ถือเป็นกระแสข่าวที่สร้างความฮือฮาในวงการธุรกิจไรด์แชริ่งเลยก็ว่าได้ เมื่อ “แกร็บ” ประกาศว่าได้เข้าซื้อกิจการ “อูเบอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 8 ประเทศ คือ กัมพูชา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และไทย

โดยในข้อตกลง อูเบอร์จะถือหุ้น 27.5% ในแกร็บ และดารา โคสโรว์ชาฮี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอูเบอร์ ก็จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของแกร็บ

ในอีเมล์ประกาศของแกร็บและอูเบอร์ระบุว่า แกร็บจะควบรวมกิจการเรียกรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชั่นและรับส่งอาหารของอูเบอร์เข้ามาไว้กับแพลตฟอร์มของแกร็บ

โดยแอปฯอูเบอร์จะให้บริการต่อไปอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งก็คือถึงวันที่ 8 เมษายนนี้เท่านั้น ส่วนคนขับอูเบอร์ก็จะต้องไปลงทะเบียนสมัครกับแกร็บใหม่

ขณะที่แอปฯอูเบอร์อีทส์ ซึ่งเป็นบริการรับส่งอาหาร จะให้บริการไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 และหลังจากนั้นข้อมูลรายชื่อของผู้จัดส่งและร้านอาหารก็จะถูกถ่ายโอนไปยังแอปฯของแกร็บอย่าง “แกร็บฟู้ด” นั่นเอง

ควบรวมกิจการ เท่ากับการแข่งขันลด

ถึงแม้ทั้ง 2 บริษัทจะออกมาบอกว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้ คนที่จะ “วิน” หรือได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ “ผู้โดยสาร” แต่นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า นี่หมายถึงราคาค่าบริการอาจแพงขึ้น

Corrine Png นักวิเคราะห์ด้านการขนส่งจากบริษัทวิจัยในสิงคโปร์ กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้หมายความว่าผู้โดยสารจะมีตัวเลือกในการใช้บริการลดลง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ก็มีแนวโน้มว่าค่าบริการจะแพงขึ้น

ที่ผ่านมาการแข่งขันในธุรกิจในไรด์แชริ่งถือว่าดุเดือดมาก ส่งผลให้มีการลดราคาและออกโปรโมชั่นมากมายทั้งสำหรับผู้ขับและผู้โดยสาร แต่เมื่อการแข่งขันลดลง ราคาก็อาจเพิ่มขึ้น

จาง ปิน ปิน ผู้ใช้บริการทั้งแกร็บและอูเบอร์ในสิงคโปร์ กล่าวกับสเตรทไทม์สว่า ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ราคาจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าหากราคาเพิ่มขึ้นหรือมีราคาพอๆ กับแท็กซี่ เธอก็จะหันกลับมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทน

ขณะที่ โรบิน ชู ช่างภาพอิสระ ระบุว่า ตนมีความกังวลว่าหากเรียกรถผ่านแกร็บแล้วราคาเพิ่มขึ้น ก็อาจจะพิจารณาตัวเลือกการเดินทางใหม่

ทั้งนี้ เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ www.cokiecoffee.com เคยเทียบราคาค่าบริการระห่างแกร็บคาร์และอูเบอร์เอ็กซ์ ซึ่งเป็นบริการในระดับเดียวกัน หลังอูเบอร์ปรับราคาใหม่เมื่อ ส.ค.2017 ให้ผู้โดยสารสามารถ “รู้ราคาสุดท้าย” ได้ จากตอนแรกที่รู้เพียงราคาประมาณ

โดยพบว่าจากการเรียกรถให้ไปส่งในจุดหมายปลายทางเดียวกัน ระยะทางเท่ากัน พบว่าอูเบอร์เอ็กซ์มีราคาถูกกกว่าราว 10% แต่เมื่อทดลองเรียกในหลายๆ เส้นทาง บางครั้งแกร็บถูกกว่า บางครั้งอูเบอร์ถูกกว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

รายได้คนขับยังจะเหมือนเดิมไหม

ความกังวลไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงคนขับด้วย โดยผู้ขับหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขารู้สึกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราค่าคอมมิสชั่นและค่าอินเทนซีฟ ที่โดยปกติผู้ขับจะต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการ 20% ของค่าโดยสาร

เคน แทน ผู้ที่เคยขับทั้งอูเบอร์และแกร็บ กล่าวว่า เขากังวลว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อรายได้คนขับ ซึ่งเขาระบุว่าเขาน่าจะได้รายได้มากกว่าถ้าขับอูเบอร์ เนื่องจากมีค่าอินเทนซีฟที่ดีกว่านั่นเอง

เรียกได้ว่าสิ่งที่คนขับเป็นกังวลกันก็คือ หากย้ายจากอูเบอร์ไปขับแกร็บแล้ว รายได้ของตนจะลดลงหรือไม่ ค่าอินเทนซีฟจะเท่าเดิมหรือเปล่า และแกร็บจะดูแลผู้ขับอย่างไรบ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากแกร็บคาร์ที่เป็นรถส่วนตัว และแกร็บคาร์พลัสซึ่งเป็นรถหรูพรีเมี่ยม แกร็บยังมีแกร็บแท็กซี่ไว้รองรับลูกค้าอีกกลุ่ม ตัวเลือกที่มากขึ้นในแอปฯเดียวทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าโอกาสที่คนขับจะได้งานจะลดลงหรือเปล่า?

นายอัง ฮิน คี ที่ปรึกษาระดับสูง สมาคมแท็กซี่แห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ที่จริงแล้วผู้บริโภคและคนขับต้องการตัวเลือกที่มากขึ้น ไม่ใช่ลดลง อย่างไรก็ตาม เขาก็หวังว่า สุดท้ายแล้วการควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีขึ้น

“ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลง พนักงานลดลง ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาก็ลดลง องค์กรใหม่ก็จะสามารถโฟกัสไปที่การส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนขับและผู้โดยสาร” อัง ฮิน คี กล่าว

สุดท้ายแล้วคงต้องดูกันต่อไปว่า การควบรวมกิจการอูเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับแกร็บในครั้งนี้ ใครจะได้ประโยชน์?!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

กระทรวงสาธารณสุข เคยรายงานภาวะที่เด็ก ซึ่งมีอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรมร้อยละ 50 มีภาวะอ้วน สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยได้แก่ 1.เรื่องของตัวโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับอาการดาวน์ที่เด็กกลุ่มนี้มักจะมีโรคเบาหวาน และภาวะไทรอยด์บกพร่องร่วมด้วย ซึ่งโรคร่วมเหล่านี้ส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญแตกต่างจากเด็กทั่วไป

2.วิถีการใช้ชีวิตที่บางครั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดใหญ่และข้อต่อกระดูก อาจจะยังมีไม่มากเท่ากับเด็กทั่วไป ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายและทำกิจกรรมได้น้อยกว่าเด็กปกติ ดังนั้นร่างกายจึงเกิดการสะสมไขมันได้ง่ายกว่าจนเกิดภาวะอ้วน และ 3.ยาบางชนิดที่เด็กกลุ่มนี้ต้องทานมีผลต่อการสะสมพลังงานและไขมันในร่างกายจึงส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนได้ง่าย

ดังน้นจึงต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารในกลุ่มเด็กอาการดาวน์ โดยรูปแบบการออกกำลังกายก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด ที่จะคอยประเมินและเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนตามความสามารถ ซึ่งบางกิจกรรมการออกกำลังกายจะส่งเสริมเรื่องพัฒนาการร่วมด้วย

ทั้งนี้ อาหารของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ต้องเลือกอาหารที่ถูกสุขลักษณะคล้ายผู้ที่มีภาวะอ้วน คือ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานมาก น้ำตาล แป้ง ไขมัน ในปริมาณที่มากๆ อาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ก็ควรลด นอกจากนี้ควรฝึกให้เด็กทานอาหารที่ให้โปรตีนมากๆ ร่วมกับการฝึกเคี้ยวทั้งเนื้อสัตว์ ร่วมกับการทานโปรตีนจากถั่ว เพราะเด็กกลุ่มนี้อาจจะทานอาหารได้ไม่มาก ต้องส่งเสริมให้รับประทานผักและผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจนเกินไป เด็กเล็กยังจะเคี้ยวอาหารได้ไม่ดีพอ จึงต้องให้รับประทานอาหารที่นุ่มนิ่ม ผักก็ต้องเริ่มจากที่กลิ่นไม่แรง รสไม่จัด แล้วไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อความเคยชินของเด็ก และควรทานอาหารที่มีเส้นใยเพื่อช่วยขัดฟัน


ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ซัมเมอร์นี้ไม่มีที่หลบแดด ลองมาที่ ศูนย์การค้า เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ถนนราชดำริ กันได้ แถมยังอิ่มท้อง อร่อยลิ้น กับป็อบอัพ คาเฟ่ เก๋ๆ “เพนนิน ซัมเมอร์ คาเฟ่” (Penin Summer Café) พร้อมเมนูคอมฟอร์ท ฟู๊ด ร่วม 30 รายการ อาหารทานง่าย สบายๆ และรสชาติคุ้นลิ้น ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี มารังสรรค์เป็นอาหารรสเลิศ ท่ามกลางบรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ดูสบายๆ จะมานั่งทานอาหาร หรือสั่งเครื่องดื่ม พร้อมเซลฟี่ถ่ายรูปเก๋ๆ ที่ได้อารมณ์เสมือนนั่งจิบกาแฟที่คาเฟ่ในปารีส

มาถึงเพนนินซูล่า พลาซ่า ทั้งที ต้องสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเรือไฮโซในตำนาน ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ เพราะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือขึ้นห้างกลางกรุงที่เป็นที่รู้จักกันมากว่า 30 ปี ด้วยรสชาติของน้ำซุปที่เคี่ยวมาอย่างเข้มข้น และยังหอมด้วยกลิ่นของเครื่องเทศสมุนไพร กินคู่กับเนื้อหมูที่หมักได้เข้าที่ หรือเนื้อตุ๋นที่เคี่ยวจนเนื้อนิ่มเปื่อย ช่วยเพิ่มความอร่อยให้แก่ก๋วยเตี๋ยวเรือชามนี้มากยิ่งขึ้น

หรืออีกหนึ่งเมนูที่อร่อยไม่ธรรมดา กับเมนู ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ ผัดไทยเส้นฉ่ำน้ำซอสแต่รับประทานแล้วไม่เลี่ยน ท็อปปิ้งหน้าด้วยกุ้งแม่น้ำตัวโตๆ 2 ตัว อีกเมนูที่มาแล้วอยากให้ลอง กับเมนู สปาเกตตีทะเลพริกเกลือ ที่ให้กลิ่นหอมฉุนและรสชาติเผ็ดร้อนเบาๆ

ไม่เพียงเท่านี้ยังมีอาหารทานเล่นอย่าง ไก่ทอด 2 สี ที่เสิร์ฟคู่พร้อมกัน ด้วยรสชาติที่แตกต่างแต่อร่อยด้วยกันทั้งคู่ หรืออีกเมนูสุขภาพกับ ซีซ่าร์ไส้กรอกอีสาน เป็นเมนูที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ที่มีรสเปรี้ยว เค็ม ตัดสลับกัน ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม และลงตัว

เมนูเครื่องดื่มเป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่อย่าง อิตาเลี่ยน โซดา ที่มีหลากหลายรสชาติ เสริมพิเศษด้วยไอศครีมโลลี่ป๊อบเย็นฉ่ำในแก้ว ที่อัดแน่นด้วยผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี กีวี ลูกพีช ดับร้อนช่วงซัมเมอร์นี้ได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่ต้องลอง เพราะที่อื่นไม่มีเสิร์ฟ กับ ฟีล เดอะ ทรอปิคอล ที่นำน้ำลิ้นจี่มาผสมกับน้ำมะม่วง ท็อปปิ้งหน้าด้วยเนื้อมะม่วงและสับปะรดหั่นลูกเต๋า และผลลิ้นจี่ ให้รสชาติที่หวานอมเปรี้ยว และ ฟริซซี่ สไปซ์ ที่เรียกพลังเอนเนอร์จี้ในร่างกาย ด้วยรสชาติเปรี้ยว หวาน ซ่า ของน้ำขิงที่ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มกาแฟต่างๆ ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟมาจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น จ.เชียงราย ที่พร้อมเสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

เที่ยว อิ่มท้อง กับอาหารรสชาติคุ้นลิ้นกันได้ที่ “เพนนิน ซัมเมอร์ คาเฟ่” (Penin Summer Cafe) ในศูนย์การค้า เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ถนนราชดำริ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

เรียกได้ว่าเป็นโซเชียลส่วนตัวที่ชวนน้ำลายแตกมาก สำหรับเฟซบุ๊กของหนุ่มลาวอย่างบัว ไล ที่มักโพสต์ภาพพร้อมคลิปเมนูอาหารแซ่บๆ แบบฉบับบ้านๆ มาฝาก แต่ละเมนู แต่ละโพสต์ ก็มักได้รับการแชร์ออกไปนับพันๆ ครั้ง บางโพสต์ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 1 หมื่นครั้ง

สิ่งที่ทำให้เขาน่าติดตามนอกจากจะเป็นอาหารจานแซ่บแล้ว ยังน่าจะเป็นความบ้านๆ การปรุงอาหารฉบับคนท้องถิ่น พร้อมบรรยากาศกลางทุ่ง ก็ทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่าย จนทำให้เขามีผู้ติดตามมากถึง 5.6 แสนคน

เราลองไปดูกันดีกว่า เมนูเด็ดจากหนุ่ม “บัว ไล” คนนี้จะมีอะไรบ้าง!

เริ่มที่คลิปที่อาจผ่านตาใครหลายคนมาแล้วอย่าง “ตำบักหุ่ง” หรือ “ส้มตำ” พร้อมฝักกระถิน ซึ่งมีผู้รับชมไปกว่า 16 ล้านครั้ง และแชร์ออกไปอีก 3.8 หมื่นครั้ง

อีกเมนูที่ดูเป็นตาแซ่บหลายก็คือ “ตำมี่ไวไวใส่ปูนาและผัก” ที่มีคนแชร์ออกไปราว 1 หมื่นครั้ง

หนึ่งในคลิปที่ฮอตมากก็คือการปีนต้นมะม่วงขึ้นไปกินมะม่วงจิ้มแจ่วปลาแดก ที่มีคนดูมากถึง 9.8 ล้านครั้ง

หรือจะเป็นการเอามะขามมาจิ้มกับแจ่ว ที่ชวนน้ำลายแตกจนคนดูบอกว่าเห็นแล้วน้ำลายพุ่งเป็นละอองออกจากปากเลยทีเดียว โดยโพสต์นี้ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 7.9 หมื่นครั้ง

เมนูแก้ง่วงก็มี เช่น บักม่วงแช่น้ำพริกปลาแดก, ยำบักยมใส่ขิง เป็นต้น

เมนูจากหนุ่มลาวคนนี้ยังมีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ยำไข่มดแดง ที่เก็บไข่มดแดงสดๆ ใต้ต้นพร้อมยำตรงนั้น หรือเมนูน้ำพริกสาดหน้าหอยปัง ที่ชวนเป็นตาแซ่บสุดๆ และเมนูหอยเชอรี่ถาด ที่ถูกแชร์ออกไปกว่า 8.4 พันครั้ง

ใครเห็นแล้วน้ำลายไหล จะขอไปลองทำามดูบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมคำนึงถึงความสะอาด และปรุงอาหารให้สุกด้วยนะจ๊ะ

“ไวน์” เครื่องดื่มหรูหราและ “ราคาแพง” ยิ่งเป็นไวน์ที่ติดอันดับชาร์ตด้วยแล้วถึงหมื่นถึงแสนต่อขวดเลยทีเดียว จึงว่ากันว่าบางครั้งไวน์นอกจากเป็นเครื่องดื่มแล้วยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงสถานะในสังคมของผู้คนด้วย

ดร.พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล จากสถาบันบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ชี้ให้เห็นข้อมูลของธนาคารโลก และ UN Comtrade (United Nations Commodity Trade Statistics database) หรือฐานข้อมูลการค้าสหประชาชาติ เกี่ยวกับปริมาณไวน์นำเข้าของแต่ละประเทศ พบปริมาณไวน์นำเข้าสัมพันธ์กับ “รายได้ต่อประชากร” อย่างมาก เพราะชาติร่ำรวย ซึ่งมีประชากรมีการศึกษาสูง ทั้งในยุโรปเหนือและยุโรปตะวันตก ล้วนติดอันดับต้นๆ ของโลกที่นำเข้าไวน์

ข้อเท็จจริงนี้อาจเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของการดื่มไวน์ในระดับพอสมควร ส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พบว่า “สิงคโปร์” เป็นประเทศที่นำเข้าไวน์เทียบกับจำนวนประชากรสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และราคาเฉลี่ยของไวน์นำเข้าอยู่ที่ 17 ดอลลาร์สหรัฐต่อลิตร เป็นราคาสูงที่สุดในโลก รองลงมาคือฮ่องกง 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อลิตร โดยสิงคโปร์มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขที่ธนาคารโลกระบุไว้ และสิงคโปร์ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวกับเมืองท่ากระจายสินค้าในย่านเอเชียตะวันออก

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตัวเลขไวน์นำเข้าของสาธารณรัฐประชาชนลาว หรือ “สปป.ลาว” พบว่าปริมาณไวน์นำเข้าของลาวมีรูปแบบผิดปกติจากประเทศอื่น เพราะลาวเป็นประเทศที่มีประชากร 6.2 ล้านคน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเกือบต่ำสุดในอาเซียน แต่กลับมีปริมาณไวน์นำเข้า 4.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.75 ดอลลาร์ต่อคน ในอัตรานี้สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นรองเพียงสิงคโปร์กับมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเทียบกับประเทศไทย พบปริมาณไวน์นำเข้าต่อหัวของ สปป.ลาวสูงเป็น 2 เท่าของไทย ซึ่งอยู่ที่ 0.48 ดอลลาร์ต่อคน ทั้งที่ประชากรไทยมีมากกว่า สปป.ลาว 10 เท่า ปริมาณไวน์นำเข้ามากกว่า สปป.ลาว 7 เท่า และเฉลี่ยประชากรไทยมีรายได้สูงกว่า สปป.ลาวเกือบ 4 เท่า

แต่ถ้าดูรูปแบบการบริโภคของ UN Comtrade แล้ว ประเทศไทยซึ่งร่ำรวยกว่า สปป.ลาว ควรมีปริมาณไวน์นำเข้าสูงกว่า นอกจากนี้ การศึกษากลุ่มเป้าหมายบริโภคไวน์ตามข้อมูลของ PovCalNet และธนาคารโลกระบุว่าควรอยู่ที่กลุ่มประชากรมีรายได้มากกว่า 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

แต่เมื่อพิจารณาขนาดตลาดผู้บริโภคไวน์นำเข้าของ สปป.ลาว กับประเทศไทยพบว่า กลุ่มประชากรดังกล่าวใน สปป.ลาว มีเพียง 0.69%ของประชากรทั้งหมด หรือมีประชากรลาว 42,000 คน เป็นกลุ่มเป้าหมายบริโภคไวน์ และถ้าเทียบ สปป.ลาวกับไทย ซึ่งมีประชากรเป็นกลุ่มเป้าหมายอยู่ 19.7% หรือคิดเป็น 12 ล้านคนจากประชากรทั้งหมดที่สามารถซื้อไวน์บริโภคได้ จากตัวเลขข้างต้นทำให้ตลาดไวน์ประเทศไทยดูใหญ่กว่า สปป.ลาวอย่างเทียบกันไม่ได้

ในกรณีไวน์นำเข้ามานั้นใช้บริโภคภายในประเทศจริงทั้งหมด ถ้าพิจารณาจากปริมาณไวน์นำเข้าต่อกลุ่มประชากรมีรายได้สูงของไทยอยู่ที่ 2.47 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ส่วนลาวอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ตัวเลขเปรียบเทียบดังกล่าวบ่งชี้ปริมาณนำเข้าไวน์ของ สปป.ลาวสูงกว่าไทย 45 เท่า จึงเกิดคำถามตามมาว่า “คนลาวบริโภคไวน์ทั้งหมดในประเทศจริงหรือ?” ยิ่งเทียบ สปป.ลาวกับกัมพูชา ที่มีลักษณะโครงสร้างรายได้และจำนวนประชากรใกล้เคียงกับ สปป.ลาว และมีเมืองท่าการรองรับสินค้าทางทะเล พบมูลค่าไวน์นำเข้าต่อหัวของกัมพูชาต่ำกว่า สปป.ลาวถึง 10 เท่า และต่ำกว่าไทย 5 เท่า

จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับว่ายังมีปริมาณการลักลอบนำเข้าไวน์ในไทยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีตัวเลขเปิดเผยออกมา ยังคงมีแต่ตัวเลขของปี 2554 ที่กรมสรรพสามิตยอมรับในการประชุมผู้ผลิตไวน์ถึงปริมาณไวน์นำเข้าลักลอบ คาดว่าประมาณ 200,000-300,000 โหลต่อปี หรือ 1.8-2.7 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งต่างกับการประมาณการจากตัวเลขของธนาคารโลกข้างต้นเป็นอย่างมาก

เมื่อพิจารณา สปป.ลาว ซึ่งเป็นประเทศไม่ติดทะเล และมีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับสิทธิในการขนสินค้าโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านได้ เมื่อประกอบกับโครงสร้างภาษีของไวน์นำเข้าสูงมากในไทยแล้ว จึงมีการตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่มีการใช้สิทธินำเข้าสินค้าผ่านแดนไทยไปยัง สปป.ลาว เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีสูงในไทย แล้วนำกลับหรือลักลอบเข้ามาขายในไทยอีกครั้ง บ้างก็ผ่านทางบริษัทท่องเที่ยว หรือร้านค้าปลอดภาษี

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเป็นแบบจัดเก็บเต็มเพดานทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณแอลกอฮอล์ โดยจัดเก็บในอัตราร้อยละ 60 และ 100 บาท ต่อลิตรแอลกอฮอล์ เป็นการขยายเพดานสูงสุดในการจัดเก็บ 2,000 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์ ซึ่งหากเป็นไวน์ราคาไม่แพงก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลักลอบนำเข้าไวน์อยู่ดี

อันที่จริงแล้วการปรับลดภาษีและกฎเกณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิธีการคำนวณภาษีที่เกี่ยวกับไวน์ โดยเฉพาะไวน์องุ่น ซึ่งถือเป็นการแปรรูปทางการเกษตรที่มีการเพาะปลูกในไทย ควรจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมไวน์ในประเทศ ช่วยตลาดในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รัฐควรพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้จนสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนบวกหกซึ่งยังไม่มีประเทศใดผลิตไวน์


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ขึ้นชื่อว่าร้านอาหารตามสั่ง เมนูที่คิดสรรให้สั่งมักมีไม่มากนัก แต่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีร้านอาหารชื่อ “กุ๊กนิตย์” ร้านอาหารตามสั่ง ตั้งอยู่ริมถนนเจษฎาบดินทร์ ต.ท่าอิฐ อ.เมืองอุตรดิตถ์ จ.อุตรดิตถ์

ลักษณะร้านเพิงไม้ขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร แต่เมื่อเข้าไปภายในร้านต้องตกตะลึงกับความหลากหลายของเมนูอาหาร ที่มีให้เลือกเกือบ 1,000 เมนู

โดยเมนูมีทั้งที่อยู่ในเล่มรายการอาหารที่วางอยู่ทุกโต๊ะ ยังมีเมนูที่ทั้งแขวน ทั้งแปะ ไปทั่วบริเวณร้าน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าครัว ตามรั้ว เพดาน กระทั่งทางไปห้องน้ำ มีทั้งเมนูข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาว ไปจนถึงสปาเกตตีผัดพริกแห้งน่องไก่ทอด อาหารฟิวชั่นที่ผสมผสานอาหารหลายชนิดไว้ในจานเดียวกัน เช่น ข้าวห่อไข่แกงเขียวหวานพร้อมน่องไก่ทอด หรือเมนูกินเล่น อย่างเอ็นไก่ทอดในกระทงทอง เป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้าเข้ามาอุดหนุนกันแน่นร้านทุกวัน

นายแพทย์อดิศักดิ์ ชัยศิริมา แพทย์โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ บอกว่า วันนี้มารับประทานข้าวกับห่อหมกทะเล มาอุดหนุนตลอด เพราะรสชาติอร่อย มีเมนูให้เลือกหลากหลาย และราคาไม่แพง โดยเมนูที่ชอบที่สุดคือ แกงส้มกับน่องไก่ทอดกรอบ

นายสานิตย์ หมวดสันเที๊ยะ อายุ 46 ปี เจ้าของและพ่อครัว กล่าวว่า เคยเป็นกุ๊กในร้านอาหารมาก่อน เมื่อเปิดร้านอาหารตามสั่งของตัวเอง ก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้ามีเมนูอาหารให้เลือกรับประทานได้มากที่สุด ไม่อยากให้รับประทานอาหารซ้ำๆ จึงได้พัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ โดยเฉพาะอาหารจานใหญ่ๆ ที่มีในภัตตาคารก็มาทำให้เป็นจานเล็กๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปก็สามารถซื้อรับประทานได้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 30 บาท เช่น ข้าวหมูทอดกระเทียม ไปจนถึง 90 บาท ที่สามารถรับประทานอาหารได้ถึง 3 อย่างในเมนูเดียว

“ผมเปิดร้านมาเกือบ 10 ปีแล้ว เน้นพัฒนาอาหารมากกว่าพัฒนาร้าน เพราะอยากให้ชาวบ้านทั่วไปกล้าเข้ามากิน ซึ่งลูกค้าประจำมีหลากหลายกลุ่ม ทั้งแพทย์ พยาบาล นักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และประชาชนทั่วไป มีทั้งที่มารับประทานที่ร้าน และสั่งเป็นกล่องไปส่งที่บ้านหรือที่ทำงาน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8,000 บาท แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากการขายอาหารคือ ความสุขที่ได้เห็นลูกค้าชอบอาหารที่เราทำ เพราะเราทำด้วยความรัก” นายสานิตย์ กล่าว

 


ที่มา ข่าวสดออนไลน์

ความนิยมในการรับประทาน “จิ้งหรีด” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าสนใจโดยในต่างประเทศมีการเปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงจี้ดหรีดเป็นล่ำเป็นสัน ในฐานะที่ “แมลง” กำลังจะเป็น Big food trend หรืออาหารสำคัญหลักประเภทหนึ่งของโลก

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แนะนำให้ผู้บริโภคทั่วโลกรับประทาน เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ซึ่งจิ้งหรีด 3 ขีด มีปริมาณโปรตีนเท่ากับเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม ที่สำคัญ ยังมีกรดอะมิโน โอเมก้า ไคติน ซึ่งเป็นสารเพื่อความงามด้วย

ในสหรัฐมีฟาร์มจิ้งหรีดขนาดใหญ่ และมีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่กำลังศึกษาการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในฟาร์มจิ้งหรีดให้เป็นแบบโรงงานออโตเมชั่น หรืออัตโนมัติ ที่จะสามารถให้อาหารจิ้งหรีดนับล้านๆตัวตลอด 21 ชั่วโมง ด้วยระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ

ความคิดนี้ไม่ได้ล้ำไปไกลกว่าที่เชื่อมั่นว่าในอนาคต อาหารที่ทำจากจิ้งหรีดกำลังจะเป็นอาหารกระแสหลัก หรือ mainstream ในสหรัฐฯ

กระแสการกินแมลง หรืออย่างน้อยๆใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงที่ทำจากแมลงกำลังเป็น “เทรนด์” ที่ป๊อปปูล่าร์ขึ้นเรื่อยๆ

อีกไม่กี่ปีเราอาจจะหาซื้อขนมหรือสแน็กที่ทำจากจิ้งหรีดได้ทั่วไป มีกราโนล่าจิ้งหรีดวางขายตามร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น หรือโปรตีนบาร์ แท่งธัญพืชที่คุ้นเคยว่าเป็นธัญพืชเมล็ดต่างๆก็จะกลายเป็นโปรตีนบาร์ที่มาจากแมลง

เอาเข้าจริงก็มีแบรนด์อาหารสายทางเลือกบางแห่งมีผลิตขนมจากแมลงขายมาแล้วด้วยซ้ำในร้านค้าปลีกทางออนไลน์

หลายเมนูอาหารในต่างแดน หากใครเป็นนักเสาะ นักชิม จะพบว่ามีร้านอาหารที่เพิ่มเมนูแมลงเข้าไป ไม่ใช่แค่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับประทาน แต่เป็นเรื่องการเข้าหาเมนูสุขภาพ แม้กระทั่งทุกวันนี้ วัตถุดิบในการปรุงอาหารที่ผลิตจากแมลงก็กำลังเป็นอีกเทรนด์ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

แถบอเมริกาเหนือ ให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นโปรตีนจากแมลง เป็นสินค้าระดับพรีเมียม อาทิ ผงโปรตีนจากจิ้งหรีด ที่เอาไว้ใช้ประกอบอาหารนั้นขายกันในท้องตลาดแพงมาก

ขณะที่ในต่างแดนเราเห็นความร่วมมือกันระหว่าง ภัตตาคารระดับไฮเอนด์ไปเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบจากจิ้งหรีดเพื่อนำเมนูจิ้งหรีดขึ้นโต๊ะอาหารหรู

และแน่นอนว่าเมื่อ จิ้งหรีดถือเป็นแมลงเศรษฐกิจ กระบวนการเลี้ยงและผลิตในระดับโรงงานและฟาร์มต่อไปจึงต้องขยับไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น

มีบริษัทสตาร์ทอัพที่ให้ความสนใจในเทคโนโลยีผลิตวัตถุดิบและอาหารจากจิ้งหรีด โดยเข้ามาวางแผนการใช้ระบบหุ่นยนต์ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อเสิร์ฟจิ้งหรีดที่กำลังกลายเป็นวัตถุดิบอาหารที่ผู้คนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆในระยะ 1-2 ปี มานี้

เพราะเชื่อว่าอนาคตบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบทางอาหารชั้นนำของโลกเองก็น่าจะสนใจการมีส่วนผสมจากจิ้งหรีด หรือผงโปรตีนจากจิ้งหรีด ซึ่งเคยมีข่าวว่าแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดัง เคยมองถึงการพัฒนานวัตกรรมโปรตีนจากแมลงเข้าไปอยู่ในน้ำอัดลมด้วยซ้ำ

นั่นคือเรื่องราวในอีกฟากหนึ่งของโลกเรา เพราะด้านหนึ่งบ้านเราก็คุ้นชินกับการกินแมลงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆในโลก หลายประเทศในทวีปแอฟริกา หรืออเมริกาใต้ก็บริโภคแมลงเป็นเรื่องสามัญ น่าสนใจว่าเราอาจได้เห็นอนาคตที่บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานผลิตอาหารจากจิ้งหรีดก็เป็นได้

ส่วนในประเทศไทยก็น่าสนใจไม่เบา ทุกวันนี้มีรายงานว่ามีฟาร์มจิ้งหรีดมากถึง 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ

กินแมลง กินจิ้งหรีด อาหารชั้นดีโปรตีนชั้นยอด
เป็นเทรนด์โลกที่กำลังมา…

 


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

เรื่องใหญ่สุดของนักวิ่งอีกเรื่องหนึ่ง คือ การต้องเรียนรู้โครงสร้างร่างกายและเท้าของตัวเอง เพื่อหารองเท้าที่ใส่สบาย เพราะการวิ่งจะมีการลงเท้าสู่พื้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนหลายพันครั้ง รองเท้าที่ดีจะช่วยในการลดแรงกระแทก ระบายความร้อน และช่วยให้การลงเท้ามั่นคง การส่งแรงที่ดีทำให้ประหยัดแรง

โดยประเภทและคุณสมบัติของรองเท้ามีการแยกย่อยไปกับจุดประสงค์การวิ่งที่ต่างกัน อาทิ
-รองเท้าวิ่งอเนกประสงค์
-รองเท้าสำหรับฝึกซ้อมบนถนน
-รองเท้าสำหรับการแข่งขันบนถนนในระยะทางที่แตกต่าง
-รองเท้าสำหรับการวิ่งเทรล
ฯลฯ

รองเท้าวิ่งแต่ละแบรนด์ มีหลายรุ่นย่อยออกมาเพื่อตอบสนองโครงสร้างของเท้าในรูปแบบต่างๆ

กฎเหล็กง่ายๆในการเลือกรองเท้า คือ “ทดลองสวมด้วยตัวเอง”

ไม่ควรฝากซื้อ ไม่พรีออเดอร์ ไม่เชื่อโฆษณาที่มีอยู่เกลื่อนเมือง แบรนด์รองเท้าที่พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยเรื่อยๆ จึงต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยของแต่ละคน รวมทั้งปัจจัยอย่าง การฝึกซ้อมที่ดีพอ เทคนิคของท่าทางการวิ่ง และที่สำคัญ คือ โครงสร้างทางร่างกายที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของรองเท้าที่เลือกมา

และเคล็ดลับที่ต้องทดลองด้วยตัวเองขอให้ยึดหลักต่อไป

-“สวมใส่สบาย”
-“ไม่คับหรือหลวมเกินไป”
-“เวลาลงเท้าวิ่งรับรู้ถึงความมั่นคง”
-“ไม่เกิดแรงกระแทกสะท้อนกลับมาที่ข้อเท้าหรือเข่า”
-“ผ้ากระชับเท้าระบายความร้อนได้ดี”
-“พื้นรองเท้าไม่แข็งกระด้าง ยืดหยุ่น และทรงตัวได้ดี”

เพราะรูปเท้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน หรือแม้แต่เท้าเราทั้งสองข้างยังไม่เหมือนกันเลย ความรู้สึกในการสวมใส่ จึงย่อมแตกต่างกัน รองเท้าที่ดีของนักวิ่งคนหนึ่ง อาจเป็นรองเท้ายอดแย่ของนักวิ่งอีกคนก็เป็นไปได้

ลองสวมใส่ด้วยตัวเอง ลองก้าวขา ลองเดิน ลองวิ่ง แล้วจึงตัดสินใจซื้อที่สบายและเหมาะกับเท้าเรา เพราะรองเท้าที่เลือกมาจะต้องอยู่กับเราไปทุกก้าววิ่ง

 


ขอบคุณข้อมูล หนังสือ “วิ่งได้ ไม่ใช่แค่ได้วิ่ง” โดย ครูดิน สถาวร จันทร์ผ่องศรี สำนักพิมพ์มติชน

หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่างานศิลปะหลายชิ้นมีราคาแพงมหาศาล ขนาดที่ภาพเขียนบางภาพอยู๋ในพิพิธภัณฑ์ที่มีการดูแลความปลอดภัยแน่นหนาราวกับเครื่องเพชร ตามไปดูกันว่า 10 อันดับภาพเขียนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์กัน!

อันดับ 10 Massacre of the Innocents โดย Peter Paul Rubens มูลค่า 76.7 ล้านเหรียญ

อันดับ 9 Adele Bloch-Bauer II โดย Gustav Klimt มีมูลค่า 87.9 ล้านเหรียญ

อันดับ 8 The Scream โดย Edvard Munch ถูกประมูลในมูลค่า 119.9 ล้านเหรียญในปี 2012

อันดับ 7 Salvator Mundi โดย Leonardo da Vinci ซึ่งนักสะสมชาวรัสเซียได้ประมูลไปในราคา 127.5 ล้านเหรียญ

อันดับ 6 Garçon à la pipe โดย Pablo Picasso มูลค่า 104.2 ล้านเหรียญ

อันดับ 5 Bal du moulin de la Galette โดย Pierre-Auguste Renoir มูลค่า 78.1 ล้านเหรียญ

อันดับ 4 The Card Players โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Cézanne ซึ่ง Qatar ก็ได้ซื้อไปอีกแล้วในราคา 259 ล้านเหรียญ

อันดับ 3 When Will You Marry? ของ Paul Gauguin ซึ่งทาง Qatar ได้ซื้อขาดไปด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ

อันดับ 2 Nude, Green Leaves and Bust โดย Pablo Picasso มุลค่า 106.5 ล้านเหรียญ!!!

อันดับ 1 คงหนีไม่พ้น Mona Lisa โดยศิลปิน Leonardo Da Vinci มูลค่ากว่า 760 ล้านเหรียญ!!!

ผ่านไปเรียบร้อยแล้วสำหรับทัวร์ “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา” ที่พาทุกคนไปร่วมย้อนอดีตตามรอยตัวละครดังอย่าง “แม่การะเกด” เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นรอบแรก โดยรอบที่สองจะจัดขึ้นในวันที่ 31 มีนาคมนี้

บรรยากาศงานนี้เรียกได้ว่าเต็มอิ่มความรู้ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาจาก รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ที่เล่าให้ฟังทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะและวัฒนธรรมของยุคกรุงศรีฯ ที่ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ก็ไม่มีใครหวั่น

ส่วนมื้อเที่ยงจัดเต็มที่ร้านอาหารบ้านวัชราชัยด้วยเมนูเด็ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลาช่อนเผา น้ำจิ้ม 3 รส, ขนมจีนน้ำพริก, แกงส้มผักรวมกุ้ง, น้ำพริกมะม่วงปลาซิวอด, ยำถั่วพู, มะม่วงน้ำปลาหวาน ตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างขนมใส่ไส้และน้ำเย็นๆ ชื่นใจอย่างน้ำใบเตย