“ไวน์” เครื่องดื่มหรูหราและ “ราคาแพง” ยิ่งเป็นไวน์ที่ติดอันดับชาร์ตด้วยแล้วถึงหมื่นถึงแสนต่อขวดเลยทีเดียว จึงว่ากันว่าบางครั้งไวน์นอกจากเป็นเครื่องดื่มแล้วยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงสถานะในสังคมของผู้คนด้วย

ดร.พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล จากสถาบันบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ชี้ให้เห็นข้อมูลของธนาคารโลก และ UN Comtrade (United Nations Commodity Trade Statistics database) หรือฐานข้อมูลการค้าสหประชาชาติ เกี่ยวกับปริมาณไวน์นำเข้าของแต่ละประเทศ พบปริมาณไวน์นำเข้าสัมพันธ์กับ “รายได้ต่อประชากร” อย่างมาก เพราะชาติร่ำรวย ซึ่งมีประชากรมีการศึกษาสูง ทั้งในยุโรปเหนือและยุโรปตะวันตก ล้วนติดอันดับต้นๆ ของโลกที่นำเข้าไวน์

ข้อเท็จจริงนี้อาจเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของการดื่มไวน์ในระดับพอสมควร ส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พบว่า “สิงคโปร์” เป็นประเทศที่นำเข้าไวน์เทียบกับจำนวนประชากรสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และราคาเฉลี่ยของไวน์นำเข้าอยู่ที่ 17 ดอลลาร์สหรัฐต่อลิตร เป็นราคาสูงที่สุดในโลก รองลงมาคือฮ่องกง 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อลิตร โดยสิงคโปร์มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขที่ธนาคารโลกระบุไว้ และสิงคโปร์ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวกับเมืองท่ากระจายสินค้าในย่านเอเชียตะวันออก

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตัวเลขไวน์นำเข้าของสาธารณรัฐประชาชนลาว หรือ “สปป.ลาว” พบว่าปริมาณไวน์นำเข้าของลาวมีรูปแบบผิดปกติจากประเทศอื่น เพราะลาวเป็นประเทศที่มีประชากร 6.2 ล้านคน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเกือบต่ำสุดในอาเซียน แต่กลับมีปริมาณไวน์นำเข้า 4.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.75 ดอลลาร์ต่อคน ในอัตรานี้สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นรองเพียงสิงคโปร์กับมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเทียบกับประเทศไทย พบปริมาณไวน์นำเข้าต่อหัวของ สปป.ลาวสูงเป็น 2 เท่าของไทย ซึ่งอยู่ที่ 0.48 ดอลลาร์ต่อคน ทั้งที่ประชากรไทยมีมากกว่า สปป.ลาว 10 เท่า ปริมาณไวน์นำเข้ามากกว่า สปป.ลาว 7 เท่า และเฉลี่ยประชากรไทยมีรายได้สูงกว่า สปป.ลาวเกือบ 4 เท่า

แต่ถ้าดูรูปแบบการบริโภคของ UN Comtrade แล้ว ประเทศไทยซึ่งร่ำรวยกว่า สปป.ลาว ควรมีปริมาณไวน์นำเข้าสูงกว่า นอกจากนี้ การศึกษากลุ่มเป้าหมายบริโภคไวน์ตามข้อมูลของ PovCalNet และธนาคารโลกระบุว่าควรอยู่ที่กลุ่มประชากรมีรายได้มากกว่า 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

แต่เมื่อพิจารณาขนาดตลาดผู้บริโภคไวน์นำเข้าของ สปป.ลาว กับประเทศไทยพบว่า กลุ่มประชากรดังกล่าวใน สปป.ลาว มีเพียง 0.69%ของประชากรทั้งหมด หรือมีประชากรลาว 42,000 คน เป็นกลุ่มเป้าหมายบริโภคไวน์ และถ้าเทียบ สปป.ลาวกับไทย ซึ่งมีประชากรเป็นกลุ่มเป้าหมายอยู่ 19.7% หรือคิดเป็น 12 ล้านคนจากประชากรทั้งหมดที่สามารถซื้อไวน์บริโภคได้ จากตัวเลขข้างต้นทำให้ตลาดไวน์ประเทศไทยดูใหญ่กว่า สปป.ลาวอย่างเทียบกันไม่ได้

ในกรณีไวน์นำเข้ามานั้นใช้บริโภคภายในประเทศจริงทั้งหมด ถ้าพิจารณาจากปริมาณไวน์นำเข้าต่อกลุ่มประชากรมีรายได้สูงของไทยอยู่ที่ 2.47 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ส่วนลาวอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ตัวเลขเปรียบเทียบดังกล่าวบ่งชี้ปริมาณนำเข้าไวน์ของ สปป.ลาวสูงกว่าไทย 45 เท่า จึงเกิดคำถามตามมาว่า “คนลาวบริโภคไวน์ทั้งหมดในประเทศจริงหรือ?” ยิ่งเทียบ สปป.ลาวกับกัมพูชา ที่มีลักษณะโครงสร้างรายได้และจำนวนประชากรใกล้เคียงกับ สปป.ลาว และมีเมืองท่าการรองรับสินค้าทางทะเล พบมูลค่าไวน์นำเข้าต่อหัวของกัมพูชาต่ำกว่า สปป.ลาวถึง 10 เท่า และต่ำกว่าไทย 5 เท่า

จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับว่ายังมีปริมาณการลักลอบนำเข้าไวน์ในไทยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีตัวเลขเปิดเผยออกมา ยังคงมีแต่ตัวเลขของปี 2554 ที่กรมสรรพสามิตยอมรับในการประชุมผู้ผลิตไวน์ถึงปริมาณไวน์นำเข้าลักลอบ คาดว่าประมาณ 200,000-300,000 โหลต่อปี หรือ 1.8-2.7 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งต่างกับการประมาณการจากตัวเลขของธนาคารโลกข้างต้นเป็นอย่างมาก

เมื่อพิจารณา สปป.ลาว ซึ่งเป็นประเทศไม่ติดทะเล และมีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับสิทธิในการขนสินค้าโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านได้ เมื่อประกอบกับโครงสร้างภาษีของไวน์นำเข้าสูงมากในไทยแล้ว จึงมีการตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่มีการใช้สิทธินำเข้าสินค้าผ่านแดนไทยไปยัง สปป.ลาว เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีสูงในไทย แล้วนำกลับหรือลักลอบเข้ามาขายในไทยอีกครั้ง บ้างก็ผ่านทางบริษัทท่องเที่ยว หรือร้านค้าปลอดภาษี

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเป็นแบบจัดเก็บเต็มเพดานทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณแอลกอฮอล์ โดยจัดเก็บในอัตราร้อยละ 60 และ 100 บาท ต่อลิตรแอลกอฮอล์ เป็นการขยายเพดานสูงสุดในการจัดเก็บ 2,000 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์ ซึ่งหากเป็นไวน์ราคาไม่แพงก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลักลอบนำเข้าไวน์อยู่ดี

อันที่จริงแล้วการปรับลดภาษีและกฎเกณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิธีการคำนวณภาษีที่เกี่ยวกับไวน์ โดยเฉพาะไวน์องุ่น ซึ่งถือเป็นการแปรรูปทางการเกษตรที่มีการเพาะปลูกในไทย ควรจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมไวน์ในประเทศ ช่วยตลาดในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รัฐควรพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้จนสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนบวกหกซึ่งยังไม่มีประเทศใดผลิตไวน์


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ขึ้นชื่อว่าร้านอาหารตามสั่ง เมนูที่คิดสรรให้สั่งมักมีไม่มากนัก แต่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีร้านอาหารชื่อ “กุ๊กนิตย์” ร้านอาหารตามสั่ง ตั้งอยู่ริมถนนเจษฎาบดินทร์ ต.ท่าอิฐ อ.เมืองอุตรดิตถ์ จ.อุตรดิตถ์

ลักษณะร้านเพิงไม้ขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร แต่เมื่อเข้าไปภายในร้านต้องตกตะลึงกับความหลากหลายของเมนูอาหาร ที่มีให้เลือกเกือบ 1,000 เมนู

โดยเมนูมีทั้งที่อยู่ในเล่มรายการอาหารที่วางอยู่ทุกโต๊ะ ยังมีเมนูที่ทั้งแขวน ทั้งแปะ ไปทั่วบริเวณร้าน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าครัว ตามรั้ว เพดาน กระทั่งทางไปห้องน้ำ มีทั้งเมนูข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาว ไปจนถึงสปาเกตตีผัดพริกแห้งน่องไก่ทอด อาหารฟิวชั่นที่ผสมผสานอาหารหลายชนิดไว้ในจานเดียวกัน เช่น ข้าวห่อไข่แกงเขียวหวานพร้อมน่องไก่ทอด หรือเมนูกินเล่น อย่างเอ็นไก่ทอดในกระทงทอง เป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้าเข้ามาอุดหนุนกันแน่นร้านทุกวัน

นายแพทย์อดิศักดิ์ ชัยศิริมา แพทย์โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ บอกว่า วันนี้มารับประทานข้าวกับห่อหมกทะเล มาอุดหนุนตลอด เพราะรสชาติอร่อย มีเมนูให้เลือกหลากหลาย และราคาไม่แพง โดยเมนูที่ชอบที่สุดคือ แกงส้มกับน่องไก่ทอดกรอบ

นายสานิตย์ หมวดสันเที๊ยะ อายุ 46 ปี เจ้าของและพ่อครัว กล่าวว่า เคยเป็นกุ๊กในร้านอาหารมาก่อน เมื่อเปิดร้านอาหารตามสั่งของตัวเอง ก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้ามีเมนูอาหารให้เลือกรับประทานได้มากที่สุด ไม่อยากให้รับประทานอาหารซ้ำๆ จึงได้พัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ โดยเฉพาะอาหารจานใหญ่ๆ ที่มีในภัตตาคารก็มาทำให้เป็นจานเล็กๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปก็สามารถซื้อรับประทานได้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 30 บาท เช่น ข้าวหมูทอดกระเทียม ไปจนถึง 90 บาท ที่สามารถรับประทานอาหารได้ถึง 3 อย่างในเมนูเดียว

“ผมเปิดร้านมาเกือบ 10 ปีแล้ว เน้นพัฒนาอาหารมากกว่าพัฒนาร้าน เพราะอยากให้ชาวบ้านทั่วไปกล้าเข้ามากิน ซึ่งลูกค้าประจำมีหลากหลายกลุ่ม ทั้งแพทย์ พยาบาล นักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และประชาชนทั่วไป มีทั้งที่มารับประทานที่ร้าน และสั่งเป็นกล่องไปส่งที่บ้านหรือที่ทำงาน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8,000 บาท แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากการขายอาหารคือ ความสุขที่ได้เห็นลูกค้าชอบอาหารที่เราทำ เพราะเราทำด้วยความรัก” นายสานิตย์ กล่าว

 


ที่มา ข่าวสดออนไลน์

ความนิยมในการรับประทาน “จิ้งหรีด” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าสนใจโดยในต่างประเทศมีการเปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงจี้ดหรีดเป็นล่ำเป็นสัน ในฐานะที่ “แมลง” กำลังจะเป็น Big food trend หรืออาหารสำคัญหลักประเภทหนึ่งของโลก

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แนะนำให้ผู้บริโภคทั่วโลกรับประทาน เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ซึ่งจิ้งหรีด 3 ขีด มีปริมาณโปรตีนเท่ากับเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม ที่สำคัญ ยังมีกรดอะมิโน โอเมก้า ไคติน ซึ่งเป็นสารเพื่อความงามด้วย

ในสหรัฐมีฟาร์มจิ้งหรีดขนาดใหญ่ และมีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่กำลังศึกษาการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในฟาร์มจิ้งหรีดให้เป็นแบบโรงงานออโตเมชั่น หรืออัตโนมัติ ที่จะสามารถให้อาหารจิ้งหรีดนับล้านๆตัวตลอด 21 ชั่วโมง ด้วยระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ

ความคิดนี้ไม่ได้ล้ำไปไกลกว่าที่เชื่อมั่นว่าในอนาคต อาหารที่ทำจากจิ้งหรีดกำลังจะเป็นอาหารกระแสหลัก หรือ mainstream ในสหรัฐฯ

กระแสการกินแมลง หรืออย่างน้อยๆใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงที่ทำจากแมลงกำลังเป็น “เทรนด์” ที่ป๊อปปูล่าร์ขึ้นเรื่อยๆ

อีกไม่กี่ปีเราอาจจะหาซื้อขนมหรือสแน็กที่ทำจากจิ้งหรีดได้ทั่วไป มีกราโนล่าจิ้งหรีดวางขายตามร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น หรือโปรตีนบาร์ แท่งธัญพืชที่คุ้นเคยว่าเป็นธัญพืชเมล็ดต่างๆก็จะกลายเป็นโปรตีนบาร์ที่มาจากแมลง

เอาเข้าจริงก็มีแบรนด์อาหารสายทางเลือกบางแห่งมีผลิตขนมจากแมลงขายมาแล้วด้วยซ้ำในร้านค้าปลีกทางออนไลน์

หลายเมนูอาหารในต่างแดน หากใครเป็นนักเสาะ นักชิม จะพบว่ามีร้านอาหารที่เพิ่มเมนูแมลงเข้าไป ไม่ใช่แค่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับประทาน แต่เป็นเรื่องการเข้าหาเมนูสุขภาพ แม้กระทั่งทุกวันนี้ วัตถุดิบในการปรุงอาหารที่ผลิตจากแมลงก็กำลังเป็นอีกเทรนด์ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

แถบอเมริกาเหนือ ให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นโปรตีนจากแมลง เป็นสินค้าระดับพรีเมียม อาทิ ผงโปรตีนจากจิ้งหรีด ที่เอาไว้ใช้ประกอบอาหารนั้นขายกันในท้องตลาดแพงมาก

ขณะที่ในต่างแดนเราเห็นความร่วมมือกันระหว่าง ภัตตาคารระดับไฮเอนด์ไปเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบจากจิ้งหรีดเพื่อนำเมนูจิ้งหรีดขึ้นโต๊ะอาหารหรู

และแน่นอนว่าเมื่อ จิ้งหรีดถือเป็นแมลงเศรษฐกิจ กระบวนการเลี้ยงและผลิตในระดับโรงงานและฟาร์มต่อไปจึงต้องขยับไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น

มีบริษัทสตาร์ทอัพที่ให้ความสนใจในเทคโนโลยีผลิตวัตถุดิบและอาหารจากจิ้งหรีด โดยเข้ามาวางแผนการใช้ระบบหุ่นยนต์ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อเสิร์ฟจิ้งหรีดที่กำลังกลายเป็นวัตถุดิบอาหารที่ผู้คนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆในระยะ 1-2 ปี มานี้

เพราะเชื่อว่าอนาคตบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบทางอาหารชั้นนำของโลกเองก็น่าจะสนใจการมีส่วนผสมจากจิ้งหรีด หรือผงโปรตีนจากจิ้งหรีด ซึ่งเคยมีข่าวว่าแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดัง เคยมองถึงการพัฒนานวัตกรรมโปรตีนจากแมลงเข้าไปอยู่ในน้ำอัดลมด้วยซ้ำ

นั่นคือเรื่องราวในอีกฟากหนึ่งของโลกเรา เพราะด้านหนึ่งบ้านเราก็คุ้นชินกับการกินแมลงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆในโลก หลายประเทศในทวีปแอฟริกา หรืออเมริกาใต้ก็บริโภคแมลงเป็นเรื่องสามัญ น่าสนใจว่าเราอาจได้เห็นอนาคตที่บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานผลิตอาหารจากจิ้งหรีดก็เป็นได้

ส่วนในประเทศไทยก็น่าสนใจไม่เบา ทุกวันนี้มีรายงานว่ามีฟาร์มจิ้งหรีดมากถึง 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ

กินแมลง กินจิ้งหรีด อาหารชั้นดีโปรตีนชั้นยอด
เป็นเทรนด์โลกที่กำลังมา…

 


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

เรื่องใหญ่สุดของนักวิ่งอีกเรื่องหนึ่ง คือ การต้องเรียนรู้โครงสร้างร่างกายและเท้าของตัวเอง เพื่อหารองเท้าที่ใส่สบาย เพราะการวิ่งจะมีการลงเท้าสู่พื้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนหลายพันครั้ง รองเท้าที่ดีจะช่วยในการลดแรงกระแทก ระบายความร้อน และช่วยให้การลงเท้ามั่นคง การส่งแรงที่ดีทำให้ประหยัดแรง

โดยประเภทและคุณสมบัติของรองเท้ามีการแยกย่อยไปกับจุดประสงค์การวิ่งที่ต่างกัน อาทิ
-รองเท้าวิ่งอเนกประสงค์
-รองเท้าสำหรับฝึกซ้อมบนถนน
-รองเท้าสำหรับการแข่งขันบนถนนในระยะทางที่แตกต่าง
-รองเท้าสำหรับการวิ่งเทรล
ฯลฯ

รองเท้าวิ่งแต่ละแบรนด์ มีหลายรุ่นย่อยออกมาเพื่อตอบสนองโครงสร้างของเท้าในรูปแบบต่างๆ

กฎเหล็กง่ายๆในการเลือกรองเท้า คือ “ทดลองสวมด้วยตัวเอง”

ไม่ควรฝากซื้อ ไม่พรีออเดอร์ ไม่เชื่อโฆษณาที่มีอยู่เกลื่อนเมือง แบรนด์รองเท้าที่พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยเรื่อยๆ จึงต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยของแต่ละคน รวมทั้งปัจจัยอย่าง การฝึกซ้อมที่ดีพอ เทคนิคของท่าทางการวิ่ง และที่สำคัญ คือ โครงสร้างทางร่างกายที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของรองเท้าที่เลือกมา

และเคล็ดลับที่ต้องทดลองด้วยตัวเองขอให้ยึดหลักต่อไป

-“สวมใส่สบาย”
-“ไม่คับหรือหลวมเกินไป”
-“เวลาลงเท้าวิ่งรับรู้ถึงความมั่นคง”
-“ไม่เกิดแรงกระแทกสะท้อนกลับมาที่ข้อเท้าหรือเข่า”
-“ผ้ากระชับเท้าระบายความร้อนได้ดี”
-“พื้นรองเท้าไม่แข็งกระด้าง ยืดหยุ่น และทรงตัวได้ดี”

เพราะรูปเท้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน หรือแม้แต่เท้าเราทั้งสองข้างยังไม่เหมือนกันเลย ความรู้สึกในการสวมใส่ จึงย่อมแตกต่างกัน รองเท้าที่ดีของนักวิ่งคนหนึ่ง อาจเป็นรองเท้ายอดแย่ของนักวิ่งอีกคนก็เป็นไปได้

ลองสวมใส่ด้วยตัวเอง ลองก้าวขา ลองเดิน ลองวิ่ง แล้วจึงตัดสินใจซื้อที่สบายและเหมาะกับเท้าเรา เพราะรองเท้าที่เลือกมาจะต้องอยู่กับเราไปทุกก้าววิ่ง

 


ขอบคุณข้อมูล หนังสือ “วิ่งได้ ไม่ใช่แค่ได้วิ่ง” โดย ครูดิน สถาวร จันทร์ผ่องศรี สำนักพิมพ์มติชน

หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่างานศิลปะหลายชิ้นมีราคาแพงมหาศาล ขนาดที่ภาพเขียนบางภาพอยู๋ในพิพิธภัณฑ์ที่มีการดูแลความปลอดภัยแน่นหนาราวกับเครื่องเพชร ตามไปดูกันว่า 10 อันดับภาพเขียนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์กัน!

อันดับ 10 Massacre of the Innocents โดย Peter Paul Rubens มูลค่า 76.7 ล้านเหรียญ

อันดับ 9 Adele Bloch-Bauer II โดย Gustav Klimt มีมูลค่า 87.9 ล้านเหรียญ

อันดับ 8 The Scream โดย Edvard Munch ถูกประมูลในมูลค่า 119.9 ล้านเหรียญในปี 2012

อันดับ 7 Salvator Mundi โดย Leonardo da Vinci ซึ่งนักสะสมชาวรัสเซียได้ประมูลไปในราคา 127.5 ล้านเหรียญ

อันดับ 6 Garçon à la pipe โดย Pablo Picasso มูลค่า 104.2 ล้านเหรียญ

อันดับ 5 Bal du moulin de la Galette โดย Pierre-Auguste Renoir มูลค่า 78.1 ล้านเหรียญ

อันดับ 4 The Card Players โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Cézanne ซึ่ง Qatar ก็ได้ซื้อไปอีกแล้วในราคา 259 ล้านเหรียญ

อันดับ 3 When Will You Marry? ของ Paul Gauguin ซึ่งทาง Qatar ได้ซื้อขาดไปด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ

อันดับ 2 Nude, Green Leaves and Bust โดย Pablo Picasso มุลค่า 106.5 ล้านเหรียญ!!!

อันดับ 1 คงหนีไม่พ้น Mona Lisa โดยศิลปิน Leonardo Da Vinci มูลค่ากว่า 760 ล้านเหรียญ!!!

ผ่านไปเรียบร้อยแล้วสำหรับทัวร์ “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา” ที่พาทุกคนไปร่วมย้อนอดีตตามรอยตัวละครดังอย่าง “แม่การะเกด” เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นรอบแรก โดยรอบที่สองจะจัดขึ้นในวันที่ 31 มีนาคมนี้

บรรยากาศงานนี้เรียกได้ว่าเต็มอิ่มความรู้ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาจาก รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ที่เล่าให้ฟังทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะและวัฒนธรรมของยุคกรุงศรีฯ ที่ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ก็ไม่มีใครหวั่น

ส่วนมื้อเที่ยงจัดเต็มที่ร้านอาหารบ้านวัชราชัยด้วยเมนูเด็ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลาช่อนเผา น้ำจิ้ม 3 รส, ขนมจีนน้ำพริก, แกงส้มผักรวมกุ้ง, น้ำพริกมะม่วงปลาซิวอด, ยำถั่วพู, มะม่วงน้ำปลาหวาน ตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างขนมใส่ไส้และน้ำเย็นๆ ชื่นใจอย่างน้ำใบเตย

Firebox เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ของอังกฤษ เปิดตัวเลตเตอร์บ็อกซ์ ไวน์ Letterbox Wine ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเป็นไวน์บรรจุขวดสไตล์เก๋ไก๋ มีให้เลือกด้วยกันสามชนิด ได้แก่ ไวน์แดง ไวน์ขาว และไวน์สีกุหลาบ

ความพิเศษตรงขวดไวน์ ที่ผลิตจากพลาสติกหนาคล้ายแก้ว สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ จุของเหลวได้สูงสุด 75 เซนติลิตร และมีรูปทรงแบนยาวสะดวกต่อการส่งผ่านช่องสอดจดหมายบนประตูบ้าน

ภาพจากเพจเฟซบุ๊ค China Xinhua

โรงแรมอัมรา กรุงเทพ ขอแนะนำเมนูดับร้อนตลอดเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ด้วยต้นตำรับข้าวแช่ลอยในน้ำดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงหลากหลาย อาทิ ลูกกะปิทอด พริกหยวกสอดไส้ เนื้อเค็มฝอยผัดหวาน ผักกาดเค็มผัดหวาน ปลาแห้งผัดหวานรวมไปถึงผักสดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา กระชาย มะม่วงดิบ เป็นต้น ราคาชุดละ 420 บาทต่อชุด

ลูกค้าสามารถจองผ่านทางอีเมล [email protected] หรือโทร 02 021 8888 เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

พอพูดถึงคำว่า ‘มินิมอล’ หลายคนคงคิดถึงคอนเซ็ปต์น้อยแบบมีอะไร เรียบแต่โก้ ที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความเรียบง่ายผ่านการจัดวางสิ่งของน้อยชิ้น แลดูชิค ดูคูล รู้สึกถึงความปลอดโปร่งเป็นระเบียบ ปราศจากความวุ่นวาย นี่แหละใช่เลย! ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่ใครๆ ก็อยากได้ แต่ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เรายังคงต้องเดินทางออกจากบ้านไปทำงานเพื่อหาเงิน ต้องเร่งรีบเดินทาง เบียดเสียดรถราที่วิ่งขวักไขว่บนท้องถนน แออัดแย่งกันสั่งอาหารตอนมื้อเที่ยง นั่งบนโต๊ะทำงานที่เคลียร์เอกสารไม่เคยหมดสักที และใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง เพื่อเดินทางกลับถึงบ้านเพื่อพักผ่อน แต่สุดท้ายพบว่าต้องนอนพักกับห้องที่รกๆ เพราะหมดแรงแล้ว ที่จะจัดห้องให้ดูเรียบเก๋แบบมินิมอล

ความเป็นมินิมอลเป็นการแสดงความงามที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ โดยลดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป และถูกนำมาใช้ในงานศิลปะ การตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม และวงการแฟชั่น ผู้คนจึงไม่เพียงชื่นชมแต่ยังซึมซับแนวคิดนี้มาปรับใช้ในการอยู่อาศัยและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปให้เหลือเฉพาะสิ่งที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น เช่น อาศัยอยู่ในบ้านหรือห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์เท่ากับจำนวนผู้อยู่อาศัย มีสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น ไม่ประดับตกแต่งข้าวของมากมาย ไม่สะสมทรัพย์สิน เป็นต้น หากเราลองนำแก่นของการใช้ชีวิตแบบมินิมอลมาปรับใช้กับตัวเอง จะพบว่าการอยู่กับสิ่งที่จำเป็นที่อาจจะดูน้อย แต่ทำให้การใช้ชีวิตของคุณมีคุณภาพมากขึ้น และอาจทำให้คุณ “ได้มากกว่า” ที่เคย โดยคนที่อยากลองใช้ชีวิตแบบมินิมอล สามารถเริ่มจาก 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น

ใครชอบช็อปยกมือขึ้น เวลาที่เห็นป้าย “Sale” แล้วหยุดขาตัวเองไม่ได้ สมองมันสั่งว่า ของมันต้องมี ของมันต้องใช้ เห็นสินค้าใหม่หรือเห็นใครมีอะไรก็อยากได้ ต้องไปหาซื้อมาไว้บ้าง เหล่านี้นับว่าเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การถมข้าวของไว้เต็มบ้าน ทั้งถุงทั้งกล่องวางระเกะระกะ และยังมีเสื้อผ้าข้าวของมากมายในตู้ที่ไม่เคยแกะห่อออกมาใช้ด้วยซ้ำ ลองเอามารวมกันแล้วคิดเป็นเงินเล่นๆ ถ้าคุณเปลี่ยนของสะสมพวกนี้เป็นเงินเก็บคุณอาจได้เงินก้อนโตก็ได้นะ เพราะฉะนั้นการเริ่มจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นในชีวิตทำให้รู้ว่าอะไรควรซื้อไม่ควรซื้อ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหายอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนทุกคน คือ ไม่รู้เงินหายไปไหนหมด? ได้ดีเลยทีเดียว

จัดระเบียบ

ระหว่างที่เริ่มรู้ว่าตัวเองมีความจำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง ก็ควรนำมาจัดระเบียบเพื่อแยกสิ่งที่ใช้และสิ่งที่ไม่ใช้ออกจากกัน ถึงตอนนี้จะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว “ความรกที่แท้ทรู” เสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าของกระจุกกระจิกทั้งหลายแบ่งออกเป็นกอง เพื่อเก็บแจกจ่ายหรือทิ้ง ส่วนสิ่งของที่มีคุณค่าต่อความทรงจำก็สามารถเก็บใส่กล่องให้เป็นระเบียบ สิ่งที่ไม่ใช้แต่ยังใหม่ก็นำไปบริจาคหรือลองเอาไปขายออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือขายในเพจของตนเองดู ต้นทุนไม่เสีย หน้าร้านก็ไม่มี คุณอาจได้อาชีพเสริมที่ทำเงินได้แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ช่วงแรกอาจจะมีเสียดายแต่เชื่อเถอะว่าถ้าไม่ใช่ทองหรือของมีค่าก็ไม่มีราคาคุ้มค่าให้เก็บหรอกนะ

เลือกซื้ออย่างคุ้มค่าใช้จ่ายอย่างจำเป็น

เมื่อข้าวของที่จำเป็น อยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว จะพบว่าสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่มีระเบียบขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาหาของ ทำความสะอาดง่ายขึ้น และถ้าของบางอย่างกำลังจะหมดก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องซื้ออะไร ดังนั้นเมื่อเริ่มเห็นว่าชีวิตจัดระเบียบได้ลงตัวแล้ว การเลือกซื้อสิ้นค้า และใช้จ่ายให้คุ้มค่าก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีหลายแบรนด์ที่นำเสนอสินค้าสไตล์มินิมอล มีทั้งแบรนด์ราคาสูง ราคาปานกลาง หรือจะเลือกซื้อสินค้าที่มีดีไซน์ดีมีคุณภาพแต่ราคาไม่แพง ก็เลือกได้ตามรสนิยมและความมั่นคงทางการเงินของคุณ เพียงแต่ยึดหลักการเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ ตามความจำเป็น ความคงทน ความคุ้มค่าและราคาที่เหมาะสม หรือแม้กระทั่งเรื่องใกล้ตัวที่ต้องพบเจอในชีวิตประจำวันอย่างการจ่ายบิลต่างๆ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต จิปาถะมากมาย อย่างต่ำๆ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อบิล 10 บาทแล้ว เหล่านี้ถ้าเรามีการจัดระเบียบอย่างดี เลือกจ่ายบิลแบบไม่เสียค่าธรรมเนียม เงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็สามารถแปรผันเป็นเงินออมได้มิใช่น้อยเช่นกัน

เก็บออมเพื่อความมั่นคง

เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมว่าการใช้ชีวิตเท่าที่จำเป็นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องอด หรือต้องเพิ่มความตระหนี่ขี้เหนียวแต่อย่างใด คุณยังสามารถกินอาหารอร่อย ใส่เสื้อผ้าแฟชั่นที่ชอบ ใช้ของที่อยากใช้ บนพื้นฐานของการใช้ชีวิตที่สามารถอยู่ได้ด้วยสิ่งของที่จำเป็น ซึ่งจะรู้ว่าความต้องการในชีวิตแท้จริงนั้นไม่ได้มากมายอะไรเลย และยังส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อที่ลดลงทำให้มีเงินเหลือเก็บ สามารถออมไว้ใช้ยามจำเป็นหรือฉุกเฉินได้มากกว่าที่เคยเป็นด้วย รวมไปถึงการสร้างความมั่นคงในชีวิตเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าเรารู้จักการวางแผนการเงิน และบริหารเงินให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกองทุน ประกัน หรือลงทุนในหุ้นก็ดี ล้วนเป็นการลงทุนซึ่งจะต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ แต่นั่นเป็นไอเดียที่ดีแล้ว ที่คุณเริ่มคิดหาแหล่งลงทุนเพื่อให้เงินของคุณงอกเงย และสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต

ดังนั้นการปรับใช้ชีวิตแบบมินิมอลให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองนั้น จึงไม่ได้ยึดติดอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าเครื่องใช้ดีไซน์เรียบง่ายเท่านั้น แต่อยู่ด้วยการมีสิ่งของเท่าที่จำเป็น และการใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน และคุ้มค่าต่างหาก ดังนั้นหากคุณสามารถนำความชอบมาปรับใช้กับไลฟ์สไตล์แบบมินิมอลของตัวเองให้เป็น ก็นับว่าเป็นคนที่ ‘ใช้ชีวิตอย่างฉลาด’ แล้วความสุข ความสมดุล และความมั่นคงก็อยู่ไม่ไกลแน่นอน

 

ขอบคุณบทความจาก ME by TMB

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย

 

เหตุที่นำความรู้สมุนไพรเพื่อนเบาหวานมาคุยกันในคอลัมน์นี้บ่อยๆ เนื่องจากชาวไทยทั้งที่อยู่เมืองหรืออยู่ในหมู่บ้านห่างไกล กำลังเผชิญกับภัยคุกคามใกล้ตัวจากเบาหวานอย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่คุ้นเคยกับโรงพยาบาลชุมชนย่อมคุ้นเคยกับคลีนิคเบาหวาน ที่เปิดอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งมีชาวบ้านรอคิวกันครั้งละหลายร้อยคน ลองหันไปสำรวจคนรอบข้างตัวคุณ เชื่อว่าจะมีอย่างน้อย 1 คนที่คุณรู้จักกำลังเป็นเบาหวาน

การดูแลสุขภาพของผู้เป็นเบาหวานนั้น ในทางวิชาการยอมรับกันแล้วว่า การกินยาลดน้ำตาลอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การกินอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฝึกฝนด้านจิตใจ เรียนรู้การผ่อนคลายเพื่อให้ห่างไกลความเครียดเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ซึ่งหมายถึงพึ่งยาอย่างเดียวไม่พอ ต้องพึ่งตนเองรู้จักเลือกกินเลือกอยู่ให้สมดุลจึงอยู่กับเบาหวานได้อย่างมี ความสุข

ช้าพลู เป็นผักพื้นบ้าน แต่ก็สามารถนำมาปลูกในบ้านได้ เมื่อเกิดแล้วไม่ต้องกลัวสูญพันธุ์ ตัดทิ้งอย่างไรพอฝนมาหรือรดน้ำก็มีต้นงอกให้ใช้งานได้เสมอ ในแง่อาหารการกิน ช้าพลูเป็นตัวเอกของเมี่ยงคำ ใช้ใบห่อเครื่องปรุงต่างๆ ในแง่ยาสมุนไพร ตำรับยาพื้นบ้านและความรู้แบบปากต่อปาก ซึ่งสืบทอดมานาน ยอมรับว่าใช้ช้าพลูแก้เบาหวาน

วิธีใช้ให้เอาต้นช้าพลูทั้งห้า หมายถึงใช้ทั้งต้นรวมรากด้วย นำมา 1 กำมือ ให้พับเถาช้าพลูเป็น 3 ทบ ให้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ นำไปใส่หม้อต้มกับน้ำ 3 ขัน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ 1 ขัน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหาร วันละ 3 เวลา วิธีนี้มีผู้ใช้ช่วยแก้อาการเบาหวานได้

ขณะนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง โดยต้มน้ำช้าพลูทั้งห้า แล้วป้อนให้กระต่าย 2 กลุ่ม กลุ่มกระต่ายปกติ และกลุ่มที่เป็นเบาหวาน โดยทำการเปรียบเทียบกับยาฝรั่งชื่อ ทอลบูตาไมด์ (Tolbutamide) และน้ำกลั่น พบว่า น้ำช้าพลูช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่ลดน้ำตาลของกระต่ายปกติ และให้กระต่ายกินยาทั้ง 2 ชนิดต่อไปอีก 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำช้าพลูยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่ยา ทอลบูตาไมด์ มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเท่าน้ำช้าพลู

แม้ว่ายังไม่มีการศึกษาทางคลินิกหรือในมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ช้าพลูก็เป็นผักสมุนไพรที่น่าสนใจกินเป็นตัวเสริมในการลดน้ำตาลในเลือด ช้าพลูยังเป็นผักที่มีสารแอนตี้ออกซิแด๊นต์สูง มีวิตามินเอ และซีสูงด้วย และที่สำคัญช้าพลูไม่มีผลลดน้ำตาลในคนปกติ ช้าพลูปลูกง่าย ขยายพันธุ์ง่าย

ถัดจากช้าพลู มะระขี้นก ที่เลื้อยริมรั้วก็เป็นสมุนไพรเพื่อนเบาหวานได้ดี มีการศึกษาพบว่าสารในมะระขี้นกออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วย และยังยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับอ่อน มะระขี้นกจึงมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีการใช้มีหลายวิธี ที่สะดวกและง่ายในเวลานี้ คือรูปแบบแคปซูล สามารถกินมะระขี้นกบดผง ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง

หรือทำเป็นชาชง นำผลมะระขี้นกมาหั่น เอาเฉพาะเนื้อ ตากแดดให้แห้ง ใช้เนื้อมะระขี้นกแห้ง 1-2 ชิ้น ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งกินได้ตลอดวันก็ได้

มะระขี้นก เป็นผักพื้นบ้านของไทย แต่ก็พบได้ทั้งในจีน พม่า อินเดีย ศรีลังกา ไปจนถึงแอฟริกาและอเมริกาใต้ ทุกประเทศที่รู้จักมะระขี้นกก็จะนำมาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับผู้เป็นเบาหวาน ทั้งสิ้น แม้แต่หมอแผนปัจจุบันในอินเดียยังสั่งยามะระขี้นกให้คนไข้กิน มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเดินทางไปดูงานสมุนไพรทั้งที่จีนและพม่า ก็พบว่า หมอสมุนไพรที่นั่นสั่งมะระขี้นกให้ผู้ป่วยเบาหวานกินเป็นประจำ

มะระขี้นกเลื้อยตามริมรั้วแล้ว ตำลึง ผักที่เลื้อยริมรั้วไม่ต้องหาซื้อมาปลูก แต่จะมาพร้อมฝนและพบได้ในที่รกร้าง ก็เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลได้ดี นอกจากทำน้ำแกงจืดได้รสอร่อยถูกปากตั้งแต่เด็กไปจนผู้ใหญ่แล้ว นักวิชาการจากหลายประเทศยังช่วยกันศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยยอมรับว่า ตำลึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ซึ่งส่วนที่ออกฤทธิ์นั้นใช้ได้ทั้ง ใบ ราก ผล ตำรายาอายุเวทเก่าแก่นับพันปี ก็บันทึกไว้ให้ใช้ตำลึงเป็นยาแก้เบาหวาน

วิธีใช้ง่ายๆ ให้สมกับตำลึงขึ้นได้ทั่วไป คือให้กินพร้อมมื้ออาหรให้ได้วันละ 1 กำมือ หรือจะใช้วิธีตามตำรา นำยอดตำลึง 1 กำมือ ปรุงรสด้วยการใส่เกลือหรือน้ำปลาเล็กน้อย เพื่อให้กินอร่อยขึ้น แล้วนำไปห่อด้วยใบตอง เอาไปเผาไฟให้สุก กินให้หมด ให้กินก่อนนอนติดต่อกัน 3 เดือน ผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานก็น่าจะหันมากินตำลึงกันเป็นประจำ เป็นการช่วยป้องกันเบาหวาน และยังได้รับวิตามินโดยเฉพาะวิตามินเอที่มีอยู่สูงมาก มีวิตามินซีสูงกว่ามะนาว มีวิตามิน บี 3 ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และที่สำคัญ กินตำลึงเป็นประจำ ไม่ท้องผูก เพราะมีใยอาหารจำนวนมาก

ผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นยาช่วยลดน้ำตาลใน เลือดได้ เป็นผักคู่อาหารยอดฮิตของคนไทย “กะเพราไก่ไข่ดาว” นั่นเอง กะเพรา มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายชนิด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านความเครียด แก้หืด ต้านอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด และมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย ในใบกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยและพฤกษเคมีหลายชนิด นักวิจัยพบว่าช่วยทำให้ตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลลินได้ดีขึ้น

การศึกษาวิจัยให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน กินใบกะเพราะบดผงวันละ 2.5 กรัม นาน 4 สัปดาห์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ วิธีทำใช้เอง อาจนำใบกะเพราตากแห้ง แล้วบดผง นำมา 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย กินวันละ 3 ครั้ง หรือจะบรรจุแคปซูล กินวันละ 2.5 กรัม ก็ได้ นักวิจัยแนะนำว่า กะเพราเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรง แบบเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง

เตยหอม เป็นสมุนไพรใกล้ตัวอันดับที่ห้าที่อยากชวนให้ลิ้มลอง เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันทั่วประเทศ ปรุงเป็นเครื่องดื่มรสอร่อยหอมชื่นใจ ทำเป็นอาหารคาวหวานได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ห่อใบเตย วุ้นใบเตย คนทั่วไปมักรู้จักสรรพคุณทางยาของต้นเตยหอม เป็นชาชงช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ใช้แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย แต่มีคนไม่มากรู้จักนำเอารากเตยหอม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน และลดเบาหวาน

และดูเหมือนว่าเตยหอมเป็นสมุนไพรที่คนไทยรุ่นเก่ารู้จักใช้เพื่อแก้เบาหวานกันมาก ใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ และอยู่ในตำรับก็มี

ขณะนี้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าเตยหอมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขับปัสสาวะ แม้ว่ายังไม่ได้วิจัยถึงขั้นทดลองในคน แต่เตยหอมเป็นตำรับยาที่มีความปลอดภัย และคนทั่วไปหามาใช้ประโยชน์ได้ง่าย ราคาถูก ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็สามารถทำเครื่องดื่มรสอร่อยดื่มกินได้

ถ้าว่ากันตามตำรา ใช้รากเตยหอม 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่น้ำประมาณ 1 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 15-20 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 เวลา เวลาต้มจะปรุงแต่งใส่ใบเตยหอมให้มีสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้ชวนดื่มก็ได้

สมุนไพรใกล้ตัวคนไทยอีกชนิดหนึ่งคือ ว่านหางจระเข้ แม้ไม่ใช่พืชท้องถิ่นดินแดนสยาม แต่คนไทยรู้จักกันทั่วไป พบเห็นการปลูกไว้ในกระถางหน้าบ้านทั่วทุกภาค ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีก ราวๆ กว่า 3,500 ปีมาแล้ว สมัยนั้นมีบันทึกการใช้ไว้อย่างละเอียด สมัยนี้ก็ยังนิยมใช้ในสรรพคุณไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่ใช้รักษาบาดแผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ผื่นคัน ผิวหนังผุผอง ถูกแดดแผดเผา ใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม แก้โรคริดสีดวง เป็นต้น

ว่านหางจระเข้จึงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมาก และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ในการศึกษาทางยาพบสิ่งที่น่าสนใจว่า ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองและในคนด้วย ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย

วิธีการใช้ว่านหางจระเข้อย่างง่ายๆ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย 1 ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ 15 กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกินเนื้อวุ้นสดๆ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า เนื้อวุ้นที่เก็บไว้จะมีสรรพคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเคล็ดลับในการเตรียมยา คือ

ถ้าตัดกาบใบมาทั้งกาบ ให้ตัดเป็นท่อนในขนาดที่จะกินในวันนั้น ที่เหลือไม่ควรปอกเปลือก และให้เก็บไว้ในตู้เย็น ควรกินให้หมดภายใน 3-5 วัน ถ้าต้องการกินต่อจึงไปตัดจากต้นสด

สมุนไพรใกล้ตัวอันดับเจ็ด เป็นสมุนไพรอินเทรนด์ตามกระแสการดื่มกาแฟสด ซึ่งสูตรกาแฟชนิดหนึ่งจะมีการปรุงด้วยอบเชยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม คนรุ่นใหม่จึงรู้จักอบเชยมากขึ้น ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้ มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเขียนเรื่องราวอบเชยแก้เบาหวานไว้อย่างละเอียดแล้ว ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของมูลนิธิได้ (www.thaihof.org)

ในที่นี้ขอย้ำเตือนว่าอบเชยเป็นสมุนไพรของชาวเอเซียที่คนทางยุโรปและ อเมริกาให้ความสนใจมาก การเผยแพร่สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดนี้ก็มาจากการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการใน วารสาร New Scientist และยังมีผลรายงานการศึกษาในที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง พอสรุปได้ว่า

ในอบเชยมีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และสารในอบเชยยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน คือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

วิธีกินอย่างง่ายๆ ให้กินผงอบเชยจีนครั้งละครึ่งช้อนชา วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น โดยอาจผสมผงอบเชยจีนในเครื่องดื่มนม โกโก้ โยเกิร์ต ก็ได้ หรือบรรจุผงอบเชยจีนในแคปซูล ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน จึงจะเห็นผล

สมุนไพรที่นำเสนอไปทั้ง 7 ชนิด ช้าพลู มะระขี้นก ตำลึง กะเพรา เตยหอม ว่านหางจระเข้ และอบเชยจีน เป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปรู้จัก แม้แต่เด็กแนวเด็กอินดี้หรือเด็กเรียนก็ยังรู้จักไม่ต้นใดก็ต้นหนึ่ง สมุนไพรเหล่านี้เป็นของใกล้ตัว และมีการศึกษาวิจัยพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ จึงเป็นทางเลือกใกล้ตัวให้นำมาใช้ให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบส่วนตัว เพื่อเป็นเพื่อนเบาหวานได้ทุกวัน

แต่ไม่ได้หมายความให้ใช้เจ็ดวันเจ็ดอย่าง ให้เลือกใช้ทีละชนิดอย่างต่อเนื่อง

 


 

ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์