่มต้นพนักงาน 10 คน ปัจจุบันกว่า 400 คน มีโรงงานอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันนี้ส่งออกไปยังทั่วโลกถึง 70% โดยชื่อเสียงปูม้าสุราษฎร์ฯ รู้กันดีทั้งคนไทยและต่างชาติเรื่องรสชาติมันหวานที่สุด

ซาลาปู
เนื้อปูพาสเจอไรซ์
เนื้อปูพาสเจอไรซ์

“ปูสุราษฎร์ฯชาวต่างชาติยอมรับว่าหวานอร่อยที่สุด ตัวใหญ่สีสวย ปู้ม้าที่อื่นใหญ่สุด 5 ตัวต่อกิโลกรัม แต่ของสุราษฎร์ฯ 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม”

มารียาบอกว่า จุดเด่นของวิยะแครบ คือ เนื้อปูพาสเจอไรซ์ ที่จะเน้นความสด รับปูจากเรือใหม่ๆ ในตอนเช้า ก็จะนำไปสตรีมไอน้ำ วิธีนี้เป็นวิธีที่คนไม่ค่อยทำเพราะต้นทุนสูง เราจะใช้บอยเลอร์คงอุณหภูมิ ไม่ให้เกิน 80-90% ปูจะเสียน้ำน้อย จะคงรสชาติที่หวานไว้มากที่สุด ต่างกับวิธีการต้มที่จะสูญเสียน้ำเยอะ

ในงานนอกจากเนื้อปูสดรสดีแล้ว ยังมีปูม้าดองน้ำปลาก็เด็ดไม่แพ้กัน ปูดี ดองน้ำปลาอย่างดี ราดน้ำจิ้มแซ่บๆ แค่คิดก็น้ำลายสอขึ้นมาเลย ในงานใครซื้อปูดองน้ำปลาจะมีบริการยำให้ฟรีด้วย ที่สำคัญทุกอย่างในร้านได้มาตรฐานฮาลาล กินได้สบายใจทุกชาติทุกภาษา

เอาจริงๆ เพียงแค่ 2 ร้านนี้ ก็ควรค่าแก่การไปชิมแล้ว เดี๋ยวฉบับหน้าจะมาแนะนำว่าอีก 22 ร้านที่เหลือมีอะไรบ้าง บอกไปน้ำลายหกแน่นอน

จ๊อปู
ปูดองน้ำปลา
ยำปูม้าดอง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
สุพรีมา

อาทิตย์นี้เราอยู่เมลเบิร์นกันเป็นฉบับสุดท้ายแล้ว แต่ที่เห็นจั่วหัวเรื่องอาหารเนปาล ก็เพราะว่าได้กินอาหารเนปาลที่เมลเบิร์นนั่นเองค่ะ

เนื่องจากว่าตลอดเวลาที่อยู่เมลเบิร์น เพื่อนรุ่นน้องอดีตนักข่าวสาวผู้ใจดีที่มาลงหลักปักฐานกับหนุ่มเนปาลที่นี่ได้เอื้อเฟื้อที่พักให้กับเรา ระหว่างนั้นเลยมีโอกาสได้ชิมอาหารเนปาลฝีมือน้องสาวเจ้าของบ้านอยู่หลายหน ซึ่งน่าพิศวงว่ารสชาติอาหารเนปาลฉบับโฮมเมดที่ไม่คุ้นเคยนี้อร่อยถูกปากเหลือหลาย ถึงขั้นต้องเอ่ยปากขอสูตรกลับมาลองทำเองบ้าง

สาวเนปาลเธอชื่อว่า “สุพรีมา” Suprima Maharjan วัย 27 ปี เท่าที่รู้เธอเพิ่งเรียนจบปริญญาโทสาขาบัญชี ก่อนหน้านี้เคยทำงานพิเศษเป็นบาริสต้าอยู่ที่ซิดนีย์ แต่ใครจะคิดว่าวัยเพียงเท่านี้ฝีมือปรุงอาหารก็เยี่ยมยอดด้วย

ทุกครั้งที่สุพรีมาลงครัวจะต้องมีเครื่องเทศที่จัดเรียงในถาดวงกลมเสมอ ถาดนี้จะขาดไม่ได้เด็ดขาด!

เครื่องเทศที่ชาวเนปาลใช้ก็เป็นเครื่องเทศอาหารแขกทั่วไป แต่ที่แตกต่างจากอาหารแขกทั่วไป คือ ใช้ปริมาณในการปรุงน้อยกว่ามาก ส่วนมากจะใช้แค่อย่างละหยิบนิ้วมือ ดังนั้น ใครที่ชื่นชอบเครื่องเทศหนักๆ แบบอินเดียอาจจะรู้สึกว่ารสชาติไม่ถึงใจ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วถูกปากมากๆ

2 เมนูโฮมเมดง่ายๆ ที่ได้ชิมแล้วติดใจ คือ Fish Chilli กับ Fish Curry ที่ได้ถามสูตรมาบอกต่อด้วย

มาเริ่มกันที่เมนูแรก Fish Chilli เมนูนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนปลาชุบแป้งทอด กับส่วนทำซอส

ปลาที่ใช้ในเมนูนี้คือเนื้อปลากะพงหั่นเป็นชิ้นนำมาคลุกกับผงขมิ้น ผงยี่หร่าแขก ผงพริกป่น และเกลือ หยิบใส่อย่างละนิดคลุกให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้อย่าเพิ่งใส่เกลือเยอะ ถ้ายังไม่เค็มค่อยไปใส่ตอนทำซอสได้อีก ทิ้งไว้ซัก 15 นาที แล้วนำไปชุบแป้งทอด พอสุกสีเหลืองทองแล้วยกขึ้นเตรียมไว้

ในส่วนของทำซอสเริ่มจากตั้งกระทะใส่น้ำมัน พอกระทะร้อนใส่เมล็ดยี่หร่าแขกลงไปรอให้สีเข้มก็ใส่กระเทียมสับตาม จากนั้นใส่หอมแขกซอยผัดไปเรื่อยๆ จนเหลือง ใส่พริกขี้หนูซอยตามลงไปใครชอบเผ็ดหน่อยใส่ซัก 3-4 เม็ดก็ได้ จากนั้นใส่พริกหยวกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ และมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็ก โรยเกลือลงไปหยิบมือ ขั้นตอนนี้ใครมี meat masala หรือเครื่องเทศรวมก็ใส่ลงไป แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ตามด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก กะปริมาณให้พอดี และน้ำเปล่าประมาณครึ่งแก้ว ใช้ทัพพีคนไปเรื่อยๆ จนน้ำข้นแบบเกรวี รอให้เดือดอีกนิด ใส่ปลาทอดที่เตรียมไว้ลงไป คนให้ทั่วตักใส่จานเสิร์ฟ

รสชาติจานนี้จะจัดจ้านแบบกลมกล่อม มีกลิ่นหอมเครื่องเทศบางๆ กินกับข้าวบาสมาติเจริญอาหารดีมาก

เมนูที่ 2 Fish Curry จานนี้ปกติชาวเนปาลจะใช้ปลาดุกทะเล แต่บังเอิญที่บ้านมีเนื้อปลากะพง เลยมีการปรับสูตรเล็กน้อย

ขั้นตอนการปรุง Fish Chilli
ขั้นตอนการปรุง Fish Chilli
4

แม่ครัวหัวป่าก์เริ่มหั่นเนื้อปลากะพงเป็นชิ้นโต จานนี้เราใช้ประมาณครึ่งกิโล หั่นเสร็จโรยเกลือ ผงยี่หร่าแขก พริกป่น ผงขมิ้น และน้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ ใช้มือคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน

ตั้งกระทะหรือหม้อก็ได้ ใส่น้ำมัน 2-3 ช้อนโต๊ะ รอไฟให้ร้อนใส่เมล็ดยี่หร่าแขกประมาณ 1 ช้อนชาแบบปาดเรียบ ระวังเมล็ดจะแตกดีดขึ้นมาใส่ รอให้เป็นสีเข้ม แล้วหรี่ไฟเบา ใส่กระเทียมซอยบางๆ ใส่เนื้อปลาที่หมักไว้ลงไป ถ้าหมักข้ามคืนได้รสชาติจะยิ่งจัดจ้าน ใช้ทัพพีคนไปทางใดทางหนึ่งไม่ให้เนื้อปลาแตก คนปลาทั่วแล้วกลับมาใช้ไฟกลาง รอให้ปลาสุกอย่าคนบ่อย ปลาสุกแล้วขั้นตอนนี้ถ้ายังไม่เหลืองก็ใส่ขมิ้นลงไปอีกได้ไม่ผิดกติกา แค่ว่าใส่ตรงที่ว่างแล้วคนให้ทั่ว จากนั้นใส่หอมแขกสไลซ์ ใส่พริกหยวกสีเขียวสีแดง บีบมะนาว ปรุงด้วยมีท มัสซาลา ใส่มะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กประมาณครึ่งลูก รอให้ผักสุก นานๆ คนที เติมน้ำลงไปไม่ให้แห้งเกิน เพราะเมนูนี้ต้องน้ำขลุกขลิก

7

จานนี้สุพรีมาแอบทดลองกับเครื่องปรุงไทย คือ ก่อนจะยกขึ้นจากเตาเธอเติม น้ำปลา ใส่ซอสปรุงรสด้วย ตอนใกล้เสร็จให้ปิดฝาเร่งไฟให้เดือด โรยใบกระเทียมซอยเป็นอันจบ

จานนี้มหัศจรรย์มาก เพราะรสชาติที่ได้นัวเหมือนหมกปลาดุกอีสาน แต่ผสานรสเครื่องเทศแขกกินแล้วเข้ากันบอกไม่ถูก

ถามสุพรีมาถึงที่มาของฝีมือการทำอาหาร เธอบอกว่าได้จากการดูและทำตามแม่ (Sarita Maharjan)

ทั้งหมด ในอดีตผู้หญิงเนปาลต้องทำอาหารได้ เพราะวัฒนธรรมเนปาลยังมีลักษณะชายเป็นใหญ่ งานบ้านทุกอย่างตกเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ผู้หญิงจะถูกเตรียมพร้อมให้เป็นแม่บ้านแม่เรือน โตขึ้นต้องแต่งงานปรนนิบัติดูแลสามี ขณะที่งานในบ้านผู้ชายนั้นแทบไม่ต้องแตะอะไร ดังนั้น การเรียนรู้เรื่องอาหารก็ถือว่าจำเป็น นอกจากไว้ดูแลตัวเองแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาเมื่อต้องแต่งงานไปอยู่บ้านสามีในอนาคต

สุพรีมาบอกว่า เธอไม่ชอบประเพณีแบบนี้ แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อสังคมของเนปาลเป็นมาแบบนั้น

“จิงจูฉ่าย”

สมุนไพรดีมีประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้!! แม้จะเคยผ่านลิ้นมาบ้างในต้มเลือดหมูเพราะบางร้านนิยมใส่แทนใบตำลึงหรือผักกาดหอม เนื่องจากจิงจูฉ่ายมีกลิ่นหอมจึงใช้ดับกลิ่นคาวของเครื่องในได้ดี แต่รู้มั้ยว่าสมุนไพรเชื้อสายจีนชนิดนี้ยังมีสิ่งดีๆ ให้เราอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

1.ปรับสมดุลในร่างกาย จิงจูฉ่ายเป็นสมุนไพรที่นิยมมากของชาวจีน เพราะมีคุณสมบัติเป็นหยินหรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาเย็น หากกินจิงจูฉ่ายในช่วงหน้าหนาวจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย แก้พิษไข้ ลดอาการร้อนใน อีกทั้งยังช่วยบำรุงปอดและฟอกเลือดด้วย

2.ช่วยเรื่องความดัน น้ำมันหอมระเหยในลำต้นและใบของจิงจูฉ่ายมีสารไลโมนีน ซิลนีน และสารไกลโคไซด์ มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันเลือด ทำให้เส้นเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนได้สะดวก ใครที่มีปัญหาเรื่องความดันหรือสตรีที่เลือดลมไม่ปกติ ลองกินจิงจูฉ่ายอาจจะช่วยปรับความดันเลือดให้คงที่ได้

เราเดาเอาเองว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่หนุ่มสาวรุ่นใหม่ชาวเนปาลเบื่อหน่ายสังคมแบบเดิมๆ ทำให้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หนีออกจากประเทศตัวเอง มาแสวงหาโอกาสชีวิตใหม่ๆ ที่ต่างประเทศเยอะมาก โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย อย่างที่เมลเบิร์นจากในอดีตที่คนเนปาลเข้ามาไม่เท่าไหร่ มาปีนี้จำนวนชาวเนปาลเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นแตะเป็นอันดับสองของชาวต่างชาติที่มาอยู่เมลเบิร์นเลยทีเดียว

 

ส่วนเรื่องอาหารเนปาลที่เล่ามานี้ ใครที่ชอบเครื่องเทศเป็นทุนลองทำตามกันดู ไม่แน่อาจกลายเป็นเมนูโปรดไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ

ถาดเครื่องเทศ 9

ที่มา : อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน

คอลัมน์ : เคี้ยวตุ้ย..ตะลุยกิน

ปัจจุบันความสวยงามของปลากัด เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายคนหันมาเลี้ยงกันมากขึ้น จากเดิมปลากัดเป็นเพียงแค่ปลาต่อสู้ของเซียนพนันในหมู่บ้านเล็ก หลังจากที่มีคนนำปลากัดมาผสม และสร้างสายพันธุ์ใหม่ จนได้ปลากัดที่มีความสวยงาม และไม่เหลือเค้าโครงของปลากัด ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของธุรกิจการเพาะเลี้ยงปลากัดที่สร้างรายได้หลายล้านบาทต่อปี มีตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศรองรับ

อย่างเช่นนางวิไลพร สามพิมพ์ อายุ 36 ปี และนายคมสันต์ สามพิมพ์ 2 สามีภรรยา ชาวบ้านโสน ต.แสลงพันธ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังว่างเว้นจากการทำนาข้าว ได้หันมาทำอาชีพเสริมโดยการเลี้ยงปลากัดแฟนซี ส่งขายต่างประเทศ และขายผ่านโซเชี่ยลโดยใช้ชื่อเพจ “ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” เพาะปลากัดส่งขายทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นครั้งแรกใช้งบประมาณ 5 พันบาท ลงทุนซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ เพาะเลี้ยงปลากัดแฟนซีขายทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 สร้างรายได้เสริมจากเวลาว่างเว้นจากการทำนาข้าว เฉพาะปลากัดอย่างเดียว จะมีรายได้ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน หรือมีรายได้หมื่นอัพขึ้นไปจากการขายปลากัดแฟนซีปลากัดสวยงาม นอกจากนี้ ก็ยังรับทำตู้ปลาส่งด้วย ซึ่งก็ทำให้เกษตรกรรายนี้ครอบครัวมีรายได้หลายช่องทาง

ซึ่งการให้อาหารปลากัดจะใช้ไรแดงอนุบาลตั้งแต่เล็ก พอโตก็ใช้หนอนแดงและเต้าหู้ไข่เลี้ยง พร้อมกับอาหารเม็ดที่ใช้ลูกลูกอ๊อด นอกจากนี้ เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” ยังได้มีการคัดปลากัดส่งเข้าร่วมในกลุ่มประมูลปลากัดอีกด้วย โดยจะมีลูกค้าในกลุ่มประมูลที่ชื่นชอบปลากัดทั้งจากเม็กซิโก จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย เข้าร่วมประมูลกัน ส่วนราคาประมูลปลากัดที่คัดแล้วจะประมูลกันอยู่ที่ตัวละประมาณ 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาท แล้วแต่ประมูลได้ ซึ่งก็ทำให้นางวิไลพร และนายคมสันต์ 2 สามีภรรยา มีรายได้เพิ่มนอกเหนือจากการขายปลากัดผ่านโซเชียลอีกทางหนึ่งด้วย

นายคมสันต์ สามพิมพ์ เจ้าของฟาร์มปลากัด บอกว่า ตนเองและภรรยา ได้เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกประมาณ 5,000 บาท เป็นค่าซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ ทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 ส่วนพันธุ์ปลาที่เพาะก็จะมี แกแล็กซี่ ไทเกอร์ หม้อฮาฟแฟนซี ส่งขายโดยผ่านสื่อโซเชียลและเข้ากลุ่มประมูลปลากัด เมื่อคัดปลากัดสวยงามแล้วราคาต่อตัวไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาทก็มี ตนเองและภรรยา มีรายได้เฉพาะขายปลากัดแฟนซีอย่างเดียวหมื่นอัพขึ้นไปต่อเดือน ยังไม่รวมการทำอย่างอื่นอีก เช่นทำนาข้าวและรับทำตู้ปลาและเลี้ยงปลาส่งขายอีก สำหรับตนเองแล้วคิดว่าตลาดปลากัดยังขยายไปได้อีกไกลในอนาคต

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปรึกษาและลองเลี้ยงปลากัด สามารถเข้ามาดูได้ที่เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” หรือโทรสอบได้ที่หมายเลข 09-4659-4187

ที่มา : มติชนออนไลน์

3

การต่อยอดจากสูตรของ ประยูร จรรยาวงษ์

ใครก็ตามที่ชอบทำอาหาร คงเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไม่มากก็น้อย คือรู้สึกว่า สูตรอาหารบางสำรับนั้น มันแสนที่จะลงตัว พอเหมาะพอดี ไม่มีขาดมีเกิน กินครั้งใดก็อร่อย ทั้งอยากกินไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนพาลสงสัยว่าคนคิดเขาคิดขึ้นมาได้ตอนไหนอย่างไรเอาเลยทีเดียว

สูตรหนึ่งที่ผมยอมใจมานาน ก็คือ “หมูตุ๋นปลาเค็ม” ของ คุณประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนผู้ยิ่งยง ซึ่งแม้ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 27 ปีก่อน ทว่ารสมือของท่านในหมูตุ๋นฯ หม้อนี้ย่อมจะส่งต่อไปยังใครต่อใครอีกมากมายไม่มีวันจบสิ้น คุณประยูรใช้หมูสามชั้นติดหนัง ตุ๋นในหม้อน้ำมัน กับปลาสละเค็ม ตะไคร้ กระเทียม พริกไทย ปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและซอสปรุงรส จนน้ำแห้ง หมูเดือดฉ่า ผิวนอกเกรียมน้ำมันนิดๆ

กลิ่นและรสเปรี้ยวซ่าของตะไคร้ ผสานกับกระเทียมพริกไทยสุกหอมในน้ำมันของชิ้นหมูเกรียม ซึ่งพลอยซึมซับรสเค็มลึกๆ ของปลาเค็มไว้อย่างเต็มที่ แถมมีซีอิ๊วขาวแต่งรสให้มีสีสันขึ้นอีก มันทำให้แม้ผมจะเคยพยายามลองเพิ่ม ลด ดัดแปลงวิธีปรุงและวัตถุดิบบางตัวให้ต่างออกไปบ้าง ทว่าก็ไม่อาจสร้างหมูตุ๋นปลาเค็มหม้อใหม่ที่พอเทียบเคียงสูตรคุณประยูรได้เลยจริงๆ

ผมจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรา “ขอยืม” มาใช้กับสำรับที่ใกล้เคียงกันน่าจะดี เช่น หมูพะโล้ โดยนึกเชื่อมโยงไปถึงขาหมูพะโล้สูตรหนึ่งซึ่งพ่อครัวใส่ปลาเค็มต้มรวมไปในหม้อด้วย กับนึกถึงพะโล้ที่บ้านเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะใช้ไข่เป็ดไข่ไก่ เขาก็ใช้ไข่นกกระทาแทน

บางที การที่เราพออธิบายได้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะต้มผัดแกงทอด ฯลฯ ต่อไปนี้ มันมี “ราก” ที่อ้างอิงได้ พูดง่ายๆ คือไม่ได้มั่วนิ่ม ก็ช่วยเรียกความมั่นใจได้ไม่น้อยนะครับ

ถ้ามั่นใจกันแล้ว ก็เริ่มทำ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” ของเราเลยดีกว่า ค่อยๆ เตรียมไปทีละอย่างครับ เช่นว่า หั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มไข่นกกระทาในหม้อน้ำจนสุก ปอกเปลือกไว้

ทอดปลาอินทรีเค็ม แล้วทำใจแข็งไว้ อย่าได้ซอยพริกซอยหอมบีบมะนาวลงไปเป็นอันขาด เดี๋ยวเผลอกินหมดซะก่อน

ทอดเต้าหู้แข็งพอให้ผิวนอกเกรียมๆ

ตัดตะไคร้ ทุบพอแตก หัวกระเทียมปอกเปลือกแค่เกลาๆ เอาปลายมีดจิ้มให้เป็นรูทั้งหัว

เตรียมรากผักชี เกลือ พริกไทยดำบุบ น้ำตาลอ้อย และซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อ “แปลงร่าง” สูตรของคุณประยูรให้มีความเป็นพะโล้มากขึ้น

ผมเพิ่มพริกขี้หนูแห้งเม็ดใหญ่ เพื่อให้มีรสเผ็ดแหลมแทรกบ้างนิดหน่อยด้วยครับ

พอเตรียมครบแล้ว ก็เอาชิ้นหมูสามชั้นลงผัดในกระทะน้ำมัน เติมเกลือ ซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อย้อมสีหมูให้คล้ำสวยสักครู่ จึงวางชิ้นปลาเค็มให้เข้าที่เข้าทาง สลับด้วยหัวกระเทียม พริกไทย รากผักชี พริกแห้ง และท่อนตะไคร้ทุบ แล้วเติมน้ำให้ท่วม ทยอยใส่เต้าหู้ทอด ไข่นกกระทา เติมน้ำตาลปรุงรสหวานได้อีกหน่อยถ้าชอบ

ต้มรุมไฟอ่อนไปราว 2 ชั่วโมง คอยเติมน้ำไว้อย่าให้แห้ง กับชิมให้ได้รสเค็มหวานอย่างที่ต้องการ ทั้งหมู ปลาเค็ม เครื่องปรุง และน้ำพะโล้จะค่อยๆ จัดการตัวเองให้รสชาติกลมกลืนกัน โดยที่เราไม่ต้องห่วงเรื่องการปรุงสักเท่าไหร่หรอกครับ

พอหมูสามชั้นเปื่อยนุ่มดีแล้ว มันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตะไคร้ เจือรสเค็มลึกๆ และกลิ่นยั่วยวนของปลาเค็มอบอวลไปทั้งหม้อ แถมไข่นกกระทาก็ให้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบที่แปลกออกไป มีรสเผ็ดพริกแซมแทรกเล็กน้อย เรียกว่าจิตวิญญาณของกับข้าวหลายจานดูจะมารวมกันอยู่ที่นี่

พะโล้ของเราหม้อนี้ ถึงจะแปลก แต่ย่อมอร่อยถูกปากแน่นอนครับ

3
4
ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

อาทิตย์นี้เรายังวนเวียนอยู่เมลเบิร์นค่ะ น่าจะถูกใจสายสโลว์ไลฟ์เป็นพิเศษ เพราะว่าเราจะพาออกไปชิล..ชิลย่านชานเมืองที่ ฟิทซ์รอย กัน

แถวนี้รับทราบกันดีว่าเป็นถิ่นชาวฮิปปี้ผู้พิสมัยการเสพสุข แวดล้อมไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตี้สุดเท่ เป็นแหล่งรวมร้านค้ามีสไตล์ ร้านอาหารดีๆ ในช่วงกลางวันและยามค่ำคืน ไปจนถึงผับบาร์เก๋ๆ

มาระยะหลังย่านฟิทซ์รอยยังเป็นแหล่งรวมของบรรดาฮิปสเตอร์ ที่มาพร้อมกับการผุดขึ้นของคาเฟ่ ทั่วทุกหัวระแหง เอาใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่กลายเป็นย่านแฮงเอาต์สุดฮิต

ที่ช่วยขับบรรยากาศให้ย่านนี้มีสีสันสนุกสนานขึ้นมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นกราฟฟิตี้สีจัดจ้าน ที่โดดเด่นสะดุดตาอยู่บนกำแพงหลายแห่ง เอาเป็นว่าแทบไม่เหลือผนังตึกเปลือยเปล่าในฟิทซ์รอยให้เห็นง่ายๆ แล้ว

 

ถ้าใครได้มาแถวนี้ลองเช็กร้านอาหารจากกูเกิลแมปดูจะเจอร้านคาเฟ่ให้เลือกเป็นสิบๆ ร้าน คาเฟ่ที่นี่ไม่เพียงมีกาแฟคุณภาพ ยังมีมื้อบรันช์ดีๆ ที่แต่ละร้านแข่งกันครีเอตเมนูให้เด็ดโดนใจ ทั้งรสชาติและหน้าตา

ตัดสินใจเลือกร้าน “Pound Mary” ร้านนี้ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่บรันช์ดีงามเหลือเกิน ถ้ามาวันเสาร์อาทิตย์คนจะแน่นพอสมควร ต้องไปบอกชื่อจองคิวไว้ รอประมาณ 15 นาทีก็ได้โต๊ะ

ในร้านมีพื้นที่ไม่กว้างนัก แต่วิธีจัดร้าน แบ่งโต๊ะ มีทั้งเคาน์เตอร์บาร์ โต๊ะส่วนตัว และโต๊ะขนาดใหญ่ให้นั่งล้อมวงรวมกัน ทำให้ร้านดูโปร่งทีเดียว

เราได้โต๊ะรวม มีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นหนุ่มผมบลอนด์ 2-3 คน สองสาวเพื่อนซี้ออสซี่อีกคู่นึง และนักท่องเที่ยวชาวเอเชียอีกกลุ่มนึง แม้จะนั่งร่วมโต๊ะกัน แต่ก็ไม่ได้เคอะเขินอะไร ด้วยความที่โต๊ะมีขนาดใหญ่ทำให้การนั่งดูเป็นสัดเป็นส่วนดีอยู่

สองคนเรากับเพื่อนเลือกสั่ง “The Potato hash” กับ “Bacon katsu sando” ส่วนเครื่องดื่มเลือกกาแฟลาเต้ร้อนกับชาผลไม้

“The Potato hash” ราคา 23 เหรียญ จานนี้เป็นบรันช์ที่กินเอาอิ่มเลย มีแฮชบราวน์ที่อร่อยมากเนื้อด้านนอกเกรียมหน่อยๆ ขณะที่เนื้อด้านในเนียนนุ่มลิ้น กินกับเบคอนชิ้นหนาเค็มนิดๆ กัดเต็มคำ พร้อมกับไข่โพชอีก 2 ฟอง และสลัดผักเคลที่สดกรอบอร่อย สมกับที่เป็นดินแดนแห่งพืชผักออร์แกนิคของโลกจริงๆ

“Bacon katsu sando” อีกหนึ่งเมนูฮอตร้าน Proud Marry
4

อีกจานลองสั่ง “Bacon katsu sando” 20.5 เหรียญ ปรากฏว่าดีงามไม่แพ้กัน จานนี้ยกมาเสิร์ฟทีแรกดูไม่ออกว่าเป็นอะไร เพราะบนจานฟูฟ่องไปด้วยแผ่นปลาโอที่โรยหน้ามาจนไม่เห็นอย่างอื่น ขุดคุ้ยลงไปถึงพบว่ามันคือแตร์รีนเบคอนผสมเครื่องปรุง วางมาบนขนมปังปิ้งทาซอสแอปเปิล แปะด้วยไข่ดาวเกือบสุก และผักกาดเขียวปลี

กินอิ่มแล้วเดินย่อยดูบ้านเมืองเพลินๆ แล้วจะลองแวะไปชิม ครัวซองต์ ร้าน Lune อีกก็ได้

ร้านนี้รอบแรกไปถึงเพิ่งจะบ่ายสาม ขณะที่ในเพจร้านบอกไว้ว่าปิดสี่โมง แต่ไปถึงประตูร้านปิดเงียบ พร้อมกระดาษแปะว่าขายหมดแล้ว โอ้โห ของเขาขายดีจริงๆ วันถัดมามากันตั้งแต่สิบโมงเช้าไม่ทันให้รู้ไป!

ด้านในร้านตบแต่งสไตล์ลอฟต์ เน้นโปร่งเรียบง่าย บริเวณห้องทำขนมกั้นแค่กระจกใส เปิดโล่งให้เห็นการทำเบเกอรี่กันสดๆ ตรงแคชเชียร์สั่งขนมดีไซน์น่ารัก ใช้การวางขนมที่มีวันนั้นเรียงกันพร้อมติดราคาให้เห็นชัดเจน สั่งแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งไว้ชิดตามผนังแต่ละด้าน น้ำเปล่าหรือโซดา เดินไปกดเองตรงจุดขายกาแฟ วันที่เราไปก็เห็นคนเดินเข้าร้านไม่ขาดสาย นี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ย

ครัวซองต์นี้ว่ากันว่าเป็นถึงราชินีแห่งขนมปัง เพราะรสสัมผัสอันซับซ้อน มีเสน่ห์เกินห้ามใจ ด้วยผิวนอกที่เปราะบาง ชั้นในคือแป้งที่ทาด้วยเนยซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้เนื้อในฉ่ำนุ่ม

ไหนๆ ได้มาทั้งทีเลยสั่งทีเดียว 3 อย่าง คือ ครัวซองต์แบบ Traditional 5.9 เหรียญ ครัวซองต์อัลมอนด์ 9.5 เหรียญ และ Apple and Feijoa 8 เหรียญ พร้อมลาเต้ร้อนอีกแก้ว อร่อยสมคำล่ำรือ ส่วนตัวชอบแบบเทรดิชันแนลเนื้อสัมผัสไม่มีที่ติ กับ แอปเปิลที่มีรสชาติหวานละมุนอมเปรี้ยวสดชื่น

อีกร้านที่ต้องลอง คือ Grill’d เป็นร้านเบอเกอร์ของออสเตรเลีย มีสาขาเฉพาะในประเทศ เป็นร้านที่ภูมิใจนำเสนอวัตถุดิบเครื่องปรุงเป็นของท้องถิ่นเท่านั้น เขาโฆษณาว่าเป็นเบอร์เกอร์ที่เฮลตี้ ลองสั่งเมนูเบอเกอร์ไก่ “Sweet Chilli Chicken” 12 เหรียญมาชิมถึงกับตาโต อร่อยจริง! เป็นอกไก่ชิ้นหนาย่างหอม ราดซอสสูตรเฉพาะ ใช้ผักคุณภาพ ดีจนนึกอยากให้ขยายสาขามาเมืองไทยบ้าง

ส่วนที่คนรีวิวเยอะอีกแห่ง คือ “Grubfitzroy” ร้านนี้ตรงทางเข้ามีซากรถแวนสีเงินวาววับยืนเด่นเป็นแผนกต้อนรับอยู่ด้านหน้า ในร้านบรรยากาศเขียวสดใสเป็นสวนป่าย่อมๆ ตกแต่งสไตล์ฮิปปี้ ให้สัมผัสที่เบิกบานใจ เมนูเขานำเสนอได้แหวกแนวดี แบ่งหมวดหมู่อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็น Land ,Sea ,Earth ลูกเล่นเก๋ไก๋สมกับเป็นดินแดนฮิปปี้จริงๆ

และที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเมลเบิร์นอีกอย่าง คือ เจลาโต้ เดินดุ่ยมาเจอร้าน “Messina” ร้านนี้ติดโผต้องลองของทุกสำนัก รสชาติมีให้เลือกเป็นสิบๆ รส คนขายแนะนำว่ารสพิสตาชิโอขายดี แต่เราชอบของสามัญที่คุ้ยเคย ช็อกโกแลตกับมะม่วง ส่วนเพื่อนสั่ง ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ ซอร์เบต์ จุดเด่น คือ เนื้อเนียนนุ่มมาก รสชาติทำให้อารมณ์ดี

เจลาโต้อร่อยๆ จากร้าน Messina

นอกจากร้านอาหารแล้ว ย่านนี้ยังมีอีเวนต์น่ารัก เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ มีตลาดงานอาร์ตเก๋ๆ ชื่อ The rose street artists market รวมร้านสินค้าอาร์ตๆ ให้เลือกชมเลือกซื้อกัน

ที่ฟิทซ์รอยบอกตรงๆ ว่าให้เวลาสามวันก็ยังเดินไม่ทั่ว ยังมีอีกหลายร้านที่จดไว้ในใจ โอกาสหน้าฟ้าใหม่ต้องเจอกันแน่