กลายเป็นดราม่าในโลกออนไลน์ หลังสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ตั้งกระทู้ร้องเรียนในเว็บไซต์พันทิป ระบุว่า ตนไปซื้อกาแฟเย็นในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ขนาด 22 ออนซ์ โดยไม่ได้ใส่น้ำแข็ง พอนำไปจ่ายเงิน ปรากฏว่าพนักงานคิดราคา 2 แก้ว ตนจึงจำต้องจ่ายเงินค่ากาแฟในราคา 2 แก้ว จึงอยากถามว่านี่เป็นนโยบายของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ใช่หรือไม่

หลังตั้งกระทู้ ปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่าเจ้าของกระทู้ทำไม่เหมาะ เพราะเครื่องดื่มเย็นควรต้องใส่น้ำแข็ง และการไม่ใส่น้ำแข็งเป็นพฤติกรรมที่ไมเหมาะและเอาเปรียบ อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตหลายคนก็เห็นว่า เป็นสิทธิของลูกค้า ที่จะกินกาแฟแบบไม่ใส่น้ำแข็ง และไม่ได้มีกฎห้ามแต่อย่างใดว่าลูกค้าต้องกดน้ำแข็ง

เวลาต่อมา สมาชิกพันทิป “น้องเปาเซเว่น” ของร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ออกมาชี้แจงว่า
น้องเปาต้องอภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึนด้วยนะคะ จากเรื่องที่เเจ้งข้อมูลเข้ามาน้องเปาขอแจ้งให้ทราบว่า ปกติแล้วร้าน 7-Eleven จะจำหน่ายเครื่องดื่มโดยจะคิดราคาตามเเก้วนะคะ สำหรับเครื่องดื่ม 7 Fresh cool น้องเปาเเนะนำหาทานคู่กับน้ำเเข็งจะช่วยทำให้รสชาติของสินค้าอร่อยมากขึ้น ค่ะ ^^ สำหรับการบริการน้องเปาขอดูแลส่งเรื่องประสานงานเพื่อทำการตรวจสอบเเละ ปรับปรุงการบริการในส่วนนี้ต่อไปค่ะ

 


ที่มา Pantip

 เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2561 ณ สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถจักรไอน้ำเที่ยวประวัติศาสตร์ กรุงเทพ-อยุธยา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ ครบรอบ 121 ปี ในวันที่ 26 มีนาคมนี้

โดยมีนายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการเดินรถ พร้อมผู้บริหารการรถไฟฯ ร่วมในพิธี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวแต่งกายชุดไทยเป็นจำนวนมาก

 

—————

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

จังหวัดเชียงราย ไม่ได้โดดเด่นเพียงมีวัดวาอารามที่วิจิตรสวยงามดึงดูนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กระแสเที่ยวท้องถิ่นกินแบบคนท้องถิ่น Go Home Go Local นั้นก็สนุกมากๆ

เราขอชี้เป้าพาไปเดินเล่นดูบรรยากาศการค้าขาย โดยเฉพาะวันเสาร์ที่จัดงานถนนคนเดินในตัวเมืองเชียงราย จัดว่ามีเสน่ห์มาก

ใครมาเที่ยว จ.เชียงราย ต้องแวะมาเดินถนนคนเดิน “วันเสาร์” ให้ได้ !! ย้ำว่าห้ามพลาด เพราะข้าวของที่ขนมาขายละลานตา รับประกันความมันของขาช้อป เดินไปร้านไหนๆ ก็พบว่ามีแต่ “ของมันต้องมี” ตั้งแต่ผัก ผลไม้ อาหารการกิน ไปจนถึงสินค้าทำมือเก๋ๆ

แนะนำให้เตรียมแบงก์ย่อยไปเยอะๆสำหรับสายชิม งานนี้มีเงินปล่อยออกจากมือกันสะพัด ในราคาเบาๆสบายกระเป๋าแต่อร่อยแน่นอน

เริ่มจากสายอาหารไม่ต้องพูดถึง…บรรดาอาหารฟู้ด ทรัค เปิดเรียงรายให้เลือกกินไม่หวาดไม่ไหว ไปจนถึงแผงร้านสตรีทฟู้ดต่างๆ แข่งกันแย่งสายตาอยากจะลองเดินชิมไปซะทุกร้าน

 

ทีมงาน “มติชนอคาเดมี” สะดุดตา ร้านกะป๊อไส้ย่าง ดัดแปลงรถแต่งฟู้ดทรัคเบาๆสไตล์ร้านญี่ปุ่น ขายปิ้งย่าง 3 อย่าง อันได้แก่ ไส้ย่าง สันคอหมูย่าง และ พริกหยวกยัดไส้หมู ดูธรรมดาแต่ยั่วน้ำลาย และ ขายดีแบบเทน้ำเทท่า มาตั้งร้านไม่ถึง 2 ชั่วโมง เก็บร้านแล้ว เพราะขายดีหมดไว ปิดจ๊อบกันแบบไม่ทันมืดค่ำ

ชวนเจ้าของร้านพูดคุย ถึงได้รู้ว่าเริ่มหัดเป็นผู้ประกอบการเพียง 6 เดือน แต่อาศัยสูตรเก่าแก่จากบรรพบุรษ ทำให้มีรสชาติอร่อยเด็ดขาด

จุ๋ย จุ๋ย“นิธิตา มณีรัตน์” เจ้าของกะป๊อไส้ย่าง บอกว่า เคล็ดลับ คือ ใช้ส่วนของไส้หวานนำมาหมักจนได้ที่ แล้วย่างเสียบไม้

และด้วยความที่หนักเครื่องเทศนี่เอง ทำให้รสชาติเข้มข้น ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ

ส่วน หมูย่าง ก็ไม่ใช่หมูสันนอกทั่วๆไป แต่ใช้เนื้อสันคอที่แทรกด้วยไขมัน ถูกอกถูกใจนักกินนักแล และ สุดท้าย พริกหยวกยัดไส้หมู เมนูนี้ได้ไอเดียจากเครื่องเคียงอาหารเกาหลี พบว่ากินพริกหยวกแล้วไปตัดความเลี่ยนของหมูได้ดี จึงนำมาประยุกต์ เอาเนื้อหมูบดคลุกน้ำมันงายัดไส้พริกหยวกสีเขียวสดแล้วมาย่าง

เดินกินไปดูของไปเพลินไปเลย ซักพักได้ยินเสียงแม่ค้าร้องว่าไม้ละ 5 บาท เอี้ยวตัวหันไปดู อุ้ย..เห็ดหอมสดๆ ทอด ไม้ละ 5 บาทเอง เลยจัดไปคนเดียวอีก 4 ไม้ ทอดใหม่ๆ ปล่อยให้เย็นซักนิดเคี้ยวกรอบนอกนุ่มใน คิดถึงก็ยังฟินไม่เลิก

 

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารพื้นเมืองอีกเพียบทั้งแอบปลา จิ้นส้มหมก ข้าวนึ่ง ไปถึงเครื่องทำตำขนุน น้ำเงี้ยว เครื่องดื่มน้ำอโวคาโด้ปั่นแก้วละ 25 บาท ก็รสชาติดีถูกใจวิถีคนรักสุขภาพ

ที่สำคัญถนนคนเดินที่นี่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทุกร้านจะต้องไม่มีถ้วยโฟมเด็ดขาด ต้องใช้จานชามกระดาษใส่ให้ลูกค้า ดูแล้วโล่งใจ เพราะทั้งปลอดภัย และ ดีต่อสิ่งแวดล้อม

อีกเสน่ห์เหลือล้น คือ ลานรำวง มีจัดโต๊ะเก้าอี้ให้คนซื้ออาหารมานั่งกิน พร้อมกับดูบรรยากาศคนเต้นรำเป็นหมู่คณะ รำวงเข้าจังหวะเป็นที่น่ารัก ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวยืนดูกันเพลิน

เรียกว่าของกินก็อร่อย บรรยากาศก็ดี ใครไปเชียงรายต้องไม่พลาดถนนคนเดินรับประกันความม่วนสุดๆ เจ้า


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

ร้านออสเตเรีย ฟรานเชสกานา (Osteria Francescana) ภัตตาคารอาหารอิตาลี ในเมืองโมเดนา ที่ถูกประกาศให้เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2559

นับเป็นภัตตาคารอิตาลีแห่งแรกที่ได้รับรางวัลนี้ และได้รับมิชลินระดับ 3 ดาว ลูกค้าต้องจับจองโต๊ะล่วงหน้าถึง 3 เดือน (บางคนถึงกับลงทุนบินจากนิวยอร์กเพียงเพื่อมาลิ้มลองรสชาติอาหาร ณ ภัตตาคารแห่งนี้) การได้รับรางวัลเกียรติยศนี้ไม่ใช่เพียงเพราะรสชาติอาหารที่เป็นเลิศด้วยการประยุกต์เมนูต่าง ๆ จากวัตถุดิบแบบดั้งเดิมทางตอนเหนือของอิตาลี แต่เป็นเพราะเจ้าของและหัวหน้าพ่อครัวชื่อ Massimo Bottura สร้างบรรยากาศในการทำงานให้เป็น “องค์กรที่ไม่ยึดติด” Massimo Bottura กับพนักงานในร้าน

Bottura ตกหลุมรักการทำอาหารตั้งแต่เด็ก เมื่อได้รับโอกาส เขาจึงทิ้งการเรียนกฎหมายกลางคัน เพื่อเปิดร้านอาหารในเมืองโมเดนา บ้านเกิด แต่แทนที่จะเสนอเมนูอาหารอิตาเลียน แบบ traditional ตามธรรมเนียมทั่วไป เขากลับนำเสนออาหารอิตาเลียนในรูปแบบที่ท้าทายและแปลกใหม่ จนค้นพบเมนูอาหารที่ชื่อว่า Five Ages of Parmigiano Reggiano ที่บรรจงสรรค์สร้างผลงานด้วย พาร์เมซานชีส ซึ่งเป็นเนยแข็งที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้เกิดรูปลักษณ์และรสชาติที่ดี นักชิมไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน เป็นที่มาของการถูกยกย่องให้เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลกในเวลาต่อมา (อ้างอิง 2/) อย่างไรก็ดี หากมีโอกาสได้สัมผัสกับการทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ จะพบว่าไม่เหมือนบรรยากาศร้านอาหารอื่น ๆ ทั่วไป

ภัตตาคารแห่งนี้ไม่มีการปกครองด้วยยศ ตำแหน่ง ทุกคนมีตำแหน่งและความรับผิดชอบเท่าเทียมกัน พนักงานที่เข้ามาใหม่จะถูกหมุนเวียนให้ปฏิบัติงาน ในตำแหน่งต่าง ๆ จนค้นพบตำแหน่งที่ตนถนัดและชอบ พนักงานจะมาจากหลายเชื้อชาติ

เช่น พ่อครัวมาจากญี่ปุ่น และอิตาลี นำความพิถีพิถันของคนญี่ปุ่นมาผสมผสานกับจินตนาการของคนอิตาเลียน นอกจากนั้น Massimo จะสร้างความตื่นเต้นให้กับพ่อครัวและพนักงานตลอดเวลา เช่น เปลี่ยนเมนูอาหารโดยไม่ได้บอกกล่าว พร้อม ๆ กับพาพนักงานและพ่อครัวไปตามเทศกาลอาหารทั่วโลกให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง นำมาสู่การคิดค้นเมนูใหม่ ๆ

การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยึดติดและเคยชิน มีให้เห็นแทบทุกวันที่ภัตตาคารแห่งนี้ เล่าขานกันว่า วันหนึ่งที่พ่อครัวนามว่า Takahiko Kondo กำลังจะเสิร์ฟ lemon tart ขนมสองชิ้นสุดท้าย ในร้าน ปรากฏว่าเขาทำ tart หนึ่งในสองชิ้นนั้นตกลงแตกบนจาน เป็นฝันร้ายทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี คิดอะไรไม่ออก เพราะจะอบใหม่คงไม่ทัน แต่เมื่อ Takahiko รายงานสถานการณ์ให้กับ Massimo เขากลับแสดงท่าทีไม่ตื่นตระหนก กลับบอกว่า

“หยุดก่อน ใจเย็น ๆ ลองมอง tart ที่มันแตกอยู่ดี ๆ ซิ จริง ๆ แล้วมันสวยมากเลยนะ มันสวยราวกับงานศิลปะเลยล่ะ เรามาสร้างมันขึ้นมาแบบให้มันสวยแบบแตก ๆ นี่แหละ”

พูดไม่ทันเสร็จ Massimo นำซอสสีเหลืองบนหน้าของ lemon tart มาปาดลงบนหน้าจาน ทำให้เหมือนกับซอสถูกเทลงมาจากที่สูง และเขาก็ทำแบบเดียวกันลงจานอีกใบหนึ่ง พร้อมกับเคาะ lemon tart อีกชิ้นให้แตกเหมือนกับชิ้นแรก เรียกได้ว่าได้ขนมสองจานที่หน้าตาเหมือนกัน เป็น lemon tart ที่แตกถูกวางและตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นหนึ่งใน signature dish ของภัตตาคารแห่งนี้

และถูกตั้งชื่อว่า “Opps ! I drop the lemon tart” (อ้างอิง 3/)

หนึ่งในพนักงานของภัตตาคารแห่งนี้ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “การทำให้ตนเองเป็นศิลปิน ถือเป็นการปลูกฝังให้ตนเองไม่อยู่ในโลกของความหยุดนิ่ง ไม่ทำตัวให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ตื่นตัวตลอดเวลา และให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงบรรยากาศของภัตตาคารแห่งนี้ ที่พร้อมจะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันและท้าทายตลอดเวลา”

ขณะเดียวกันก็สร้างวัฒนธรรมการทำงานด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม คิดนอกกรอบ พร้อมร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง

ไม่แปลกใจที่ภัตตาคาร Osteria Francescana เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุด 1 ใน 3 ของโลกมาตั้งแต่ปี 2556

ท้ายสุด ขอฝากข้อคิดจาก Massimo Bottura ที่กล่าวไว้ว่า

“ผมพร้อมตลอดเวลากับสิ่งที่คาดไม่ถึง และเชื่อในเรื่องการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องไม่ยึดติดและไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราต้องถามคำถามตลอดเวลา โดยเฉพาะรสชาติของอาหารที่กำลังเสิร์ฟให้กับลูกค้า ณ เวลานี้”

แหล่งที่มา

1/ Francessa Gino, Let Your Workers Rebel, Harvard Business Review, October-November 2016 https://hbr.org/cover-story/2016/10/let-your-workers-rebel

2/ PJ Peippei, “ออสเตเรีย ฟรานเชสกานา” ครองแชมป์ภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลก http://jingro.com/th/healthandlifestile/food/italys-osteria-francescana-was-declared-the-worlds-best-restaurant-2016/

3/ คิดนอกกรอบ เขาคิดกันยังไง ? The-Talks.com, 19 มิถุนายน 2560 http://www.missiontothemoon.co/blog/articles/114


ที่มา คอลัมน์ นอกรอบ
โดย รณดล นุ่มนนท นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯพัฒนาแผ่นพลาสติกมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อเจอแสงแดดเตรียมใช้ในการแพทย์-บรรจุภัณฑ์อาหาร

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ คิดค้นและกำลังพัฒนาแผ่นพลาสติกที่ผลิตสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ออกมาในปริมาณเล็กน้อยเมื่อได้รับเเสงเเดด ซึ่งเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่ก่อนหน้านี้ หลายปีก่อนมีทีมแพทย์เข้าไปรักษาคนไข้อีโบล่าในเขตระบาดของโรค ต้องสวมชุดป้องกันการติดเชื้อ เเต่ในระหว่างการใช้งานภาคสนาม ชุดที่สวมเพื่อป้องกันเชื้อโรคก็มีการปนเปื้อนเเละเป็นอันตรายต่อผู้สวมเช่นกัน

โดยการคิดค้นแผ่นพลาสติกที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อเจอแสงแดด อาจนำไปใช้กับบรรจุภัณฑ์อาหารได้ด้วย เพื่อช่วยลดปัญหาโรคติดต่อผ่านทางอาหาร

กัง ซัน นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส กล่าวว่า หากมีเชื้อเเบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่บนผิวหน้าวัสดุหรือพื้นผิวต่างๆ เชื้อโรคก็จะสามารถแพร่กระจายต่อไปได้เเละทำให้คนติดเชื้อ แต่แผ่นพลาสติกนี้จะผลิตสารฆ่าเชื้อโรคออกมาทุกครั้งที่เจอกับเเสงแดด เเม้จะมีปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น เเต่ก็เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคได้ นอกจากจะช่วยป้องกันเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ไม่ให้ติดเชื้อโรคเเล้ว ยังอาจใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับผักผลไม้สดเพื่อให้เก็บไว้ได้นานขึ้นเเละปลอดเชื้อโรค โดยหากเพิ่มพลาสติกนี้เข้าไปอีกชั้นหนึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเเบคทีเรียเข้าไปปนเปื้อนในอาหารได้

นักแสดงละครบุพเพสันนิวาสที่ทำเอาคนทั้งประเทศอินไปตามๆ กัน ตั้งแต่บทพระเอกจนตอนนี้พระรองนักแสดง ใครๆ ที่มีบทเด่นๆ ในละครนี้ล้วนแต่ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ล่าสุดไม่ใช่พี่หมื่นแต่อย่างใด แต่เป็น “ออกพระเพทราชา” ซึ่งรับบทโดย “ศรุต วิจิตรานนท์” ที่แสดงได้อินจนคนดูอินจัดไปกับฉากปะทะคารมกับ “สมเด็จพระนารายณ์” จนหลายคนรับพลิกอ่านประวัติศาสตร์กันแทบไม่ทัน

ทัวร์มติชน อคาเดมี จึงได้จัดทริปพาออเจ้า ไปเฝ้า “ขุนหลวงนารายณ์” ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) เพื่อพาย้อนไปชมประวัติศาสตร์จากซากปรักหักพัง ที่มีชีวิตอีกครั้งโดย ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี กูรูนักประวัติศาสตร์ (อ่านรายละเอียดที่ลงค์นี้ https://www.matichonacademy.com/update/article_9124)

โดยสมเด็จพระเพทราชา เป็นพระมหากษัตริย์ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงและอยู่ในราชสมบัตินาน 15 ปี ได้ราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ โดยได้ราชสมบัติตอนพระชนมายุ 51 พรรษา ประวัติศาตร์ได้กล่าวถึงสมเด็จพระเพทราชาจากหลากหลายมุมมอง จากสิ่งที่สมเด็จพระเพทราชาได้ทำการรัฐประหารยึดราชสมบัติจากสมเด็จพระนารายณ์ ขณะที่ทรงประชวรด้วยโรคไอหืด

ท่ามกลางบรรยากาศของข้าศึกที่ประชิดประตูเมืองในทุกด้านนั้น สมเด็จพระเพทราชา เมื่อทำการรัฐประหารสำเร็จ ได้ราชสมบัติแล้ว ยังได้กระทำการขับไล่ทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอก ที่อยู่ในความควบคุมของนายพลเดส์ฟาร์จ และที่ป้อมเมืองมะริด ในความควบคุมของนายพลดูบรูอัง เฉพาะที่ป้อมบางกอกค่อนข้างใช้เวลาและมีการสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย ครั้นทำท่าจะสงบศึกกันได้ แต่เพราะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทำให้กลายเป็นศึกยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น

ในที่สุดสงครามก็ยุติลงโดยไทยได้ตัวประกัน 4 คนคืนมา (ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 2 คน ล่ามและทหารรับใช้) กับได้สมบัติฝรั่งเศส และได้กักกันนักบวชจำนวน 70 คน ไว้ระยะหนึ่งก่อนจะให้อิสรภาพ โดยเฉพาะบุตรชาย 2 คน ของนายพลเดส์ฟาร์จ ซึ่งเป็นตัวประกัน ซึ่งท่านนายพลก็โหดเหี้ยมพอที่จะยอมเสียบุตรชายทดแทนกับการกระทำขัดคำสั่งของพระเพทราชา อย่างไรก็ดีทรงมีเมตตาให้อิสรภาพแก่บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้ง มารี กีมาร์ ภรรยาและบุตรของวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) อีกคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นสยาม (อยุธยา) อาจถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (2231) ก็เป็นได้

ในด้านความสัมพันธ์ของพระเพทราชากับสมเด็จพระนารายณ์นั้น แม่จริงของพระเพทราชา คือแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์ นั่นคือเจ้าแม่วัดดุสิต นอกจากนั้นยังเป็นศิษย์พระอาจารย์องค์เดียวกัน (พระอาจารย์พรหม) ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระเพทราชาเป็นคนลุ่มลึกเยือกเย็นองอาจกล้าหาญ และเฉลียวฉลาด ว่ากันว่าสมเด็จพระเพทราชา เป็นกษัตริย์ที่มีพื้นฐานคนบ้านนอก บ้านเดิมอยู่บ้านกร่าง หรือบ้านพลูหลวง ชานเมืองสุพรรณบุรี

พระเพทราชา

คู่ปรับของพระเพทราชา คือ ออกญาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ออกญาวิชาเยนทร์ได้นำทหารฝรั่งเศสพร้อมอาวุธทันสมัยเข้ามาประจำการที่ป้อมบางกอก ซึ่งถือว่าเป็นอันตราย เพราะอาวุธเหล่านั้นมีอานุภาพเหนือกว่าทางอยุธยามาก แม้มีทหารเพียงกองร้อย ก็สามารถเอาชนะทหารไทยในระดับกองทัพได้ พระเพทราชาเคยติงเรื่องนี้ในที่ประชุมขุนนางต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระนารายณ์เรื่องการคบหากับต่างชาติที่ต้องระมัดระวัง สมเด็จพระนารายณ์ในเวลานั้นทรงชื่นชอบพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และโปรดวิชาเยนทร์เป็นพิเศษ

เท่ากับว่าวิชาเยนทร์มีกองทหารที่แข็งแกร่ง ขณะที่พระเพทราชาอาศัยพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในเขตเมืองลพบุรีและปริมณฑล โดยเฉพาะได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากพระสังฆราชเมืองลพบุรี ณ วัดราชา ทั้งในเรื่องการสอดแนมการเคลื่อนไหวต่างๆ การก่อม็อบและอาจใช้เป็นกำลังรบถ้าจำเป็น การอาศัยกำลังจากพระสงฆ์ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้น เป็นวิธีที่แนบเนียน ทำให้วิชาเยนทร์ตายใจเข้าใจว่าพระเพทราชาไม่มีกำลังรบที่ดีๆ อยู่ในมือ จึงเร่งเอาใจนายพลเดส์ฟาร์จมากขึ้นเพื่อคิดว่าจะมีกำลังพลในมือ

ออกญาวิชาเยนทร์หวังว่าจะใช้กองกำลังทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอกทำการรัฐประหารยึดอำนาจ กองทหารนั้นควบคุมโดยนายพลเดส์ฟาร์จ ทั้งนี้จะใช้กองกำลังเพียง 60-80 คน ก็สามารถดำเนินการได้เพราะมีอาวุธที่ดีกว่ามาก แต่พระเพทราชาเหนือกว่าเพราะได้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงอยู่ในฐานะได้เปรียบกว่าในการสั่งการต่างๆ โดยอ้างพระราชโองการ แต่ก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังในการใช้อำนาจ จึงกระทำการรัฐประหารสำเร็จ ซึ่งถือเป็นการชิงไหวชิงพริบกันเป็นอย่างมาก

เรียบเรียงจาก ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_9992

ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เตรียมวงเงิน 3,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส” มุ่งเตรียมความพร้อมให้ผู้สูงอายุได้มีที่อยู่อาศัยร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รักตลอดไป อัตราดอกเบี้ย 10 ปีแรก คงที่ 3.99% ต่อปี ให้กู้สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกฯ พร้อมกับกู้เพื่อซื้อ ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึงอายุ 75 ปี (เฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพตามที่ธนาคารกำหนด) และเปิดช่องให้ใช้อายุของผู้กู้ร่วมที่มีอายุน้อยกว่ากำหนดระยะเวลาการกู้ให้นานขึ้นได้ กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นแค่เดือนละ 4,900 บาท ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561 และสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมเมื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)ของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ : ทำให้คนไทยมีบ้าน จึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้สูงอายุได้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต พร้อมไปกับการได้อยู่ร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวอย่างมีความสุขตลอดไป ล่าสุดจึงได้เตรียมวงเงิน 3,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส” อัตราดอกเบี้ย 10 ปีแรก คงที่ 3.99% ต่อปี ปีที่ 11 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้น ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ ให้ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึงอายุ 75 ปี (เฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพตามที่ธนาคารกำหนด) ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561และสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมเมื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการตามที่ธนาคารกำหนด

“สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส ถือเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ยาวนานที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีแรก ลูกค้าจะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระบ้านเพิ่มขึ้น จึงสามารถวางแผนการ ใช้จ่ายเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น อาทิ กรณีกู้ 1 ล้านบาท เงินงวด 10 ปีแรก จะอยู่ที่ 4,900 บาทเท่านั้น พร้อมกับเปิดโอกาสให้ใช้อายุของผู้กู้ร่วมที่มีอายุน้อยกว่ากำหนดระยะเวลาการกู้ให้นานขึ้นได้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี และยังช่วยลดจำนวนเงินงวดผ่อนชำระในแต่ละเดือนลงได้” นายฉัตรชัยกล่าว

นอกจากนี้ ธอส. ยังได้ขยายระยะเวลาการยื่นกู้และทำนิติกรรม 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับให้บริการครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพจากเดิมกำหนดไว้ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2561 เป็นสิ้นสุด ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 ประกอบด้วย 1.สินเชื่อบ้านสวัสดิการ / รายย่อย (Housing Solution) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นปีที่ 1 เท่ากับ MRR-3.95% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.80% 2.สินเชื่อบ้านโครงการจัดสรร (Developer) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นปีที่ 1 เท่ากับ MRR-4.00% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.75% 3.สินเชื่อบ้านสุขสันต์ (Refinance In) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.90% และ 4.โครงการสินเชื่อบ้านเพิ่มสุข ปี 2561 สำหรับลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 24 เดือน สม่ำเสมอและปกติ สามารถกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-2.85% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.90%

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ใบบัวบกเป็นพืชคลุมดินที่ขึ้นได้ง่ายมาก ยิ่งในหน้าฝนก็จะยิ่งงอกงามดี เด็ดมากินแกล้มกับผัดไทยก็ได้ กินกับน้ำพริกก็ดี เอามายำก็อร่อย ได้รสมันๆ หอมๆ ของใบบัวบก ผสานกับความนุ่มเหนียวของหมูและกุ้ง ตัดกับรสสัมผัสของเครื่องกรอบต่างๆ ทั้งมะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว ราดด้วยน้ำยำที่เข้มครบรส เคี้ยวเพลินๆ หมดจานไม่รู้ตัว

ส่วนผสม

-ใบบัวบก
-กุ้งแชบ๊วย หมูสับ
-หัวกะทิ น้ำพริกเผา น้ำตาลโตนด น้ำปลา น้ำมะนาว
-หอมแดง
-มะพราวครั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว

วิธีทำ

-หั่นใบบัวบก แกะเปลือกกุ้ง สับหมู ซอยหอมแดง
-ตั้งกระทะเติมน้ำนิดหน่อย เมื่อร้อนได้ที่ให้ใส่หมูกับกุ้งรวนให้สุก
-ตั้งกระทะใส่หัวกะทิลงไปเคี่ยวสักพักให้ข้น เติมน้ำที่ได้จากการรวนหมู ใส่น้ำพริกเผา น้ำตาลโตนด คนให้ละลาย บีบมะนาว ชิมรสให้มีทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด หากไม่เค็มให้เติมน้ำปลา ใส่หอมแดงลงไปคลุก เมื่อรสชาติได้ที่แล้วก็ใส่ใบบัวบกลงไปยำพร้อมกับเครื่องต่างๆ ได้แก่ มะพราวครั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว คลุกเคล้าให้เข้ากัน

 

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

หากพูดถึงร้านเสื้อผ้าญี่ปุ่นในประเทศไทย ร้านแรกที่หลายๆ คนนึกถึงคงเป็น “ยูนิโคล่” ที่ตัวร้านมักตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ แต่ล่าสุด ยูนิโคล่ในไทยกำลังจะเป็นร้านที่ไม่ตั้งอยู่แค่เพียงในตัวห้างเท่านั้น แต่กำลังจะมีสาขาที่สแตนด์อะโลนอยู่ริมถนนอีกด้วย

โดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศหาพันธมิตรร่วมทัพค้าปลีกผ่านเว็บไซต์ http://www.uniqlo.com/th โดยกล่าวถึงโมเดลร้านค้าแบบใหม่ “โรดไซด์สโตร์” หรือร้านสแตนด์อะโลนนอกห้าง ทำเลติดถนน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ ที่บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่ม หลังจากเปิดร้านโมเดลดังกล่าวสาขาแรก ที่ถนนพัฒนาการ 58 ปากซอยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในวันที่ 23 มีนาคม 2561

รายละเอียดระบุว่า ยูนิโคล่กำลังมองหาโลเกชั่นที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ในทำเลที่ติดกับถนนเส้นหลัก หรือถนนในย่านที่อยู่อาศัย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของคอมเพล็กซ์ ที่มีผู้เช่ารายอื่น ๆ อยู่ด้วย หรือพื้นที่สำหรับตั้งร้านเดี่ยว ๆ ในรูปแบบสแตนด์อะโลน

โดยผู้ที่สนใจลงทุนจะต้องมีที่ดิน และทำการก่อสร้างตามสเกลและสเป็กที่บริษัทระบุเอาไว้ หรืออาจเป็นนักลงทุนที่ไม่มีที่ดิน แต่ไปเช่าพื้นที่แล้วลงทุนก่อสร้างเองก็ได้ ซึ่งยูนิโคล่จะทำการเช่าพื้นที่นั้นต่ออีกทีหนึ่ง และบริหารร้านดังกล่าว โดยการทำสัญญาแบบ building lease agreement ระยะเวลาการเช่าสูงสุด 15 ปี

ซึ่งขนาดของพื้นที่ที่ยูนิโคล่ต้องการมีทั้งหมด 2 ไซซ์ ได้แก่ ไซซ์กลาง 3,000 ตร.ม. แบ่งเป็นตัวอาคาร 1,000 ตร.ม. และที่จอดรถ 50 คัน และไซซ์ใหญ่ 5,000 ตร.ม. แบ่งเป็นตัวอาคาร 1,800 ตร.ม. และที่จอดรถ 100 คัน

นายซาโตชิ ฮาตาเซะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยูนิโคล่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า โรดไซด์สโตร์ เป็นโมเดลที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของยูนิโคล่ในญี่ปุ่นมาแล้ว และกำลังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในประเทศอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้มีการขยายโมเดลดังกล่าวไปในเกาหลี และไต้หวัน ส่วนไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำโมเดลดังกล่าวเข้ามา

ทั้งนี้ ปัจุบันยูนิโคล่ทั่วโลกมีสาขาทั้งหมด 1,900 สาขา แบ่งเป็น 850 สาขาในญี่ปุ่น และ 1,050 สาขานอกญี่ปุ่น รวม 19 ประเทศ โดนในไทยมี 35 สาขา ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เตรียมเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา คือ เซ็นทรัลมหาชัย, เซ็นทรัลพิษณุโลก และพัฒนาการ


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ