หากพูดถึงสุดยอดเนื้อวัวจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว หลายคนคงยกให้เนื้อลายหินอ่อนอย่าง “เนื้อวากิว” ชนะเลิศ เพราะรสสัมผัสอ่อนนุ่มราวกับว่าแต่ละคำที่กินเข้าไปจะละลายในปาก

แต่กว่าจะมาถึงผู้บริโภคชาวไทยอย่างเราๆ การนำเนื้อวากิวเข้ามานั้นจะผ่านการแช่เย็นหรือแช่แข็ง เพื่อคงความสดใหม่ของเนื้อ แต่การแช่แข็งแบบที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีนัก เพราะหลายคนบอกว่ารสชาติยังไม่ดีเท่ากับการแช่เย็น

สาเหตุมาจากการแช่แข็งทำให้ปริมาตรน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมากกว่าปริมาตรของน้ำที่ใช้ในการแช่แข็ง ซึ่งทำให้ส่วนประกอบที่เป็นน้ำในเซลล์ของเนื้อวัวแข็งตัว ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น และทำลายเซลล์ของเนื้อ เมื่อนำเนื้อมาละลาย จะทำให้ของเหลวซึมผ่านผนังเซลล์ ส่งผลให้รสชาติความอร่อยภายในเนื้อถูกทำลายลงไปด้วย หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีการแช่แข็งแบบ 3D เพราะเป็นเทคนิคที่ส่งความเย็นไปได้เร็วและถึงเนื้อทั่ว 360 องศา

“ฮิคาเกะ” ผู้จัดการแผนก โรงงานอาโอโมริ บริษัท Starzen Meat Processor จำกัด บริษัทผลิตสินค้าปศุสัตว์ อธิบายเทคโนโลยีการแช่แข็งให้เราฟังว่า หากต้องการเก็บรักษารสชาติของเนื้อวัวเอาไว้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนผลึกน้ำแข็งให้มีขนาดเล็กลงและเท่ากัน เพื่อลดความเสียหายต่อเซลล์ของเนื้อ

หลักสำคัญของเทคโนโลยีแช่แข็งทั่วไปอยู่ที่อุณหภูมิในการแช่แข็ง และความเร็วในการลดอุณหภูมิจาก 0 องศาเซลเซียส ลงไปถึง -5 องศาเซลเซียสเมื่อเริ่มกระบวนการแช่แข็ง (ขอบเขตของอุณหภูมิที่กว้างที่สุดในการสร้างผลึกน้ำแข็ง) แต่การแช่แข็งแบบ 3D คือเทคโนโลยีที่ใช้การแช่เย็นโดยการนำมวลอากาศเย็นที่มีความชื้นสูงมาล้อมรอบเนื้อวัวให้ทั่ว จากนั้นจึงสร้างผลึกน้ำแข็งที่มีขนาดเล็กและละเอียดเท่ากันทั้งหมด เพื่อไม่ให้สูญเสียความอร่อยของเนื้อวัวไป

“การแช่แข็งแบบ 3D ยังใช้ใบพัดความเร็วสูงที่ทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนในขั้นตอนเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -45 องศาเซลเซียส ซึ่งจะปล่อยลมจากทุกทิศทาง โดยชิ้นเนื้อสันช่วงไหล่ที่มีลักษณะหนา จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงจึงจะสิ้นสุดกระบวนการแช่แข็ง หากเนื้อมีปริมาณยิ่งน้อย ระยะเวลาในการแช่แข็งก็จะยิ่งสั้นลง”

ข้อดีของการแช่แข็งแบบ 3D มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระชับเวลาในการแช่แข็งให้สั้นลง, ระหว่างแช่แข็ง ส่วนประกอบของน้ำจะไม่ทำลายเซลล์กล้ามเนื้อ จึงช่วยควบคุมให้ของเหลวไหลออกมาในปริมาณที่น้อยที่สุด ทำให้เนื้อไม่สูญเสียรสสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ นอกจากนี้ สีของเนื้อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อย ทำให้เนื้อที่ได้มีสภาพแทบไม่ต่างจากเนื้อสดเลย

สำหรับใครที่ชอบซื้อเนื้อวากิวมาปรุงเอง ลองไปดูเทคนิคการหั่นเนื้อโดย “เท็ตซึสะ ฮากิวาระ” ที่จะมาสาธิตการหั่นเนื้อ พร้อมแนะนำการนำเนื้อแต่ละส่วนไปปรุงอาหาร

เริ่มที่ส่วนแรก ริบอาย (Rib eye) หรือสันกลางถอดกระดูก เหมาะที่จะทำสเต๊กและทำยากินิกุ โดยเนื้อในส่วนนี้จะมีไขมันอยู่รอบนอกของเนื้อทั้งหมด ถ้าไขมันเยอะไปควรตัดออกนิดหน่อย เพื่อให้รูปทรงของเนื้อสเต๊กดูสวยที่สุด

เนื้อวากิวส่วนริบอาย สำหรับทำสเต๊ก
เนื้อวากิวส่วนริบอาย สำหรับทำยากินิกุ

ส่วนที่ตัดออกมาจากโครงกระดูกก็นำไปทำยากินิกุได้เหมือนกัน เนื้อตรงส่วนเนื้อติดโครงกระดูกรสชาติจะเข้มข้นเป็นพิเศษ เวลานำไปทำเนื้อย่างรสชาติจะเข้มข้น ส่วนไขมันที่ตัดออกนั้น โดยที่รู้กันว่าเป็นสินค้าราคาสูง เลยสามารถนำไปลงกระทะก่อนเพื่อแทนน้ำมันธรรมดาที่เราใช้ ซึ่งจะเปลี่ยนให้เนื้อธรรมดาของเราได้กลิ่นหอมของเนื้อวากิวขึ้นมา

ชมคลิป

เนื้อวากิว

[food story] พูดถึง "เนื้อวากิว" คนรักเนื้อคงต้องร้องกรี๊ด! เพราะเนื้อลายหินอ่อนนี้นุ่มละลายในปากชนิดที่ใครได้กินก็ติดใจ แต่รู้กันหรือไม่ว่าการจะปรุงเนื้อให้อร่อย อีกเทคนิคสำคัญอยู่ที่การแล่เนื้อหรือหั่นเนื้อนะจ๊ะ ลองไปดูทริคเล็กๆ น้อยๆ ในการหั่นเนื้อวากิวกัน!.อ่านรายละเอียด >> http://www.matichonacademy.com/content/food-story/article_8881#MatichonAcademy #เนื้อวากิว

โพสต์โดย Matichon Academy – มติชนอคาเดมี เมื่อ วันพุธที่ 21 มีนาคม 2018

ต่อมาที่ ส่วนสันคอ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสเต๊ก ยากินิกุ และชาบู ชาบู ยิ่งเนื้อก้อนใหญ่เท่าไหร่ก็ให้ใช้มีดที่ใหญ่ขึ้นก็จะตัดง่ายขึ้น แต่ถ้าจะตัดเนื้อเล็กยากินิกุก็ใช้มีดเล็กจะตัดได้ง่ายกว่า และเวลาหั่นควรเอียงมีดไปข้างนอก

เนื้อวากิวส่วนสันคอ สำหรับทำสเต๊ก
เนื้อวากิวส่วนสันคอ สำหรับทำยากินิกุ

ตามด้วย ส่วนสันใน ที่เหมาะกับการนำเอาไปทำสเต๊กมากที่สุด เพราะเวลาหั่นเนื้อจะแยกตัวออกเป็น 4 ส่วน ทำให้ไม่หมาะแก่การนำไปทำยากินิกุ โดยเวลาหั่นพยายามวางมีดตัดเนื้อให้ตรงมากที่สุด

เนื้อวากิวส่วนสันใน

ถือเป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คนรักเนื้อหรือคนที่ชอบปรุงเมนูเนื้อนำไปปรับใช้กันได้!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

Another Story ผู้นำแห่งอาณาจักรไลฟ์สไตล์สุดฮิปพร้อมนำคุณไปพบกับคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดจาก PAOLA NAVONE ดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวอิตาเลียน ที่ตั้งใจรังสรรค์ผลงาน PASTA & PASTA ชุดเครื่องครัวอันสะดุดตาภายใต้ Serax แบรนด์สัญชาติเบลเยียม ที่มาพร้อมลวดลายสุดชิคไม่ซ้ำใคร พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยให้แฟนพันธุ์แท้พาสตาเลือกช้อปมาครอบครอง

คอลเลคชั่น PASTA & PASTA จะพาคุณหวนรำลึกไปยังอิตาลีในยุค 1960 ที่ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์อิตาเลียนชื่อดัง La Dolce Vita ซึ่งเป็นยุคแห่งต้นกำเนิดของพาสตา โดยมีความสำคัญในศาสตร์การปรุงอาหารของอิตาลีที่ทุกมื้ออาหารจะขาดพาสตาไปไม่ได้ รวมไปถึงเป็นสัญลักษณ์ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันอบอุ่นให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

โดยคอลเลคชั่นนี้ได้ใช้โทนสีเรียบๆ ด้วยสีดำและขาวแต่โดดเด่นจากลวดลายเก๋ไก๋แปลกตา ในการใช้เทคนิคลายแพทเทิร์นจากการสะบัดพู่กันและฝีแปรงแบบไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากลายปริ้นท์ที่อินเทรนด์ในยุค 60 มาแต่งแต้มลวดลายให้กับภาชนะต่างๆ อาทิ ลายทาง และลาย polka dot และด้วยไอเดียนี้เองจึงนำมาสู่แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานชุดเครื่องครัวอันโดดเด่น ที่ดีไซน์เนอร์ PAOLA NAVONE และ Another Story ตั้งใจออกแบบและคัดสรรในทุกกระบวนการเพื่อนำคุณไปร่วมตื่นตาตื่นใจกับการเปิดประสบการณ์ลิ้มลองพาสตาพร้อมสัมผัสความอภิรมย์ในงานศิลปะในคราวเดียวกัน

จากผลการสำรวจของ “เทสโก้” ที่เก็บข้อมูลทางการตลาดและพบว่าฐานลูกค้าส่วนใหญ่มีความกังวลมากที่สุดใน 3 ปัจจัย คือ เรื่องของราคาสินค้า เป็นตัวเลขความกังวลอันดับ 1 สูงกว่า 58% ตามมาด้วยความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของครอบครัว 51% และเรื่องของภาระหนี้สิน 47%

ล่าสุด นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า เทสโก้โลตัส ได้ออกแคมเปญลดค่าครองชีพ “โรลแบ็ค” อีกครั้ง เพื่อปลุกกำลังซื้อและดันตาดให้เดินหน้าต่อไปได้

การลดราคารอบนี้ ไม่เพียงทุ่มงบฯ 520 ล้านบาท ในช่วงเวลา 3 เดือนจากนี้เพื่อมาเป็นส่วนต่างในการซัพพอร์ตราคาสินค้ากว่า 1,000 รายการ แต่ยังเป็นปีแรกที่จัดพร้อมกันกว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ จากเดิมที่จะเน้นเฉพาะในสาขาไซซ์ใหญ่-ไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก

“มาร์ค รัฟลีย์” ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ค่อยดีนักจากสารพัดปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อเนื่อง สอดคล้องกับตัวเลขการสำรวจความเห็นของลูกค้าของเทสโก้ในช่วงต้นปี พบว่าลูกค้าจำนวนมากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าและค่าครองชีพ ทำให้เทสโก้ต้องปล่อยแคมเปญ “โรลแบ็ค” ออกมากระตุ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ ปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ราคาโรลแบ็คจะเป็นราคาเดียวกันในสาขาทุกรูปแบบทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลาด และเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส กว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ทั้ง 2 ช่องทาง

“เราเตรียมงบประมาณในการลงทุนกว่า 520 ล้านบาท เพื่อหนุนราคาสินค้าให้ถูกลงตลอดระยะเวลา 3 เดือนจากนี้ เน้นกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร ทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง ที่คิดว่าจำเป็นในชีวิตประจำวันของลูกค้า และการขยายแคมเปญไปในทุกสาขาทุกฟอร์แมตของเทสโก้ เพราะต้องการให้สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป กว่า 40% เป็นลูกค้าจะซื้อของผ่านหลายช่องทาง (cross-format shoppers) เราต้องการบอกว่า มาที่เราสามารถซื้อสินค้าราคาประหยัดได้ในทุกสาขา”

ปัจจุบัน “เทสโก้” มีฐานลูกค้าที่เข้าจับจ่ายประมาณ 15 ล้านคนต่อสัปดาห์ในทุกช่องทาง อาทิ สาขาใหญ่ 376 สาขา (เอ็กซ์ตร้า, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ดีพาร์ตเมนต์สโตร์, ตลาด) เอ็กซ์เพรส 1,574 สาขา รวมทั้งเทสโก้ โลตัส ช้อปออนไลน์ และสินค้าเทสโก้ โลตัส บนแพลตฟอร์มลาซาด้า ซึ่งแคมเปญโรลแบ็คจะครอบคลุมทุกช่องทางเช่นเดียวกับการประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาเปิดให้บริการของเทสโก้ 575 สาขา จากจำนวนสาขาทั้งหมดประมาณ 1,900 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา


 

ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 19-21 มีนาคม 2561

เทศกาลอีสเตอร์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ห้องอาหารคาเฟ่ แอดทู โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเฉลิมฉลองมื้อพิเศษนี้ด้วยเมนูต่างๆมากมาย ทั้งของคาวและของหวานที่ถูกเนรมิตรขึ้นจากฝีมือของเชฟ จาร์โน เชฟผู้ดูแลห้องอาหารคาเฟ่ แอดทู

เมนูขายดีตลอดกาลอย่าง ซีฟู้ดบุฟเฟ่ต์สดๆ เติมได้ไม่อั้น แฮมอบ ซี่โครงย่าง นอกเหนือกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษ อาทิ บลัดดี้แมรี่ ที่เสิร์ฟคู่กับหนังปลาแซลมอนทอดกรอบ วอดก้าแตงกวาผสมน้ำมะนาว เสิร์ฟคู่กับหอยนางรมคลุกเคล้าซอสวาซาบิ สาเกผสมขิงที่เสิร์ฟคู่กับทาโกยากิแสนนุ่ม และวิสกี้เสิร์ฟคู่กับทูน่าทาทากิ
และปิดท้ายด้วยเมนูขนมสุดพิเศษที่มาในธีมของวันอีสเตอร์ นั่นคือ ช็อกโกแลตรูปไข่ มาชเมลโล่แสนนุ่ม จุ่มช็อคโกแลต และนานาเบเกอรี่รสเลิศ

บุฟเฟ่ต์อีสเตอร์บรันซ์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2561
บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันราคา 1,750++ บาท

โปรโมชั่นวันอีสเตอร์ เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 12.00-15.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2561 ในราคาเพียงท่านละ 1,750++บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่ โทร 02-690-9999 หรือ อีเมลล์:[email protected] สามารถติดตามข่าวสารต่างๆได้ที่ เวบไซต์ www.conradhotels.com/bangkok

จำนวนผู้เสียชีวิตและป่วยด้วยโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี สำหรับในประเทศไทยข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-2559 ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจกว่า 54,530 คน เฉลี่ยวันละ 150 คน หรือ เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน1 อีกทั้งยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับสอง รองจากโรคมะเร็ง2 ทั้งที่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เพราะโรคหัวใจเป็นผลมาจากโรคอื่นๆ ที่เกิดจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด และความอ้วน

นายแพทย์วิวัฒน์ แสงเลิศศิลปชัย จากศูนย์หัวใจโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ระบุถึงโรคหัวใจว่า การที่อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจะทำหน้าที่ได้ดีนั้น หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สะดุด ดังนั้นหากหัวใจเราไม่แข็งแรง การทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกาย ก็จะสะดุดตามไปด้วย เรียกได้ว่าหัวใจเป็นศูนย์กลางของระบบอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายทั้งหมด

โรคหัวใจนับเป็นปัญหาสุขภาพใกล้ตัวที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนและสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งนายแพทย์วิวัฒน์ได้กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันดูแลตนเองต่างๆ ดังนี้

1. กรรมพันธุ์และอายุที่มากขึ้น

กรรมพันธุ์และอายุที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถตระหนักรู้ถึงผลจากสองสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นความเสี่ยงในการเป็นโรคก็มากขึ้นตามไปด้วย และหากบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายป่วยเป็นโรคหัวใจ ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจของเราก็มีแนวโน้มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งเรารู้ตัวว่ามีแนวโน้มเสี่ยงมากกว่าคนอื่น ยิ่งควรต้องมีวินัยใส่ใจตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะรักษาได้ทันเวลาและเพิ่มโอกาสในการรักษา

2. การรับประทานอาหาร

การรู้จักเลือกรับประทานอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเรารับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย เราก็จะสุขภาพดีตามไปด้วย รวมทั้งทำให้ร่างกายสมดุล ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรคหัวใจด้วยเช่นกัน เพราะโรคหัวใจเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และความอ้วน ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่อย่างไรก็ตามจะไม่รับประทานไขมันเลยก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะร่างกายก็จะขาดพลังงาน ทุกสิ่งจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมดุล

“ในหนึ่งวันเราควรรับประทานปริมาณไขมันให้อยู่ระหว่าง 15-30% จากปริมาณแคลอรี่ที่เราบริโภคทั้งวัน และใน 15-30% ของปริมาณไขมันนั้น ควรเป็นไขมันดีหรือไขมันประเภทไม่อิ่มตัวมากกว่าครึ่งของปริมาณไขมันที่บริโภคทั้งหมด โดยไขมันดีหรือไขมันประเภทไม่อิ่มตัวนั้น มีคุณสมบัติในการลดไขมันไม่ดีในเลือดหรือโคเลสเตอรอลตัวร้ายอย่าง LDL ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี ได้แก่ น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน อโวคาโด และถั่ววอลนัท เป็นต้น” นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าวเสริม

3. การไม่ออกกำลังกาย

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนในปัจจุบัน ทำให้หลายๆ คนละเลยการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากพอๆ กับการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกายทุกวัน เพียงวันละ 30 นาที จะส่งผลดีต่อการช่วยควบคุมน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน รวมถึงช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ช่วยให้จิตแจ่มใส และนอนหลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

“หากเราไม่สามารถจัดสรรเวลาออกกำลังกายได้ทุกวันจริงๆ ในฐานะแพทย์ ผมแนะนำให้ออกกำลังกายให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งเราสามารถแบ่งสรรเวลาความมาก-น้อย ในแต่ละครั้งแต่ละวันได้ตามความสะดวกของตนเอง แต่ไม่ควรมาออกกำลังกายทั้ง 150 นาที ในหนึ่งวัน ควรเฉลี่ยให้เหมาะสมไปในแต่ละครั้ง ซึ่งสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวถึงข้อแนะนำในประเภทกีฬาหรือการออกกำลังกายของแต่ละคนโดยเฉพาะ เพราะโรคหัวใจมีหลายประเภท กีฬาบางประเภทอาจเหมาะกับผู้ป่วยบางคน แต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยอีกคน ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคหัวใจที่แต่ละคนเป็นด้วย” นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าว

ถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมาดูแลและป้องกันการเกิดโรคหัวใจก่อนที่จะสายเกินไป เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการบริโภคและการดำเนินชีวิต ดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเราให้มากขึ้น หมั่นหาเวลาออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ เพียงเท่านี้เราก็รู้เท่าทันและห่างไกลกับการเป็นโรคหัวใจแล้ว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก แบรนด์น้ำมันมะกอก เบอร์ทอลลี่®

ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นช่วงหน้าขายสำคัญสำหรับสินค้าหลายแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค่ายเบียร์ที่มักจะต้องหากลยุทธ์การตลาดมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย

นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า ภาพการแข่งขันของตลาดเบียร์เริ่มกลับมามีความคึกคักมากขึ้น มีการใช้กลยุทธ์สาวเชียร์เบียร์ หรือพีจี (promotiongirl) ช่วยในการกระตุ้นและผลักดันยอดขาย โดยทั้งค่ายสิงห์และค่ายช้างได้ส่งสาวเชียร์เบียร์กระจายลงไปประจำร้านยี่ปั๊วซาปั๊ว ร้านตู้แช่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะมุ่งไปที่ย่านหอพัก อพาร์ตเมนต์ที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น

ทั้งนี้ “ภูริต ภิรมย์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ตลาดเบียร์มูลค่า 2 แสนล้านบาท ในปีที่ผ่านมาเติบโตเพียง 2-3% ขณะที่เบียร์สิงห์โตกว่า 20% จากการปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์รวมของเครือสิงห์อยู่ที่ 62% เพิ่มขึ้นจาก 59% ปีที่ผ่านมา ส่วนคู่แข่งมีมาร์เก็ตแชร์ลดลง อยู่ที่ 30% กว่า ๆ

ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดเบียร์ค่อนข้างนิ่งมาหลายปี แต่ในเซ็กเมนต์ซูเปอร์พรีเมี่ยม หรือกลุ่มคราฟต์เบียร์ และเบียร์นำเข้า มีเทรนด์การเติบโตค่อนข้างดี

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายหนึ่งกล่าวว่า การส่งเบียร์ตัวใหม่ที่มีดีกรีสูงถึง 6.5% น่าจะเป็นการแก้เกมและดึงฐานลูกค้าที่ชอบดีกรีแรง ๆ กลับมา เนื่องจากหลังจากที่เบียร์ช้างปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็นขวดเขียว และลดปริมาณแอลกอฮอล์ลงเหลือ 5% ทำให้เสียฐานลูกค้ากลุ่มเดิมไป และมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งสวิตช์ไปหาแบรนด์ของคู่แข่งที่มีแอลกอฮอล์ใกล้เคียงแทน แม้ว่าตาม พ.ร.บ.สรรพสามิตใหม่จะกำหนดให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง แต่ค่ายช้างคุมราคาให้อยู่ที่ 53 บาท/กระป๋องได้ หากเทียบกับช้าง คลาสสิค ที่มีแอลกอฮอล์ 5% ราคา 50 บาท/กระป๋อง

“หากสังเกตจะเห็นได้ว่า หลังจากภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้ แต่ราคาขายเบียร์ช้าง (ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ) ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาและยังตรึงขายราคาเดิมทุกเอสเคยู เช่น ขวดใหญ่ 620 มล. 56 บาท กระป๋องเล็ก 320 มล. 38 บาท กระป๋องใหญ่ 490 มล. 50 บาท ขณะที่คู่แข่งอย่างเบียร์ลีโอ หรือสิงห์ ปรับราคาทุกเอสเคยูขึ้นแล้ว เฉลี่ย 1-3 บาทต่อขวด/กระป๋อง” แหล่งข่าวกล่าว

ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำ “เมอร์เซอร์” (Mercer) เผยผลการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกประจำปี 2018 ปรากฏว่ากรุงเวียนนาของออสเตรียยังคงครองแชมป์เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน

ผลการจัดอันดับดังกล่าว มาจากการสำรวจประเมินข้อมูลของเมืองใหญ่ทั่วโลก 231 แห่ง เกี่ยวกับปัจจัยซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพลเมืองหลายประการ เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การดูแลระบบสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคมขนส่ง กิจกรรมสันทนาการ และปัญหาอาชญากรรม

กรุงเวียนนาซึ่งมีประชากร 1.8 ล้านคน มีภูมิทัศน์ที่สวยงามและทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม มีระบบการดูแลสุขภาพของรัฐที่ครอบคลุมทั่วถึง และมีค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยในระดับปานกลาง ส่วนเมืองที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีเยี่ยมในอันดับรองลงมา ได้แก่ เมืองซูริกของสวิตเซอร์แลนด์, เมืองโอ๊กแลนด์ของนิวซีแลนด์, นครมิวนิกของเยอรมนี และนครแวนคูเวอร์ของแคนาดา ตามลำดับ

ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ โดยอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก
ในปีนี้ยุโรปมีเมืองที่ติดอันดับคุณภาพชีวิตดีที่สุดถึง 8 แห่ง ใน 10 อันดับแรก โดยส่วนใหญ่เป็นเมืองในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี ส่วนเมืองน่าอยู่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือคือนครซานฟรานซิสโกของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก เช่นเดียวกับกรุงแคนเบอร์ราของออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม เมืองที่มีคุณภาพชีวิตในอันดับต่ำสุดยังคงเป็นกรุงแบกแดดของอิรักเช่นเดียวกับปีที่แล้ว และส่วนใหญ่เมืองที่มีคะแนนคุณภาพชีวิตในอันดับรั้งท้ายมักอยู่ในทวีปแอฟริกา ส่วนกรุงดามัสกัสของซีเรียซึ่งประสบกับภาวะสงครามกลางเมืองมาหลายปี อยู่ในอันดับที่ 225

สำหรับเมืองในภูมิภาคเอเชีย สิงคโปร์ติดอันดับคุณภาพชีวิตสูงสุดในลำดับที่ 25 ของโลก กรุงโตเกียวและนครโกเบของญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 50 เท่ากัน ส่วนนครไทเปของไต้หวัน และกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 84 และ 85 นครเซี่ยงไฮ้ของจีนอยู่ในอันดับที่ 103 และกรุงเทพมหานครอยู่ในอันดับที่ 132

บริษัทเมอร์เซอร์ผู้จัดทำดัชนีชี้วัดดังกล่าวบอกว่า ผลการจัดอันดับนี้จะช่วยให้กิจการข้ามชาติสามารถประเมิน และตัดสินใจได้ว่า จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกส่งไปประจำในต่างประเทศนั้นควรจะเป็นเท่าใด โดยพิจารณาจากคุณภาพชีวิต และระดับความยากลำบากในการอยู่อาศัยของเมืองดังกล่าว

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 20-23 มีนาคม 2561) ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2561 ระบุว่า

ในช่วงวันที่ 20-23 มีนาคม 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกจะมีผลกระทบในวันนี้ (20 มีนาคม 2561) ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะเริ่มได้รับผลกระทบในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 21 มีนาคม 2561) จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน และฟ้าผ่าที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยจะมีผลกระทบดังนี้

ในช่วงวันที่ 20 มีนาคม 2561

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ในช่วงวันที่ 21 มีนาคม 2561

ภาคเหนือ: จังหวัดน่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ในช่วงวันที่ 22-23 มีนาคม 2561

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย ชัยภูมิ นครราชสีมา และบุรีรัมย์

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนาม ลาว และทะเลจีนใต้ตอนบนแล้ว คาดว่า ในช่วงวันที่ 20-23 มีนาคม 2561 จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยจะเริ่มแผ่ลงมาปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน

จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

“ผัดสามเหม็น” ชื่อนี้ไม่รู้ใครตั้ง แต่ก็เข้าทีเพราะช่างสะดุดหูจนอยากลอง ของเหม็นสามอย่างในที่นี้ คือ สะตอ ชะอม และกระเทียมดอง ผัดกับหมูสับ วุ้นเส้น และไข่ อร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลองไปดูสูตรกันดีกว่า

ส่วนผสม

-สะตอ ชะอม กระเทียมดอง
-หมูสับ ไข่ วุ้นเส้น
-กระเทียม พริกเหลืองหรือพริกขี้หนู
-น้ำปลา ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย พริกไทย
-น้ำมัน
-ผักกาดหอม

วิธีทำ

-ซอยกระเทียมดองเป็นแว่น หากใช้กระเทียมโทนก็ใส่ทั้งหัวได้
-วุ้นส้นแช่น้ำ แล้วตัดให้สั้นลง
-สับกระเทียม ซอยพริก
-ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใส่กระเทียมลงไปเจียว ตามด้วยหมูสับและไข่ เหยาะน้ำปลาลงไป ผัดพอสุกแล้วใส่สะตอ วุ้นเส้น กระเทียมดอง ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซอสหอยนางรมและน้ำตาลทรายแค่ชูรส เมื่อสะตอสุกแล้วก็ใส่ชะอมและพริกเหลืองลงไป ผัดอีกสองสามตลบแล้วโรยพริกไทย
-รองจานด้วยผักกาดหอม แล้วตักใส่จานเสิร์ฟ

 

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

ถ้าหากลองจินตนาการว่าคุณอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ภาพที่คุณเห็นในใจคืออะไร?

ผู้คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ในเมืองใหญ่ การสัญจรในตอนเช้าโดยรถไฟใต้ดินที่บางครั้งก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบจะไม่มีที่ยืน การทำงานล่วงเวลาเลยเที่ยงคืนที่ดูเป็นเรื่องปกติ และอาจนึกถึงผู้คนที่สูบบุหรี่เพื่อคลายเครียด

ความจริงคือ ภาพที่คุณเห็นเหล่านี้ก็ไม่ผิดนัก ในการสำรวจที่ตีพิมพ์ในประกาศของกรมงานแรงงานและสวัสดิการโดยกระทรวงสาธารณสุขของประเทศญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าผู้ชายวัยทำงานกว่าร้อยละ 40 “นอนไม่หลับ” เนื่องจากมีความเครียดจากที่ทำงาน และจำนวนผู้สูบบุหรี่ในญี่ปุ่นมีสูงกว่าประเทศอื่นมาก ซึ่งนับเป็นผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจำนวนกว่าหนึ่งในสามสูบบุหรี่

คงเป็นเรื่องยากที่จะมีผู้เชี่ยวชาญท่านใดบอกว่าความเครียดในระดับสูง การสูบบุหรี่จัด และนอนไม่เพียงพอนั้นเป็นพฤติกรรมที่ทำให้สุขภาพดี แต่กระนั้นก็ตาม ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) อายุขัยเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นอยู่ที่ 83.7 ปี เท่ากับว่าคนญี่ปุ่นมีอายุขัยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก

แม้ว่าการจะอธิบายว่าสิ่งนี้คือความจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สาเหตุหลักที่คนญี่ปุ่นมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ นั้นเชื่อว่าเป็นเพราะ “พฤติกรรมการเดิน” ร่วมกับอาหารที่คนญี่ปุ่นเลือกรับประทาน ตามรายงานอีกฉบับขององค์การอนามัยโลกพบว่า เด็กนักเรียนในญี่ปุ่นร้อยละ 98 เดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนทุกวัน นั่นหมายถึงเพียงแค่เดินทางไปโรงเรียน ก็เท่ากับว่าได้ออกกำลังกายเฉลี่ย 60 นาทีต่อวันแล้ว และเมื่อพิจารณาถึงอาหารและเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ คนญี่ปุ่นมีแนวโน้มรับประทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยกว่า รับประทานผักมากกว่า และรับประทานของหวานน้อยกว่า เมื่อคิดเป็นต่อวัน

อายุที่ยืนยาว ดีสำหรับผู้คน แต่เป็นสิ่งท้าทายสำหรับประเทศชาติ

ทุกคนต้องการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่การทำให้ความต้องการนี้เกิดขึ้นจริงนั้น ถือเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงสำหรับประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศ ขณะที่ตัวเลขผู้สูงอายุในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนประชากรโดยรวมนั้นกลับลดลง ทำให้มีการคาดหมายว่า ในปี พ.ศ. 2593 จำนวนร้อยละของประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งนี่แสดงถึงความท้าทายที่ประเทศต้องเผชิญอย่างเห็นได้ชัด โดยรวมถึงการสูญเสียประสิทธิภาพในที่ทำงานเนื่องจากผู้คนจำนวนมากต้องการเกษียณอายุในท้ายที่สุด และทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุพุ่งพรวดขึ้น

นี่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นหันมามุ่งความสนใจและให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนยาวที่สุขภาพดี แทนที่จะเป็นเพียงการมีชีวิตที่ยืนยาวเท่านั้น ตรรกะในเรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ง่าย คือยิ่งผู้สูงอายุมีสุขภาพดีและช่วยเหลือตัวเองได้มาก จะทำให้สังคมเราดีขึ้นด้วย

ภาวะกล้ามเนื้อพร่อง อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพในคนสูงวัย

แม้ว่าผู้สูงอายุไม่มีโรคภัยอื่นๆ แต่มีหนึ่งปัญหาใหญ่ด้านกายภาพที่ผู้สูงอายุต้องเผชิญเรียกว่า “ภาวะกล้ามเนื้อพร่อง” ซึ่งเป็นการสูญเสียมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเมื่อสูงวัยขึ้น ภาวะกล้ามเนื้อพร่องสามารถนำไปสู่การเสื่อมสภาพของสุขภาพด้านอื่นๆ ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ และเพิ่มความเสี่ยงจากการหกล้มและเกิดกระดูกแตกหักในร่างกาย โดยรวมแล้ว คนญี่ปุ่นรับประทานโปรตีนน้อยลงเรื่อยๆ ทุกปี และเมื่อเทียบกับคนวัยหนุ่มสาวแล้ว ผู้สูงอายุมีความสามารถสร้างกล้ามเนื้อใหม่ได้น้อยกว่า นี่ทำให้กรมแรงงานและสวัสดิการ กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นได้กำหนดเป้าหมายการบริโภคโปรตีนในประชากรทุกวัย

ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะกล้ามเนื้อพร่องมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องในการเคลื่อนที่, ความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกแตก, ความบกพร่องในการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน, ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น

โภชนาการที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้ผู้คนสุขภาพดี และกรดอะมิโนที่เป็นเหมือนอิฐบล็อกของโปรตีนก็เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับโภชนาการที่เพียงพอและสมดุล

หลายบริษัทจึงศึกษาและวิจัยเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยส่งเสริมการมีสุขภาพดีได้ เช่น บริษัท Ajinomoto ที่คิดค้นผลิตภัณฑ์รวมกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด (รวมถึงลิวซีนร้อยละ 40) ที่มีความสำคัญต่อการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารเสริมนี้และออกกำลังกายที่ระดับปานกลาง (60 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) มีมวลกล้ามเนื้อขาสูงขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และสามารถเดินได้เร็วขึ้นกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริมและไม่ได้ออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญ

ถือเป็นภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชากรประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญกับ “สังคมผู้สูงอายุ” นั่นเอง