เพื่อโรงหนังเก่าที่ถูกทิ้งกับแคมเปญระดมทุนในการสร้างสารคดี One Man, Stand-Alone: บนเส้นทางของโรงภาพยนตร์เก่าร้าง

ฟิลลิป จาบลอน (Philip Jablon) นักอนุรักษ์ และผู้ก่อตั้งทั้งยังเป็นผู้อำนวยการโครงการภาพยนตร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้จัดแคมเปญนี้เพื่อเป็นพื้นสำหรับการระดมเงินทุนออนไลน์ ในการสร้างสารคดีเรื่องยาว โดยสารคดีจะเป็นการเล่าเรื่องราวในขณะที่เขาได้ตระเวนเพื่อเก็บภาพบรรยากาศตามโรงภาพยนตร์ที่ถูกทิ้งให้เก่าร้างทั้งในประเทศไทยและพม่า ซึ่งภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ยังได้เคยออกอากาศทางช่อง Thai PBS ด้วยความยาว 30 นาที เมื่อเดือนกันยายนปี 2560 ที่ผ่านมา โดยในการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีตัวเต็มเรื่องนี้ จะเจาะลึกเข้าไปถึงรายละเอียดถึงที่มาที่ไปและจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โรงภาพยนต์พวกนี้ถูกทิ้งร้างเอาไว้อย่างในปัจจุบัน

“One Man, Stand-Alone: บนเส้นทางของโรงภาพยนตร์เก่า” จะพาผู้ชมเดินทางผ่านเมืองและจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งพม่าและไทย ซึ่งจะเผยให้ถึงเห็นถึงข้อเท็จจริงอันน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงได้สัมผัสกับทัศนียภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีสันของตึกและอาคารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสมือนศูนย์กลางของเมืองและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยสารคดีเรื่องนี้ จะนำเสนอผ่านในส่วนของการผจญภัยและการเดินทางอันยาวนานของโรงภาพยนตร์

ซึ่งในการทำงานครั้งนี้ ฟิลลิป จาบลอน ยังได้คุณ ธีรยุทธ์ วีระคำ ซึ่งเป็นผู้กำกับสารคดีไทยฝีมือดีมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อให้เกิดความสนุก และสวยงาม ทั้งยังเข้าถึงความนิยมที่เกิดขึ้นในอดีตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาสำหรับโรงภาพยนตร์ในภูมิภาคนี้ว่าสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้อย่างไร

โดยผ่านแพลตฟอร์มการร่วมระดมทุนเพื่อร่วมสนับสนุนแคมเปญ “One Man, Stand-Alone: บนเส้นทางของโรงภาพยนตร์เก่า” คือ Asiola ซึ่งเป็นช่องทางระดมเงินทุนออนไลน์ หรือแพลตฟอร์ม crowdfunding รายแรกที่มุ่งเน้นตลาดสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชีย

“เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์” ชวนออเจ้าทั่วแดนสยาม สืบสานความอร่อยต้นตำรับชาววัง ในงาน ‘เทสต์ ออฟ ไทย’ เทศกาลอาหารไทยเลื่องชื่อ

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ เสน่ห์ของอาหารไทยยังคงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย และทวีความนิยม ขึ้นเรื่อยๆ จากกระแสนิยมไทยของละครดัง บุพเพสันนิวาส เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ จึงร่วมสืบสานความเป็นไทย ชวนย้อนรอยความอร่อยต้นตำรับชาววัง ในงาน Taste of Thai (เทสต์ ออฟ ไทย) และ ท็อปส์ทำ นำชุมชนยั่งยืน เทศกาลอาหารไทยเลื่องชื่อ สูตรต้นตำรับชาววังที่คงความมีเอกลักษณ์ไทย ทั้งอาหารคาว, เครื่องว่าง, ของหวาน, ขนมไทยโบราณตำรับชาววังที่หาทานยากและขนมไทยมงคล จาก 28 ร้านดัง และพบสินค้าที่ดีที่สุดในฤดูกาล ทั้งสินค้าชุมชน, โอทอป, เอสเอ็มอี, สินค้าแปรรูป และสินค้าจีไอ (GI) ตั้งแต่วันนี้ – 24 เมษายน 2561 เวลา 11.00 – 20.00 น. ณ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาชิดลม, เซ็นทรัลเวิลด์, เดอะ คริสตัล รามอินทรา, อีสต์วิลล์ และบางนา

โดยมีเซเลบริตี้ผู้หลงใหลอาหารไทย วิสาขา – ฐณส หงสนันทน์ คู่แม่ลูกที่ควงกันมาชิมอาหารไทยก่อนใคร และ ลงมือทำเครื่องว่าง ข้าวเกรียบปากหม้อ ครั้งแรก ณ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ชั้น 1 เซ็นทรัลชิดลม เมื่อเร็วๆ นี้

วัตินาพร บัณฑุชัย ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เผยว่า “อาหารไทยหลายเมนูถูกจัดอันดับว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก นอกเหนือไปจากรสชาติที่อร่อยถูกใจแล้ว อาหารไทยยังมีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารไทยสูตรต้นตำรับชาววัง ที่จะมีความพิถีพิถัน ละเมียดละไม การใช้ความประณีตถ่ายทอดศิลปะแกะสลักรูปทรงต่างๆ ลงบนอาหารสมกับเป็นชาววัง เพื่อสืบสานวัฒนธรรมด้านอาหารไทย เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ จึงจัดงาน Taste of Thai (เทสต์ ออฟ ไทย) และ ท็อปส์ทำ นำชุมชนยั่งยืน เทศกาลอาหารไทยเลื่องชื่อ สูตรต้นตำรับชาววังทั้งอาหารคาว, เครื่องว่าง, ของหวาน, ขนมไทยโบราณตำรับชาววังที่หาทานยาก, ขนมไทยมงคล จาก 28 ร้านดัง และสินค้าที่ดีที่สุดในฤดูกาลจากชุมชน กว่า 800 รายการ

เริ่มที่ ร้านข้าวแช่คุณปิ๋ม ที่เปิดร้านเพียงครึ่งวันก็จำหน่ายหมดเกลี้ยง! กับข้าวแช่สูตรต้นตำรับชาววัง จุดเด่นอยู่ที่ข้าวเม็ดเรียวสวย นุ่มละมุนลิ้น แช่ในน้ำเย็นที่อบด้วยดอกมะลิ ดอกชำมะนาด และเทียนอบ ส่งกลิ่นหอมโชย เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงที่ปรุงอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ถัดมาที่ ครัวการบินไทย มาร่วมออกบูธเป็นปีแรก นำอาหารและขนมไทยนานาชนิดที่มีชื่อเสียงเรียงนามด้านความอร่อยมาให้ลิ้มชิมรส ตั้งแต่อาหารคาวยอดนิยม ฉู่ฉี่ปลากระพง,ทอดมันปลากราย, ยำส้มโอ, กระทงทองไส้ไก่ และของหวาน เซ็ตขนมไทยโบราณ 6 อย่าง ที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก ได้แก่ ช่อม่วง, ปั้นสิบไส้ปลา, หรุ่ม, ลูกชุบทองหยอด และเม็ดขนุน นอกจากนี้ยังมีขนมมันม่วงสามสีที่แกะสลักเป็นดอกกุหลาบอ่อนช้อยงดงาม เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากให้ญาติผู้ใหญ่ อีกหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดกับ จิม ทอมป์สัน อาหารไทยแท้สูตรต้นตำรับที่พ่อครัวได้รังสรรค์การปรุงจนได้รสชาติแบบไทยแท้ทั้งคาวหวาน อาทิ ขนมช่อม่วง จุดเด่นอยู่ที่ความนุ่ม ไส้อร่อย เมนูนี้ขอบอกว่าให้คะแนนเต็มสิบและยังมีเมนูข้าวแช่ อาหารชาววังประจำเทศกาลสงกรานต์ ที่สมัยก่อนจะทำกินเฉพาะในวังเท่านั้น รสชาติของข้าวแช่ร้าน จิม ทอมป์สัน จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนหิว จุดเด่นอยู่ที่เครื่องเคียง ลูกกะปิจะกวนนาน ทำให้เหนียวและนุ่มมาก

หากจะพูดถึงร้านขนมไทย ร้านป้าโหนก คือหนึ่งในลิสต์รายชื่อที่ห้ามพลาด! เสน่ห์ของขนมร้านป้าโหนก ขนมทุกอย่างจะสดใหม่ เครื่องแน่น รสชาติกลมกล่อม อาทิ บ้าบิ่นมะพร้าวหอม ที่มีทั้งความนุ่ม หนึบ กับมะพร้าวที่อัดแน่นเต็มชิ้น, ขนมข้าวโพด ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนให้ต้องเดินตามกลิ่นมาชิม ลักษณะเป็นแป้งนุ่มๆ ที่อัดแน่นด้วยข้าวโพดและมะพร้าว จึงได้ทั้งความหอม มัน เป็นความอร่อยที่เข้าคู่กันได้ดีทีเดียว ใครที่ชอบทานน้ำพริก ร้านบ้านแม่ยุ้ย ขนบรรดาน้ำพริกมาแทบจะ ทุกสูตร ตั้งแต่ น้ำพริกขิงแห้ง สูตรต้นตำรับราชครู ที่สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ใช้แรงผู้ชายเคี่ยวทั้งคืนจนแห้งได้ที่ และอีกไฮไลต์ น้ำพริกมันกุ้ง หอมๆ มันๆ ใช้ทานกับผักสดหรือผัดข้าวสวยก็กลมกล่อมสุดๆ

ปิดท้ายด้วย น้ำพริกขี้กา ที่มีส่วนผสมของปลา ให้รสชาติเปรี้ยวนิดหวานหน่อย ต่อมา ร้านอัลม่า คิทเช่น ที่มีทั้งหมูรวนและไก่รวนเค็มเป็นสูตรที่อาม่าใช้ทำให้ลูกหลานทาน จนสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น และกลายเป็นที่มาของชื่อร้าน ซึ่งคงรสชาติอร่อยเด็ดทำคนทุกรุ่นทุกวัยหลงใหลความอร่อยมานานหลายทศวรรษ แต่ที่หันไปทีไร คนเข้าคิวยาวแน่นทุกที ร้านข้าวเหนียวคลองเขิน จากแม่กลอง นำข้าวเหนียวสังขยามาให้ลิ้มลองถึงที่ จุดเด่นอยู่ที่ข้าวเหนียว 4 รส ได้แก่ ข้าวเหนียวมูน สีขาว, ข้าวเหนียวมูนสีดำ, ข้าวเหนียวขมิ้น และข้าวเหนียวธัญพืช ที่แต่ละชนิดจะนุ่มเป็นพิเศษ และยังมีหน้าต่างๆ ให้เลือกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าสังขยา, หน้าปลา, หน้ากุ้งสด ไม่แปลกใจที่ต้องรอ เพราะของเขาดีจริงๆ

มาถึงร้านที่ ออเจ้าทั้งหลายไม่ควรพลาด ร้าน MANGORO กับมะม่วงเปรี้ยวมันจิ้มกับน้ำปลาหวาน, กะปิโหว่ และ กะปิหวาน เด็ดอย่าบอกใครเชียว! และยังมีร้านชื่อดังอีกมายมาย อาทิ ร้านรสโอชา ร.ศ.199, ร้านข้าวแช่บ้านพระนาง, ร้านเมี่ยงคำกันดา, ร้านข้าวแกงดอนหวาย, ร้านปั้นขลิบ จิว แอนด์ เจน, ร้านขนมจีนแม่ละม่อม พร้อมอิ่มเพลินไปกับสินค้าที่ดีที่สุดในฤดูกาลจากชุมชน กว่า 800 รายการ ทั้งสินค้าชุมชน,โอทอป, เอสเอ็มอี,สินค้าแปรรูป และสินค้า จีไอ (GI) อาทิ แคบหมูและน้ำพริกหนุ่ม, พริกแกงแจ่วฮ้อนข้าวเหนียวมะม่วงและน้ำพริก,มะม่วงน้ำปลาหวาน, มะยงชิดลอยแก้ว, กระยาสารท, หมี่กรอบ 3 รส, กล้วยไข่, ส้มโอทับทิมสยาม,ทุเรียน, สละ, เงาะสีทอง, สับปะรด และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ด้านเซเลบ 2 แม่ลูกผู้หลงใหลอาหารไทย วิสาขา – ฐณส หงสนันทน์ ก็ไม่พลาดมาร่วมงาน พร้อมยังได้ ลงมือทำข้าวเกรียบปากหม้อเป็นครั้งแรก! ซึ่งทั้งคู่เผยความรู้สึกว่า “วันนี้ได้มาลองทำข้าวเกรียบปากหม้อเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นและสนุกมาก ส่วนตัวชอบทานทั้งอาหาร เครื่องว่าง และขนมไทย โดยเฉพาะข้าวแช่ ซึ่งปัจจุบันข้าวแช่ที่เป็น รสต้นตำรับชาววังแท้ๆ นั้นหาทานยาก จึงคิดไว้ว่าจะไปลงคอร์สเรียนทำข้าวแช่ จะได้ทำกินเอง และได้รสชาติที่ เราชอบ รวมถึงปาล์มเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้วด้วย จึงอยากลองทำครับ และอยากฝากเชิญชวนสำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารไทย สามารถมาชิมมาเลือกซื้อที่งาน เทสต์ ออฟ ไทย และ ท็อปส์ทำ นำชุมชนยั่งยืนครับ”

ลิ้มลองความอร่อยในงาน Taste of Thai (เทสต์ ออฟ ไทย) และ ท็อปส์ทำ นำชุมชนยั่งยืน ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 เมษายน 2561 เวลา 11.00 – 20.00 น. ณ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาชิดลม, เซ็นทรัลเวิลด์, เดอะ คริสตัล รามอินทรา, อีสต์วิลล์ และ บางนา พิเศษ!! เพียงแต่งชุดไทยเดิมมาถ่ายรูปในงาน ‘Taste of Thai’ (เทสต์ ออฟ ไทย) ณ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาใดก็ได้ 5 สาขา และโพสต์รูปถ่ายลง Facebook หรือ Instagram ตั้งค่าเป็นสาธารณะและใส่ Hashtag #TasteofThai2018 รูปภาพที่โดนใจคณะกรรมการ รับ Gift Voucher มูลค่า 500 บาท จำนวน 20 รางวัล ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/TopsThailand

ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ หลายคนอาจจะวางแผนท่องเที่ยวกันแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จะไปไหนดี เที่ยวฝยกรุงเทพฯก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย

โดยเพจเฟซบุ๊ก หอสมุดวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้โพสต์เชิญชวนร่วมงาน “สงกรานต์หน้าวัง” ซึ่งจะได้พบกับภาพวาด 3 มิติ ที่เป็นภาพของตัวละครในเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ไม่ว่าจะเป็น แม่การะเกด พี่หมื่น พี่ผิน พี่แย้ม อ้ายจ้อย และภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจจากคณะจิตรกรรมฯ พร้อมกิจกรรมภายในงานอีกมากมาย โดยกิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6-8 เมษายน นี้ เวลา 10.00-20.00 น. ที่ ม.ศิลปากร วังท่าพระ

ทั้งนี้ สงกรานต์หน้าวัง เป็นกิจกรรมพื้นที่ทางวัฒนธรรมกลุ่มเศรษฐกิจวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์เส้นทางถนนหน้าพระลาน – มหาราช – พระจันทร์ – พระอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร โครงการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนผ่านกลไกความร่วมมือของภาคประชาสังคม ศิลปินหรือชุมชนและสถาบันการศึกษา (ทุนวิจัยฯ สกว)

ขอเชิญทุกท่านร่วมงาน "สงกรานต์หน้าวัง" .พบกับภาพวาด 3 มิติ กับแม่การะเกด พี่หมื่น พี่ผิน พี่แย้ม อ้ายจ้อย และภาพอื่น ๆ…

โพสต์โดย หอสมุดวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ วันอังคารที่ 3 เมษายน 2018

 

ที่มา เฟซบุ๊กเพจ หอสมุดวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร

“หมูสะดุ้งแจ่ว” เมนูสุดแซ่บทำกินกับเพื่อนๆ สมาชิกในบ้านเพลินๆ ว่าแต่จะทำอย่างไร ให้รสแซ่บถึงใจ

สูตรหมูสะดุ้งแจ่ว

วัตถุดิบ
– เนื้อหมูสันคอนอก
– น้ำปลา
– น้ำตาลปี๊บ
– น้ำตาลทราย
– ข้าวคั่ว
– พริกป่น
– น้ำมะนาว
– สุราผสม
– น้ำเปล่า
– เนย
– กระเทียม
– ใบโหระพา
– พริกชี้ฟ้าแดง

 

    

วิธีทำ

เริ่มต้นจากทำน้ำยำใสก่อน

หาถ้วยขนาดพอประมาณให้สามารถคนเครื่องปรุงได้
โดยเริ่มจากใส่น้ำตาลทราย ตามด้วยน้ำปลา คนให้เข้ากัน ตามด้วยบีบมะนาวลงไป คนต่ออีกสักนิด

–พักไว้ก่อน–

จากนั้นตั้งเตา หาหม้อขนาดพอดี เติมน้ำเปล่า ใส่น้ำตาลปี๊บตามลงไป โดยคนให้น้ำตาลปี๊บละลายแตกตัวเป็นน้ำเชื่อมเคี่ยวจนเดือด

จากนั้นนำเครื่องปรุงรสชามแรกกับน้ำเชื่อมที่ได้จากละลายน้ำตาลปี๊บ มาผสมกันจะได้ “น้ำยำใส”

จากนั้นนำเนื้อหมูสันนอก มาหั่นให้เป็นลูกเต๋า
ตั้งเตาวางกระทะ ใส่เนยลงไปอย่างแรก ตามด้วยเนื้อหมูลงตามผัดจนเนื้อหมูสุก
ตามด้วยใส่สุราผสม น้ำยำใส(ที่ได้ทำเตรียมไว้แล้ว)
คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่พริกป่น ข้าวคั่ว กระเทียม พริกชีฟ้าแดง ใบโหระพา

ผัดไปให้เข้ากันจนระอุ หอมได้ที่ ยกกระทะขึ้นจัดใส่จาน

เป็นอันได้เมนู หมูสะดุ้งแจ่ว แซ่บจี๊ดถึงใจ
ลองไปทำกันดูนะคะ

"หมูสะดุ้งแจ่ว" ทำอย่างไร? ถึงจะรสแซ่บถึงใจ

Happy Dish: "หมูสะดุ้งแจ่ว" ทำอย่างไร? ถึงจะรสแซ่บถึงใจMatichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

เมื่อวันที่ 3 เมษายน นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.รังสิต กล่าวในการแถลงข่าวความคืบหน้าการวิจัยกัญชาทางการแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ว่า กัญชาเป็นพืชตะวันออกและเรารู้จักกันมาเป็นพันปี ฝรั่งไม่ค่อยรู้จัก ฝรั่งจัดว่าเป็นยาเสพติด ซึ่งไทยก็ตามฝรั่งจัดให้กัญชาเป็นยาเสพติดตั้งแต่ 70-80 ปีก่อน อยู่ในประเภทห้ามเสพ ห้ามปลูก ห้ามจำหน่าย ห้ามครอบครอง แต่ระยะหลังฝรั่งเขารู้ว่ากัญชาทางการแพทย์ถือว่าปลอดภัย ฝรั่งเขาก็ปรับตัว บางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นยา ใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ แต่ประเทศไทยแม้มีกระแสเคลื่อนไหวเพื่อแก้กฎหมายมาหลายปี แต่ก็ยังไหลไปตามกระบวนการราชการ ก็คงต้องรอดูการแก้กฎหมายยาเสพติดว่าจะช่วยปลดล็อกในเรื่องทางการแพทย์หรือไม่” นพ.ศุภชัย กล่าว

ศ.(พิเศษ) วิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้กฎหมายยาเสพติด คือ ร่างประมวลกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมร่างเสร็จแล้ว ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อยู่ระหว่างรอการพิจารณาเข้าวาระของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งแม้จะได้รับอนุญาตในการทดลอง แต่ไม่นำสารสกีดจากกัญชามาทดลองกับมนุษย์ได้ ทดลองได้แค่ในสัตว์ ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนป่วยไข้ โดยเฉพาะจากมะเร็งที่ได้รับผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดรออยู่ จึงต้องพยายามให้ข้อมูลและความสำคัญเพื่อให้กฎหมายผ่านออกมาให้ได้

ขอบคุณภาพจากกรมศิลปากร

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้มีการหารือร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งระดมนักสมุนไพรมาช่วยกันค้นว่า ประเทศไทยเคยใช้กัญชาในทางการแพทย์กี่ตำรับ พบว่า ค้นได้ 12 เล่มรวม 91 ตำรับ แสดงว่าเรามีความรู้ภูมิปัญญาวิธีการใช้กัญชามายาวนาน ตั้งแต่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และมีบันทึกในยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชด้วย มีการนำกัญชามาใช้ต่อเนื่อง จึงทำให้เห็นโอกาสว่าหากมีการปลดล็อกกฎหมายและนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ และกรมการแพทย์แผนไทยฯ ไม่ต้องมาเสียดายตำรับยาโบราณจำนวนมากที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ที่สำคัญทำให้มีความหวังในการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ มีผลิตที่ได้มาตรฐาน ประชาชนใช้ได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องในทางการแพทย์ ซึ่งถ้าไม่ปลดล็อกโทษจะเกิดกับผู้แอบใช้อย่างไม่ระมัดระวัง เกิดกับผู้ที่รอความหวังจะเป็นตำรับยารักษาโรคอื่นๆ อีกมากมายก็จะสิ้นหวังลง อย่างตำรับยาเบญจอำมฤตย์ที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ใช้ทดลองอยู่ที่โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยยศเส ที่ไม่ได้ผลเพราะบางตำรับต้องมีกัญชาเข้าไปผสม


ที่มา มติชนออนไลน์

 

 

หลายคนอาจจะบอกว่าการเอา “ใบไม้” มาเป็นภาชนะใส่อาหารเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพราะเป็นสิ่งที่คนโบราณใช้มาหลายศตวรรษ เช่น ใบตองในไทย หรือใบอื่นๆ ในอินเดีย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาชนะจากใบไม้อย่างที่ผ่านมายังไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก

วิศวกรเยอรมนีได้คิดค้นการทำจาน ชาม ที่ทำจากใบไม้ แต่มีความแข็งแรงมาก ซึ่งจานแต่ละใบจะประกอบด้วย 3 ชั้น ทำให้แข็งแรงและกันน้ำได้ โดยชั้นบนสุดทำจากใบไม้ชนิดหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกที่นำมาเย็บและอัดแน่น ชั้นกลางเป็นกระดาษที่ทำจากใบไม้ มีความแข็งแรงสูง และชั้นล่างสุดก็เป็นใบไม้เย็บและอัดแน่นเช่นกัน

โดย Leaf Republic บริษัทที่จำหน่ายภาชนะจากใบไม้นี้ ได้วางขายภาชนะหลากหลายรูปแบบ ทั้งจาน ชาม ถ้วย ถาด โดยภาชนะแต่ละใบจะสามารถย่อยสลายได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 สัปดาห์ ซึ่งจาน 1 ใบ มีราคาไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในอนาคตคาดว่าราคาจะถูกลงอีกในอินเดีย

ชมคลิป

Biodegradable leaf plates

Disposable plates don't come much greener.

โพสต์โดย State of the Carte เมื่อ วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2018

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

ไข่ป่ามเป็นอาหารเหนือ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นไข่ป่ามได้บ่อยขึ้นเวลามีการออกร้านขายของในงานกาดมั่ว หรือกาดถนนคนเดิน ไข่ป่ามเป็นของว่างกินเล่นที่มีประโยชน์ กินเป็นอาหารเช้าแทนที่ไข่แบบฝรั่งก็ดี หรือกินเป็นกับข้าวก็ยังได้ ไข่นุ่มๆ หอมใบตองถูกใจทุกคน ทำก็ง่าย

ป่ามคือการรองด้วยใบตองบนภาชนะ เช่น ตั้งกระทะแล้วทำให้สุก ส่วนผสมหลักๆ ก็มีเพียงไข่และต้นหอมซอยเท่านั้น ส่วนผักอื่นๆ ใส่เสริมลงไปให้มีรสชาติและสีสันสวยงาม และยังเป็นอุบายให้เด็กกินผักด้วย

ส่วนผสม

-ไข่
-ต้นหอม เห็ด พริกแดง แครอต มะเขือเทศ
-เกลือ
-ใบตอง

วิธีทำ

-พับกระทง
-หั่นผักทุกชนิดอย่างละนิดละหน่อยเป็นลูกเต๋าเล็กๆ
-ตีไข่ ใส่ผักลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ ตีให้เข้ากัน
-ตักไข่หยอดลงในกระทง อย่าหยอดหนาเดี๋ยวไม่สุก นำไปตั้งบนเตาย่างไฟอ่อนๆ หรือย่างบนกระทะจนไข่สุก

ทุกวันนี้อาหารประเภทเส้นไม่ว่าก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ก๋วยจั๊บ สปาร์เก็ตตี้ ฯลฯ มีอิทธิพลในชีวิตคนไทยสูง..งงงง มาก บางคนลืมตาตื่นขึ้นมาก็นึกอยากกินอะไรร้อนๆ แล้วจินตนาการเห็นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ส่งควันหอมฉุย ก่อนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ แล้วรีบเผ่นออกไปหาร้านก๋วยเตี๋ยวกินให้หายอยาก อย่างนี้เป็นต้น และไม่เฉพาะผู้ใหญ่คนหนุ่มสาวเท่านั้น แม้แต่เด็กเล็กก็ยังร้องอยากกินเลย

พูดถึงเรื่องเส้นๆ แล้วเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน คือ บะหมี่ แต่ชาวญี่ปุ่นก็เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารเส้นและการนำเส้นไปปรุงเป็นอาหาร ความนิยมเส้นจากประเทศจีนจึงถ่ายทอดและแผ่กระจายไปสู่คนญี่ปุ่น จนกลายเป็นที่ชื่นชอบไปทั้งประเทศ ทุกวันนี้ “บะหมี่” เป็นอาหารที่นิยมบริโภคในญี่ปุ่นมากกว่าอย่างอื่น หากไม่รวมข้าว ร้านขายบะหมี่จำนวนมากกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่น โดยมีลูกค้าอุดหนุนเนืองแน่น ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าควรกินอาหารบะหมี่ทันทีก่อนที่น้ำซุปร้อนจัดจะทำให้เส้นเละ นั่นแปลว่าจะต้องสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปพร้อมกับบะหมี่ทุกคำ ซึ่งทำให้เกิดเสียง “ซู้ด…” ที่คนไทยเห็นว่าไม่เป็นผู้ดีไม่มีมารยาท

แต่แท้จริงแล้วการส่งเสียง “ซู้ด..” ในการกินบะหมี่ร้อนจัดของคนญี่ปุ่นหรือคนจีน มันคือสัญลักษณ์แห่งความรื่นรมย์ และถือเป็นมารยาทที่ดีงามในญี่ปุ่น และในความเห็นของคนญี่ปุ่นแล้วการกินบะหมี่ช้าๆ สงบสงี่ยมต่างหากถือเป็นการดูหมิ่นพ่อครัวด้วยซ้ำ

บะหมี่ญี่ปุ่นมีคุณลักษณะและสรรพคุณด้านบำรุงสุขภาพที่โดดเด่น เพราะบะหมี่ญี่ปุ่นมีกลูเต็นน้อยกว่าพาสต้าที่ทำจากข้าวสาลีดูรัม เชื่อกันว่าย่อยง่ายกว่าและไม่เกิดอาการแพ้จากข้าวสาลี เกลือปริมาณเล็กน้อยที่ใส่ในบะหมี่ญี่ปุ่นยังช่วยเรื่องการย่อยอาหารด้วย หากพูดถึงเรื่อง “กินเส้น” ของคนญี่ปุ่นแล้ว มีให้ลองพิจารณาเป็นความรู้ ดังนี้

โซบะ

ส่วนผสมหลักคือบัควีต ธัญพืชเก่าแก่ บัควีตเป็นแหล่งที่ดีที่สุดที่มีสารจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์และเอ็นไซม์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้การเพิ่มโซบะในมื้ออาหาร โดยเฉพาะโซบะที่ทำจากบัควีต 100% จึงส่งผลดียิ่งต่อสุขภาพ หลังจากบริโภคโซบะมาหลายศตวรรษ ชาวญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับโซบะเมื่อได้รับการยืนยันจากนักวิจัยด้านการแพทย์ว่า เส้นใยอาหารปริมาณสูงในโซบะบัควีตช่วยให้ร่างการกำจัดคอเลสเตอรอลได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกินโซบะที่โปรตีนสูงยังมีความสัมพันธ์กับการลดไขมันในร่างกายอีกด้วย

แม้ว่าการรับประทานโซบะที่ทำจากบัควีต เป็นหนทางดีที่สุดในการรับประโยชน์จากสารอาหารในบัควีต แต่ก็ยังมีโซบะอีกหลายชนิด เช่น โซบะชาเขียว และโซบะอื่นๆ ที่มีการใส่ผงสมุนไพรเพิ่มลงไปในสูตรโซบะพื้นฐาน เช่น โซบะชาเขียวจะเติมผงชาเขียวลงไปในเส้นโซบะ ชาเขียวเป็นอาหารเชิงยาที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในธรรมชาติ ทำให้โซบะมีสีสันสวยงามและมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ชาวญี่ปุ่นนิยมกินโซบะจิเน็นโจ หรือโซบะมันภูเขาอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยเอ็นไซม์ช่วยย่อย และยังทำให้เส้นมีความเนียน ลื่น ง่ายต่อการย่อย จึงไม่แปลกใจที่จิเน็นโจจะเป็นที่นิยม เพราะถือเป็นยาพื้นบ้านที่สำคัญของญี่ปุ่นในการรักษาผู้ที่มีระบบย่อยไม่ดี โซบะเหล่านี้มีบางชนิดหาซื้อได้ตามร้านอาหารตามธรรมชาติ หรือสั่งซื้อทางเว็บไซต์

อุด้ง-โซเม็ง

บะหมี่ญี่ปุ่นที่ทำจากแป้งสาลี เช่น อุด้งและโซเม็ง เป็นบะหมี่ไขมันต่ำ แต่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ให้พลังงานยาวนานในปริมาณสูง แม้ว่าอุด้งและโซเม็งจะมีโปรตีนและเกลือแร่ต่างๆ ไม่มากเท่าโซบะ แต่ก็เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ดีเยี่ยม อุด้งจากข้าวกล้องยังมีกรดอะมิโนเสริมที่ได้จากข้าวและข้าวสาลี ในญี่ปุ่นอุด้งมีชื่อเสียงในเรื่องการย่อยง่าย การทดลองในห้องทดลองของญี่ปุ่นโดยใช้เอ็นไชม์ช่วยย่อย และมีการควบคุมอุณหภูมิ แสดงให้เห็นว่าอุด้งย่อยเร็วกว่าบะหมี่ชนิดอื่นมาก และย่อยได้เร็วกว่าเนื้อวัวถึง 3 เท่า

วิธีการนวดแป้งของอุด้ง ช่วยให้ข้าวสาลีมีคุณภาพดีขึ้นและเข้มข้นมากขึ้น โปรตีนจะไปผสมรวมกับโมเลกุลของแป้ง ทำให้เอ็นไซม์ช่วยย่อยในร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอุด้งย่อยได้เร็ว จึงทำให้มีเลือดปริมาณมากไปหล่อเลี้ยงกระเพาะ ร่างกายจึงมีความร้อนสูง อุด้งสร้างความร้อนในร่างกายที่คงที่ อยู่ได้นานกว่าความร้อนที่เกิดจากราเม็ง โซบะ หรือพาสต้า ดังนั้น อุด้งจึงเป็นอาหารยอดนิยมในฤดูหนาวของคนญี่ปุ่นยุคก่อนที่ยังไม่มีระบบทำความร้อนในบ้าน และเป็นที่นิยมในภาคเหนือด้วย เป็นอาหารโปรดของผู้ที่เป็นไข้ เนื่องจากให้พลังงานที่ยาวนานได้อย่างรวดเร็วและอบอุ่น

บะหมี่ญี่ปุ่นที่ใส่วัตถุกันเสียและใช้แป้งขัดขาวนั้น หาซื้อได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต บะหมี่พวกนี้โดยทั่วไปมักจะใส่เกลือที่ผ่านการฟอกขาว และสารอาหารถูกขัดออกไปหมด เมื่อเลือกซื้อบะหมี่ญี่ปุ่นควรตรวจดูส่วนผสมบนบรรจุภัณฑ์อย่างระมัดระวัง เลือกแต่บะหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวสาลีที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ และเกลือทะเล เมื่อซื้อราเม็งดูให้แน่ใจว่าไม่มีการใส่น้้ำมันหรือวัตถุกันเสีย

ชนิดของบะหมี่ แม้ว่าจะมีการแยกย่อยได้อีกหลายชนิด แต่บะหมี่ญี่ปุ่นมีเพียง 2 ประเภทหลักเท่านั้น คือ บะหมี่ที่ทำจากบัควีต (โซบะ) และ บะหมี่ที่ทำจากข้าวสาลี (อุด้งและโซเม็ง) เนื่องจากบัควีตปลูกได้เฉพาะในที่อากาศเย็นจัดและแห้งแล้ง โซบะ ที่ทำจากบัควีต 100% นั้น หนักท้องและอร่อย มีให้เลือกทั้งแบบใส่เกลือและไม่ใส่เกลือ อย่างไรก็ตาม โซบะส่วนใหญ่จะทำจากแป้งบัควีต 40-80% ส่วนที่เหลือจะเป็นแป้งข้าวสาลีขาวชนิดไม่ฟอก โซบะอิโตะ ซึ่งใช้แป้งบัควีต 40% เป็นบะหมี่เส้นบางละเอียดที่สุกเร็วและซึมซับรสชาติของน้ำซุป ซอส และเครื่องปรุงรสได้ดี

สำหรับ “อุด้ง” เป็นบะหมี่เส้นหนา สีนวล เคี้ยวสนุก ทำจากแป้งสาลี นิยมในเกียวโตและทางใต้ของญี่ปุ่น อุด้งชนิดต่างๆ ที่หาได้ตามร้านขายอาหารแนวธรรมชาติ จะทำจากแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อย หรือแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อยผสมกับแป้งข้าวสาลีสีขาวชนิดไม่ฟอก อุด้งจากแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อย จะมีความเหนียว บะหมี่ที่ต้องการให้ซึมซับรสชาติของน้ำซุป ซอส และเครื่องปรุงได้ดี ควรใช้อุด้งที่ลื่นกว่า นุ่มกว่า คือทำจากแป้งข้าวสาลีขาวชนิดไม่ฟอก

อุด้งข้าวกล้อง มีส่วนผสมของแป้งข้าวกล้องและแป้งข้าวสาลีนั้น ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดสินค้าอาหารแนวธรรมชาติโดยเฉพาะ ถึงแม้บะหมี่จะเป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญต้องเลือกบะหมี่ให้เหมาะสมกับอาหารที่ต้องการทำ เช่น โซบะและอุด้งสีขาวทั่วไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำไปผัด โซบะชนิดเส้นบางละเอียด เช่น โซบะอิโตะและชาเขียว ไม่เหมาะสำหรับการผัด โซบะทำจากบัควีต100% ก็ไม่เหมาะเช่นกัน โซเม็งซึ่งเป็นบะหมี่แป้งสาลี แต่เส้นก็เล็กบอบบางเกินกว่าจะนำไปผัด

บะหมี่น้ำ ในญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่โดยใส่น้ำซุปปรุงรสด้วยโชยุ ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ญี่ปุ่นชนิดใดก็สามารถนำมาปรุงด้วยวิธีนี้ได้ หากใช้โซบะ น้ำซุปควรจะมีรสชาติเข้มข้นมากขึ้นเล็กน้อย โดยเติมโชยุและมิรินให้มากกว่า เมื่อนำไปใช้กับอุด้งและโซเม็ง นอกจากนั้น น้ำซุปสำหรับโซบะยังนิยมปรุงรสด้วยวาซาบิ ขณะที่นิยมปรุงรสอุด้งด้วยเครื่องเทศญี่ปุ่น 7 ชนิด

ส่วน บะหมี่ผัด มักจะใช้บะหมี่ญี่ปุ่นผัดกับผักและเต้าหู้ เป็นอาหารอร่อยมีคุณค่าครบถ้วน สามารถปรุงได้ในเวลาสั้นๆ อุด้งหรือโซบะธรรมดาและโซบะจิเน็นโจ เป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการทำบะหมี่ผัด โดยต้มบะหมี่จนกระทั่งเกือบนุ่ม ล้างน้ำเย็น ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ หรือแห้งแล้วนำไปผัด ใส่ผักและเครื่องปรุงอื่นในช่วง 1 หรือ 2 นาทีสุดท้ายของการผัดบะหมี่ สำหรับ บะหมี่ราดซอส สามารถทำได้ง่ายเช่นกัน แม้ว่าบะหมี่ญี่ปุ่นทุกชนิดสามารถกินคู่กับซอสได้ แต่อุด้งจะเข้ากับซอสได้หลากหลายกว่าโซบะ เนื่องจากรสชาติไม่ชัดเจนเท่าโซบะ

มาถึง สลัดบะหมี่ โซบะเป็นบะหมี่ที่เหมาะกับการทำสลัดอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำสลัดที่รสจัดจ้าน หรือน้ำสลัดแบบเอเชีย ตัวอย่างคือ สลัดผักใส่โซบะ และสลัดโซบะราดซอสเนยถั่วรสจัด ขณะที่โซเม็งเหมาะจะเลือกใช้ในสลัดเบาๆ ที่ใช้น้ำสลัดรสผลไม้ เช่น น้ำสลัดงา น้ำสลัดส้ม เป็นต้น ส่วน บะหมี่จุ่มซอส นิยมใช้บะหมี่ชาเขียวและโซบะอิโตะเส้นละเอียด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับจุ่มในซอสเย็นๆ โซเม็งก็เหมาะกับเป็นอาหารยอดนิยมในฤดูร้อนเช่นกัน

มีความรู้เรื่องเส้นอย่างนี้แล้ว เข้าครัวเมื่อไหร่ลงมือได้ไม่ยาก นอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังสนุกกับการเลือก การปรุงจำพวกเส้นเป็นอาหารแบบทำเอง กินเอง อร้อย…อร่อยเองอีกด้วย


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

เปิดตำนาน 46 ปี “ยัสปาล” ประกาศชื่อแบรนด์ไทยบนรันเวย์โลก จับมือ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” สร้างสรรค์คอลเลกชั่นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ “แฟชั่นมีชีวิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ไม่มีที่สิ้นสุด และไร้รูปแบบ” เป็นแรงขับเคลื่อนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มาประดับวงการแฟชั่นโลก เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น การแข่งขันก็รุนแรงและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ หลายแบรนด์ถอดใจไปกลางทาง แต่หนึ่งแบรนด์สัญชาติไทย อย่าง “Jaspal“ (ยัสปาล) ยังคงฝ่าฟันจนสามารถยืนหยัดเคียงคู่ความสำเร็จยาวนานถึง 46 ปี ด้วยเพราะไม่เคยหยุดรีเฟรชตัวเองให้ทันเทรนด์โลกเสมอ จนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นโลกอย่างน่าภูมิใจ

แต่หากย้อนเวลาไปสู่จุดเริ่มต้นของ บริษัท ยัสปาล จำกัด อายุยาวนานถึง 4 ชั่วอายุคน เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 โดย ยัสปาล ซิงค์ ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินด้วยความมุ่งมั่นอดทนจนสามารถตั้งรกรากและสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรืองบนแผ่นดินไทย และด้วยความช่างสังเกตและหัวการค้าทำให้ติดต่อค้าขายผ้าขนหนูจากอเมริกามาในประเทศไทย นำเข้าแบรนด์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้ามาจำหน่าย ต่อมาขยายไปเป็นสินค้าเครื่องนอน จนมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ Santas (แซนตาส) และขยายมาสู่แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น Jaspal (ยัสปาล), CPS Chaps (ซีพีเอส แชปส์), CC-OO (ซีซี ดับเบิลโอ), Lyn (ลิน), Lyn Around (ลิน อะราวด์), Footwork (ฟุตเวิร์ค), Footwork Noir (ฟุตเวิร์ค นัวร์) และ Misty Mynx (มิสตี้ มิ้งซ์)

ยัสปาล ซิงค์

ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นเรดี้ทูแวร์ “ยัสปาล” นั้นเริ่มจากการนำเข้าเครื่องแต่งกายแฟชั่นและเครื่องประดับในปี พ.ศ. 2515 ก่อนจะผันตัวมาผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ.2523 โดยได้มีการติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเย็บเป็นครั้งแรก โดย วิสิทธิ์ สิงห์สัจจเทศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัสปาล จำกัด ทายาทรุ่นที่ 2 ลูกชายคนที่ 2 ในพี่น้อง 4 คนของคุณยัสปาลผู้ก่อตั้ง คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์เสื้อผ้ายัสปาล ด้วยการบริหารธุรกิจอย่างยอดเยี่ยมทำให้ยัสปาลเป็นผู้นำแฟชั่นค้าปลีกในประเทศไทยและขยับขยายอย่างต่อเนื่องไปในเขตภูมิภาค

โดย วิเศษ สิงห์สัจจเทศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัสปาล จำกัด ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 อธิบายถึงกลยุทธ์หลักของแบรนด์ว่า “ตลอดเวลา 45 ปีที่ผ่านมา ยัสปาลไม่เคยหยุดพัฒนา ตั้งแต่การบริหารรุ่น 2 คือ คุณพ่อวิสิทธิ์ โดยจะต้องลุกขึ้นมารีเฟรชตัวเองตลอดเวลาและเปิดใจพร้อมรับไลฟ์สไตล์ใหม่ของโลกเสมอ แม้จะเป็นแบรนด์สัญชาติไทย แต่กล้าหาญและมุ่งมั่นปักธงบริหารด้วยกลยุทธ์หลักที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คือ การทำงานบนมาตรฐานโกลเบิล

วิเศษ สิงห์สัจจเทศ

โดยยัสปาลเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่ได้นำดารานักแสดง และนายแบบ นางแบบชั้นนำระดับโลกมาใช้ในแคมเปญโฆษณาของแต่ละซีซั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดต่อเซเลบริตี้ระดับโลกมาร่วมงาน ถ้าแบรนด์ไม่ได้รับความไว้วางใจเพียงพอ อาทิ Cindy Crawford (ซินดี้ ครอว์ฟอร์ด), Kate Moss (เคท มอส), Linda Evangelista (ลินดา อีแวนเจอลิสทา), Claudia Schiffer (คลอเดีย ชิฟเฟ่อร์), Gisele Bundchen (จิเซล บุนเชน), Milla Jovovich (มิลลา โจโววิช), Mischa Barton (มิสชา บาร์ตัน), Selma Blair (เซลม่า แบลร์), Jessica Stam (เจสสิก้า สแตม), Alexa Chung (อเล็กซ่า ชุง) และ Hugo Chakrabongse Levy (ฮิวโก้ จักรพงษ์ เลวี)

ในอนาคต ยัสปาลเตรียมวางแผนที่จะนำโกลเบิลเซเลบริตี้มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่รับประกันได้ว่าจะแปลกใหม่ถูกใจลูกค้าอย่างแน่นอน ส่วนการขยายตัวยัสปาลในอนาคต ก็พยายามจะผลักดันให้เป็นโกลเบิลแบรนด์ให้ได้ โดยการขยายสาขาในประเทศที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือฮ่องกง

วิเศษ ได้ทำโปรเจกต์คอลลาบอเรชั่นอย่างต่อเนื่อง โดยโปรเจกต์ที่โดดเด่นและได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟชั่นนิสต้า อาทิ โปรเจกต์เฉลิมฉลองครบรอบ 4 ทศวรรษ ด้วยคอลเลกชั่นพิเศษ ส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่นฤดูหนาว พ.ศ. 2555-2556 จากแบรนด์ “Nuj Novakhett” (ณุช เนาวเขตต์) แบรนด์แฟชั่นสากลฝีมือไทยดีไซเนอร์ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดาราฮอลลีวูด ต่อด้วยโปรเจกต์ “F.O.R. Jaspal Limited Edition Collaboration T-shirt” สำหรับคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2556 ร่วมออกแบบเสื้อยืดกับศิลปินร่วมสมัยชื่อดังของไทยกลุ่ม “For” (ฟอร์) มาสร้างสรรค์งานศิลปะมาพิมพ์ลงบนเสื้อยืดสุดเก๋ถึง 11 คน ได้แก่ พฤกษ์พล มุกดาสนิท, นริศรา เพียรวิมังสา, เมธี น้อยจินดา, ธีระวุฒิ พลารชุน, Logan Bay (โลแกน เบย์), ตวงพร รุ่งเรือง, P7 (พีเซเว่น), รักกิจ ควรหาเวช, ตะวัน วัตุยา, ธีรยุทธ พืชเพ็ญ และ ยุรี เกนสาคู เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์สุดพิเศษ “Jaspal x Starwars Collaborative Project” ความร่วมมือระหว่างยัสปาลและ Disney Pictures (ดิสนีย์ พิคเจอร์) แบบคอลเลกชั่นพิเศษสำหรับภาพยนตร์ Star Wars (สตาร์วอร์ส) เมื่อปีพ.ศ. 2558

และเนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 46 “ยัสปาล” จึงเตรียมทำโปรเจกต์พิเศษแห่งปี ด้วยการเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ร่วมมือคอลลาบอเรชั่นกับดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง “Karl Lagerfeld” (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) สร้างสรรค์คอลเลกชั่นสุดพิเศษ “Karl Lagerfeld for Jaspal” (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ฟอร์ ยัสปาล) ตอกย้ำมาตรฐานแบรนด์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับสู่ระดับสากล พร้อมเปิดฉากการแข่งขันสินค้าแฟชั่นกับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี สร้างความภูมิใจให้กับแฟชั่นนิสต้าชาวไทย และพร้อมนำเสนอไอเท็มเด็ดสุดคลาสสิกแต่ผสานความชิคได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การมิกซ์แอนด์แมตช์ที่พร้อมสนุกในทุกอารมณ์

ไข้หวัดใหญ่ (influenza) โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก แม้จะมีชื่อว่า “ไข้หวัด” แต่ด้วยความที่มันมีคำว่า “ใหญ่” ต่อท้าย พิษภัยของมันจึงร้ายกาจกว่าไข้หวัดธรรมดามาก

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่มี 4 ตัว แบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (Flu A) เช่น ไวรัสเอชวันเอ็นวัน (H1N1) ไวรัสเอชทรีเอ็นทู (H3N2) และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (Flu B) ซึ่งไวรัสสายพันธุ์เอเป็นตัวที่เคยก่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกมาแล้ว

ไวรัสเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่สูงนัก พบว่าการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอไม่ดีนัก มีประชากรบางส่วนที่ไม่สร้างแอนติบอดี หรือสร้างแอนติบอดีได้ในระดับต่ำ

ด้วยความพยายามหาแนวทางเสริมภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่ ทีมนักวิจัยจากสถาบันโภชนาการ คณะเวชศาสตร์เขตร้อนและศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก หน่วยงานสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติก คือจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส พาราคาเซอิ 431 (Lactobacillus Paracasei 431) พบว่า นมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกสามารถกระตุ้นอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่

ผศ.ดร.ทพญ.ดุลยพร ตราชูธรรม อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า งานวิจัยครั้งนี้เป็นการทดลองทางคลินิก (clinical trial) วิจัยในอาสาสมัครสุขภาพดีอายุ 18-45 ปี เข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน

ผลการวิจัยพบว่าในอาสาสมัครที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ค่า HI titer น้อยกว่า 40) หากได้รับวัคซีนร่วมกับดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติก จะมีอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ (seroconversion rate) ต่อเชื้อ H1N1 และ H3N2 สูงกว่ากลุ่มที่ดื่มนมที่ไม่มีโพรไบโอติก

สำหรับเชื้อ H3N2 ซึ่งวัคซีนป้องกันไม่ค่อยได้ผลนั้น การวิจัยนี้ยังพบว่าในคนที่มีภูมิอยู่แล้ว การดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกช่วยให้อัตราการตอบสนองต่อวัคซีนต้านไวรัส H3N2 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า

ส่วนไวรัส Flu B นั้น เนื่องจากอาสาสมัครกลุ่มนี้มีการตอบสนองต่อวัคซีนต้านไวรัส Flu B สูงอยู่แล้ว จึงไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการได้รับหรือไม่ได้รับโพรไบโอติกต่อภูมิคุ้มกันต้านไวรัสชนิด B

แม้การวิจัยครั้งนี้พบว่าโพรไบโอติกมีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวัคซีน แต่การวิจัยเรื่องโพรไบโอติกกับภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ในหลายประเทศได้ผลแตกต่างกัน บ้างก็พบผลดี บ้างก็ไม่พบผลแตกต่าง ส่วนการวิจัยในประเทศไทยทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ว่า โพรไบโอติกจะช่วยเสริมฤทธิ์ของวัคซีนในการเพิ่มภูมิคุ้มกันก็ต่อเมื่อคนนั้นมีภูมิคุ้มกันต่ำ แต่หากมีภูมิคุ้มกันสูงอยู่แล้วก็จะไม่เห็นผล

นอกจากนี้ มีรายงานการวิจัยในต่างประเทศซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติพบว่า โพรไบโอติกจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น Lactobacillus acidophilus NCFM และ Bifidobacterium animalis subsp lactis Bi-07 ก็ให้ผลช่วยลดอาการไข้ คัดจมูก และลดจำนวนวันที่ป่วยด้วยไข้หวัดในเด็กและผู้ใหญ่สุขภาพดีได้เช่นกันคุณหมอบอกว่าโดยสรุป ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่หรือไม่เคยรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ การดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกร่วมกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่น่าจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์