เป็นกันมั้ยคะ เวลาเห็นงานออกบูธอาหารในห้าง แม้ไม่หิวก็ต้องเดินเข้าไปดูให้ทั่ว และในที่สุดก็จะได้อะไรติดมือกลับมาจนได้เพราะเดี๋ยวนี้อาหารตามบูธที่มาออกร้านดูแล้วน่ากินทั้งนั้น

แว่วข่าวล่าจากเพื่อนในแวดวงออร์แกไนซ์ บอกว่า ช่วงเดือนสิงหาคม ระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง “เฮียจก โต๊ะเดียว” ก็ยังตกปากรับคำจะไปออกบูธกับเขาเหมือนกัน ที่งาน “MEGA Food Tastival 2019” จัดที่ ลาน Foodwalk Plaza ศูนย์การค้าเมกา บางนา ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2562 นี้

ได้ยินแบบนี้ก็หูผึ่งเลยล่ะค่ะ เพราะอาหารของเฮียจกไม่ใช่คิดเมื่อไหร่แล้วจะได้กินทันที ต้องจองโต๊ะกันนานเป็นเดือน แต่งานนี้เฮียจกมาเอง เปิดบูธขายกัน 5 วันเต็มๆ แล้วมิตรรักแฟนเพลงจะพลาดได้อย่างไร

เฮียจกมีฝีมือปรุงอาหารชั้นครู มีคติประจำใจอยู่ 4 ข้อ คือ วัตถุดี เทคนิคดี เครื่องปรุงดี และอัธยาศัยดี มี 4 อย่างนี้คือจบปิ้ง

ที่น่าทึ่งที่สุด คือ ลิ้นระดับเทพที่สามารถแยกแยะได้ว่าที่กินไปนั้นปรุงด้วยอะไร ปรุงแบบไหน ดังนั้น หากเฮียจกอยากจะได้สูตรอาหารเมนูไหน ขอแค่ได้กินเท่านั้น รับรองว่าไม่ใช่แค่เหมือน แต่เฮียจกยังปรับปรุงให้จี๊ดจ๊าดขึ้นไปอีก เพื่อนพ้องต่างยกย่องหาคนเทียบยาก

ร้านเฮียจกหลักๆ จะเป็นเมนูซีฟู้ด แต่งานนี้คัดเลือกแบบที่กินง่ายขายคล่องมาให้ชิมกัน คือ “เกี๊ยวกุ้งลวกราดกระเทียมเจียว” ตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนเมนูธรรมดาทั่วไป แต่รสชาติระดับเสิร์ฟฮ่องเต้ กินแล้วรับรองเลยว่าต้องคิดถึงคนที่รักอยากซื้อไปฝากให้ได้กินของอร่อยด้วยอย่างแน่นอน

เรื่องเกี๊ยวกุ้งนี้มีที่มา คือ เมื่อหลายสิบปีก่อนพ่อของเฮียจกเสียชีวิต เฮียซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัยที่กำลังโลดแล่นทำงานตามต่างประเทศ ก็ต้องกลับมาบวชให้พ่อ ตกดึกมาเกิดหิวเหลือบไปเห็นของไหว้กงเต๊ก มีจานเกี๊ยววางอยู่ หยิบมากินก็รู้สึกว่าอร่อยมาก ไม่เคยกินเกี๊ยวที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน ถามหาจนได้ร้าน เทียวไล้เทียวขื่อ บวกกับพรสวรรค์ในการแยกรสชาติ ไม่นานนักสูตรเกี๊ยวแสนอร่อยก็ตกเป็นของเฮียจกในที่สุด

“เกี๊ยวกุ้งผมใช้กุ้งธรรมชาติ โอคั่ก เปลือกดำ พันธุ์ตัวเล็ก เนื้อจะมีคุณสมบัติ หวาน กรอบ เด้ง เวลาลวกใช้ไฟแดงให้เกี๊ยวเด้ง”

เฮียจกแนะว่า แค่จิ้มกับจิ๊กโฉ่ดีๆ ก็เลิศแล้ว ใครอยากกินต้องมาลอง ในราคากล่องละ 100 บาท มี 10 ตัวใหญ่ๆ เต็มปากเต็มคำ

ใช้กุ้งโอคั่กรสชาติดี หวาน เด้ง กรอบ
ใช้กุ้งโอคั่กรสชาติดี หวาน เด้ง กรอบ
เกี๊ยวกุ้ง
โฉมหน้าเกี๊ยวกุ้งราดกระเทียมเจียว
โฉมหน้าเกี๊ยวกุ้งราดกระเทียมเจียว

อีกเมนูของเฮียจกที่ยังยืนหนึ่งในยุทธจักร “กระเพาะปลาน้ำแดง” เมนูนี้เด็ดที่น้ำซุปกับเครื่องเทศ ที่เฮียจกลงมือเคี่ยวเองเกือบ 1 วันเต็มๆ จนได้รสชาติที่กลมกล่อม

นอกจากร้านเฮียจกโต๊ะเดียว ที่น่าสนใจในงานเดียวกันอีกร้าน คือ วิยะแครบ (Viya Crab) ร้านนี้เด่นเรื่อง ปู สินค้ามีตั้งแต่ปูแช่แข็ง เนื้อปูพาสเจอไรซ์ ไปถึงอาหารที่ใช้ปูเป็นวัตถุดิบ อย่างปูจ๋า จ๊อปู ปูดองน้ำปลา ไปถึงซาลาปู

งานนี้จัดเต็มขนมาให้ลิ้มลองเพียบ ตั้งแต่เนื้อปูพาสเจอไรซ์ จ๊อปู ปูดองน้ำปลา และซาลาปู ใช่ค่ะ ซาลาปู ไม่ใช่ซาลาเปา เจ้าของร้านเขาเล่นคำจากซาลาเปาไส้ปู มีให้เลือก 2 ไส้ คือ ไส้ปูผัดผงกะหรี่ กับไข่ปูลาวา

กระเพาะปลาน้ำแดง

ซาลาปูของวิยะแครบอาจราคาสูงกว่าท้องตลาด คือ ลูกละ 50 บาท แต่ใครได้กินรับรองว่าคุ้มค่าเงินที่จ่าย แป้งที่ใช้ทำเป็นแป้งหมั่นโถ กว่าจะได้สูตรที่ลงตัวก็ต้องตระเวนไปชิมตามที่ต่างๆ ชอบใจแบบไหนก็ลองมาทำจนได้สูตรแป้งที่ลงตัวส่วนไส้ปูที่เป็นปูผัดผงกะหรี่จะเน้นเนื้อปูที่สด เมื่ออุ่นร้อนกัดลงไปจะฉ่ำชุ่มอร่อยมาก ส่วนไส้ลาวาจะผสมไข่เค็มด้วย ได้รสชาติเข้มข้น หอมหวานมันเค็ม

“มารียา เล่าเจริญ” ผู้ช่วยผู้จัดการ วัย 26 ปี ลูกสาวของคุณวิยะเจ้าของบริษัท บอกว่า หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็เข้ามาช่วยธุรกิจ “วิยะแครบ” ของคุณแม่ทันที

วิยะแครบ เริ่มแรกจากแพปู โดยคุณแม่วิยะ เริ่มต้นพนักงาน 10 คน ปัจจุบันกว่า 400 คน มีโรงงานอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันนี้ส่งออกไปยังทั่วโลกถึง 70% โดยชื่อเสียงปูม้าสุราษฎร์ฯ รู้กันดีทั้งคนไทยและต่างชาติเรื่องรสชาติมันหวานที่สุด

ซาลาปู
เนื้อปูพาสเจอไรซ์
เนื้อปูพาสเจอไรซ์

“ปูสุราษฎร์ฯชาวต่างชาติยอมรับว่าหวานอร่อยที่สุด ตัวใหญ่สีสวย ปู้ม้าที่อื่นใหญ่สุด 5 ตัวต่อกิโลกรัม แต่ของสุราษฎร์ฯ 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม”

มารียาบอกว่า จุดเด่นของวิยะแครบ คือ เนื้อปูพาสเจอไรซ์ ที่จะเน้นความสด รับปูจากเรือใหม่ๆ ในตอนเช้า ก็จะนำไปสตรีมไอน้ำ วิธีนี้เป็นวิธีที่คนไม่ค่อยทำเพราะต้นทุนสูง เราจะใช้บอยเลอร์คงอุณหภูมิ ไม่ให้เกิน 80-90% ปูจะเสียน้ำน้อย จะคงรสชาติที่หวานไว้มากที่สุด ต่างกับวิธีการต้มที่จะสูญเสียน้ำเยอะ

ในงานนอกจากเนื้อปูสดรสดีแล้ว ยังมีปูม้าดองน้ำปลาก็เด็ดไม่แพ้กัน ปูดี ดองน้ำปลาอย่างดี ราดน้ำจิ้มแซ่บๆ แค่คิดก็น้ำลายสอขึ้นมาเลย ในงานใครซื้อปูดองน้ำปลาจะมีบริการยำให้ฟรีด้วย ที่สำคัญทุกอย่างในร้านได้มาตรฐานฮาลาล กินได้สบายใจทุกชาติทุกภาษา

เอาจริงๆ เพียงแค่ 2 ร้านนี้ ก็ควรค่าแก่การไปชิมแล้ว เดี๋ยวฉบับหน้าจะมาแนะนำว่าอีก 22 ร้านที่เหลือมีอะไรบ้าง บอกไปน้ำลายหกแน่นอน

จ๊อปู
ปูดองน้ำปลา
ยำปูม้าดอง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ห้องโถง มติชนอคาเดมี หมู่บ้านประชานิเวศน์1 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ในเครือมติชน จัดเสวนาหัวข้อ “แผนยึดล้านนา” โดย รศ.ดร.เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตและผู้เขียน “เปิดแผน ยึดล้านนา” นำเสวนา และ เอกภัทร เชิดธรรมธร เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

รศ.ดร.เนื้ออ่อน กล่าวว่า เดิมทีล้านนาเป็นอาณาจักรคู่ขนาน ไล่มาตั้งแต่ สุโขทัย อยุธยา มีอิสระและมีระบบการปกครองเป็นของตัวเอง วันหนึ่งที่อยุธยาตกเป็นของพม่า ล้านนาก็ตกเป็นของพม่าเช่นเดียวกัน ตกเป็นของพม่าประมาณ 200 กว่าปี ตระกูลเจ้ากาวิละและพี่น้องได้ร่วมกันรบกับกองทัพสยามจนสามารถขับไล่พม่าออกจากล้านนาได้สำเร็จ ใน พ.ศ. 2347

ล้านนาตะวันออก กับล้านนาตะวันตกแทบจะแยกจากกันโดยเด็ดขาด ความเป็นไปของล้านนาที่เมืองน่าแทบจะไม่รู้เลยว่าอีกฝั่งหนึ่งเป็นอย่างไร เพราะมีกฎหมายของเมืองแยกเป็น 2 กลุ่ม แบ่งพื้นที่ตามลุ่มน้ำ มีระบบการปกครอง กฎหมาย เศรษฐกิจเป็นของตัวเอง

“กลุ่มที่อยู่ล้านนาตะวันตก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แต่ไม่มีเชียงรายกับแม่ฮ่องสอน เพราะคือเชียงใหม่ที่แยกออกมา พ.ศ. 2368 อังกฤษยึดพม่าตอนใต้ ตั้งโรงเรื่อยไม้ที่มะละเหม่ง ขยายธุรกิจการค้าไม้สักเข้ามาในล้านนา ซึ่งไม้ส่วนมากมาจากเชียงใหม่ การขยายตัวเข้ามาของอังกฤษในพม่า จึงเป็นที่หมายตาของอาณานิคมตะวันตก เมื่อมีคนเข้ามาเยอะก็มีเรื่องของความขัดแย้งกับคนพื้นเมือง เช่น ซื้อวัว ซื้อควาย เอาเงินไปแต่ไม่ให้ของ ขึ้นศาลไทยก็ไม่ได้เพราะเป็นคนต่างชาติ จึงสร้างปัญหาเรื่อยมา พอเริ่มมีการเข้ามาของอังกฤษในเรื่องไม้ จึงเป็นสาเหตุที่คิดว่าจะเอาอย่างไรดีกับล้านนา

สาเหตุของการรวมล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม อาณานิคมการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ค.ศ.ที่ 18 คือ 1. เศรษฐกิจ วัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า 2. ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน กล่าวว่า คนที่อยู่รอดคือคนที่เข้มแข็ง คนที่แข็งแกร่งกว่าคือคนที่อยู่รอด 3. ยุทธศาสตร์การป้องกันผลประโยชน์ 4.การนำความเจริญไปสู่กลุ่มชนที่ล้าหลัง (พวกที่ไม่ใช่ฝรั่งทั้งหมด) วิธีคิดเหล่านี้มีผลกระทบเข้ามาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 พม่าแม้จะมียุทธวิธีและกองทัพแต่ก็ยังพ่ายแพ้ เสียเงิน เสียดินแดน ดังนั้นทางรอดก็คือสยามต้องปรับตัวรศ.ดร.เนื้ออ่อนกล่าว

รศ.ดร.เนื้ออ่อน กล่าวต่อว่า ประเทศราชล้านนามีความล้าหลังที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ ป้องกันข้าศึก ขยายพระราชอาณาเขต และถวายบรรณาการ พ.ศ. 2417 รัชกาลที่ 5ให้ทำสนธิสัญญาสยามกับล้านนา มี 2 ฉบับ คือ สนธิสัญญาเชียงใหม่ 2417 และสนธิสัญญา เชียงใหม่ 2427 ข้าหลวงที่ถูกส่งเข้าไปคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร

2

ทรงเริ่มวางระบบเสนา 6 ตำแหน่ง แทนระบบการบริหารเดิม ช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยน เช่น พระยาไกรโกษา สยามยกดินแดนหัวเมืองเงี้ยวและหัวเมืองกระเหรี่ยงทั้ง 13 เมืองให้อังกฤษ  พ.ศ. 2435 สยามเสียสิทธิเหนือดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง สยามปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2440 พระเจ้าอินทวิชยานนท์พิราลัย พระยาทรงสุรเดชถือโอกาสรวบอำนาจการคลัง

พ.ศ. 2445 เกิดกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ซึ่งในการปราบกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ล้านนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม แต่ไม่ใช่ว่าล้านนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างเรียบร้อยและง่ายดาย คนยังไม่ภักดีเพราะมีหลายชาติพันธุ์มาก สิ่งนี้คือสิ่งที่รัฐควรเร่งปลูกฝังถึงขนาดแจกธงชาติไปประดับตามบ้าน เด็กตัวเล็กๆที่เข้าโรงเรียนคือเครื่องมืออย่างหนึ่งในการส่งผ่านความคิดนี้ จินตนาการความรู้ในหนังสือจะเป็นตัวหล่อหลอมให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร บ้านอยู่ไหน ต้องภักดีกับใคร ความรู้เรื่องนี้ถูกส่งผ่านในหนังสือภูมิศาสตร์สยาม ความรู้ชุดนี้ถูกตอกย้ำไปเรื่อยๆ และวันหนึ่งก็ทรงพลังและมีประสิทธิภาพมากจนทำให้จินตนาการที่เรามี ว่าเราเป็นคนชาติเดียวกัน เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เกิดขึ้นจริงๆ การที่คนล้านนามองว่า เราคือสยาม คือตัวชี้วัดแล้วว่าสิ่งที่สยามทำมาทั้งหมดตั้งแต่ตอนต้นสำเร็จแล้วรศ.ดร.เนื้ออ่อน กล่าว

4

กว่า30ร้านดังมาเสิร์ฟให้คุณแล้ว ที่งานเมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019” (Mega Food Tastival 2019)

ภายใต้คอนเซ็ปต์แนวคิด “Eat Like A Local” จัดโดยมติชนอคาเดมี ที่เมกา ฟู้ดวอล์ค ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา 5วันเต็ม 8-12 สิงหาคมนี้เวลา10.00-21.00 น.

“เฮียจกโต๊ะเดียว” ชื่อเสียงลือลั่น ต้องจองคิวนานข้ามเดือนถึงจะได้กิน แต่ถ้ามางานนี้พิเศษเหนือใคร ได้กินเลยไม่ต้องจอง!!

“ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนายหมี” วัดหนามแดง-บางพลี จ.สมุทรปราการ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรไหหลำ น้ำซุปรสเด็ด เคี่ยวเนื้อแต่ละวันกว่า 100 กิโลกรัม ไม่ใส่ผงชูรส เนื้อทั้งเปื่อยทั้งนุ่ม สายเนื้อห้ามพลาด!!

รวมทั้งสารพัดสุดยอดเมนู อย่างขาหมูกรอบ ByChefDay , ขนมไทยป้าเยาว์เจ้าเก่าติวานนท์ , ชาเย็นเเก้วยักษ์สุดฮิปเตอร์ โดยร้านพิเศษเเห่งภูเก็ต , ซี่โครงปราณ สูตรโบราณจากปราณบุรี , คุณภาพเน้นๆกับร้านก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาโกอ่าง ,สุดยอดเเห่งความสดเเละความเเซ่บจากร้านถนัดหอย

ชิมปูเเน่นๆ กับ Viya Crab , กาเเฟไข่ไก่อารมณ์ดี Grün cafe’& Eatery, ข้าวเเกงปักษ์ใต้สูตรเด็ดกับร้านพริกไทยสด , ขนมจีนบ้านพี่เเยม ฐปณีย์ นักข่าวสาวชื่อดัง , เบเกอรี่จากเชฟญี่ปุ่นของ Brainwake เเละร้านอร่อยอีกมากมาย ที่คุณจะต้องอยากกินไปซะทุกอย่าง

นอกจากนี้ เหล่าเชฟคนดังจากร้านอร่อย จะมาสาธิตการปรุงเมนูเลิศรสให้ชมกันจะจะอีกด้วย ทั้ง เฮียจก -สมชาย ตั้งสินพูลชัย และ เชฟแจ็ค – จักรภัทร กีรพัฒนพิบูลย์ จากร้านขาหมูกรอบ บาย เชฟเดย์

อีกทั้งภายในงานยังมีกิจกรรมเวิร์คช้อปพิเศษต้อนรับเทศกาลวันแม่ อาทิ เวิร์คช้อปการชงชาเฉพาะบุคคล อย่าง Tea Blending , การทำโปสการ์ดแม่-ลูก , การทำเจลลี่ดอกไม้ และการทำซุ้มดอกมะลิ รวมทั้งมินิคอนเสิร์ต เรียกว่ามางานเดียวทั้งอิ่มท้อง อิ่มใจ ในงานMega Food Tastival 2019

อย่าลืมนะคะ อยากกินของอร่อย ต้องมางาน Mega Food Tastival 2019 วันที่ 8-12 สิงหาคมนี้ เวลา10.00-21.00 น. ที่เมกา ฟู้ดวอล์ค ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา

เมนูธรรมดาที่รสชาติไม่ธรรมดา คือความพิเศษที่เหล่านักชิมกำลังมองหา

เมนูธรรมดาที่รสชาติไม่ธรรมดา คือความพิเศษที่เหล่านักชิมกำลังมองหา ด้วยเทรนด์ใหม่สายโลคอล สตรีทฟู้ดของไทยที่โด่งดังระดับโลกเเต่ทว่าร้านขึ้นชื่อกลับไม่ได้หากินได้ง่ายนัก จะดีเเค่ไหนถ้าเหล่าร้านในตำนานมารวมตัวกันให้เราได้ไปตระเวนชิมได้ที่เดียว

เตรียมพบกับปรากฎการณ์ความอร่อยกับเมนูพิเศษที่เหล่านักชิมต้องห้ามพลาดในงาน “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019” ( Mega Food Tastival 2019 ) จัดโดยมติชนอคาเดมี ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคมนี้ ณ เมกา ฟู้ดวอล์ค ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Eat Like A Local” โดยรวบรวมกว่า 30 ร้านอร่อยมาไว้ภายในงานแห่งเดียว

สายชิมสายช็อปต้องร้องว้าวกับความเอ็กซ์คูลซีฟที่จะได้ลิ้มลอง “เกี๊ยวกุ้ง”อันลือลั่นของต้นตำรับ “เฮียจกโต๊ะเดียว” ไม่ต้องจองกันถึง 2 เดือนอีกต่อไป

ต่อด้วยความเข้มข้นสุดบรรยายของ “ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนายหมี” วัดหนามแดง-บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยนายหมี – อำนาจ พิทยาธร ที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรไหหลำ กับน้ำซุปรสเด็ด และการคัดเลือกวัตถุดิบ ใช้น้ำซุปเคี่ยวเนื้อแต่ละวันกว่า 100 กิโลกรัม ไม่ใส่ผงชูรส

พร้อมฟินไปกับขาหมูเยอรมัน ByChefDay , ขนมไทยป้าเยาว์เจ้าเก่าติวานนท์ , ชาเย็นเเก้วยักษ์สุดฮิปเตอร์ โดยร้านพิเศษเเห่งภูเก็ต , ซี่โครงปราณ สูตรโบราณจากปราณบุรี , คุณภาพเน้นๆกับร้านก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาโกอ่าง

สุดยอดเเห่งความสดเเละความเเซ่บจากร้านถนัดหอย, ชิมปูเเน่นๆ กับ Viya Crab , กาเเฟไข่ไก่อารมณ์ดี Grün cafe’& Eatery, ข้าวเเกงปักษ์ใต้สูตรเด็ดกับร้านพริกไทยสด , ขนมจีนบ้านพี่เเยม ฐปณีย์ นักข่าวสาวชื่อดัง , เบเกอรี่จากเชฟญี่ปุ่นของ Brainwake , เครื่องดื่มสุดละมุนจาก In. Vi.Tation Café ย้อนยุคไปชิมขนมไทยต้นตำรับกับร้าน ขนมบ้านคุณยาย , ซาลาเปาสูตรทับหลี เเละร้านอร่อยอีกมากมาย

นอกจากนี้ ร้านอาหารระดับตำนานของนักชิมที่พร้อมใจกันมาร่วมเปิดร้านภายในงานเดียวกันแล้ว เหล่าเชฟคนดังจากร้านอร่อย ยังพร้อมมาสาธิตแนะนำวิธีการปรุงอาหารเมนูอร่อยอีกด้วย อาทิ เชฟเฮียจก -สมชาย ตั้งสินพูลชัย และ เชฟแจ็ค – จักรภัทร กีรพัฒนพิบูลย์ จากร้านขาหมูกรอบ บาย เชฟเดย์ เป็นต้น

ความบันเทิงยังไม่หมดเท่านี้ ภายในงานยังมีความสนุกสนานอีกเพียบกับเวิร์คช้อปพิเศษต้อนรับเทศกาลวันแม่ อาทิ เวิร์คช้อปการชงชาเฉพาะบุคคล อย่าง Tea Blending , การทำโปสการ์ดแม่-ลูก , การทำเจลลี่ดอกไม้ และการทำซุ้มดอกมะลิ รวมทั้งมินิคอนเสิร์ตฟังเพลินๆ อิ่มเอมสบายอารมณ์ยิ่งนัก

เเถมร่วมใจรักษ์โลก รวมพลังรียูสกับ ZeroMoment Refillery ร้านเเนวใหม่ สไตล์ Zero Waste , Refund Machine ตักตวงได้ตามใจเเถมไร้ขยะ เมื่อความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ใส่ใจสิ่งเเวดล้อม “อยากซื้อเท่าที่อยากได้ เเละใส่ภาชนะของตัวเอง” จึงเกิดธุรกิจใหม่ที่มาตอบโจทย์นี้ มาดูกันว่าน่าสนใจเเค่ไหน

เกี๊ยวกุ้ง เฮียจกโต๊ะเดียว
เกี๊ยวกุ้ง เฮียจกโต๊ะเดียว

ตามรอยอร่อยในสไตล์ Eat Like A Local ฟินไปด้วยกันที่งาน Mega Food Tastival 2019 ณ ลาน FoodWalk Plaza ศูนย์การค้าเมกาบางนา 8-12 สิงหาคม เวลา 10.00-21.00 น. ศึกอาหารครั้งนี้ต้องลุย !

ร้านที่ปิ่นโตเถาเล็กจะแนะนำในครั้งนี้ ผมเคยตามรอยพ่อไปชิมและนำเสนอในพ็อคเก็ตบุ๊ก กินอร่อยตามรอยถนัดศรี เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะนำมาทบทวนใหม่อีกครั้ง

ภัตตาคารแต้จิ๋วแห่งนี้ถือเป็นร้านเชลล์ชวนชิมรุ่นแรกในตำนานเก่าแก่ลำดับที่ 5 นับตั้งแต่คุณชายถนัดศรีเริ่มแนะนำในปี 2504 ทีเดียว ร้านนี้มีชื่อว่า ตั้งจั๊วหลี เปิดมานาน 80 ปี 3 ชั่วอายุคนแล้ว

แต่ก่อนร้านนี้อยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ย่านหัวลำโพง ต่อมาจึงขยับเข้าไปด้านใน ริมถนนข้าวหลามฝั่งขวา (เดินรถทางเดียว) ตรงข้ามซอยสุกร 1 มาบัดนี้ตั้งจั๊วหลีมีตึกเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าแล้ว

จุดสังเกตคือด้านหน้ามีป้ายชื่อร้านตั้งจั๊วหลี สีทองบนพื้นแดงขนาดใหญ่ คู่กับรูปหม้อไฟ ซึ่งถ้านำรถมา และไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน สามารถจอดริมทางฝั่งหน้าร้านได้ หรือจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยพอถึงสี่แยกไม่ต้องข้ามสะพาน ให้เลี้ยวขวาวิ่งเลียบคลอง แล้วเลี้ยวขวาอีกทีเข้า ซอยเจริญกรุง 29 แล้วจอดที่ตึกจอดรถในซอยทางซ้ายมือได้ จากนั้นเดินทะลุตรอกคนเดิน ตรงข้ามตึกไปออกถนนข้าวหลามได้เลย

ร้านตั้งจั๊วหลียุคนี้ด้านหน้ากว้าง 2 คูหา ด้านหลังขยายเป็น 3 คูหา มีที่นั่งชั้นสองอีกด้วย รวมแล้วจุได้ถึง 250 คน ติดเครื่องปรับอากาศทั้งชั้น ปัจจุบันนี้คุณนิด อิสิวัฏและน้องชายซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ช่วยคุณแม่กนกพร (ในวัย 80 ปี) ดูแลร้านด้วย

ตั้งจั๊วหลีมีเมนูในตำนานหลายอย่างที่เวลาไปใครๆ ก็ต้องสั่ง ซึ่งพอปิ่นโตเถาเล็กกลับมาทบทวนซ้ำ รู้สึกว่ายิ่งอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีก คงจะเป็นเพราะเขาปรับรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ตามรสนิยมของคนรุ่นใหม่

โดยชื่อหน้าร้านเขียนไว้ด้วยว่าหัวปลาเจ้าเก่า ดังนั้น ถ้ามาตั้งจั๊วหลีแล้วไม่ได้ชิม หัวปลาหม้อไฟ เหมือนมาไม่ถึงร้านนะจ๊ะ จากเมนูดั้งเดิม หัวปลาหม้อไฟผักกาดขาว ในภายหลังได้เพิ่มมาอีก 3 สูตร คือ หัวปลาเผือก หัวปลาต้มยำ และ หัวปลาบ๊วยขิง (หม้อละ 350-450-550 บาท) ปลาจีนที่ใช้เป็น ปลาซ่งฮื้อ มีทั้งส่วนที่เป็นเนื้อๆ และส่วนหัวแบ่งเป็นชิ้นๆ ยาวๆ เต็มหม้อไฟ นักชิมชื่นชอบยิ่งนักเพราะได้แทะเพลิน ถึงจะเป็นปลาน้ำจืดก็ไม่มีกลิ่นคาวกลิ่นโคลนเลย จิ้มกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยเหาะสุดยอด

ส่วนน้ำซุปทำจากน้ำต้มกระดูกหมูหอมหวานมีรสมีชาติ ซึ่งสูตรที่ขายดีอันดับหนึ่งคือ หัวปลาเผือก ใส่เผือกทอดลงไปด้วยในปริมาณพอเหมาะ ไม่เยอะจนเกินไปเหมือนร้านสมัยใหม่บางร้าน เพราะเขาต้องการเน้นให้หัวปลาคือพระเอก

ถ้าอยากได้รสชาติเบาๆ ให้สั่งสูตรผักกาดขาวดั้งเดิมเพราะใส่ผักลงไปเยอะ โดยทั้งหัวปลาเผือกและหัวปลาผักกาดขาว สามารถสั่งเครื่องเคียงมาเพิ่มได้ต่างหากเช่น ปวยเล้ง เห็ดหอม ใบตั้งโอ๋ (มีปีละ 4 เดือน) แต่จะไม่เหมาะกับสูตรต้มยำและบ๊วยขิง เพราะต้องการให้ชิมกับน้ำซุปรสจัดๆ มากกว่า

อีกอย่างที่ชอบมากคือร้านนี้ยังใส่ถ่านลุกแดงตรงกลางหม้อไฟสำหรับให้ความร้อน ไม่ได้ใช้แอลกอฮอล์ จึงไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

ใครที่มากับเด็กเล็กและกลัวก้างปลาจีนที่มีเยอะหน่อย ก็สามารถสั่งหัวปลาเก๋าทะเลหม้อไฟ (700-1,400 บาท) หรือหัวปลากะพงหม้อไฟ (500-1,000 บาท) แทนได้

ผัดโป๊ยเซียน
ผัดโป๊ยเซียน
ผัดหมี่แห้งฮ่องกง
ไส้หมูทอด
ไส้หมูทอด

ของอร่อยดั้งเดิมอีกอย่างเป็นเมนูที่หากินได้ยาก คือ ปลาดิบของจีนหรือฮื่อแซ (200-300-400 บาท) ใช้ปลาเฉาฮื้อ เนื้อสีขาวอมชมพูแล่ชิ้นบางๆ จัดเรียงเต็มจาน เนื้อปลาสดไม่มีกลิ่นเลย โรยด้วยงาคั่ว กินคู่กับผักขึ้นฉ่าย แตงกวา ไชเท้า ผักกาดหอม สับปะรด และหัวไชโป๊หั่นฝอย จิ้มด้วยน้ำจิ้มบ้วยเจี่ยใส่ถั่วตัดผสมกับงา น้ำตาล น้ำบ๊วย มีรสหวานอมเปรี้ยว ใครกินของดิบได้ขอให้ลอง

เมนูเก่าแก่อื่นๆ มี ไส้หมูทอดกรอบๆ (200-400 บาท) ใครชอบเครื่องในคงจะถูกใจเป็นแน่ นอกจากนี้ยังมี ออส่วน (200-300-400 บาท) ใช้หอยนางรมตัวค่อนข้างใหญ่ สดอร่อยมากๆ

ต่อด้วยของกินเล่น แฮ่จ๊อ (150-300-450 บาท) ซึ่งต่างจากฮ่อยจ๊อ เพราะทำจากกุ้งผสมมันหมู แห้วและเห็ดหอมแทนที่จะเป็นปู อีกอย่างที่ผมชอบมากๆ คือ ผัดโป๊ยเซียน (250-350-450 บาท) ใส่เครื่องหลากหลายทั้ง เอ็นหมู กุ้ง หมึก ตีนเป็ด ไส้ตัน แมงกะพรุน ถั่วงอก ขึ้นฉ่าย จานนี้ห้ามพลาดเลย ตบท้ายด้วยของอร่อยสุดสุด หมี่ผัดแห้งฮ่องกง (150-250-350 บาท) หมี่เหลืองผัดแห้งใส่ไก่กับกุยช่ายขาว ปรุงด้วยเหล้าจีนหอมๆ ผัดให้เส้นไหม้นิดๆ หอมๆ เวลากินให้ปรุงด้วยจิ๊กโฉ่เปรี้ยวหอมด้วย

ฮื่อแซ

ส่วนของหวานนั้นต้องลองชิม กะลอจี๊ ร้อนๆ ขนมชนิดนี้หากินที่อื่นได้ยาก กินเพลินหยุดไม่ได้ เป็นกะลอจี๊ชนิดต้ม ซื้อกลับบ้านเก็บได้นาน 3 วัน เวลากินให้เอาออกจากตู้เย็นมาใส่เตาไมโครเวฟอีกครั้ง

เมนูโต๊ะจีนอื่นๆ ยังมีอีกมากทั้งเป๋าฮื้อ ขาห่าน กุ้งอบวุ้นเส้น แพะเย็น โหงวก๊วย ร้านในตำนานอย่างนี้เหมาะสำหรับมากินเลี้ยงกันเป็นหมู่คณะ รับรองติดใจไปตามๆ กัน

ลืมบอกอีกอย่างว่าร้านนี้ยังเหมือนเดิม รับแต่เงินสดนะจ๊ะ ใครเป็นเจ้าภาพอย่าลืมพกสตางค์มาด้วยล่ะ

ข้อมูลร้าน

ภัตตาคารตั้งจั๊วหลี

โดย คุณกนกพร ทีปะนาถ

ที่ตั้ง 2214 ถนนข้าวหลาม ตลาดน้อย สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100

โทร 0-2236-4873, 0-2233-5963, 0-2639-0355

เปิดบริการ 11.00-14.00 น.

และ 17.00-22.00 น. จันทร์-ศุกร์

11.00-22.00 น. (เสาร์-อาทิตย์)

วันหยุด หลังเทศกาลตรุษจีนและสารทจีนอย่างละวัน และต้นเดือน พ.ค. (ไม่เกิน 1 อาทิตย์)

แนะนำ หัวปลาจีนหม้อไฟ (มีหลายสูตร) ฮื่อแซ ไส้หมูทอด ออส่วน แฮ่จ๊อ ผัดโป๊ยเซียน หมี่ผัดแห้งฮ่องกง กะลอจี๊

หมายเหตุ จอดรถในตึกจอดรถ ซอยเจริญกรุง 29 สะดวกที่สุด

กะลอจี๊
กะลอจี๊
ออส่วน
แฮ่จ๊อ
แฮ่จ๊อ
1
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
คุณมด – พรวฤณ เหรียญรุ่งโรจน์ วัย 36 ปี

โบกมือลาห้องแล็บ ผันตัวเป็น “ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์” สร้างรายได้ดี ชีวิตมีอิสระ

เมื่อยุคเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนตาม การสื่อสารกันในชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการพูดคุย กลายเป็นการพิมพ์คุยกัน และมีการพัฒนาไปถึงการใช้ สติ๊กเกอร์ พูดคุยแทนการพิมพ์ อีกทั้งยังสามารถสื่อสารความรู้สึกให้ผู้รับได้เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นอาชีพ “ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์” ขึ้น

“เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ได้พูดคุยกับ คุณมด – พรวฤณ เหรียญรุ่งโรจน์ วัย 36 ปี ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ เจ้าของรางวัล สติ๊กเกอร์สุดยอดดาวรุ่งแห่งปี 2019 (RISING STAR OF THE YEAR 2019) เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเห็นผลงานของเธอ อย่าง คาแร็กเตอร์ เกี๊ยวซ่า เด็กสาวแก้มป่อง ที่ตลกและมีความกวนผ่านตากันมาบ้าง

คุณมด กล่าวว่า ก่อนที่จะหันมายึดอาชีพเป็น ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ เธอเคยทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์มาก่อน แต่มีความรู้สึกว่า ตนเองไม่อยากทำงานประจำ อยากเป็นฟรีแลนซ์ ประกอบกับทางไลน์มีโครงการปั้นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ และตนเองก็เล็งเห็นถึงโอกาส จากจำนวนยูสเซอร์หรือผู้ใช้งานไลน์นั้นมีมาก ซึ่งในประเทศไทยมีถึง 42 ล้านคน ซึ่งหากมีสติ๊กเกอร์ไลน์ไปวางขาย 1 ชุด ก็มีโอกาสที่คนจะโหลดสติ๊กเกอร์นั้นถึง 42 

ล้านคน ซึ่งเรามองว่าอาชีพตรงนี้เป็นอาชีพที่ทำรายได้แบบไม่จำกัด มีความอิสระ สามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้หมด จึงตัดสินใจลาออกจากงาน

เธอเล่าให้ฟังถึงช่วงแรกในการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ ว่า ในช่วงที่หันมาวาดครั้งแรก เธอยังไม่มีคาแร็กเตอร์อะไรเลย อาศัยวาดตามความรู้สึก เพราะเธอวาดรูปไม่เก่ง ชุดแรกที่วาดออกมาจึงเป็นคาแร็กเตอร์ง่ายๆ อย่าง มดตะนอย ที่เป็นมดแบบกลมๆ แต่ก็ขายไม่ดีเท่าไหร่นัก

“ตอนเข้ามาทำอาชีพนี้แรกๆ มดวาดรูปไม่เป็นเลยนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเราจะทำไม่ได้ ก็มองหาหนทางว่าจะทำยังไงให้วาดรูปได้ เลยไปเรียนวาดรูปด้วยตัวเองในยูทูป ฝึกวาดไปเรื่อยๆ วาดไปขายไป ถ้าขายไม่ดีก็กลับมาดูคลิป แล้วฝึกวาดใหม่ จนมีการพัฒนามาเรื่อยๆ และเห็นว่า คนอื่นที่ทำอาชีพครีเอเตอร์เหมือนกัน แต่เขาประสบความสำเร็จ เขาวาดกันเป็นคาแร็กเตอร์ มดก็เลยคิดสร้างสติ๊กเกอร์แบบคาแร็กเตอร์บ้าง มดก็ดูว่าตลาดต้องการอะไร ก็ปรับสไตล์การวาดคาแร็กเตอร์ออกมาตามนั้นและใส่บุคลิกให้เหมือนมีชีวิตจริงๆ เข้าไป สติ๊กเกอร์ของมดเลยตอบโจทย์ความต้องการ” คุณมด กล่าว

ก่อนหน้านี้ที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอกล่าวว่า เธอมีรายได้ที่ถือว่ามั่นคงอยู่แล้ว แต่การมาทำอาชีพเป็นคนสร้างสติ๊กเกอร์ไลน์นั้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนชีวิตของเธอให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นหลักแสนต่อเดือนเลยทีเดียว

ฟังดูเหมือนเป็นอาชีพที่ทำงานง่าย ได้เงินดี แต่เส้นทางการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คุณมดเล่าให้ฟังว่า ตอนที่วาดขายออกมาจนถึงชุดที่ 20 รายได้ของเธอมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จสูงสุด เธอยอมรับว่ามีท้อแท้เหมือนกัน แต่ก็มองเห็นว่า รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เขาก็คงเจอและผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันกว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างที่เห็น เธอจึงตั้งเป้าหมายว่าอยากประสบความสำเร็จให้ได้เหมือนกัน และเมื่อไหร่ที่ท้อ เธอก็จะนึกถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ทำให้มีกำลังใจในการวาดต่อ

“เมื่อก่อนวันๆ หนึ่ง มดวาดได้แค่ 1 แอ๊กชั่นเท่านั้นเอง แต่พอวาดไปเรื่อยๆ มันก็มีความชำนาญ จนสามารถวาดได้ 10 แอ๊กชั่นต่อวัน บางที 1 คาแร็กเตอร์ มดวาด 4 วันก็เสร็จแล้ว หรือถ้าเป็นตัวละครใหม่ๆ อาจจะมีความยากหน่อย ก็ใช้เวลา 10 วันในการวาด 1 ชุด แต่ถ้าเป็นสติ๊กเกอร์ดุ๊กดิ๊กมีเสียง ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการวาด”

จากวันนั้นสู่วันนี้ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้วที่ คุณมดหันมาเอาดีทางด้านการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ โดยออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ มาแล้วทั้งหมด 39 ชุดแล้ว

66857196_2497697610472571_364777473734344704_n

เกี๊ยวซ่า เป็นคาแร็กเตอร์ตัวที่ 21 ที่วาด ถือเป็นตัวสร้างชื่อและเปลี่ยนชีวิตของมดไปเลย โดยมียอดดาวน์โหลดกว่าล้านเยน มีการเอาไปแปลภาษาแล้วขายที่ไต้หวันกับอินโดนีเซียด้วย คาแร็กเตอร์ตัวที่ทำมาก่อนหน้า ไม่ใช่ขายไม่ได้จนไม่มีรายได้นะคะ มันก็มีรายได้ตลอด เพียงแต่ เกี๊ยวซ่า เป็นตัวสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักขึ้นเท่านั้น แล้วก็มี ยิปโซ หมี่เกี๊ยว ที่เป๋็นพี่สาวกับน้องสาวของเกี๊ยวซ่า ที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน” ครีเอเตอร์ คนเก่ง กล่าว

จุดที่ทำให้คุณมดประสบความสำเร็จในการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์  เธอกล่าวว่า เป็นเพราะเธอมีการพัฒนาฝีมืออยู่ตลอด และเดินในเส้นทางนี้ไม่หยุด เธอจะคอยดูอยู่ตลอดว่าตลาดชอบอะไร และคอยปรับตัวไปตามตลาด

“การมีทัศนคติบวกเป็นเรื่องสำคัญสุด ตอนมดเข้ามาแรกๆ เราวาดรูปไม่เป็น แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามดจะวาดรูปไม่ได้ ก็มองหาหนทางว่าเราจะวาดรูปได้ยังไง มดเลยไปเรียนวาดรูปด้วยตัวเองในยูทูป ฝึกวาดไปขายไป ดูคลิปแล้วก็มาวาด ถ้าขายไม่ดีก็มาดูใหม่ อยู่ในเส้นทางนี้ต้องวาดไม่หยุด ต้องวาดขายทุกเดือน เป็นการดูตลาดไปด้วย” คุณมด กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ผู้เขียน : พัชรพร องค์สรณะคมกุล

ทัวร์ตามรอยศิลปะทวารวดี จ.นครปฐม-ราชบุรี

เดือนสิงหาคมนี้ มติชนอคาเดมี จะพาทุกท่านไป ตามรอยศิลปะทวารวดี จ.นครปฐม-ราชบุรี

ฟังเรื่องราวอารยธรรมทวารวดี ผ่านมุมมองและแนวคิดทางประวัติศาสตร์ศิลปะ โดยรศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง

พบกับ สุดยอด 5 แหล่งศิลปกรรมทวารวดี ที่ห้ามพลาด!!

-วัดพระประโทณเจดีย์วรวิหาร ชมพระประโทณเจดีย์

-วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ชมองค์พระปฐมเจดีย์

-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี

-อุทยานหินเขางู

-วัดโขลงสุวรรณคีรี

เดินทางวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562

ราคา 2,500 บาท

สนใจติดต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งได้ที่ inbox เฟซบุ๊กเพจMatichon Academy – มติชนอคาเดมี

โทร 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124

Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105

line : @matichon-tour 

line : @matichonacademy 

ปัจจุบันความสวยงามของปลากัด เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายคนหันมาเลี้ยงกันมากขึ้น จากเดิมปลากัดเป็นเพียงแค่ปลาต่อสู้ของเซียนพนันในหมู่บ้านเล็ก หลังจากที่มีคนนำปลากัดมาผสม และสร้างสายพันธุ์ใหม่ จนได้ปลากัดที่มีความสวยงาม และไม่เหลือเค้าโครงของปลากัด ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของธุรกิจการเพาะเลี้ยงปลากัดที่สร้างรายได้หลายล้านบาทต่อปี มีตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศรองรับ

อย่างเช่นนางวิไลพร สามพิมพ์ อายุ 36 ปี และนายคมสันต์ สามพิมพ์ 2 สามีภรรยา ชาวบ้านโสน ต.แสลงพันธ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังว่างเว้นจากการทำนาข้าว ได้หันมาทำอาชีพเสริมโดยการเลี้ยงปลากัดแฟนซี ส่งขายต่างประเทศ และขายผ่านโซเชี่ยลโดยใช้ชื่อเพจ “ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” เพาะปลากัดส่งขายทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นครั้งแรกใช้งบประมาณ 5 พันบาท ลงทุนซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ เพาะเลี้ยงปลากัดแฟนซีขายทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 สร้างรายได้เสริมจากเวลาว่างเว้นจากการทำนาข้าว เฉพาะปลากัดอย่างเดียว จะมีรายได้ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน หรือมีรายได้หมื่นอัพขึ้นไปจากการขายปลากัดแฟนซีปลากัดสวยงาม นอกจากนี้ ก็ยังรับทำตู้ปลาส่งด้วย ซึ่งก็ทำให้เกษตรกรรายนี้ครอบครัวมีรายได้หลายช่องทาง

ซึ่งการให้อาหารปลากัดจะใช้ไรแดงอนุบาลตั้งแต่เล็ก พอโตก็ใช้หนอนแดงและเต้าหู้ไข่เลี้ยง พร้อมกับอาหารเม็ดที่ใช้ลูกลูกอ๊อด นอกจากนี้ เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” ยังได้มีการคัดปลากัดส่งเข้าร่วมในกลุ่มประมูลปลากัดอีกด้วย โดยจะมีลูกค้าในกลุ่มประมูลที่ชื่นชอบปลากัดทั้งจากเม็กซิโก จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย เข้าร่วมประมูลกัน ส่วนราคาประมูลปลากัดที่คัดแล้วจะประมูลกันอยู่ที่ตัวละประมาณ 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาท แล้วแต่ประมูลได้ ซึ่งก็ทำให้นางวิไลพร และนายคมสันต์ 2 สามีภรรยา มีรายได้เพิ่มนอกเหนือจากการขายปลากัดผ่านโซเชียลอีกทางหนึ่งด้วย

นายคมสันต์ สามพิมพ์ เจ้าของฟาร์มปลากัด บอกว่า ตนเองและภรรยา ได้เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกประมาณ 5,000 บาท เป็นค่าซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ ทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 ส่วนพันธุ์ปลาที่เพาะก็จะมี แกแล็กซี่ ไทเกอร์ หม้อฮาฟแฟนซี ส่งขายโดยผ่านสื่อโซเชียลและเข้ากลุ่มประมูลปลากัด เมื่อคัดปลากัดสวยงามแล้วราคาต่อตัวไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาทก็มี ตนเองและภรรยา มีรายได้เฉพาะขายปลากัดแฟนซีอย่างเดียวหมื่นอัพขึ้นไปต่อเดือน ยังไม่รวมการทำอย่างอื่นอีก เช่นทำนาข้าวและรับทำตู้ปลาและเลี้ยงปลาส่งขายอีก สำหรับตนเองแล้วคิดว่าตลาดปลากัดยังขยายไปได้อีกไกลในอนาคต

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปรึกษาและลองเลี้ยงปลากัด สามารถเข้ามาดูได้ที่เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” หรือโทรสอบได้ที่หมายเลข 09-4659-4187

ที่มา : มติชนออนไลน์

3

อภัยภูเบศร แจกสูตร “เอแคลร์อัญชัน” ขนมเพื่อสุขภาพ อร่อย มากประโยชน์

“เอแคลร์อัญชัน” สูตรจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สำหรับผู้สนใจลองทำทานดูที่บ้าน หรือบางท่านอาจอยากลองทำขายก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะสำรวจด้วยสายตาในท้องตลาดยามนี้ ยังไม่เห็นมีใครทำขาย

ส่วนผสมตัวแป้ง : แป้งเค้ก 120 กรัม เนยสดอ่อนตัว 90 กรัม น้ำ 186 กรัม ไข่ไก่ 186 กรัม

ส่วนผสมไส้ครีม : ไข่ไก่ 100 กรัม แป้งข้าวโพด 60 กรัม นมผง 60 กรัม นมข้นจืด 220 กรัม น้ำตาลทราย 160 กรัม น้ำต้มดอกอัญชัน  500 กรัม เนยสด 50 กรัม กลิ่นวานิลลา หรืออื่นๆ ตามชอบ

 

วิธีทำ

1.ร่อนแป้งเค้ก 3 ครั้ง ต้มน้ำให้เดือดใส่เนย ใส่แป้งที่ร่อนแล้วลงไป กวนให้เป็นก้อนจนแป้งสุก

2.นำแป้งที่ได้เข้าเครื่องตี ใส่ไข่ ตีด้วยความเร็วปานกลาง จนแป้งเข้ากันดี จะมีลักษณะหนืดเล็กน้อย

3.ตักใส่ถุงบีบ ทาเนยที่ถาด บีบเป็นช่อ วนประมาณ 3 รอบพอดี

4.เอาเข้าเตาอบ ไฟ 200 องศาเซลเซียส 15 นาที จะสังเกตเห็นว่าตัวเอแคร์พองขึ้นเป็นโพรงตรงกลาง

5.กวนไส้ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกัน และกวนด้วยไฟอ่อนๆ จนสังเกตเห็นแป้งสุกเป็นมันจึงยกลง และหยอดในตัวแป้งที่เตรียมไว้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอัญชัน เป็นข้อมูลจากทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ระบุว่า อัญชันเป็นสมุนไพรในตำรับยาของอายุรเวท ซึ่งมีอายุกว่า 3,000 ปี นิยมใช้รากมากกว่าส่วนอื่นๆ ใช้ชนิดดอกขาวมากกว่าดอกม่วง ใช้รักษาโรคทางตา (เช่นเดียวกับการแพทย์แผนไทย) โรคทางสมอง ระบบประสาท หอบหืด

สีจากดอกอัญชันนิยมแต่งสีน้ำเงินในขนม เช่น ขนมเรไร ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ ขนมชั้น สามารถเปลี่ยนให้เป็นสีม่วง โดยนำดอกอัญชัน มาเติมน้ำเล็กน้อย กรองคั้นเอาแต่น้ำซึ่งเป็นสีน้ำเงิน เติมมะนาวลงไปเล็กน้อยจะได้สีม่วง

น้ำอัญชัน ชาอัญชัน ดื่มแก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย ดอกอัญชันกินเป็นผักสดหรือลวกจิ้มกับน้ำพริก น้ำบูดู หรือนำมาชุบแป้งทอดราดน้ำจิ้ม จะนำมาซอยเป็นฝอยๆ ใส่ลงไปเจียวกับไข่ก็ได้ น้ำดอกอัญชันสามารถนำมาหุงข้าว จะได้ข้าวสวยหอมๆ ร้อนๆ สีสันสวยงาม

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ลิ้นวัวญี่ปุ่น

ปิ่นโตเถาเล็กเพิ่งกลับจาก ประเทศมาเลเซีย บ้านใกล้เรือนเคียง รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก เพราะเดี๋ยวนี้มาเลเซียมีของอร่อยให้ลิ้มลองมากมายหลากหลายสัญชาติอย่างน่ามหัศจรรย์

เมื่อสิบกว่าปีก่อน บ้านเมืองเขาไม่ค่อยมีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ให้เดินเล่นมากนัก แต่เดี๋ยวนี้น่ะหรือ ปีนังและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกัวลาลัมเปอร์เต็มไปด้วยศูนย์การค้ามหึมา เข้าห้างนี้ไปต่อห้างโน้นได้ทั้งวันไม่เบื่อ

ยิ่งอาหารการกินมีให้เลือกตั้งแต่ถูกจนแพงเลย ทั้งตลาดโต้รุ่งที่เรียกว่า Hawker Center ทั่วทุกมุมเมือง ไปจนถึงร้านอาหาร Fine Dining เลิศหรู อยากกินโอมากาเสะแบบญี่ปุ่น อาหารจีนขึ้นเหลา อาหารอิตาเลียน สเต๊กเฮาส์ชั้นดี มีให้เลือกทั้งนั้น

อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กมีร้านอร่อยในมาเลเซียมาปรนเปรอแฟนๆ ถึง 2 ร้านด้วยกัน ร้านแรกไม่นึกว่าจะมีของดีสัญชาตินี้อยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ได้เลย เพราะเป็นอาหารสไตล์ฮ่องกง

ขอพาแฟนๆ มาที่ บังซาร์ (Bangsar) เขตที่พักอาศัยเก่าแก่ย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เพียง 4 กิโลเมตร บริเวณนี้กำลังพัฒนากลายเป็นเมืองทันสมัยอย่างรวดเร็ว ทั้งตึกรามบ้านช่องและร้านรวง อีกทั้งยังเป็นแหล่งพักอาศัยของชาวต่างชาติซึ่งมาทำงานในกัวลาลัมเปอร์ด้วย

ย่านการค้าของบังซาร์ที่ฮอตฮิตติดอันดับได้รับความนิยมเรียกว่า Telawi เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งกินดื่ม มีผับ คาเฟ่ ร้านบิสโตรทันสมัย และร้านอาหารเกิดใหม่มากมายหลากหลายสัญชาติ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีร้านซึ่งปิ่นโตเถาเล็กชื่นชอบมากคือ ฮ่องกง ฮอตพอต (Hong Kong HotPot) ร้านสุกี้สไตล์ฮ่องกง ก็อยู่ในย่านบังซาร์นี้เอง ในอาคารเล็กๆ ชื่อว่า Telawi Square ตัวร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ตรงชั้นล่างซึ่งตั้งโต๊ะยื่นออกมาในระเบียงด้านนอกตึก และที่ต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสาม (ที่นี่เรียก Level 2) อีกต่างหาก (ส่วนชั้นสองเป็นร้านอื่นๆ เช่นร้านรับตัดเย็บเสื้อผ้า)

บรรยากาศในร้านเหมือนอยู่ที่ฮ่องกงเพราะมีการตั้งโต๊ะติดกันเป็นพืด ส่วนเราจองห้องส่วนตัวแต่ยังต้องเบียดเสียดกันหน่อยเพราะมากันถึง 9 คน จะสั่งอะไรให้จดในเมนูแผ่นกระดาษ มีช่องให้ใส่จำนวนจานที่ต้องการในแต่ละเมนูเลย (มีภาษาอังกฤษด้วย)

ในเมนูมีน้ำซุปให้เลือก 6 ชนิด ซึ่งเราสั่งน้ำซุป 2 ชนิดแบ่งครึ่งอยู่ในหม้อเดียวกัน มี น้ำซุปกระดูกหมู เรียกว่า Sakura Pork bone น้ำใสแต่รสชาติเข้มข้นมาก ส่วนอีกอย่างเราเลือก น้ำซุปเสฉวนใส่หมาล่า (Szechuan Spicy Soup) เผ็ดร้อนจนเหงื่อไหล

ของอร่อยมีมากมาย ทั้ง เนื้อยูเอสพรีเมียมมันแทรกเป็นริ้วลายหินอ่อน (ราคามี 2 ขนาด 58/98 ริงกิต (RM)) ลิ้นวัวญี่ปุ่น (38/74 RM) หมูเบิร์กเชอร์ (เป็นต้นตำรับหมูดำ) (16/29 RM) หมูซากุระพรีเมียม (15/25 RM) เนื้อแกะมองโกเลีย (35/58 RM) ลูกชิ้นหมึก (12/21 RM) เกี๊ยวกุ้ง (10/18 RM) ตับหมู (8/14 RM) ชิ้นหนาๆ โตๆ สดๆ

2
น้ำซุปกระดูกหมูกับน้ำซุปเสฉวนใส่หมาล่า
ผัดถั่วงอก
ผัดถั่วงอก

เนื้อปลาเก๋า (16/30 RM) ติดหนังชิ้นหนาและสดหนึบมาก กุ้งลายเสือ (19/35 RM) ตัวโตๆ ผักต่างๆ ชื่อแปลกๆ เช่น Yao Mak จะอ่านว่ายาวมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ ซึ่งผักทุกชนิดสดกรอบจริงๆ และเรายังสั่ง เส้นอูด้ง เส้นบะหมี่กรอบ ฟองเต้าหู้ทอดเป็นแผ่นม้วนยาว (16/25 RM) เหมือนที่ฮ่องกง ส่วนน้ำจิ้มนั้นคือความสนุกสนาน ให้ผสมเอาเอง 7-8 อย่าง ปรุงเผ็ดมากเผ็ดน้อยได้ตามใจชอบ

มื้อนี้เราสั่งแล้วสั่งอีก พอกินเสร็จสั่งคิดเงินปรากฏว่าจ่ายแค่คนละประมาณ 700 บาทเท่านั้น นี่ถ้าไปกินที่ฮ่องกง ของดีขนาดนี้ต้องอย่างต่ำคนละกว่า 1,000 บาทแน่นอน นี่คือมหัศจรรย์ในมาเลเซียเลยทีเดียว ร้านฮ่องกง ฮอตพอตเปิดตั้งแต่บ่าย 4 โมง จนถึงดึกๆ ต้องจองล่วงหน้ามิฉะนั้นไม่มีโต๊ะแน่ (เพราะวันนั้นมีป้ายจองเต็มทุกโต๊ะเลย)

ร้านโปรดของปิ่นโตเถาเล็กอีกร้านหนึ่ง เข้าข่ายประเภทของดีประจำท้องถิ่น เหมือนซาลาเปาทับหลีที่ชุมพร นั่นก็คือ ข้าวมันไก่แห่งเมืองอิโปห์ (Ipoh) เมืองเอกของ รัฐเประ หรือเปรัก (Perak) ห่างจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง เมืองนี้อยู่ระหว่างทางไปปีนัง สามารถจัดเป็นทริปท่องเที่ยวเดียวกันได้ ที่นี่มีโถงถ้ำอันงดงามให้ดูชมหลายแห่ง

ใจกลางย่านเมืองเก่าอิโปห์ มีอยู่ถนนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยร้านข้าวมันไก่ คนขับรถชาวมาเลย์ของเราเป็นคนช่างกิน พามาแวะที่ร้านดังระดับตำนาน เปิดมานานกว่า 60 ปี มีชื่อว่า Lou Wong เรียกได้เต็มๆ ว่า Restoran Lou Wong Tauge Ayam อยู่ในตึกแถวห้องหัวมุมขนาดใหญ่ แต่เราไปนั่งในตึกส่วนขยายเป็นห้องปรับอากาศ (อยู่ถัดจากร้าน Onn Kee) มีลูกค้าแน่นขนัดเลย

ฟองเต้าหู้ทอดเป็นม้วนๆจากฮ่องกง

เมนูดังร้าน Lou Wong ก็คือ ไก่ต้มสับติดกระดูก (11-21-33 (ครึ่งตัวกิน 3 คน)-43-53-66 (ทั้งตัว) RM) หนังบางสีเหลืองหอมมัน เนื้อสะโพกนุ่มหนึบ เนื้อหน้าอกนุ่มและชุ่มฉ่ำไม่แห้ง ราดน้ำซอสที่มีส่วนผสมของ น้ำมันงากับซีอิ๊ว รสอมหวาน อารมณ์คล้ายกินข้าวมันไก่สิงคโปร์ แต่มีน้ำราดที่ออกหวานหอมอร่อยมาก กินคู่กับ ข้าวมัน (2 RM) หรือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ (2 RM) ก็ได้

ชื่อร้านนี้เต็มๆ มีคำว่า Tauge หรือ เต้าเหย่ ในภาษามาเลย์ แปลว่าถั่วงอก เพราะที่นี่มีทีเด็ดคู่กับข้าวมันไก่คือ ผัดถั่วงอก (3-5-10-12-15 RM) ใหญ่อวบอ้วน ราดด้วยน้ำซีอิ๊วหอมหวานเช่นกัน ช่างเข้ากันดีเสียนี่กระไร วันนั้นผมซัดไก่สับไปคนเดียวเกือบครึ่งตัวเลย ทุกวันนี้ชาวคณะนักกินแหลกยังฝันถึงร้าน Lou Wong อยู่ตลอด

นอกจากนี้ ยังมี ไก่อบ หนังกรอบหอม สับติดกระดูกเช่นกัน เหมือนกินไก่อบ ร้านเลี้ยงฟ้าใหม่ สุราษฎร์ธานี ร้านโปรดของผม และก็มี ซุปลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นเนื้อ ผัดผักกาดขาว ขาหมู กับเมนูอื่นๆ อีกหลายอย่างให้เลือก

พวกเราชาวคณะรวมถึงลูกเล็กเด็กแดงต่างตกลงกันว่าคราวหน้าจะต้องกลับมาเยือนอิโปห์กินข้าวมันไก่อีกให้ได้ ต่อให้นั่งรถมาจากกัวลาลัมเปอร์เพื่อมากินก็ยอม

มาเลเซียยังมีของดีให้ลิ้มลองอีกมาก รับรองว่าโอกาสหน้าจะมีร้านอร่อยแนะนำภาคสองต่ออีกแน่นอน

ฮ่องกง ฮอตพอต (Hong Kong HotPot) ที่ตั้ง Lot 9&10, Level 2, Telawi Square, no.39 Jalan Telawi 3, Bangsar Baru Kuala Lumpur, Malaysia 59100 โทร +60 12-320 6071 เปิดบริการ 16.00-24.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ฮอตพอตหรือสุกี้สไตล์ฮ่องกง Lou Wong (Restoran Lou Wong Tauge Ayam) ที่ตั้ง 49, Jalan Yau Tet Shin, 30000 Ipoh, Perak, Malaysia โทร +60 5-254 4199 เปิดบริการ 10.30-24.00 น. ทุกวัน แนะนำ ข้าวมันไก่กับผัดถั่วงอก ราดซอสน้ำมันซีอิ๊ว (กินกับเส้นก๋วยเตี๋ยวได้)

ที่มา     อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน

ผู้เขียน ปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ไก่ต้มสับติดกระดูกราดน้ำซีอิ๊วหอมหวาน
ร้านLou Wong
ร้านLou Wong