ผมชอบตระเวนกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวย่านฝั่งธนบุรีรอบนอก แถวๆ บ้าน และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ไปลองกินร้านพัฒน์เกาเหลาเนื้อ ริมถนนราชพฤกษ์ช่วงที่ตัดกับซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 เป็นแบบสกุลน้ำใสที่อร่อยครับ แถมพี่พัฒน์เจ้าของร้านทำแกงเขียวหวานเนื้อราดขนมจีนรสชาติดีมากๆ แต่วันหนึ่งผมเห็นข้างๆ เตาเนื้อย่างของพี่เขามีหม้อใส่ตีนไก่ใบย่อมๆ วางแอบอยู่ รู้สึกว่านี่มันผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล

“อ๋อ เผื่อคนไม่กินเนื้อไง เราก็ทำแกงเขียวหวานตีนไก่เนี่ยให้เขาเลือกกินน่ะ” พี่พัฒน์บอกยิ้มๆ โอ้โห อยากเล่าว่า พอผมได้ยินนี่รู้สึกจี๊ดมาก ทำไมเราไม่เคยคิดถึงสำรับนี้มาก่อนหนอ

คนไทยเอาตีนไก่มาทำอะไรกินบ้างล่ะ?

เท่าที่เคยเห็น คือถอดกระดูกแล้วยำให้รสจัดๆ หรือต้มเคี่ยวเป็น “ซุปเปอร์ตีนไก่” ออกเปรี้ยวเค็มเผ็ด ไม่ก็ทำเป็นซุปน้ำแดงงวดๆ ข้นๆ แล้วก็ยังจะมีสูตรน้ำยากะทิแบบโคราชอันลือลั่น ที่ใส่ตีนไก่ เลือดไก่ และเครื่องในไก่สารพัด เคี่ยวจนนุ่ม ใครยังไม่เคยกินขอให้รีบลองดูนะครับ

อย่างไรก็ดี หากค้นในอินเตอร์เน็ต ก็จะมีสูตรแกงเขียวหวานตีนไก่อยู่บ้าง แต่วันนี้ที่ผมอยากทำตามจินตนาการซึ่งได้ยินได้ฟังจากพี่พัฒน์เขา คือผมจะเริ่มตั้งแต่ตำเครื่องแกงเลยทีเดียว แกงเขียวหวานนั้นต้องใช้พริกเขียวสด ดังนั้น ยิ่งเราตำใหม่ๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งอร่อยกว่าน้ำพริกเก่าเก็บแน่นอน

สูตรที่ผมเคยจัดทำ work shop พูดคุยกับเพื่อนๆ ผู้สนใจ ประกอบด้วย พริกไทยขาว 1/4 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูด 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา ใบพริก (หรือใบผักหวานบ้าน, ใบโหระพา) หั่น 2 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสวนสีเขียวหรือพริกขี้หนูเขียวเม็ดใหญ่ 40 เม็ด กระเทียม 2 หัว หอมแดง 3 หัว ข่า 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ 11/2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ

ลองดูนะครับ จะลดจะเพิ่มอะไรไปบ้างก็ว่าตามชอบ ตำแล้วย่อมได้พริกแกงที่ “เขียว” จริงๆ มีความสด หอม และควบคุมได้ด้วยว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องเทศแห้งบางตัว เช่น ลูกผักชียี่หร่าหรือไม่ คือถ้าเป็นแกงเนื้อวัว แพะ เป็ด เราใส่สักหน่อยย่อมจะสู้กับกลิ่นคาวเนื้อพวกนั้นได้อร่อยดี แต่สำหรับแกงตีนไก่ น่าจะไม่ต้อง

ได้พริกแกงมาครกหนึ่งก็สบายละครับ ทีนี้ก็เตรียมไก่ โดยล้างตีนไก่ให้สะอาด หม้อนี้ผมอยากกินเลือดไก่ด้วย จึงหั่นเลือดเป็นชิ้นย่อมๆ ไว้

ละลายหัวกะทิกับน้ำในหม้อแกง (หรือใช้หางกะทิไปเลย) ตั้งไฟจนเดือด เติมเกลือ กะปินิดเดียว ใส่ตีนไก่เคี่ยวไฟอ่อนๆ แถมหยอดพริกแกงตำใหม่ของเราสักช้อนโต๊ะ ต้มไปราว 1 ชั่วโมง ตีนไก่จะเริ่มเปื่อย กลิ่นกะปิหอมคลุ้งเพียงเบาบาง เจือกลิ่นพริก

แกงอ่อนๆ แล้วดูน้ำแกงตอนนี้สิครับ อย่างกับต้มกะทิตีนไก่ดีๆ ใครใจอ่อนหน่อยคงแทบล้มเลิกแผนการแกงเขียวหวานเอาเลย ไม่ได้นะครับ ขอให้เราใช้เวลาหลังจากเริ่มเคี่ยวตีนไก่ไปจดจ่อกับการหั่นพริกชี้ฟ้า ผ่ามะเขือเปราะแช่น้ำ ฉีกใบมะกรูด เด็ดใบโหระพาสด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนสุดท้าย

1
3

ครบ 1 ชั่วโมง เราเอากระทะตั้งบนเตา เคี่ยวหัวกะทิจนแตกมันเยิ้ม ตักพริกแกงตำของเราลงผัดจนหอมคลุ้งไปทั้งครัว จึงเทกวาดลงหม้อต้มกะทิขาไก่ ปรุงน้ำปลาดี น้ำตาลปี๊บเล็กน้อย พอให้รสหวานลึกๆ ไปเสริมความหวานของกะทิสด

เมื่อเดือดก็ทยอยใส่เลือดไก่ พริกชี้ฟ้า มะเขือเปราะ ใบมะกรูด เติมหัวหรือหางกะทิเพิ่ม แล้วแต่เราชอบน้ำแกงข้นใสแค่ไหนนะครับ ถ้าเราชอบแกงข้น การค่อยๆ เติมหัวกะทิจะทำให้แกงไม่แตกมันมากเกินไป เนื้อกะทิช่วยเสริมความแน่นหนักของแกงได้ดี ขณะที่ส่วนซึ่งแตกมันเป็นขี้โล้และเราผัดกับพริกแกงครั้งแรกไปนั้น จะให้กลิ่นหอมลึกๆ มีมันสีเขียวลอยหน้าใสๆ น่ากินพออยู่แล้ว

เมื่อมะเขือเปราะสุกนุ่ม จงโรยใบโหระพาลงไปมากๆ เอาทัพพีกดให้จมน้ำแกงสักครู่ ก็เป็นอันตักมากินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือขนมจีนได้

สำหรับคนที่พิสมัยตีนไก่ซุปเปอร์ น้ำยาโคราช ฯลฯ ผมคงไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่ออะไร แต่หากใครยังรีๆ รอๆ ขอให้นึกถึงตีนไก่ที่ตุ๋นสุกนุ่มในหางกะทิ กะปิ และพริกแกงเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนการเตรียมนั้นสิครับ

ต้องบอกว่า แกงหม้อนี้ จินตนาการที่ก่อรูปจากคำพูดเพียงไม่กี่คำ ประสบผลสำเร็จอย่างงามทีเดียว

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

วันอาทิตย์สบายๆ อย่างนี้เหมาะสำหรับตื่นสายๆ แล้วออกไปกินข้าวกับครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย ขอแนะนำ ร้านอาหารเช้าสไตล์ออสซี่ กินได้ตลอดทั้งวัน เรียกว่า All-Day Breakfast มีเมนูครบเครื่องเรื่องอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ร้านนี้มีชื่อว่า โทบี้ส์ (Toby’s) อยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 38 ทางด้านซ้ายมือ

โทบี้ส์เปิดมาเพียง 4 ปี (15 สิงหาคม 2558) แต่ได้รับความนิยมมากๆ ทั้งคนไทยรุ่นใหม่และชาวต่างชาติ จนตอนนี้ขยายเวลาเปิดไปจนถึง 4 ทุ่ม และมีเมนูอาหารเย็นน่าสนใจเพิ่มอีกมากมาย ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอนำเสนอแฟนๆ อีกครั้งหนึ่ง

เริ่มกันด้วย เมนูไข่ยอดนิยมสไตล์ออสซี่ แต่ละจานมีของดีหลากหลาย ของโปรดปิ่นโตเถาเล็กยังมีอยู่ครบถ้วน สั่งได้จนถึงบ่าย 4 โมงเย็น มี เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) (350+ ค่าบริการ 10%) ให้ไข่ 2 ฟองสั่งปรุงได้ตามใจชอบ วางบนขนมปังซาวเออร์โดห์ (Sourdough) ขึ้นฟูด้วยยีสต์มีรสชาติในตัว กินกับแฮมรมควัน แซลมอนสดที่หมักเอง อโวคาโด้ เบอรี่ต่างๆ สลัดผัก และซัลซ่ามะเขือเทศลูกเล็กๆ

อีกทั้งไข่กระทะออสซี่ เบ๊คเอ้ก (Baked Egg)(295+) อบมาในกระทะร้อนๆ ใส่ไส้กรอกโชริโซ่ (Chorizo) รสจัดๆ เบคอน มะเขือเทศเชอรี่ และเห็ด หรือจะลอง เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) (320+) มีทั้งไข่โพ้ชเอ้กนุ่มเนียนเยิ้มๆ ราดซอสฮอลแลนเดสรสส้ม พันด้วยแซลมอนหมักสดๆ กินกับขนมปัง Sourdough และอโวคาโด้ และ เมนูไข่คน (Scrambled Eggs) (290+) คู่กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ และมะเขือเทศเชอรี่

ใครอยู่สายสุขภาพให้สั่ง คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) (295+) มีไข่โพ้ชเอ้ก ขนมปัง Sourdough อโวคาโด้และข้าวโพดซัลซ่า พริกเม็กซิกันฮาลาเพญโญ (Jalapeno) และครีมบีตรูตนุ่มๆ ที่ผสมชีสเฟต้านมแพะ

เมนูใหม่ๆ มี ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast)(320+) ขนมปังชิ้นหนาๆ หน้ากุ้งย่าง และไข่ดาว รากบัว จิ้มน้ำจิ้มบ๊วย โดยเมนูอาหารเช้าทั้งหมดนั้นสามารถสั่งเครื่องเคียงทุกตัวเพิ่มได้อีกตามใจชอบ

ส่วนเมนูกึ่งคาวหวานมี คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) (280+) ขนมปังบริยอชชุบไข่ทอด กรอบนอกนุ่มในมีรสอมหวานในตัว กับเบอรี่ต่างๆ และวอลนัท โปะหน้าด้วยไอศกรีมวานิลลาหรือจะเลือกเป็นกรีกโยเกิร์ตเบาๆ ตอนนี้มีเมนูแฟนตาซีเพิ่มขึ้นมาอีกคือ เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) (280+) ขนมปังบริยอชกับกล้วย เบอรี่ ราดคาราเมล ช็อกโกแลต โปะด้วยไอศกรีมวานิลลา และท็อปปิ้งอีกชั้นด้วย สายไหมสีชมพู

หลังบ่าย 4 โมงไปจนถึง 4 ทุ่ม เป็นเวลาของมื้อเย็น จะเปลี่ยนเมนูใหม่แบ่งตามประเภท เริ่มจาก สลัด ขอแนะนำ Tomato-Herbs-Cheese (270+) ใส่ของดีๆ มีทั้งมะเขือเทศ ลูกมะเดื่อ (Fig) ถั่ววอลนัท มะกอกดำ เฟต้าชีสกับชีสนมแพะ ราดน้ำสลัดบัลซามิกรีดักชั่นเข้มข้น ใครชอบบีทรูตอมเปรี้ยว ให้สั่ง Baby root & Nuts (270+) มีหัวบีทรูทย่าง เฟต้าชีส วอลนัท และลูกเดือย

ต่อด้วยเมนู ของกินเล่น เรียกว่า Smaller Plate มีหลากหลาย เราเลือกสั่ง กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) (300+) ราดซอสเนยกับลูกเคเปอร์ และ หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) (270+) จิ้มซอสเอ็กซ์โอมาโย

ส่วน ของกินจริง หรือ Bigger Plate มีหมวดพาสต้าจานเส้น ขอแนะนำ ลิงกวินี่เชลล์ฟิช (Linguine Shellfish) (390+) คือลิงกวินี่เส้นแบนผัดกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และกุ้ง อีกทั้ง ลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว (390+) และ สปาเกตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล (390+) ผัดกับครีมซอสผสมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล

เบ็คเอ้ก
เบ็คเอ้ก
ไข่คน กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้

ข้อดีคือสลัด พาสต้า และของกินเล่นที่ผมเลือกนี้ สามารถสั่งได้ทั้งวันก่อนบ่าย 4 โมงได้ด้วย เนื่องจากได้รับความนิยมมาก (โปรดดูในเมนู ยังมีอีกมากที่สั่งได้ทั้งวัน)

และก็มีเมนูอีกหลายอย่างที่สั่งได้เฉพาะตอนเย็น เช่นของกินเล่น หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) (450+) 3 ตัว วางมาบนมันบดผสมหอมใหญ่ ส่วน Bigger Plate เมนูฮิตคือ คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) ไก่หนังกรอบ ซึ่งมีให้เลือก 2 ซอส คือ น้ำเกรวี่กับซอสเผ็ด สั่งได้ทั้งครึ่งตัวและทั้งตัว (550/950+)

นอกจากนี้ที่โทบี้ส์มีเครื่องดื่มดีๆ หลากหลาย สำหรับคอกาแฟขอแนะนำ แฟลตไวท์ (Flat White)(100+) กาแฟเอสเปรสโซ่หอมๆ ผสมกับนมร้อนนุ่มๆ ดุจกำมะหยี่ ใช้เมล็ดกาแฟคั่วระดับปานกลาง มีให้เลือกทั้งแบบ Toby”s คือกาแฟจากเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และลาว กับแบบ Bryce”s คือกาแฟไทยผสมอินโดนีเซีย อินเดีย และเอธิโอเปีย

เดอะแฟรี่ฟลอส

คนชอบเครื่องดื่มแนวสุขภาพ ต้องชิม น้ำผลไม้ที่ได้จากการสกัดเย็น (Cold Pressed Juice) (180 บาท+) มี 6 สูตร ผมชอบ Heart Beets มีส่วนผสมของหัวบีทรูทสีแดงๆ (BeetRoot) แอปเปิลแกรนนี่สมิธ แตงกวา และมะนาวเหลือง ไม่นับเมนูพิเศษ เช่น น้ำชมพู่เมืองเพชร (Rose Apple) อีกต่างหาก และยังมี น้ำผลไม้ปั่นหลายชนิดรวมกันผสมน้ำแข็ง (Fruit Juice) มี 3 สูตร 3 สี (150+) คือ Lean Green สีเขียว Jungle Juice สีม่วง และ ฟีลกู๊ด (Feel Good) สีชมพู

ถ้าชอบความหอมมันสดชื่น ต้องสั่ง มิลค์เชครส Salted Caramel (120+) ใส่ไอศกรีมวานิลลา รสเค็มนิดๆ ผสมความหอมของคาราเมล เสิร์ฟมาในขวดแก้วน่ารัก เมนูนี้ยกนิ้วให้ 2 ข้างเลย

โอ๊ยยังมีของดีอีกเยอะทั้งเมนูธัญพืช เบเกอรี่ขนมต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่น บราวน์นี่ มัฟฟิน แอปเปิลครัมเบิ้ล และคาราเมลช็อกชั้งค์ ขอให้แฟนๆ รีบมาเติมพลังความสดชื่นรับวันใหม่ได้ตลอดทั้งวันจนถึง 4 ทุ่มที่โทบี้ส์ รับรองว่าจะสดใสไปทั้งวันทีเดียว ร้านหยุดทุกวันจันทร์นะจ๊ะ

โทบี้ส์ (Toby’s)

โดย คุณเต้ ชนพ บูรณตระกูล และคุณณัฐ คุณฟอร์ด คุณเคลลี่

ที่ตั้ง 75 สุขุมวิท 38 พระโขนง คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2712-1774

เปิดบริการ 09.00-22.30 น. (ครัวปิด 4 ทุ่ม) อังคาร-อาทิตย์

หยุด ทุกวันจันทร์

แนะนำ เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) เบ๊คเอ้ก (Baked Egg) เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) ไข่คน (Scrambled Eggs) คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast) คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) สลัด Tomato-Herbs-Cheese สลัด Baby root & Nuts กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) ลิงกวินี่เชลล์ฟิชลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว สปาเก็ตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) กาแฟแฟลตไวท์ น้ำผลไม้สกัดเย็นสูตร Beets น้ำผลไม้ปั่น Lean Green กับ Jungle Juice และ Feel Good มิลค์เชครส Salted Caramel

ลิงกวินี่เชลล์ฟิช
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
คริสปี้สกินบริกชิกเก้น-ไก่หนังกรอบ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
สลัด Tomato Herbs Cheese
เอ๊กมิกาโดะ
เอ๊กมิกาโดะ
Toby's New Baby root & Nuts
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
น้ำผลไม้ปั่น
บรรยากาศร้าน
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

พี่สาวที่เคยคุ้นกันมานาน คือคุณวันรวี รุ่งแสง เคยบอกสูตรหมูพะโล้ท้องถิ่นของเวียดนาม หลังจากเธอไปเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน คือให้เอาหมูสามชั้นหมักซีอิ๊วขาว กระเทียมพริกไทยตำแค่ราว 15 นาที แล้วต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เกลือ พอใกล้เปื่อยก็ใส่ไข่ต้ม เต้าหู้แผ่นทอด โดยห้ามใส่ผงพะโล้อย่างเด็ดขาด

“พี่น้อย” บอกว่า สูตรนี้จะหอมน่ากิน รสชาตินุ่มนวล แล้วสีน้ำพะโล้จะค่อยๆ เข้มขึ้นเอง หลังต้มไปสักพัก ผมเองเคยลองทำเมื่อแรกได้รู้สูตร ก็เห็นจริงตามนั้น มันไม่ถึงกับเข้มมากหรอกครับ แค่เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนพวกซุปน้ำแดงแบบจีนนั่นแหละ

พอเมื่อเร็วๆ นี้ มานึกถึงสูตรนี้ อยากทำกินอีกครั้ง แต่ก็เกิดภาพซ้อนสองสามภาพขึ้นในใจ ชวนให้คิดท้าทายตัวเองว่า ขอฉันลองแปลงสูตรไปอีกนิดได้มั้ยล่ะ คือขอประสมวัตถุดิบที่อยากกิน และคิดตรองดีแล้วว่าพอจะเข้ากันได้ลงไปสักหน่อย

ภาพซ้อนที่ว่า คือภาพซุปก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับซุปแบบน้ำแดงข้นๆ ที่พบทั่วไป กับภาพ “แกงร้อน” คือต้มจืดหมูใส่ดอกไม้จีน เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะมีกลิ่นหอมๆ ของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองแปรรูปอบอวลไปทั้งหม้อ ทั้งสองภาพนี้ ในที่สุดมาซ้อนกันอีกที จนทำให้ผมจินตนาการถึงต้มพะโล้น้ำใสๆ (ต่างจากแบบน้ำแดงทั่วไป) รสโปร่งๆ แถมมีกลิ่นแบบต้มจืดแกงร้อนที่คุ้นเคย แต่กลิ่นนั้นจะลึกๆ และแน่นๆ กว่า เนื่องจากคราวนี้เราจะต้มเคี่ยวนานตามกระบวนการทำพะโล้นั่นเองครับ

เราเริ่มจากไปหาซื้อหมูสามชั้นและเนื้อติดกระดูกอ่อนมาล้าง หั่นเตรียมไว้

หัวกระเทียมลอกเปลือกออกบ้าง ใช้ทั้งหัว โดยเอามีดหรือส้อมจิ้มผิวให้เป็นรูรอบหัว พริกไทยเม็ดขาวบุบๆ พอแตก

ฟองเต้าหู้ผมใช้แบบแห้งที่เป็นแท่งๆ เอาแช่น้ำจนพองดี หั่นยาวพอคำ

ดอกไม้จีนแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม

เต้าหู้ทอด จะลงมือทอดเองหรือซื้อสำเร็จจากร้านมาเลยก็ได้

พะโล้นั้นยากจะขาดไข่นะครับ ดังนั้นจงต้มไข่เป็ดจนสุกแข็ง ปอกเปลือก แล้วลอง “ย้อมสี” เสียหน่อย โดยเหยาะซีอิ๊วดำเค็มในชามไข่ คลุกเคล้าไปสักพัก สีซีอิ๊วจะจับผิวไข่ขาวพอให้ออกน้ำตาลอ่อนๆ สวยดีเชียวล่ะ

เครื่องปรุงเค็ม ใช้ซีอิ๊วขาวตามสูตรที่พี่น้อยบอก จะได้สีใสอย่างใจ เหมือนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสกุลน้ำใสเขามักใช้กันน่ะครับ

เครื่องปรุงหวาน ถ้าตามสูตรเดิมของเวียดนามคือน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้หาได้ง่ายอยู่ครับ แต่พอดีผมมีน้ำหวานจากงวงมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ของบ้านตาลลูกอ่อน อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี เลยขอลองใช้แทนน้ำมะพร้าวอ่อน มันก็คล้ายน้ำตาลสดแหละครับ แต่ของมะพร้าวจะใสกว่า กลิ่นอ่อนกว่าตาลหน่อยหนึ่ง

ถ้าใครเกรงว่า กลิ่นพะโล้หม้อนี้ออกจะเรียบร้อยเกินไป ขอแนะนำให้เพิ่มขิงสดสัก 5-6 แว่น กับโป๊ยกั๊ก 1-2 ดอก ก็เห็นจะพอนะครับ

ตั้งหม้อต้มน้ำจนเดือด ใส่กระเทียม พริกไทย น้ำหวานมะพร้าว ขิง โป๊ยกั๊ก ซีอิ๊วขาว ไข่ต้ม เนื้อติดกระดูกอ่อนและสามชั้นลงไป เคี่ยวไฟอ่อนราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยใส่เต้าหู้ ถ้ายังไม่หวานก็เติมน้ำหวานมะพร้าวได้ตามที่ชอบ

2
ปก

ต้มต่อจนถึง 2 ชั่วโมง ตอนนี้ หมูจะเริ่มนุ่ม เราก็ใส่ฟองเต้าหู้ลงไป พอใกล้ๆ ครบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่อยใส่ดอกไม้จีน เพราะว่าเป็นของที่เปื่อยง่ายที่สุดครับ

“พะโล้ญวน (แปลง)” หม้อนี้ ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างจะเปื่อยนุ่มพอดีๆ และการเคี่ยวนานขนาดนี้ ย่อมทำให้เครื่องปรุงที่เคยอยู่ในต้มจืด อย่างเต้าหู้  ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน และน้ำซุปรสอ่อนๆ นั้นงวดข้นขึ้น รสชาติก็ขยับเข้มขึ้น จนมีจิตวิญญาณเป็น “พะโล้น้ำใส” อย่างแท้จริง

มันเหมือนถ้าเราต้มจืดหัวไชเท้าและผักอื่นๆ รวมกันนานๆ เข้า ทั้งกลิ่น รส และน้ำเนื้อในหม้อก็จะไม่ใช่ต้มจืดอีกต่อไปแล้ว แต่จะกลายเป็นกลิ่นแน่นๆ ของ “จับฉ่าย” แทนไงล่ะครับ

เวลาที่ใช้ในการปรุงกับข้าว บางทีก็เปลี่ยนแปลงอะไรๆ บนเตาไฟได้อย่างชนิดที่ว่าน่าสนุกดีนะครับ..

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

อันที่จริงเป็นคนไม่ค่อยกินบุฟเฟต์ แต่ถ้าจะกินทั้งทีก็ต้องกินให้คุ้ม เพราะถ้าคุ้มก็จะรู้สึกฟินมาก

อาทิตย์ก่อนได้ไปลอง Copper International Buffet ร้านนี้เป็นบุฟเฟต์นานาชาติ ตั้งอยู่ชั้น 2 ของ The Sense ปิ่นเกล้า คอมมิวนิตี้มอลล์ขนาดย่อม ทำเลอยู่เลยเซ็นทรัล ปิ่นเกล้ามานิดเดียว เลี้ยวซ้ายเข้ามาวนหาที่จอดรถในตึกไม่ยาก

ร้านเปิดให้บริการมา 3 ปีกว่าแล้ว ด้วยความที่รักษาคุณภาพสม่ำเสมอ ทำให้มีแฟนคลับเหนียวแน่น และลูกค้าหน้าใหม่อีกไม่น้อย ชนิดที่ว่าคนแน่นทุกรอบ ดังนั้น แนะนำว่าจองโต๊ะล่วงหน้าปลอดภัยที่สุด

ชื่อเสียงของที่นี่ คือ การคัดสรรวัตถุดิบระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวากิว แกะออสเตรเลีย ล็อบสเตอร์ หอยนางรม ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ซูชิ สลัดออร์แกนิค ไปจนถึงของหวานที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็ม

ออเดิร์ฟที่มาแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด คือ ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ตัวนี้ถือเป็นนางเอกของร้านควรต้องโดนกันนะคะ เพราะที่ร้านใช้เห็ดทรัฟเฟิลแท้ๆ กิโลกรัมละเป็นแสนมาปรุงสูตรพิเศษ จนได้ซุปที่มีรสชาติกลมกล่อมถูกใจ

หรือจะไปตัก Seafood on ice มาเรียกน้ำย่อยอีกก็ได้ จัดจ้านสุดก็ยกให้ หอยนางรม เนื้อฉ่ำหวาน จะกินกับกระถิน น้ำจิ้มแซ่บ แบบไทย หรือจะบีบมะนาว เหยาะซอสแบบฝรั่งก็จี๊ดจ๊าด

ตามด้วยโซนย่าง ไฮไลต์จะมี สเต๊กเนื้อวากิว จากออสเตรเลียแท้ๆ ที่สามารถเลือกความสุกได้ตามใจชอบ หรือจะ ลองสเต๊กแกะออสเตรเลีย ก็ชุ่มนุ่มลิ้นไม่แพ้กัน คนไม่กินเนื้อก็จะมี หมูคุโรบูตะ และ กุ้งแม่น้ำเผา เนื้อแน่นหวาน คนรักกุ้งนี่กินจนหนำใจกันไปข้าง

อีกเมนูธรรมดาแต่ความอร่อยเบียดเมนูระดับโลกมาติดๆ คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ น้ำซุปเข้มข้นมาก เนื้อคุณภาพพรีเมียม สามารถเลือกเนื้อระหว่าง หมูสันคอสไลด์ หรือ เนื้อวากิว ถ้าไม่อยากอิ่มเกินไปก็สั่งเป็นเกาเหลา แต่ถ้าใครยังไหวอยากให้ลอง ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ อร่อยไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวเรือ

ที่ดีงามจนต้องชม คือ ซูชิ มีให้เลือกหลายแบบ คนชอบแซลมอน ต้องลอง ซูชิแซลมอนไซเกียว เชฟจะปั้นข้าวคำเล็กๆ วางแซลมอนชิ้นโตราดด้วยซอสรสหวาน ใครชอบเนื้อก็มี ซูชิเนื้อวากิวซอสครั้นชี่ ให้ลองกัน หรืออยากกิน ซาชิมิ ก็สั่งที่เคาน์เตอร์รับมาได้ทันที

อีกมุมที่คนรักขนมหวานห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะที่ร้านจัดเต็มมาให้ฉ่ำใจ ตั้งแต่ พันนาคอตต้า เด้งดึ๋งๆ สไตล์อิตาลี เครมบูเล่ หอมคาราเมลสไตล์ฝรั่งเศส ช็อกลาวาเยิ้มๆ หรือ ฮันนี่โทสต์ ก็หอมหวานดีต่อใจมากๆ ไหนจะไอศกรีมอีกหลายชนิด บอกเลยว่ามันว้าวมากค่ะ

ความสนุกที่ทำให้แฟนคลับติดหนึบอีกอย่าง คือ ร้านจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนโปรโมชั่นไปเรื่อยๆ อย่างเดือนสิงหาคมนี้ ที่ร้านจัดโปรเด็ดๆ ไว้เตรียมต้อนรับลูกค้าถึง 3 เมนูฮอต เริ่มจาก Australian Tomahawk ขนาดเบิ้มๆ 1.4 กิโลกรัม ถ้ามากัน 10 คนแล้วโชว์บัตรสมาชิกรับฟรีไปเลย 1 ที่ แต่ถ้ามาไม่ถึงสามารถใช้แสดงบัตรสมาชิกแลกซื้อได้ในราคา 1,990 บาท จากราคาเต็ม 4,200 บาท จานนี้มีเงื่อนไขนิดนึงตรงที่ว่าร้านต้องใช้เวลาเตรียมค่อนข้างนาน ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสงวนสิทธิ์สำหรับคนที่จองและมัดจำล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ

2
หอยนางรมไซซ์บิ๊ก
สเต๊กเนื้อวากิว
สเต๊กเนื้อวากิว

จานนี้ขอท้าสายเนื้อให้ลองกัน ย่างแบบมีเดียวแรร์นี้ทั้งนุ่มชุ่มฉ่ำ เนื้อชมพูหวานอร่อยมาก เห็นว่าเชฟปรุงด้วย Rosemary oil สูตรพิเศษ ให้รสชาติและความหอมของเครื่องแท้ๆ เสิร์ฟกับ Potato wedge และซอส 2 แบบ คือ ไวน์แดง กับน้ำจิ้มแจ่ว เลือกจิ้มกันตามชอบใจได้เลย

และอีก 2 จานเด็ดสำหรับคนรัก ฟัวกราส์ คือ French Foie gras สไตล์ฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อม Raspberry Jelly สำหรับสมาชิกรับฟรี มูลค่าจานละ 590 บาท และ Foie gras Wagyu fusion Steak ที่ฟิวชั่นกันได้ลงตัวระหว่างเนื้อวากิวออสเตรเลีย กับฟัวกราส์สไตล์ฝรั่งเศส มูลค่าจานละ 1,100 บาท ก็รับฟรีเช่นกันสำหรับสมาชิก

ซัน-วีระพงษ์-พินิจศักดิ์กุล-เจ้าของร้าน-Copper-Buffet

ซัน-วีระพงษ์ พินิจศักดิ์กุล วัย 25 ปี คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของร้าน Copper International Buffet บอกว่า ก่อนหน้าจะมาทำธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจดั้งเดิมครอบครัวเป็นร้านจิวเวลรี ร้านเพชรวิจิตรภัณฑ์ ที่ ดิโอลด์สยามพลาซ่า มาเกือบ 30 ปีแล้ว กระทั่งพี่สาวต้องการนำที่ดินที่เคยปล่อยเช่ามาพัฒนาเอง คุณพ่อ สมศักดิ์ พินิจศักดิ์กุล จึงตัดสินใจไม่ปล่อยเช่าต่อ นำมาพัฒนาเองเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ ชื่อ The Sense ปิ่นเกล้า

“เริ่มจากคุณพ่อเป็นนักกิน เป็นคนชอบทานอาหาร รู้ว่าอะไรอร่อย สมัยก่อนเดือนหนึ่งพ่อต้องพาไปกินบุฟเฟต์โรงแรม อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง พอจะพัฒนาธุรกิจเองเลยมีความคิดอยากทำร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแบบในโรงแรม”

“จังหวะได้เจอกับพี่เกษม (เกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป) ที่มีประสบการณ์ด้านการทำร้านอาหาร เลยได้ร่วมงานกัน จนเกิดร้าน copper buffet เมื่อเดือนมีนาคม 2559 นโยบายสำคัญของที่ร้าน คือ คุณภาพ มีคำหนึ่งคุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าร้านมันจะเจ๊งต้องปิด ต่อให้มาถึงวันสุดท้ายคุณภาพก็ต้องเหมือนเดิม ห้ามลดเด็ดขาด”

จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณซัน บอกว่า คุณพ่อประทับใจมาก ท่านพูดประจำว่าไม่คิดว่าคอปเปอร์จะมาถึงจุดนี้ คิดว่าอย่างมาก เดือนหนึ่งลูกค้าสักเก้าพันถึงหนึ่งหมื่นคนก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ตอนนี้เดือนนึงเรารับลูกค้าร่วม 12,000-13,000 คน ถือว่าเกินคาดมาก

บอกเลยว่าจะคอบุฟเฟต์หรือไม่ ควรได้ไปลองซักครั้ง ราคาหัวละ 987 บาท สำหรับเวลาจำกัดที่ 2 ชั่วโมง

วันธรรมดา จันทร์-พุธ มี 1 รอบ คือ 16.30-22.30 น. (เลือกทานเวลาไหนก็ได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง)

วันพฤหัสฯ-ศุกร์ มี 2 รอบ คือ 11.30-15.00 น. 16.30-22.30 น.

วันหยุด เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ มี 4 รอบ 11.00-13.00 น. 13.30-15.30 น. 17.00-19.00 น. 19.30-21.30 น.

หรือดูรายละเอียดเพิ่มที่เพจ Copper Buffet ได้เลย

7
9
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)

เป็นธรรมเนียมสำหรับวันแม่ที่ครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พาบุพการีลูกหลานออกไปกินข้าวนอกบ้าน ปีนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำร้านแนวสบายๆ ผ่อนคลายแต่ดูโก้ เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ ปิ้งย่างในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศส มีชื่อว่า โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เรียกสั้นๆ ได้ว่า โคคอต (Cocotte) เปิดมาได้ 3 ปีกว่า (เมษายน 2559) นี่คืออีกหนึ่งร้านดังของกรุงเทพฯที่ชมรมคนรักเนื้อ (ทุกประเภท) นิยมไปอุดหนุน

ร้านโคคอตอยู่ใจกลางเมืองตรงโครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31

เชฟที่ดูแลร้านอาหารในเครือโคคอตทั้งหมด เป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศสในวัยหนุ่มแน่น ชื่อว่า เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เห็นอายุแค่นี้แต่เคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว

โคคอตคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวงอีกด้วย จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือจะใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Komado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำหอมอร่อยทุกชิ้น

แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่างๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ชิ้นโตๆ หนาๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิ้ลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล พอย่างในเตาบาร์บีคิวแล้ว ก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาดมีตั้งแต่ ขนาด 1.4 กิโลกรัม (3,980 บาท++) ที่เราชิมซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6-1.8-2.0 กิโลกรัมให้เลือกด้วย (4,480-5,120-5,610 บาท++)

ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสที่มากินคู่กับโทมาฮอว์คได้ถึง 3 ชนิด จากทั้งหมด 8 ชนิด ซอสยอดนิยมคือ ซอสพริกไทยเสฉวน หอมๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้นๆ น้ำจิ้มแจ่ว ถูกปากคนไทย และ ซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสชิมิชูรีสีเขียวๆ ทำจากพาร์สลีย์ของฝรั่ง และมีซอสศรีราชาทำเองอีกด้วย ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ของโปรดผมคือ มันบดทรัฟเฟิล (190++) ทั้งเนียนและหอมมากๆ

สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุดสุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ เนื้อริบอาย ออสเตรเลียน วากิว (Ribeye Wagyu “Infinite”) สายพันธุ์แท้ 100% ลายไขมันเบอร์ 8 มีมันแทรกเยอะจนนุ่มหอมมาก มีทั้งขนาด 300 กรัม (2,890 บาท++) สำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัม (4,690 บาท++) แบ่งกันได้ 2 คน

เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
สเต๊กโทมาฮอว์ค-ออสเตรเลียนวากิว
มันบดทรัฟเฟิล
มันบดทรัฟเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีเนื้อส่วนที่หากินในร้านอื่นค่อนข้างยาก เป็นเนื้อ Hanger Steak หรือ เนื้อกะบังลม ซึ่งจะมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้มข้นเป็นพิเศษ แค่ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย ก็นุ่มหอมแล้ว ที่นี่ใช้เนื้อออสเตรเลียนวากิว ลายไขมันเบอร์ 6 (300-500 กรัม 1,380-2,290 บาท++)

สำหรับคนไม่กินเนื้อ ก็มีเมนูยอดนิยมที่ผมชื่นชอบมากด้วย คือ ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสซารี่หมุนๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัว ขนาด 900 กรัม (790 บาท++) บนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟ่า ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริงๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อยที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

เนื้อกะบังลม

นอกจากนี้ โคคอตยังมีซี่โครงแกะย่าง (300-800 กรัม 1,380-2,690 บาท++) สันในหมูย่างที่เขาตั้งชื่อว่า Wagyu of Pork 2.0 (650 บาท++) อีกทั้งเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้า และสลัด รับรองว่าทุกคนที่มาด้วยกันต้องมีเมนูถูกใจแน่นอน

ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือ เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า (Smoked Beef & Burrata) (390 บาท++) เนื้อรมควันชิ้นบางๆ นุ่มหอม ม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูราต้าหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอรี่หวานๆ เหยาะบัลซามิคเข้มข้นลงไปด้วย นี่ก็ห้ามพลาดอีกแล้วสำหรับคนชอบกินเนื้อ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่าง ให้ลอง ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) (340 บาท++) แป้งชูว์เพสตรี้ไส้พราลีน เฮเซลนัทครีม รูปกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel (390 บาท++) ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบที่ทำจากช็อกโกแลตหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ

ร้านโคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้า ที่เบอร์ 09-2664-6777 เพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ

โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)


ที่ตั้ง
โครงการ 39 Boulevard ซ.พร้อมจิต สุขุมวิท 39 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-2664-6777

เปิดบริการ 11.00-15.00 น. และ 18.00-24.00 น. ทุกวัน (ครัวปิด 22.30 น. และ 23.00 น.เสาร์-อาทิตย์)

แนะนำ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว เนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว Hanger Steak หรือเนื้อกะบังลม ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) ขนม Valrhona Chocolate x Caramel

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น
ปารีส์เบรสท์
ปารีส์เบรสท์

หลังจากที่ไปชิมฝีมือชาวเนปาลที่เมลเบิร์นมาเกือบเดือนแล้ว แต่ใจกลับยังคิดถึงอาหารเนปาลอยู่เลย

ที่เคยคิดว่าจะลองทำดูก็ต้องพับไว้ก่อน พอดีมีพี่ที่รู้จักกันชวนไปชิมที่ร้านอาหารเนปาลที่ร้าน “หิมาลายา” (Himalaya) เปิดอยู่แถวๆ ประตูน้ำนี่เอง

พิกัดร้านจาก ปากซอยราชปรารภ 1 เดินตรงไปจนสุดทาง แล้วเลี้ยวขวา (ถ้าเลี้ยวซ้ายเป็นตึกใบหยก) เดินมาหน่อยเดียวเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรก ตรงไปอีกนิดร้านอยู่ขวามือ สังเกตทางเข้าจะมีป้ายชื่อร้านแขวนอยู่ เดินเข้าไปนิดเดียวร้านอยู่ซ้ายมือ

ย่านนี้เป็นย่านแขก ส่วนมากจะมีร้านอาหารอินเดียเยอะ ขณะที่ร้านอาหารเนปาลน่าจะมีร้านนี้ร้านเดียว มารู้ทีหลังว่าเจ้าของร้าน คือ พี่ธันวา ชาวเนปาลอดีตนักข่าวโต๊ะต่างประเทศ กอง บก.มติชนนี่เอง

ดังนั้น รับประกันได้ว่าอาหารร้านนี้รสชาติเนปาลแท้แน่นอน เพราะพี่ธันวาเป็นชาวเนปาลแท้ๆ ธันวา เป็นชื่อภาษาไทย ส่วนชื่อเนปาล คือ “อัสสชิตะ อวาเล” เกิดที่เมืองปาตัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 เมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุ

ชีวิตในวัยเด็กดื้อและซนมาก พ่อจึงจับบวชเณร แล้วชีวิตก็ผกผันได้มีโอกาสเข้ามาอยู่วัดที่เมืองไทย กระทั่งสึกออกมาได้ฝึกงานเป็นนักข่าวประจำโต๊ะต่างประเทศที่มติชน

ด้วยความผูกพันบ้านเกิดเมืองนอน จึงตัดสินใจเปิดร้าน Himalaya สาขาแรกอยู่ที่สุขุมวิท 31 ตอนนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงร้าน ส่วนที่ประตูน้ำเป็นสาขาที่ 2 เพิ่งเปิดร้านได้ 3-4 เดือน

วันนั้นเรากับพี่สาวไปกัน 2 คน ลองสั่ง Chicken Momo 100 บาท Egg Bara 100 บาท Chiura Choyala Aloo Sadeko Set 150 บาท ได้ยินพนักงานออกเสียงว่า จูร่า ชอยล่า อะลู ซาเดโก Chicken Thali 195 บาท Veg Chawmin 95 บาท ส่วนเครื่องดื่มสั่ง ชามัสซาล่า จะเป็นชาดาร์จีลิงผสมนมและเครื่องเทศของชาวหิมาลายัน 30 บาท และลาสซี่ เป็นเครื่องดื่มโยเกิร์ต 45 บาท

เริ่มจาก “Chicken Momo” หรือโมโม่ไก่ ใครเคยไปเนปาลต้องได้ลองกินกันทุกคน เพราะโมโม่ถือเป็นอาหารจานด่วนยอดนิยม ใช้แป้งห่อเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้วนำไปนึ่ง สมัยใหม่นำไปทอดก็มี

เท่าที่ลองชิมไม่ว่าใครทำโมโม่รสชาติจะไม่หนีกันเท่าไหร่ สิ่งที่จะตัดสินว่าฝีมือใครเด็ดกว่ากันให้ดูที่น้ำจิ้ม น้ำจิ้มโมโม่ปัจจุบันพัฒนารสชาติแบบตะวันตก แต่ถ้าดั้งเดิมจริงๆ ซอสโมโม่ต้องทำจากถั่วที่มีสีเหลืองบดละเอียดปรุงรสชาติ รสชาติจะหอมมันอร่อย

จานต่อมา “Egg Bara” จานนี้เป็นโรตีที่ทำจากถั่วบด ถั่วนี้เป็นชนิดเดียวกับที่ทำน้ำจิ้มของโมโม่ นำไปทอดกับไข่ไก่ เป็นได้ทั้งอาหารรับประทานเล่น หรือเป็นมื้อกลางวันก็ยังได้ กินคู่กับยำมันฝรั่ง หรือยำไก่ จะเข้ากันมาก

คนเนปาลมักจะราดซุปถั่วลงบนข้าวทุกครั้ง
คนเนปาลมักจะราดซุปถั่วลงบนข้าวทุกครั้ง
โมโม่ราดซอสแบบดั้งเดิมที่ทำจากถั่วบด
Egg Bara อาหารเช้าทำด้วยไข่ไก่และถั่ว
Egg Bara อาหารเช้าทำด้วยไข่ไก่และถั่ว

ต่อด้วย “Chiura Choyala Aloo Sadeko Set” เสิร์ฟมาในถาดสเตนเลสใบใหญ่ วางทุกอย่างอยู่ในถาดใบเดียว เพราะโดยปกติชาวเนปาลนิยมรับประทานด้วยมือ

เมนูนี้อาจต้องทำใช้เวลาทำความคุ้นเคยนิดนึง เพราะหลายสิ่งแตกต่างจากความคุ้นชินเดิมๆ ไปมาก อย่างข้าวเม่าแบบแห้ง ถั่ว Bhatmas ทอด กินกับยำมันฝรั่งที่คลุกเคล้าสมุนไพร และเครื่องปรุงให้เข้ากันเหมือนสลัด และยำไก่ย่าง เป็นอย่างเดียวในเซตที่รสชาติจัดจ้านที่สุด และมีกลิ่นหอมกระทะไหม้ที่ชวนรับประทาน

“Chicken Thali” คำว่าทาลีก็คือถาดทองเหลือง หน้าตาของจานนี้คืออาหารที่ใส่มาในถาดทองเหลือง เป็นอาหารท้องถิ่นของกาฐมาณฑุแท้ๆ ถาดนี้ประกอบด้วย แกงไก่รสชาติกลมกล่อม ซุปถั่ว ผัดผักกวางตุ้ง ข้าวเปล่า และซอสคล้ายน้ำพริกที่ทำจากมะเขือเทศเพื่อชูรส กินแล้วเจริญอาหารดี

“Veg Chawmin” หรือก๋วยเตี๋ยวผัดแบบทิเบต จานนี้รสชาติคล้ายผัดมี่สั้ว น่าจะถูกใจคนรักเส้นได้ไม่ยาก นอกจากผัดกับผัก ยังมีผัดไก่ ราคา 130 บาท และผัดไข่ 110 บาท ด้วย

โดยปกติแล้วคนเนปาลจะกินแบบเรียบง่าย อาหารจานหลัก คือ Dal Bhat หรือข้าวกับซุปถั่วเท่านั้น ถั่วที่นำมาทำซุปจะมีถั่วหลายประเภทมีโปรตีนสูง กินกับข้าวสวย กินแล้วมีแรงไปทั้งวันเลยทีเดียว กินแบบนี้ทั้งคนรวยคนจน แต่คนรวยอาจจะมีอาหารอย่างอื่นประกอบ เช่น เนื้อ และผักเพิ่มเติมอีก

Chiura Choyala Aloo Sadeko Set

ส่วนการที่จะได้เห็นและชิมอาหารที่หลากหลายจะมีตอนช่วงเทศกาลเท่านั้น อาหารพิเศษบางอย่างก็จะมีเฉพาะฤดูกาลนั้นๆ ดังนั้น ใครอยากจะกินเมนูอะไร ไม่ต้องรอเทศกาล เดินเข้าร้านอาหารก็จะมีอาหารนับสิบนับร้อยอย่างให้เลือกเลย

ธันวา เจ้าของร้าน วัย 50 ปี บอกว่า เมื่อก่อนอาหารเนปาลยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ทุกวันนี้คนเนปาลออกนอกประเทศไปอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้น ไปเปิดร้านอาหาร คนจึงเริ่มรู้จักอาหารเนปาลมากขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น ร้านอาหารเนปาลมีมากถึง 3,000 ร้าน หรือที่ประเทศออสเตรเลียมีชาวเนปาลไปอยู่ถึง 300,000 คน แม้แต่ในประเทศเนปาลเองร้านอาหารก็เกิดขึ้นมากมาย เพราะผู้คนในปัจจุบันนิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเยอะขึ้น

“อาหารเนปาลมีความหลากหลาย ทั้งแบบท้องถิ่น และแบบที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทิเบต หรือจีน แต่จุดเด่นจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการปรุงแต่งที่น้อย เครื่องเทศน้อยกว่าอินเดีย และชอบอาหารรสเผ็ด”

     ใครที่กำลังสนใจอาหารเนปาลอยู่ต้องลองค่ะ!

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
Veg Chawmin ก๋วยเตี๋ยวแห้งแบบทิเบต
อาหารเนปาลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
อาหารเนปาลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บรรยากาศวันสารทจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก เขาบอกว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ ก็คงต้องต่อสู้กันต่อไปนะครับ อาจบางทีควันธูปแสงเทียนที่เพิ่งจุดเซ่นไหว้บูชาไปก็อาจเข้าหูเข้าตาให้เรามองเห็นต้นตอปัญหา จนพอจัดลำดับก่อนหลังในการแก้ไขมันได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

หลังวันไหว้ ก็ย่อมจะมีเนื้อหมูเห็ดเป็ดไก่เหลือไว้กินในครอบครัว หรือแจกจ่ายเพื่อนบ้านเหมือนเคย จำได้ว่าผมเคยเสนอให้เอาเนื้อไก่วันไหว้มาทำ น้ำพริกเผา (ผัด) ไก่ มาคราวนี้ก็เช่นกัน พอเห็นเป็ดไก่แขวนห้อยเป็นแถวทิวตามร้านข้างทาง ก็มานั่งคิดว่า เมื่อ “เจ้า” กินเสร็จแล้ว มนุษย์เราแต่ละบ้านจะเอาไปทำอะไรกินอร่อยๆ ต่อดีหนอ

ในที่สุดก็คิดออกครับ

ผมนึกถึง ไก่ผัดขิง คงนึกออกนะครับ ที่รู้จักหน้าค่าตาทั่วๆ ไปก็คือเนื้อไก่สดผัดใส่ขิงซอยนั่นแหละครับ บางคนใส่เห็ดหูหนูด้วย แต่โจทย์ของเทศกาลนี้คือไก่ไม่ได้สด มันเป็นไก่ต้ม ที่อาจเลาะกระดูกก่อนหั่นชิ้นแบบร้านข้าวมันไก่ หรือสับชิ้นใหญ่ทั้งกระดูกก็ได้ ที่จริงเราจะผัดไก่ต้มแบบนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันก็คงจะได้เนื้อ texture อีกแบบหนึ่งนั่นแหละ แต่ที่ผมคิดมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อย คือผมเอามันไปเชื่อมโยงกับปลาทอดผัดขิงน่ะครับ

เวลาพ่อครัวจีนทำปลาทอดผัดขิง เขาต้องแล่เอาแต่เนื้อปลา ทอดในกระทะน้ำมันร้อนๆ จนผิวกรอบดี แล้วจึงจะผัดกับเครื่องผัดขิง ทีนี้เนื้อไก่ที่เลาะกระดูกหั่นชิ้นแล้วมันก็คล้ายเนื้อปลาใช่ไหมล่ะครับ ทำไมเราจะเอามาทอดแบบเดียวกัน แล้วเบียดแทรกเข้าไปในสูตรเดียวกันนั้นบ้างไม่ได้เล่า

พอปิ๊งไอเดียแบบนี้แล้ว ก็มาสำรวจดูซิว่าเครื่องเคราเราครบหรือยัง แน่นอนครับว่าต้องมี ขิงอ่อน เอามีดเกลาๆ เปลือกออกบ้าง หั่นซอยเป็นเส้นเล็กๆ ไว้มากหน่อยก็ได้

กระเทียมทุบพอแตก สับหยาบๆ พริกชี้ฟ้าเขียวเหลืองแดงหั่นแฉลบ หอมใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเสี้ยวหนาๆ

น้ำมันสำหรับทอด ถ้าใช้ น้ำมันหมู ก็หอมดีครับ และควรเตรียม น้ำมันงา ไว้เหยาะผสมด้วย

เครื่องปรุงเค็มใช้ เต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม

ขอ เหล้าจีน ไว้ใส่ให้ได้กลิ่นหอมๆ สักนิดหนึ่งนะครับ แต่หากไม่ชอบก็ไม่ต้อง นี่แหละครับทั้งหมดมีแค่นี้เองที่เราต้องเตรียม

3

เริ่มทำแบบสบายๆ โดยทยอยทอดชิ้นเนื้อไก่หั่นในกระทะน้ำมัน เหมือนเราทอดปลา พอให้ผิวแห้งกรอบ แต่ข้างในยังนิ่มอยู่ แล้วตักขึ้นไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

หลังจากทอดไก่ ถ้าเห็นว่าน้ำมันในกระทะมากไป ก็เทออกบ้างนะครับ ทีนี้จะผัดจริงๆ แล้วนะ

เราก็ใส่กระเทียมลงไปเจียว ตามด้วยขิงซอยสักครึ่งหนึ่งก่อน พอขิงเริ่มสุกหอม ก็เติมเต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม เดาะน้ำตาลสักนิด แล้วทยอยใส่หอมใหญ่ พริกชี้ฟ้า ถ้าน้ำชักแห้ง เติมได้นิดหน่อยครับ

ผัดไปพอเห็นว่าหอมใหญ่ใกล้จะสุก จึงใส่ชิ้นไก่ที่เราทอดไว้ลงไป หยอดน้ำมันงา เหล้าจีน และขิงซอยที่เหลือ ผัดคลุกเคล้าให้ทั่ว

คะเนดูว่าทุกอย่างสุกเข้ากันดี ปรุงรสชาติได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว ก็ตักใส่จานมากินกับข้าวต้มข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยครับ

อย่าลืมโรยพริกไทยป่นใหม่ๆ เสียหน่อย จึงจะดีเลิศ

เท่านี้ก็ได้ “ไก่ทอดผัดขิงอ่อน” ซึ่งแม้เป็นของเหลือจากที่เจ้ากิน แต่เราเอามาปรุงเสียใหม่แบบซับซ้อนหน่อยๆ ใครดูเผินๆ อาจนึกว่าเราทำเนื้อปลาเก๋าปลากะพงผัดขิงแบบหรูหราราคาแพงเอาเลย

สูตรนี้คนไทยคงพอจะคุ้นเคย ถ้าใครชอบกิน อาจลองเพิ่มปริมาณน้ำมันและเหล้าจีน ผัดเคี่ยวนานหน่อยก็ได้ แต่นั่นก็จะทำให้มันเข้าใกล้สำรับผัดแบบจีนที่เรียกว่า “ซานเปยจี” (ไก่สามถ้วย) อันมีชื่อเสียงก้องโลกเข้าไปอีกนิดนึง

อาหารทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเราคิดว่าได้ลองปรับเครื่องปรุง ปรับวิธีปรุง จนกำลังจะเกิดสูตรใหม่ลับสุดยอดของตัวเองอยู่รอมร่อ ที่ไหนได้ สำรับหน้าตาแบบนั้นมีมาแล้วนานนับร้อยนับพันปี

ทำกับข้าวมันสนุกท้าทายก็ตรงนี้แหละครับ

ที่มา : มติชน

โดย : กฤช เหลือลมัย

อยากเดาว่า คงมีคนเคยกิน เห็ดตับเต่า (King bolete mushroom) ไม่มาก แม้ส่วนใหญ่น่าจะเคยเห็นวางขายตามตลาดสดบ้านๆ ในช่วงต้นถึงกลางฤดูฝน ซึ่งก็คือช่วงนี้แหละนะครับ อาจเพราะด้วยชื่อ ด้วยรูปทรง และด้วยสีที่ออกดำๆ ดูไม่ชวนกินเอาเสียเลยก็เป็นได้

เท่าที่รู้ คนเหนือเอามันมาแกงอ่อมเปล่าๆ บ้าง ใส่หมูบ้าง แกงใบมะขามอ่อนน้ำใสๆ บ้าง ส่วนคนบ้านสวนภาคกลางแถบบางกรวย ไทรม้า นนทบุรี มีสูตรยำใส่กะทิ หมูสามชั้น กุ้งแห้ง ตะไคร้ใบมะกรูดซอย กับทำฉู่ฉี่น้ำข้นๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่ง ทั้งสองสูตรนี้อร่อยมากๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าได้เห็ดอ่อน ดอกเล็กๆ ซึ่งมีความกรุบกรอบ เคี้ยวมันอย่างหาตัวเปรียบได้ยาก

สมัยก่อน ที่ผมทำบ่อยคือแกงอ่อมแบบอีสาน ใส่พริกสด หอมแดง ตะไคร้ตำ ในหม้อน้ำใบย่านาง ปลาร้า ชะอม ต้นหอม ใบแมงลัก ผมคิดว่าคงไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว ว่าเห็ดตับเต่าอ่อนๆ กรอบๆ นั้น ได้สังเคราะห์กลิ่นดินหอมๆ เข้าไว้ในน้ำเนื้อของมันมากยิ่งกว่าเห็ดเผาะเสียอีก ทำให้เมื่อเอามาปรุงกับข้าวแล้ว กับข้าวชามนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ในตัวเองสูง

ความที่เพิ่งได้เห็ดตับเต่ามาถุงหนึ่ง แต่เป็นเห็ดที่ไม่ใหม่เท่าใดนัก ความกรุบกรอบลดน้อยไปเกือบครึ่ง ดังนั้น จึงไม่สามารถจะเอามายำอร่อยๆ กินได้นะครับ จำต้องยักย้ายไปปรุงเป็นสำรับอื่นที่จะช่วยพยุงรสชาติเอาไว้ให้ได้

มันก็เหมือนเวลาเราได้กุ้ง ปู ปลาที่ไม่สดมากนักมา จะปิ้งจะยำก็ไม่ได้แล้ว ต้องเอาไปต้มไปแกง ให้เครื่องต้มเครื่องแกงช่วยดึงรสชาติขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น

ผมนึกถึงสำรับไทยภาคกลางระดับคลาสสิก คือ ต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมจะชักเอาสายบัวออก ใส่เห็ดตับเต่าเข้าไปแทนที่เลย ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?

หลังจากใช้มีดเล่มเล็กๆ เกลาเศษดินตรงโคนเห็ดออก ล้างน้ำเร็วๆ โดยใช้กาบมะพร้าว ใยบวบ หรือฟองน้ำขัดคราบดำๆ ออกบ้างจนดอกเห็ดสะอาดดีแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นหนาๆ ไว้

ตำพริกไทยขาว รากผักชี หอมแดง กะปิเข้าด้วยกันในครกหินจนละเอียด เป็นพริกแกง

แกะปลาทูนึ่งเอาแต่เนื้อไว้เป็นซีกๆ

เตรียมหากะทิสดไว้ให้พร้อม

ละลายพริกแกงในกะทิใสหน่อย ต้มจนเดือดสักครู่ ถ้าจะให้รสชาติกลมนัว ควรจะเติมเปรี้ยวนิดเดียวด้วยน้ำมะขามเปียก หรือชิ้นส้มแขกแห้งนะครับ จากนั้นใส่เห็ดตับเต่าลงไป ต้มราว 5 นาที เติมหัวและหางกะทิให้แกงข้นใสพอดีๆ อาจเพิ่มน้ำตาลปี๊บได้ ถ้าชอบให้มีรสหวานอ่อนๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่งตามลงไป ถ้าต้องการให้เนื้อนิ่มๆ ก็รีบยกลงหลังใส่ไปราวสองสามอึดใจ ไม่อย่างนั้นเนื้อปลาทูนึ่งที่แกะออกจากก้างแล้วจะแข็งกระด้างเร็วมากในหม้อแกงเดือดๆ นะครับ

โรยต้นหอมหั่นยาวๆ ลงในหม้อเพื่อเพิ่มกลิ่นผักๆ ไปตัดความมันเลี่ยนของกะทิ และสร้างดุลยรสกับกลิ่นดินของเห็ดตับเต่า สีน้ำแกงจะออกคล้ำๆ ปนเหลืองนิดๆ จากสีของเนื้อในเห็ดตับเต่าเอง และที่ค่อนข้างแปลก คือเราจะรู้สึกว่ากลิ่น ?ต้มกะทิเห็ดตับเต่า? ใส่เนื้อปลาทูนึ่งของเราหม้อนี้ คล้ายว่ามีกลิ่นถั่วเมล็ดแข็งอย่างถั่วลิสงปนอยู่ด้วยหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใส่ลงไปแม้แต่เม็ดเดียว

มันเป็นความลี้ลับพิสดารอีกประการหนึ่งของการปรุงกับข้าวกับปลา ที่การผสมผสานของวัตถุดิบบางสิ่ง กลับทำให้เกิดกลิ่น รส หรือกระทั่งเนื้อสัมผัสเหมือนอีกสิ่งหนึ่งที่เราคุ้นชิน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

กินราดข้าวชุ่มๆ หรือซดน้ำร้อนๆ ก็ชื่นใจเหมือนเราเคยกินต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่งทุกประการครับ

1
4

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

คอพะโล้ จะต้องติดใจ หมูพะโล้ปลาเค็ม

ลืมเรื่อง ไข่พะโล้บูดเอาไว้ชั่วคราว

เพราะคราวนี้ กฤช เหลือลมัย คอลัมนิสต์ คอลัมน์อาหาร ในหนังสือพิมพ์ มติชน ได้นำเสนอ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” มายั่วยวน คอพะโล้ และไม่พะโล้ทุกคน ที่รับรองว่า เอาสูตรนี้ไปทำแล้วจะติดอกติดใจในรสชาติไปอีกนาน

พะโล้ปลาเค็ม โดย กฤช เหลือลมัย

การต่อยอดจากสูตรของ ประยูร จรรยาวงษ์

 

ใครก็ตามที่ชอบทำอาหาร คงเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไม่มากก็น้อย คือรู้สึกว่า สูตรอาหารบางสำรับนั้น มันแสนที่จะลงตัว พอเหมาะพอดี ไม่มีขาดมีเกิน กินครั้งใดก็อร่อย ทั้งอยากกินไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนพาลสงสัยว่าคนคิดเขาคิดขึ้นมาได้ตอนไหนอย่างไรเอาเลยทีเดียว

สูตรหนึ่งที่ผมยอมใจมานาน ก็คือ “หมูตุ๋นปลาเค็ม” ของ คุณประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนผู้ยิ่งยง ซึ่งแม้ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 27 ปีก่อน ทว่ารสมือของท่านในหมูตุ๋นฯ หม้อนี้ย่อมจะส่งต่อไปยังใครต่อใครอีกมากมายไม่มีวันจบสิ้น คุณประยูรใช้หมูสามชั้นติดหนัง ตุ๋นในหม้อน้ำมัน กับปลาสละเค็ม ตะไคร้ กระเทียม พริกไทย ปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและซอสปรุงรส จนน้ำแห้ง หมูเดือดฉ่า ผิวนอกเกรียมน้ำมันนิดๆ

กลิ่นและรสเปรี้ยวซ่าของตะไคร้ ผสานกับกระเทียมพริกไทยสุกหอมในน้ำมันของชิ้นหมูเกรียม ซึ่งพลอยซึมซับรสเค็มลึกๆ ของปลาเค็มไว้อย่างเต็มที่ แถมมีซีอิ๊วขาวแต่งรสให้มีสีสันขึ้นอีก มันทำให้แม้ผมจะเคยพยายามลองเพิ่ม ลด ดัดแปลงวิธีปรุงและวัตถุดิบบางตัวให้ต่างออกไปบ้าง ทว่าก็ไม่อาจสร้างหมูตุ๋นปลาเค็มหม้อใหม่ที่พอเทียบเคียงสูตรคุณประยูรได้เลยจริงๆ

ผมจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรา “ขอยืม” มาใช้กับสำรับที่ใกล้เคียงกันน่าจะดี เช่น หมูพะโล้ โดยนึกเชื่อมโยงไปถึงขาหมูพะโล้สูตรหนึ่งซึ่งพ่อครัวใส่ปลาเค็มต้มรวมไปในหม้อด้วย กับนึกถึงพะโล้ที่บ้านเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะใช้ไข่เป็ดไข่ไก่ เขาก็ใช้ไข่นกกระทาแทน

บางที การที่เราพออธิบายได้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะต้มผัดแกงทอด ฯลฯ ต่อไปนี้ มันมี “ราก” ที่อ้างอิงได้ พูดง่ายๆ คือไม่ได้มั่วนิ่ม ก็ช่วยเรียกความมั่นใจได้ไม่น้อยนะครับ

ถ้ามั่นใจกันแล้ว ก็เริ่มทำ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” ของเราเลยดีกว่า ค่อยๆ เตรียมไปทีละอย่างครับ เช่นว่า หั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มไข่นกกระทาในหม้อน้ำจนสุก ปอกเปลือกไว้

ทอดปลาอินทรีเค็ม แล้วทำใจแข็งไว้ อย่าได้ซอยพริกซอยหอมบีบมะนาวลงไปเป็นอันขาด เดี๋ยวเผลอกินหมดซะก่อน

1

ทอดเต้าหู้แข็งพอให้ผิวนอกเกรียมๆ

ตัดตะไคร้ ทุบพอแตก หัวกระเทียมปอกเปลือกแค่เกลาๆ เอาปลายมีดจิ้มให้เป็นรูทั้งหัว

เตรียมรากผักชี เกลือ พริกไทยดำบุบ น้ำตาลอ้อย และซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อ “แปลงร่าง” สูตรของคุณประยูรให้มีความเป็นพะโล้มากขึ้น

ผมเพิ่มพริกขี้หนูแห้งเม็ดใหญ่ เพื่อให้มีรสเผ็ดแหลมแทรกบ้างนิดหน่อยด้วยครับ

พอเตรียมครบแล้ว ก็เอาชิ้นหมูสามชั้นลงผัดในกระทะน้ำมัน เติมเกลือ ซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อย้อมสีหมูให้คล้ำสวยสักครู่ จึงวางชิ้นปลาเค็มให้เข้าที่เข้าทาง สลับด้วยหัวกระเทียม พริกไทย รากผักชี พริกแห้ง และท่อนตะไคร้ทุบ แล้วเติมน้ำให้ท่วม ทยอยใส่เต้าหู้ทอด ไข่นกกระทา เติมน้ำตาลปรุงรสหวานได้อีกหน่อยถ้าชอบ

ต้มรุมไฟอ่อนไปราว 2 ชั่วโมง คอยเติมน้ำไว้อย่าให้แห้ง กับชิมให้ได้รสเค็มหวานอย่างที่ต้องการ ทั้งหมู ปลาเค็ม เครื่องปรุง และน้ำพะโล้จะค่อยๆ จัดการตัวเองให้รสชาติกลมกลืนกัน โดยที่เราไม่ต้องห่วงเรื่องการปรุงสักเท่าไหร่หรอกครับ

พอหมูสามชั้นเปื่อยนุ่มดีแล้ว มันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตะไคร้ เจือรสเค็มลึกๆ และกลิ่นยั่วยวนของปลาเค็มอบอวลไปทั้งหม้อ แถมไข่นกกระทาก็ให้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบที่แปลกออกไป มีรสเผ็ดพริกแซมแทรกเล็กน้อย เรียกว่าจิตวิญญาณของกับข้าวหลายจานดูจะมารวมกันอยู่ที่นี่

พะโล้ของเราหม้อนี้ ถึงจะแปลก แต่ย่อมอร่อยถูกปากแน่นอนครับ

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารอีสานแถบเชิงสะพานอรุณอมรินทร์ ฝั่งธนบุรี กับรุ่นพี่ที่เคารพนับถือ แล้วมีคนสั่งแกงแบบลาวๆ ชามหนึ่งมากินกัน พอได้กิน ก็ระลึกชาติขึ้นมา ว่าเราไม่ได้ทำแกงนี้กินมานานแค่ไหนแล้วนะ ทั้งๆ เป็นของอร่อย ทำง่าย แถมมีประโยชน์มากๆ

สำรับที่ว่านี้ก็คือ แกงเห็ดรวมŽ ครับ เหมาะกับช่วงต้นถึงกลางฤดูฝน เพราะตอนนี้ตลาดสดบ้านๆ ยังพอมีเห็ดป่าเห็ดทุ่งหลายชนิดขายให้กินอยู่ หรือแม้แต่กรณีคนเมือง เดี๋ยวนี้ผมก็เห็นว่า ไม่ว่าจะตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือรถพุ่มพวงที่วิ่งเข้าออกขายกับข้าวสดตามหมู่บ้านจัดสรร มักมีเห็ดขายทั้งแบบแยกชนิดและแบบรวมหลายอย่างในแพคเดียว นับว่าสะดวกแก่การทำแกงนี้มากเลย

คนที่ชอบอาหารอีสาน แล้วชอบแกงอีสานรสอ่อน โปร่ง เบา อยากกินผักกินเห็ดเยอะๆ รับรองว่าไม่ผิดหวัง สูตรที่จะชวนทำวันนี้นับว่าพื้นฐานที่สุดแล้วล่ะครับ

น้ำแกงหลักเราใช้น้ำคั้นใบย่านาง ซึ่งแม้เดี๋ยวนี้เริ่มมีขายสำเร็จเป็นถุงๆ แต่หากเลือกได้ ผมอยากให้หาซื้อใบสดมาล้างให้สะอาด ใส่กะละมัง เติมน้ำ แล้วขยำคั้นด้วยมือไปจนน้ำข้นเขียวอื๋อ ค่อยกรองเอาใบยุ่ยๆ ที่กลายเป็นกากสีขาวซีดๆ นั้นทิ้งไป

ข้นกว่า เขียวกว่า หอมกว่าเยอะครับ ไม่เชื่อก็ลองดู

ของอื่นๆ ก็มีพริกแกง ซึ่งใช้แค่หอมแดง พริกขี้หนูอีสาน (พริกโพน) กับตะไคร้หั่นท่อน เอาลงตำรวมในครกพอแตกๆ ก็ได้แล้ว

เห็ดอะไรที่อยากกิน เอามาล้าง หั่นเป็นชิ้นๆ ตามใจชอบ

ความหอมของน้ำแกง นอกจากตะไคร้ในพริกแกงแล้ว เราใช้ต้นหอม ใบแมงลัก และยอดชะอม

รสหวานแบบธรรมชาติๆ มาจากฟักทองมันๆ หน่อไม้ต้ม และบวบหอมครับ

หม้อนี้ ผมปรุงเค็มด้วยเกลือและน้ำปลา แต่ลูกอีสานตัวจริงเสียงจริงคงพึงใจน้ำปลาร้ามากกว่า ก็เลือกใช้ได้ตามชอบ

ไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์อะไรหรอกนะครับ เห็ด ฯลฯ และผักหญ้าสดๆ ขนาดนี้ย่อมจะให้รสหวานโปร่งๆ แบบที่หากเรากินจนคุ้นลิ้นไปสักพัก ทีนี้ต่อไปจะโหยหาเลยเชียวแหละ

เริ่มทำโดยยกหม้อน้ำคั้นใบย่านางเขียวอื๋อนั้นตั้งไฟ ใส่พริกแกง หน่อไม้ เกลือ น้ำปลา ต้มเคี่ยวไฟอ่อนไปสัก 10 นาที จึงเริ่มใส่ฟักทอง กับเห็ดที่เนื้อไม่เละ อย่างเช่นเห็ดหูหนู เห็ดฟาง

ดูว่าชิ้นฟักทองเริ่มสุกไล่จากผิวเข้าไปได้สักครึ่งหนึ่ง จึงใส่บวบหอม ยอดชะอม และต้นหอม

พอบวบเริ่มนุ่ม ซึ่งหมายความว่าฟักทองใกล้สุกเต็มที่ ใส่เห็ดดอกอ่อนที่เหลือ และใบแมงลัก ชิมรสให้เค็มอ่อนๆ โดยเติมเกลือหรือน้ำปลา

1
3

ถ้าเพิ่งทำครั้งแรกอาจแปลกใจ ทำไมรสหวานมันมาจากไหน ก็มาจากเห็ด หน่อไม้ บวบ และโดยเฉพาะฟักทองนั่นเองครับ เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์อะไรมาชิงรส แกงนี้จะออกโปร่งๆ รสอ่อนๆ และทำให้ลิ้นเรารับรู้รสผักและเห็ดสดๆ ได้อย่างเต็มที่

ไม่กี่อึดใจหลังใส่ใบแมงลัก กลิ่นหอมอบอวลอันเป็นเอกลักษณ์ของแกงอีสานจะโชยขึ้นมาจนแทบอดใจไม่ไหว ยกลงกินได้เลยครับ

แกงที่เราลงมือคั้นใบย่านางเองจะน้ำเขียวอื๋อ หอมหวาน ได้ความสดใหม่จริงๆ สูตรที่ทำนี้เป็นแบบง่ายที่สุด บางคนอาจเพิ่มข้าวเบือ (ข้าวเหนียวแช่น้ำจนพอง) โขลกในพริกแกงนิดหน่อย หรือละลายน้ำแป้งข้าวเหนียวใส่ตอนใกล้เสร็จ เพื่อเพิ่มความข้นของน้ำแกงได้

ใครจะเพิ่ม จะลด สลับสับเปลี่ยนผักสดหรื อเห็ดก็คงสนุกดี แต่ขอให้ลองคิดถึงรส กลิ่น และความ เบาŽ อันเป็นเอกลักษณ์ของแกงเห็ดรวมนี้ไว้สักหน่อย เพราะถ้าเราใช้ผักกลิ่นแรงๆ บางทีมันก็อาจ หนักŽ เกินไปสำหรับแกงที่ไม่ได้ปรุงใส่เนื้อสัตว์น่ะครับ

อย่างไรก็ดี ทัพพีเมื่ออยู่ในมือเรา เดี๋ยวเราก็รู้เองแหละครับ ว่าเราชอบกินรสอะไรยังไงแบบไหน

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย