Firebox เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ของอังกฤษ เปิดตัวเลตเตอร์บ็อกซ์ ไวน์ Letterbox Wine ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเป็นไวน์บรรจุขวดสไตล์เก๋ไก๋ มีให้เลือกด้วยกันสามชนิด ได้แก่ ไวน์แดง ไวน์ขาว และไวน์สีกุหลาบ

ความพิเศษตรงขวดไวน์ ที่ผลิตจากพลาสติกหนาคล้ายแก้ว สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ จุของเหลวได้สูงสุด 75 เซนติลิตร และมีรูปทรงแบนยาวสะดวกต่อการส่งผ่านช่องสอดจดหมายบนประตูบ้าน

ภาพจากเพจเฟซบุ๊ค China Xinhua

โรงแรมอัมรา กรุงเทพ ขอแนะนำเมนูดับร้อนตลอดเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ด้วยต้นตำรับข้าวแช่ลอยในน้ำดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงหลากหลาย อาทิ ลูกกะปิทอด พริกหยวกสอดไส้ เนื้อเค็มฝอยผัดหวาน ผักกาดเค็มผัดหวาน ปลาแห้งผัดหวานรวมไปถึงผักสดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา กระชาย มะม่วงดิบ เป็นต้น ราคาชุดละ 420 บาทต่อชุด

ลูกค้าสามารถจองผ่านทางอีเมล [email protected] หรือโทร 02 021 8888 เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

พอพูดถึงคำว่า ‘มินิมอล’ หลายคนคงคิดถึงคอนเซ็ปต์น้อยแบบมีอะไร เรียบแต่โก้ ที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความเรียบง่ายผ่านการจัดวางสิ่งของน้อยชิ้น แลดูชิค ดูคูล รู้สึกถึงความปลอดโปร่งเป็นระเบียบ ปราศจากความวุ่นวาย นี่แหละใช่เลย! ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่ใครๆ ก็อยากได้ แต่ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เรายังคงต้องเดินทางออกจากบ้านไปทำงานเพื่อหาเงิน ต้องเร่งรีบเดินทาง เบียดเสียดรถราที่วิ่งขวักไขว่บนท้องถนน แออัดแย่งกันสั่งอาหารตอนมื้อเที่ยง นั่งบนโต๊ะทำงานที่เคลียร์เอกสารไม่เคยหมดสักที และใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง เพื่อเดินทางกลับถึงบ้านเพื่อพักผ่อน แต่สุดท้ายพบว่าต้องนอนพักกับห้องที่รกๆ เพราะหมดแรงแล้ว ที่จะจัดห้องให้ดูเรียบเก๋แบบมินิมอล

ความเป็นมินิมอลเป็นการแสดงความงามที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ โดยลดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป และถูกนำมาใช้ในงานศิลปะ การตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม และวงการแฟชั่น ผู้คนจึงไม่เพียงชื่นชมแต่ยังซึมซับแนวคิดนี้มาปรับใช้ในการอยู่อาศัยและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปให้เหลือเฉพาะสิ่งที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น เช่น อาศัยอยู่ในบ้านหรือห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์เท่ากับจำนวนผู้อยู่อาศัย มีสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น ไม่ประดับตกแต่งข้าวของมากมาย ไม่สะสมทรัพย์สิน เป็นต้น หากเราลองนำแก่นของการใช้ชีวิตแบบมินิมอลมาปรับใช้กับตัวเอง จะพบว่าการอยู่กับสิ่งที่จำเป็นที่อาจจะดูน้อย แต่ทำให้การใช้ชีวิตของคุณมีคุณภาพมากขึ้น และอาจทำให้คุณ “ได้มากกว่า” ที่เคย โดยคนที่อยากลองใช้ชีวิตแบบมินิมอล สามารถเริ่มจาก 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น

ใครชอบช็อปยกมือขึ้น เวลาที่เห็นป้าย “Sale” แล้วหยุดขาตัวเองไม่ได้ สมองมันสั่งว่า ของมันต้องมี ของมันต้องใช้ เห็นสินค้าใหม่หรือเห็นใครมีอะไรก็อยากได้ ต้องไปหาซื้อมาไว้บ้าง เหล่านี้นับว่าเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การถมข้าวของไว้เต็มบ้าน ทั้งถุงทั้งกล่องวางระเกะระกะ และยังมีเสื้อผ้าข้าวของมากมายในตู้ที่ไม่เคยแกะห่อออกมาใช้ด้วยซ้ำ ลองเอามารวมกันแล้วคิดเป็นเงินเล่นๆ ถ้าคุณเปลี่ยนของสะสมพวกนี้เป็นเงินเก็บคุณอาจได้เงินก้อนโตก็ได้นะ เพราะฉะนั้นการเริ่มจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นในชีวิตทำให้รู้ว่าอะไรควรซื้อไม่ควรซื้อ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหายอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนทุกคน คือ ไม่รู้เงินหายไปไหนหมด? ได้ดีเลยทีเดียว

จัดระเบียบ

ระหว่างที่เริ่มรู้ว่าตัวเองมีความจำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง ก็ควรนำมาจัดระเบียบเพื่อแยกสิ่งที่ใช้และสิ่งที่ไม่ใช้ออกจากกัน ถึงตอนนี้จะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว “ความรกที่แท้ทรู” เสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าของกระจุกกระจิกทั้งหลายแบ่งออกเป็นกอง เพื่อเก็บแจกจ่ายหรือทิ้ง ส่วนสิ่งของที่มีคุณค่าต่อความทรงจำก็สามารถเก็บใส่กล่องให้เป็นระเบียบ สิ่งที่ไม่ใช้แต่ยังใหม่ก็นำไปบริจาคหรือลองเอาไปขายออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือขายในเพจของตนเองดู ต้นทุนไม่เสีย หน้าร้านก็ไม่มี คุณอาจได้อาชีพเสริมที่ทำเงินได้แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ช่วงแรกอาจจะมีเสียดายแต่เชื่อเถอะว่าถ้าไม่ใช่ทองหรือของมีค่าก็ไม่มีราคาคุ้มค่าให้เก็บหรอกนะ

เลือกซื้ออย่างคุ้มค่าใช้จ่ายอย่างจำเป็น

เมื่อข้าวของที่จำเป็น อยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว จะพบว่าสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่มีระเบียบขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาหาของ ทำความสะอาดง่ายขึ้น และถ้าของบางอย่างกำลังจะหมดก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องซื้ออะไร ดังนั้นเมื่อเริ่มเห็นว่าชีวิตจัดระเบียบได้ลงตัวแล้ว การเลือกซื้อสิ้นค้า และใช้จ่ายให้คุ้มค่าก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีหลายแบรนด์ที่นำเสนอสินค้าสไตล์มินิมอล มีทั้งแบรนด์ราคาสูง ราคาปานกลาง หรือจะเลือกซื้อสินค้าที่มีดีไซน์ดีมีคุณภาพแต่ราคาไม่แพง ก็เลือกได้ตามรสนิยมและความมั่นคงทางการเงินของคุณ เพียงแต่ยึดหลักการเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ ตามความจำเป็น ความคงทน ความคุ้มค่าและราคาที่เหมาะสม หรือแม้กระทั่งเรื่องใกล้ตัวที่ต้องพบเจอในชีวิตประจำวันอย่างการจ่ายบิลต่างๆ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต จิปาถะมากมาย อย่างต่ำๆ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อบิล 10 บาทแล้ว เหล่านี้ถ้าเรามีการจัดระเบียบอย่างดี เลือกจ่ายบิลแบบไม่เสียค่าธรรมเนียม เงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็สามารถแปรผันเป็นเงินออมได้มิใช่น้อยเช่นกัน

เก็บออมเพื่อความมั่นคง

เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมว่าการใช้ชีวิตเท่าที่จำเป็นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องอด หรือต้องเพิ่มความตระหนี่ขี้เหนียวแต่อย่างใด คุณยังสามารถกินอาหารอร่อย ใส่เสื้อผ้าแฟชั่นที่ชอบ ใช้ของที่อยากใช้ บนพื้นฐานของการใช้ชีวิตที่สามารถอยู่ได้ด้วยสิ่งของที่จำเป็น ซึ่งจะรู้ว่าความต้องการในชีวิตแท้จริงนั้นไม่ได้มากมายอะไรเลย และยังส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อที่ลดลงทำให้มีเงินเหลือเก็บ สามารถออมไว้ใช้ยามจำเป็นหรือฉุกเฉินได้มากกว่าที่เคยเป็นด้วย รวมไปถึงการสร้างความมั่นคงในชีวิตเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าเรารู้จักการวางแผนการเงิน และบริหารเงินให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกองทุน ประกัน หรือลงทุนในหุ้นก็ดี ล้วนเป็นการลงทุนซึ่งจะต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ แต่นั่นเป็นไอเดียที่ดีแล้ว ที่คุณเริ่มคิดหาแหล่งลงทุนเพื่อให้เงินของคุณงอกเงย และสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต

ดังนั้นการปรับใช้ชีวิตแบบมินิมอลให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองนั้น จึงไม่ได้ยึดติดอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าเครื่องใช้ดีไซน์เรียบง่ายเท่านั้น แต่อยู่ด้วยการมีสิ่งของเท่าที่จำเป็น และการใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน และคุ้มค่าต่างหาก ดังนั้นหากคุณสามารถนำความชอบมาปรับใช้กับไลฟ์สไตล์แบบมินิมอลของตัวเองให้เป็น ก็นับว่าเป็นคนที่ ‘ใช้ชีวิตอย่างฉลาด’ แล้วความสุข ความสมดุล และความมั่นคงก็อยู่ไม่ไกลแน่นอน

 

ขอบคุณบทความจาก ME by TMB

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย

 

เหตุที่นำความรู้สมุนไพรเพื่อนเบาหวานมาคุยกันในคอลัมน์นี้บ่อยๆ เนื่องจากชาวไทยทั้งที่อยู่เมืองหรืออยู่ในหมู่บ้านห่างไกล กำลังเผชิญกับภัยคุกคามใกล้ตัวจากเบาหวานอย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่คุ้นเคยกับโรงพยาบาลชุมชนย่อมคุ้นเคยกับคลีนิคเบาหวาน ที่เปิดอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งมีชาวบ้านรอคิวกันครั้งละหลายร้อยคน ลองหันไปสำรวจคนรอบข้างตัวคุณ เชื่อว่าจะมีอย่างน้อย 1 คนที่คุณรู้จักกำลังเป็นเบาหวาน

การดูแลสุขภาพของผู้เป็นเบาหวานนั้น ในทางวิชาการยอมรับกันแล้วว่า การกินยาลดน้ำตาลอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การกินอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฝึกฝนด้านจิตใจ เรียนรู้การผ่อนคลายเพื่อให้ห่างไกลความเครียดเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ซึ่งหมายถึงพึ่งยาอย่างเดียวไม่พอ ต้องพึ่งตนเองรู้จักเลือกกินเลือกอยู่ให้สมดุลจึงอยู่กับเบาหวานได้อย่างมี ความสุข

ช้าพลู เป็นผักพื้นบ้าน แต่ก็สามารถนำมาปลูกในบ้านได้ เมื่อเกิดแล้วไม่ต้องกลัวสูญพันธุ์ ตัดทิ้งอย่างไรพอฝนมาหรือรดน้ำก็มีต้นงอกให้ใช้งานได้เสมอ ในแง่อาหารการกิน ช้าพลูเป็นตัวเอกของเมี่ยงคำ ใช้ใบห่อเครื่องปรุงต่างๆ ในแง่ยาสมุนไพร ตำรับยาพื้นบ้านและความรู้แบบปากต่อปาก ซึ่งสืบทอดมานาน ยอมรับว่าใช้ช้าพลูแก้เบาหวาน

วิธีใช้ให้เอาต้นช้าพลูทั้งห้า หมายถึงใช้ทั้งต้นรวมรากด้วย นำมา 1 กำมือ ให้พับเถาช้าพลูเป็น 3 ทบ ให้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ นำไปใส่หม้อต้มกับน้ำ 3 ขัน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ 1 ขัน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหาร วันละ 3 เวลา วิธีนี้มีผู้ใช้ช่วยแก้อาการเบาหวานได้

ขณะนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง โดยต้มน้ำช้าพลูทั้งห้า แล้วป้อนให้กระต่าย 2 กลุ่ม กลุ่มกระต่ายปกติ และกลุ่มที่เป็นเบาหวาน โดยทำการเปรียบเทียบกับยาฝรั่งชื่อ ทอลบูตาไมด์ (Tolbutamide) และน้ำกลั่น พบว่า น้ำช้าพลูช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่ลดน้ำตาลของกระต่ายปกติ และให้กระต่ายกินยาทั้ง 2 ชนิดต่อไปอีก 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำช้าพลูยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่ยา ทอลบูตาไมด์ มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเท่าน้ำช้าพลู

แม้ว่ายังไม่มีการศึกษาทางคลินิกหรือในมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ช้าพลูก็เป็นผักสมุนไพรที่น่าสนใจกินเป็นตัวเสริมในการลดน้ำตาลในเลือด ช้าพลูยังเป็นผักที่มีสารแอนตี้ออกซิแด๊นต์สูง มีวิตามินเอ และซีสูงด้วย และที่สำคัญช้าพลูไม่มีผลลดน้ำตาลในคนปกติ ช้าพลูปลูกง่าย ขยายพันธุ์ง่าย

ถัดจากช้าพลู มะระขี้นก ที่เลื้อยริมรั้วก็เป็นสมุนไพรเพื่อนเบาหวานได้ดี มีการศึกษาพบว่าสารในมะระขี้นกออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วย และยังยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับอ่อน มะระขี้นกจึงมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีการใช้มีหลายวิธี ที่สะดวกและง่ายในเวลานี้ คือรูปแบบแคปซูล สามารถกินมะระขี้นกบดผง ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง

หรือทำเป็นชาชง นำผลมะระขี้นกมาหั่น เอาเฉพาะเนื้อ ตากแดดให้แห้ง ใช้เนื้อมะระขี้นกแห้ง 1-2 ชิ้น ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งกินได้ตลอดวันก็ได้

มะระขี้นก เป็นผักพื้นบ้านของไทย แต่ก็พบได้ทั้งในจีน พม่า อินเดีย ศรีลังกา ไปจนถึงแอฟริกาและอเมริกาใต้ ทุกประเทศที่รู้จักมะระขี้นกก็จะนำมาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับผู้เป็นเบาหวาน ทั้งสิ้น แม้แต่หมอแผนปัจจุบันในอินเดียยังสั่งยามะระขี้นกให้คนไข้กิน มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเดินทางไปดูงานสมุนไพรทั้งที่จีนและพม่า ก็พบว่า หมอสมุนไพรที่นั่นสั่งมะระขี้นกให้ผู้ป่วยเบาหวานกินเป็นประจำ

มะระขี้นกเลื้อยตามริมรั้วแล้ว ตำลึง ผักที่เลื้อยริมรั้วไม่ต้องหาซื้อมาปลูก แต่จะมาพร้อมฝนและพบได้ในที่รกร้าง ก็เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลได้ดี นอกจากทำน้ำแกงจืดได้รสอร่อยถูกปากตั้งแต่เด็กไปจนผู้ใหญ่แล้ว นักวิชาการจากหลายประเทศยังช่วยกันศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยยอมรับว่า ตำลึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ซึ่งส่วนที่ออกฤทธิ์นั้นใช้ได้ทั้ง ใบ ราก ผล ตำรายาอายุเวทเก่าแก่นับพันปี ก็บันทึกไว้ให้ใช้ตำลึงเป็นยาแก้เบาหวาน

วิธีใช้ง่ายๆ ให้สมกับตำลึงขึ้นได้ทั่วไป คือให้กินพร้อมมื้ออาหรให้ได้วันละ 1 กำมือ หรือจะใช้วิธีตามตำรา นำยอดตำลึง 1 กำมือ ปรุงรสด้วยการใส่เกลือหรือน้ำปลาเล็กน้อย เพื่อให้กินอร่อยขึ้น แล้วนำไปห่อด้วยใบตอง เอาไปเผาไฟให้สุก กินให้หมด ให้กินก่อนนอนติดต่อกัน 3 เดือน ผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานก็น่าจะหันมากินตำลึงกันเป็นประจำ เป็นการช่วยป้องกันเบาหวาน และยังได้รับวิตามินโดยเฉพาะวิตามินเอที่มีอยู่สูงมาก มีวิตามินซีสูงกว่ามะนาว มีวิตามิน บี 3 ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และที่สำคัญ กินตำลึงเป็นประจำ ไม่ท้องผูก เพราะมีใยอาหารจำนวนมาก

ผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นยาช่วยลดน้ำตาลใน เลือดได้ เป็นผักคู่อาหารยอดฮิตของคนไทย “กะเพราไก่ไข่ดาว” นั่นเอง กะเพรา มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายชนิด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านความเครียด แก้หืด ต้านอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด และมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย ในใบกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยและพฤกษเคมีหลายชนิด นักวิจัยพบว่าช่วยทำให้ตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลลินได้ดีขึ้น

การศึกษาวิจัยให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน กินใบกะเพราะบดผงวันละ 2.5 กรัม นาน 4 สัปดาห์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ วิธีทำใช้เอง อาจนำใบกะเพราตากแห้ง แล้วบดผง นำมา 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย กินวันละ 3 ครั้ง หรือจะบรรจุแคปซูล กินวันละ 2.5 กรัม ก็ได้ นักวิจัยแนะนำว่า กะเพราเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรง แบบเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง

เตยหอม เป็นสมุนไพรใกล้ตัวอันดับที่ห้าที่อยากชวนให้ลิ้มลอง เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันทั่วประเทศ ปรุงเป็นเครื่องดื่มรสอร่อยหอมชื่นใจ ทำเป็นอาหารคาวหวานได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ห่อใบเตย วุ้นใบเตย คนทั่วไปมักรู้จักสรรพคุณทางยาของต้นเตยหอม เป็นชาชงช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ใช้แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย แต่มีคนไม่มากรู้จักนำเอารากเตยหอม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน และลดเบาหวาน

และดูเหมือนว่าเตยหอมเป็นสมุนไพรที่คนไทยรุ่นเก่ารู้จักใช้เพื่อแก้เบาหวานกันมาก ใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ และอยู่ในตำรับก็มี

ขณะนี้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าเตยหอมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขับปัสสาวะ แม้ว่ายังไม่ได้วิจัยถึงขั้นทดลองในคน แต่เตยหอมเป็นตำรับยาที่มีความปลอดภัย และคนทั่วไปหามาใช้ประโยชน์ได้ง่าย ราคาถูก ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็สามารถทำเครื่องดื่มรสอร่อยดื่มกินได้

ถ้าว่ากันตามตำรา ใช้รากเตยหอม 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่น้ำประมาณ 1 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 15-20 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 เวลา เวลาต้มจะปรุงแต่งใส่ใบเตยหอมให้มีสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้ชวนดื่มก็ได้

สมุนไพรใกล้ตัวคนไทยอีกชนิดหนึ่งคือ ว่านหางจระเข้ แม้ไม่ใช่พืชท้องถิ่นดินแดนสยาม แต่คนไทยรู้จักกันทั่วไป พบเห็นการปลูกไว้ในกระถางหน้าบ้านทั่วทุกภาค ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีก ราวๆ กว่า 3,500 ปีมาแล้ว สมัยนั้นมีบันทึกการใช้ไว้อย่างละเอียด สมัยนี้ก็ยังนิยมใช้ในสรรพคุณไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่ใช้รักษาบาดแผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ผื่นคัน ผิวหนังผุผอง ถูกแดดแผดเผา ใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม แก้โรคริดสีดวง เป็นต้น

ว่านหางจระเข้จึงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมาก และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ในการศึกษาทางยาพบสิ่งที่น่าสนใจว่า ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองและในคนด้วย ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย

วิธีการใช้ว่านหางจระเข้อย่างง่ายๆ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย 1 ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ 15 กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกินเนื้อวุ้นสดๆ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า เนื้อวุ้นที่เก็บไว้จะมีสรรพคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเคล็ดลับในการเตรียมยา คือ

ถ้าตัดกาบใบมาทั้งกาบ ให้ตัดเป็นท่อนในขนาดที่จะกินในวันนั้น ที่เหลือไม่ควรปอกเปลือก และให้เก็บไว้ในตู้เย็น ควรกินให้หมดภายใน 3-5 วัน ถ้าต้องการกินต่อจึงไปตัดจากต้นสด

สมุนไพรใกล้ตัวอันดับเจ็ด เป็นสมุนไพรอินเทรนด์ตามกระแสการดื่มกาแฟสด ซึ่งสูตรกาแฟชนิดหนึ่งจะมีการปรุงด้วยอบเชยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม คนรุ่นใหม่จึงรู้จักอบเชยมากขึ้น ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้ มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเขียนเรื่องราวอบเชยแก้เบาหวานไว้อย่างละเอียดแล้ว ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของมูลนิธิได้ (www.thaihof.org)

ในที่นี้ขอย้ำเตือนว่าอบเชยเป็นสมุนไพรของชาวเอเซียที่คนทางยุโรปและ อเมริกาให้ความสนใจมาก การเผยแพร่สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดนี้ก็มาจากการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการใน วารสาร New Scientist และยังมีผลรายงานการศึกษาในที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง พอสรุปได้ว่า

ในอบเชยมีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และสารในอบเชยยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน คือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

วิธีกินอย่างง่ายๆ ให้กินผงอบเชยจีนครั้งละครึ่งช้อนชา วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น โดยอาจผสมผงอบเชยจีนในเครื่องดื่มนม โกโก้ โยเกิร์ต ก็ได้ หรือบรรจุผงอบเชยจีนในแคปซูล ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน จึงจะเห็นผล

สมุนไพรที่นำเสนอไปทั้ง 7 ชนิด ช้าพลู มะระขี้นก ตำลึง กะเพรา เตยหอม ว่านหางจระเข้ และอบเชยจีน เป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปรู้จัก แม้แต่เด็กแนวเด็กอินดี้หรือเด็กเรียนก็ยังรู้จักไม่ต้นใดก็ต้นหนึ่ง สมุนไพรเหล่านี้เป็นของใกล้ตัว และมีการศึกษาวิจัยพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ จึงเป็นทางเลือกใกล้ตัวให้นำมาใช้ให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบส่วนตัว เพื่อเป็นเพื่อนเบาหวานได้ทุกวัน

แต่ไม่ได้หมายความให้ใช้เจ็ดวันเจ็ดอย่าง ให้เลือกใช้ทีละชนิดอย่างต่อเนื่อง

 


 

ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์

กลายเป็นดราม่าในโลกออนไลน์ หลังสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ตั้งกระทู้ร้องเรียนในเว็บไซต์พันทิป ระบุว่า ตนไปซื้อกาแฟเย็นในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ขนาด 22 ออนซ์ โดยไม่ได้ใส่น้ำแข็ง พอนำไปจ่ายเงิน ปรากฏว่าพนักงานคิดราคา 2 แก้ว ตนจึงจำต้องจ่ายเงินค่ากาแฟในราคา 2 แก้ว จึงอยากถามว่านี่เป็นนโยบายของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ใช่หรือไม่

หลังตั้งกระทู้ ปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่าเจ้าของกระทู้ทำไม่เหมาะ เพราะเครื่องดื่มเย็นควรต้องใส่น้ำแข็ง และการไม่ใส่น้ำแข็งเป็นพฤติกรรมที่ไมเหมาะและเอาเปรียบ อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตหลายคนก็เห็นว่า เป็นสิทธิของลูกค้า ที่จะกินกาแฟแบบไม่ใส่น้ำแข็ง และไม่ได้มีกฎห้ามแต่อย่างใดว่าลูกค้าต้องกดน้ำแข็ง

เวลาต่อมา สมาชิกพันทิป “น้องเปาเซเว่น” ของร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ออกมาชี้แจงว่า
น้องเปาต้องอภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึนด้วยนะคะ จากเรื่องที่เเจ้งข้อมูลเข้ามาน้องเปาขอแจ้งให้ทราบว่า ปกติแล้วร้าน 7-Eleven จะจำหน่ายเครื่องดื่มโดยจะคิดราคาตามเเก้วนะคะ สำหรับเครื่องดื่ม 7 Fresh cool น้องเปาเเนะนำหาทานคู่กับน้ำเเข็งจะช่วยทำให้รสชาติของสินค้าอร่อยมากขึ้น ค่ะ ^^ สำหรับการบริการน้องเปาขอดูแลส่งเรื่องประสานงานเพื่อทำการตรวจสอบเเละ ปรับปรุงการบริการในส่วนนี้ต่อไปค่ะ

 


ที่มา Pantip

 เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2561 ณ สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถจักรไอน้ำเที่ยวประวัติศาสตร์ กรุงเทพ-อยุธยา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ ครบรอบ 121 ปี ในวันที่ 26 มีนาคมนี้

โดยมีนายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการเดินรถ พร้อมผู้บริหารการรถไฟฯ ร่วมในพิธี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวแต่งกายชุดไทยเป็นจำนวนมาก

 

—————

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

จังหวัดเชียงราย ไม่ได้โดดเด่นเพียงมีวัดวาอารามที่วิจิตรสวยงามดึงดูนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กระแสเที่ยวท้องถิ่นกินแบบคนท้องถิ่น Go Home Go Local นั้นก็สนุกมากๆ

เราขอชี้เป้าพาไปเดินเล่นดูบรรยากาศการค้าขาย โดยเฉพาะวันเสาร์ที่จัดงานถนนคนเดินในตัวเมืองเชียงราย จัดว่ามีเสน่ห์มาก

ใครมาเที่ยว จ.เชียงราย ต้องแวะมาเดินถนนคนเดิน “วันเสาร์” ให้ได้ !! ย้ำว่าห้ามพลาด เพราะข้าวของที่ขนมาขายละลานตา รับประกันความมันของขาช้อป เดินไปร้านไหนๆ ก็พบว่ามีแต่ “ของมันต้องมี” ตั้งแต่ผัก ผลไม้ อาหารการกิน ไปจนถึงสินค้าทำมือเก๋ๆ

แนะนำให้เตรียมแบงก์ย่อยไปเยอะๆสำหรับสายชิม งานนี้มีเงินปล่อยออกจากมือกันสะพัด ในราคาเบาๆสบายกระเป๋าแต่อร่อยแน่นอน

เริ่มจากสายอาหารไม่ต้องพูดถึง…บรรดาอาหารฟู้ด ทรัค เปิดเรียงรายให้เลือกกินไม่หวาดไม่ไหว ไปจนถึงแผงร้านสตรีทฟู้ดต่างๆ แข่งกันแย่งสายตาอยากจะลองเดินชิมไปซะทุกร้าน

 

ทีมงาน “มติชนอคาเดมี” สะดุดตา ร้านกะป๊อไส้ย่าง ดัดแปลงรถแต่งฟู้ดทรัคเบาๆสไตล์ร้านญี่ปุ่น ขายปิ้งย่าง 3 อย่าง อันได้แก่ ไส้ย่าง สันคอหมูย่าง และ พริกหยวกยัดไส้หมู ดูธรรมดาแต่ยั่วน้ำลาย และ ขายดีแบบเทน้ำเทท่า มาตั้งร้านไม่ถึง 2 ชั่วโมง เก็บร้านแล้ว เพราะขายดีหมดไว ปิดจ๊อบกันแบบไม่ทันมืดค่ำ

ชวนเจ้าของร้านพูดคุย ถึงได้รู้ว่าเริ่มหัดเป็นผู้ประกอบการเพียง 6 เดือน แต่อาศัยสูตรเก่าแก่จากบรรพบุรษ ทำให้มีรสชาติอร่อยเด็ดขาด

จุ๋ย จุ๋ย“นิธิตา มณีรัตน์” เจ้าของกะป๊อไส้ย่าง บอกว่า เคล็ดลับ คือ ใช้ส่วนของไส้หวานนำมาหมักจนได้ที่ แล้วย่างเสียบไม้

และด้วยความที่หนักเครื่องเทศนี่เอง ทำให้รสชาติเข้มข้น ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ

ส่วน หมูย่าง ก็ไม่ใช่หมูสันนอกทั่วๆไป แต่ใช้เนื้อสันคอที่แทรกด้วยไขมัน ถูกอกถูกใจนักกินนักแล และ สุดท้าย พริกหยวกยัดไส้หมู เมนูนี้ได้ไอเดียจากเครื่องเคียงอาหารเกาหลี พบว่ากินพริกหยวกแล้วไปตัดความเลี่ยนของหมูได้ดี จึงนำมาประยุกต์ เอาเนื้อหมูบดคลุกน้ำมันงายัดไส้พริกหยวกสีเขียวสดแล้วมาย่าง

เดินกินไปดูของไปเพลินไปเลย ซักพักได้ยินเสียงแม่ค้าร้องว่าไม้ละ 5 บาท เอี้ยวตัวหันไปดู อุ้ย..เห็ดหอมสดๆ ทอด ไม้ละ 5 บาทเอง เลยจัดไปคนเดียวอีก 4 ไม้ ทอดใหม่ๆ ปล่อยให้เย็นซักนิดเคี้ยวกรอบนอกนุ่มใน คิดถึงก็ยังฟินไม่เลิก

 

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารพื้นเมืองอีกเพียบทั้งแอบปลา จิ้นส้มหมก ข้าวนึ่ง ไปถึงเครื่องทำตำขนุน น้ำเงี้ยว เครื่องดื่มน้ำอโวคาโด้ปั่นแก้วละ 25 บาท ก็รสชาติดีถูกใจวิถีคนรักสุขภาพ

ที่สำคัญถนนคนเดินที่นี่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทุกร้านจะต้องไม่มีถ้วยโฟมเด็ดขาด ต้องใช้จานชามกระดาษใส่ให้ลูกค้า ดูแล้วโล่งใจ เพราะทั้งปลอดภัย และ ดีต่อสิ่งแวดล้อม

อีกเสน่ห์เหลือล้น คือ ลานรำวง มีจัดโต๊ะเก้าอี้ให้คนซื้ออาหารมานั่งกิน พร้อมกับดูบรรยากาศคนเต้นรำเป็นหมู่คณะ รำวงเข้าจังหวะเป็นที่น่ารัก ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวยืนดูกันเพลิน

เรียกว่าของกินก็อร่อย บรรยากาศก็ดี ใครไปเชียงรายต้องไม่พลาดถนนคนเดินรับประกันความม่วนสุดๆ เจ้า


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

ร้านออสเตเรีย ฟรานเชสกานา (Osteria Francescana) ภัตตาคารอาหารอิตาลี ในเมืองโมเดนา ที่ถูกประกาศให้เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2559

นับเป็นภัตตาคารอิตาลีแห่งแรกที่ได้รับรางวัลนี้ และได้รับมิชลินระดับ 3 ดาว ลูกค้าต้องจับจองโต๊ะล่วงหน้าถึง 3 เดือน (บางคนถึงกับลงทุนบินจากนิวยอร์กเพียงเพื่อมาลิ้มลองรสชาติอาหาร ณ ภัตตาคารแห่งนี้) การได้รับรางวัลเกียรติยศนี้ไม่ใช่เพียงเพราะรสชาติอาหารที่เป็นเลิศด้วยการประยุกต์เมนูต่าง ๆ จากวัตถุดิบแบบดั้งเดิมทางตอนเหนือของอิตาลี แต่เป็นเพราะเจ้าของและหัวหน้าพ่อครัวชื่อ Massimo Bottura สร้างบรรยากาศในการทำงานให้เป็น “องค์กรที่ไม่ยึดติด” Massimo Bottura กับพนักงานในร้าน

Bottura ตกหลุมรักการทำอาหารตั้งแต่เด็ก เมื่อได้รับโอกาส เขาจึงทิ้งการเรียนกฎหมายกลางคัน เพื่อเปิดร้านอาหารในเมืองโมเดนา บ้านเกิด แต่แทนที่จะเสนอเมนูอาหารอิตาเลียน แบบ traditional ตามธรรมเนียมทั่วไป เขากลับนำเสนออาหารอิตาเลียนในรูปแบบที่ท้าทายและแปลกใหม่ จนค้นพบเมนูอาหารที่ชื่อว่า Five Ages of Parmigiano Reggiano ที่บรรจงสรรค์สร้างผลงานด้วย พาร์เมซานชีส ซึ่งเป็นเนยแข็งที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้เกิดรูปลักษณ์และรสชาติที่ดี นักชิมไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน เป็นที่มาของการถูกยกย่องให้เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลกในเวลาต่อมา (อ้างอิง 2/) อย่างไรก็ดี หากมีโอกาสได้สัมผัสกับการทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ จะพบว่าไม่เหมือนบรรยากาศร้านอาหารอื่น ๆ ทั่วไป

ภัตตาคารแห่งนี้ไม่มีการปกครองด้วยยศ ตำแหน่ง ทุกคนมีตำแหน่งและความรับผิดชอบเท่าเทียมกัน พนักงานที่เข้ามาใหม่จะถูกหมุนเวียนให้ปฏิบัติงาน ในตำแหน่งต่าง ๆ จนค้นพบตำแหน่งที่ตนถนัดและชอบ พนักงานจะมาจากหลายเชื้อชาติ

เช่น พ่อครัวมาจากญี่ปุ่น และอิตาลี นำความพิถีพิถันของคนญี่ปุ่นมาผสมผสานกับจินตนาการของคนอิตาเลียน นอกจากนั้น Massimo จะสร้างความตื่นเต้นให้กับพ่อครัวและพนักงานตลอดเวลา เช่น เปลี่ยนเมนูอาหารโดยไม่ได้บอกกล่าว พร้อม ๆ กับพาพนักงานและพ่อครัวไปตามเทศกาลอาหารทั่วโลกให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง นำมาสู่การคิดค้นเมนูใหม่ ๆ

การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยึดติดและเคยชิน มีให้เห็นแทบทุกวันที่ภัตตาคารแห่งนี้ เล่าขานกันว่า วันหนึ่งที่พ่อครัวนามว่า Takahiko Kondo กำลังจะเสิร์ฟ lemon tart ขนมสองชิ้นสุดท้าย ในร้าน ปรากฏว่าเขาทำ tart หนึ่งในสองชิ้นนั้นตกลงแตกบนจาน เป็นฝันร้ายทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี คิดอะไรไม่ออก เพราะจะอบใหม่คงไม่ทัน แต่เมื่อ Takahiko รายงานสถานการณ์ให้กับ Massimo เขากลับแสดงท่าทีไม่ตื่นตระหนก กลับบอกว่า

“หยุดก่อน ใจเย็น ๆ ลองมอง tart ที่มันแตกอยู่ดี ๆ ซิ จริง ๆ แล้วมันสวยมากเลยนะ มันสวยราวกับงานศิลปะเลยล่ะ เรามาสร้างมันขึ้นมาแบบให้มันสวยแบบแตก ๆ นี่แหละ”

พูดไม่ทันเสร็จ Massimo นำซอสสีเหลืองบนหน้าของ lemon tart มาปาดลงบนหน้าจาน ทำให้เหมือนกับซอสถูกเทลงมาจากที่สูง และเขาก็ทำแบบเดียวกันลงจานอีกใบหนึ่ง พร้อมกับเคาะ lemon tart อีกชิ้นให้แตกเหมือนกับชิ้นแรก เรียกได้ว่าได้ขนมสองจานที่หน้าตาเหมือนกัน เป็น lemon tart ที่แตกถูกวางและตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นหนึ่งใน signature dish ของภัตตาคารแห่งนี้

และถูกตั้งชื่อว่า “Opps ! I drop the lemon tart” (อ้างอิง 3/)

หนึ่งในพนักงานของภัตตาคารแห่งนี้ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “การทำให้ตนเองเป็นศิลปิน ถือเป็นการปลูกฝังให้ตนเองไม่อยู่ในโลกของความหยุดนิ่ง ไม่ทำตัวให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ตื่นตัวตลอดเวลา และให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงบรรยากาศของภัตตาคารแห่งนี้ ที่พร้อมจะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันและท้าทายตลอดเวลา”

ขณะเดียวกันก็สร้างวัฒนธรรมการทำงานด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม คิดนอกกรอบ พร้อมร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง

ไม่แปลกใจที่ภัตตาคาร Osteria Francescana เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุด 1 ใน 3 ของโลกมาตั้งแต่ปี 2556

ท้ายสุด ขอฝากข้อคิดจาก Massimo Bottura ที่กล่าวไว้ว่า

“ผมพร้อมตลอดเวลากับสิ่งที่คาดไม่ถึง และเชื่อในเรื่องการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องไม่ยึดติดและไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราต้องถามคำถามตลอดเวลา โดยเฉพาะรสชาติของอาหารที่กำลังเสิร์ฟให้กับลูกค้า ณ เวลานี้”

แหล่งที่มา

1/ Francessa Gino, Let Your Workers Rebel, Harvard Business Review, October-November 2016 https://hbr.org/cover-story/2016/10/let-your-workers-rebel

2/ PJ Peippei, “ออสเตเรีย ฟรานเชสกานา” ครองแชมป์ภัตตาคารที่ดีที่สุดในโลก http://jingro.com/th/healthandlifestile/food/italys-osteria-francescana-was-declared-the-worlds-best-restaurant-2016/

3/ คิดนอกกรอบ เขาคิดกันยังไง ? The-Talks.com, 19 มิถุนายน 2560 http://www.missiontothemoon.co/blog/articles/114


ที่มา คอลัมน์ นอกรอบ
โดย รณดล นุ่มนนท นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯพัฒนาแผ่นพลาสติกมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อเจอแสงแดดเตรียมใช้ในการแพทย์-บรรจุภัณฑ์อาหาร

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ คิดค้นและกำลังพัฒนาแผ่นพลาสติกที่ผลิตสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ออกมาในปริมาณเล็กน้อยเมื่อได้รับเเสงเเดด ซึ่งเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่ก่อนหน้านี้ หลายปีก่อนมีทีมแพทย์เข้าไปรักษาคนไข้อีโบล่าในเขตระบาดของโรค ต้องสวมชุดป้องกันการติดเชื้อ เเต่ในระหว่างการใช้งานภาคสนาม ชุดที่สวมเพื่อป้องกันเชื้อโรคก็มีการปนเปื้อนเเละเป็นอันตรายต่อผู้สวมเช่นกัน

โดยการคิดค้นแผ่นพลาสติกที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อเจอแสงแดด อาจนำไปใช้กับบรรจุภัณฑ์อาหารได้ด้วย เพื่อช่วยลดปัญหาโรคติดต่อผ่านทางอาหาร

กัง ซัน นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส กล่าวว่า หากมีเชื้อเเบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่บนผิวหน้าวัสดุหรือพื้นผิวต่างๆ เชื้อโรคก็จะสามารถแพร่กระจายต่อไปได้เเละทำให้คนติดเชื้อ แต่แผ่นพลาสติกนี้จะผลิตสารฆ่าเชื้อโรคออกมาทุกครั้งที่เจอกับเเสงแดด เเม้จะมีปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น เเต่ก็เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคได้ นอกจากจะช่วยป้องกันเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ไม่ให้ติดเชื้อโรคเเล้ว ยังอาจใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับผักผลไม้สดเพื่อให้เก็บไว้ได้นานขึ้นเเละปลอดเชื้อโรค โดยหากเพิ่มพลาสติกนี้เข้าไปอีกชั้นหนึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเเบคทีเรียเข้าไปปนเปื้อนในอาหารได้