เรื่อง-ภาพ : กนกวรรณ มากเมฆ
ากพูดถึง “เทศกาลสงกรานต์” สิ่งแรกที่หลายๆ คนนึกถึงคงเป็นการเล่นสาดน้ำ จนหลายคนอาจจินตนาการภาพไม่ออกว่า จริงๆ แล้วสงกรานต์ในยุคโบราณนั้นเป็นอย่างไร?

“มติชน อคาเดมี” พาไปสัมผัสพิธีรดน้ำดำหัวตามแบบฉบับล้านนาโบราณที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง หรือที่เรียกกันว่า “ไร่แม่ฟ้าหลวง” จ.เชียงราย

ประเพณีรดน้ำดำหัวแบบล้านนาโบราณครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 20 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมา ตามแบบประเพณีโบราณที่ให้จัดพิธีรดน้ำดำหัวขึ้นหลังวันพญาวัน วันใดก็ได้ไปจนถึงสิ้นเดือน

บริเวณหอคำในไร่แม่ฟ้าหลวงมีการประดับตกแต่งด้วยตุงและดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล ผู้เข้าร่วมพิธีนอกจากแขกผู้มีเกียรติแล้ว ที่สำคัญคือคณะสงฆ์ และผู้อาวุโสจาก 18 อำเภอของ จ.เชียงราย อำเภอละ 2 คน นอกจากนี้ยังมีลูกหลาน และเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมกันอย่างคึกคัก

นคร พงษ์น้อย

“นคร พงษ์น้อย” กรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้อำนวยการอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของงานครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นจากความต้องการของชาวเชียงรายที่เห็นว่าประเพณีสงกรานต์ไม่ใช่แค่การเล่นสาดน้ำ แต่เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้ใหญ่ มีการทำบุญทางศาสนา ซึ่งคนเชียงรายคิดว่าควรจะทำให้มีพิธีที่ดูเป็นเรื่องเป็นราว เพราะที่ผ่านมีเพียงจัดกันเล็กๆ ตามบ้านเท่านั้น โดยผู้อาวุโสที่มารับการรดน้ำดำหัวครั้งนี้ เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีคุณภาพ และมีการดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคม ซึ่งการเชิญมารับรดน้ำดำหัวอย่างเป็นพิธีการ ก็เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุทั้งหลายว่า หากดำเนินชีวิตดี ก็จะมีคนเห็นคุณค่า

พิธีเริ่มขึ้นเมื่อคณะสงฆ์นำผู้อาวุโสเข้าสู่การสรงน้ำ “พระเจ้าไม้” หรือพระพุทธรูปไม้โบราณจำนวน 16 องค์ จากรางพญานาค ซึ่งการสรงน้ำพระเป็นพิธีที่คนโบราณเชื่อว่าพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงอิฐหรือไม้ การสรงน้ำหมายถึงการให้ความเคารพนบนอบแก่พระพุทธเจ้านั่นเอง นอกจากนี้ คนโบราณยังคิดว่าในช่วงหน้าร้อน พระพุทธเจ้าคงจะร้อน จึงมีการสรงน้ำเพื่อให้ท่านได้คลายร้อน

ส่วนที่ต้องสรงผ่านรางพญานาค เพราะคนโบราณคิดว่ามนุษย์เรานั้นต่ำต้อยเหลือเกิน จะเอาน้ำไปสาดไม่ได้ จึงให้พญานาคนำน้ำไป ซึ่งน้ำนี้จะไหลไปตกที่ขันเงินที่มีสายสิญจน์โยงขึ้นไปที่พระพุทธรูป ให้น้ำซึมผ่านสายสิญจน์นี้ไปถึงพระพุทธรูป แสดงถึงความเคารพสูงสุด

“อย่างไรก็ตาม การที่เราทำแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยการสาดน้ำใส่นั้นไม่ดี แต่ความรู้สึกของเรานั้นอยากจะให้นุ่มนวล และแสดงถึงการคารวะสูงสุด” นายนครกล่าว

พระพุทธรูปไม้ทั้ง 16 องค์ ที่อัญเชิญมาในพิธีนี้ เป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดที่เก็บอยู่ในไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นความตั้งใจของมูลนิธิฯที่ต้องการนำออกมาให้ประชาชนได้กราบไว้บูชา โดยแต่ละองค์ทำจากไม้ และมีความงามทางพุทธศิลป์ตามศิลปะล้านนาที่แตกต่างกัน

ในน้ำขมิ้นส้มป่อยยังใส่เกสรดอกสารภีและน้ำอบเพื่อความหอมอีกด้วย

ขณะที่น้ำที่ใช้สรงน้ำพระนั้นเป็น “น้ำขมิ้นส้มป่อย” เนื่องจากมีความเชื่อว่าส้มป่อยมีคุณสมบัติที่ชำระล้างสิ่งสกปรกได้ การนำส้มป่อยมาผสมน้ำจึงเปรียบเสมือนการชำระสิ่งสกปรกในน้ำ เพราะต้องการถวายของดี ของสะอาดบริสุทธิ์แด่พระพุทธเจ้า

ระหว่างพิธีสรงน้ำ จะมีการบรรเลงเพลงพื้นเมือง และมีสาวสงกรานต์รำประกอบพิธีด้วย

บริเวณพิธีนอกจากมีการประดับด้วยดอกไม้นานาพรรณแล้ว ยังมีการประดับตุง ซึ่งตุงนี้ทำมาจากดอกไม้แทนตุงผ้า ด้วยความเชื่อว่าจะได้ส่งความหอมไปได้ไกลขึ้น

เสร็จจากการสรงน้ำพระ ก็เข้าสู่พิธีรดน้ำดำหัว หรือที่ทางเหนือเรียกว่า “สระเกล้าดำหัว” ซึ่งเริ่มจากพิธีทางศาสนา และการถวายเครื่องสักการะน้ำขมิ้นส้มป่อยหน้าพระแท่นพระสาทิสลักษณ์แม่ฟ้าหลวง หรือสมเด็จย่าจากนั้นกวีล้านนาจะร่ายกะโลงล้านนา เพื่อแสดงความคารวะผู้อาวุโส

กวีล้านนาจะร่ายกะโลงล้านนา

จากนั้นขบวนสาวสงกรานต์เชิญเครื่องคำนับเข้าสู่บริเวณพิธี ก่อนที่นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้อาวุโส และท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะมอบน้ำขมิ้นส้มป่อยและเครื่องคำนับเพื่อคารวะผู้อาวุโส ตามด้วยผู้ร่วมงานเข้ารดน้ำผู้อาวุโส ซึ่งจะรดไปที่มือเท่านั้น แต่ในสมัยโบราณจะเป็นการนำน้ำส้มป่อยมาวาง แล้วผู้สูงวัยจะเอามือแตะที่น้ำมาลูบหัว

จากช่วงของการรดน้ำ เข้าสู่ช่วงการ “ดำหัว” ซึ่งในช่วงนี้ลูกๆ หลานๆ จะเข้าขอพรจากผู้อาวุโส ซึ่งผู้อาวุโสจะให้พร พร้อมเอามือแตะน้ำลูบที่หัวของผู้ขอพร แล้วใช้ “ดอกโชค” พรมน้ำไปที่หัวหรือมือของผู้ขอพรด้วย โดยดอกโชคก็หมายถึงให้มีโชคมีชัย เป็นอันเสร็จพิธี

ดอกโชค

นายนครกล่าวว่า สำหรับพิธีในครั้งนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์นัก เพราะมูลนิธิฯเว้นว่างจากการจัดงานมาราว 30 ปี เพราะไปทำงานด้านพัฒนา จนลืมไปว่าคนในเมืองก็ต้องการการพัฒนาและการเอาใจใส่เช่นกัน ซึ่งเป็นนโยบายที่สมเด็จย่าต้องการให้ดูแลทั้งชาวเขาและชาวเมือง

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า มูลนิธิฯตั้งใจจะจัดประเพณีนี้ทุกปี ซึ่งจะไปได้ถึงไหนนั้นคงต้องดูกระแสตอบรับอีกครั้ง แต่ก็อยากให้มี เพื่อจะได้ฟื้นฟูสิ่งนี้ เพราะเป็นประเพณีที่ดีและมีความหมาย รวมถึงการใช้สถานที่ที่ไร่แม่ฟ้าหลวงก็ยังเป็นสืบสานปณิธานของสมเด็จย่า ที่ต้องการให้ใช้สถานที่นี้ให้เกิดประโยชน์ในด้านวัฒนธรรมและการศึกษา

ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสานประเพณีล้านนาโบราณ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ได้เห็น และสืบทอด อนุรักษ์ไว้เพื่อคนรุ่นหลังต่อไป


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันการรับประทานผักผลไม้แต่ละครั้ง มักจะมีคำถามในใจเสมอว่า ล้างสะอาดหรือเปล่า มีสารเคมีตัวร้ายทำลายสุขภาพปนเปื้อนหรือไม่ ผักออร์แกนิกจึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

เชื่อว่าหลายคนมีความคิดอยากปลูกผักกินเอง หากแต่ติดขัดเรื่องห้องหับ คอนโดมิเนียม เป็นแนวดิ่ง หรือทาวน์เฮาส์และบ้านเรือนคับแคบ พื้นที่ไม่เอื้ออำนวย

เรามีวิธีปลูกผักสวนครัวในกระถางริมระเบียงห้อง หรือข้างบ้าน เป็นแปลงผักสวนครัวไซซ์มินิ หรือลิตเติลการ์เด้น มาบอกต่อ

1.เตรียมพื้นที่ หากมีพื้นที่หรือแปลงผัก ควรพรวนดินกำจัดวัชพืชก่อน ปรับดินด้วยปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง หรือฟาง ตามสัดส่วน ดิน1ส่วน ปุ๋ยอินทรีย์1ส่วน ขุยมะพร้าว1ส่วน และทราย1ส่วน

หากใช้ดินสำเร็จควรมีส่วนผสมของขุยมะพร้าวหรือเปลือกถั่ว ที่มีลักษณะร่วนซุย

แต่ถ้าปลูกบนดาดฟ้า หรือระเบียงห้อง ควรคำนึงถึงการระบายน้ำ และการให้ร่มเงาด้วย

2.ทำความรู้จักพืชที่เหมาะกับการปลูกแต่ละประเภท โดยผักบุ้งจีน ผักชี ขึ้นฉ่าย ฯลฯ เหมาะกับการปลูกแบบหว่าน

ส่วนกะเพรา ผักกาดขาว ผักกาดเขียว โหระพา ฯลฯ เหมาะกับการเพาะต้นกล้า

และตะไคร้ สะระแหน่ เหมาะกับการปักชำ

3.การเตรียมเมล็ดพันธุ์อย่างง่าย ให้แช่น้ำไว้สักครึ่งชั่วโมง หากเป็นเมล็ดพันธุ์ตากแห้งควรแช่น้ำทิ้งไว้1คืน เพื่อให้เปลือกหุ้มเมล็ดหลุดล่อน ถ้าปลูกแบบหว่านควรเว้นระยะห่างให้เหมาะสม การปลูกแบบเพาะต้นกล้า ควรสังเกตลำต้น และรากฝอยว่ามีความสมบูรณ์แล้วจึงย้ายกล้า

4.การดูแล ควรใส่ปุ๋ยและรดน้ำตามความเหมาะสมไม่ให้ชุ่มจนเกินไป เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผักที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อาทิ ปุ๋ยคอก และปุ๋ยชีวภาพ

เมื่อผักที่ปลูกเองงามเต็มที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทันที เรียกว่าทั้งปลื้มปริ่ม ภูมิใจ ไร้สารพิษ ปลอดภัยล้านเปอร์เซ็นต์ โอ้ย..ดีต่อใ

วันนี้เราจะมานำเสนออาหารที่มาจากการ์ตูน และหนึ่งในการ์ตูนที่ดังที่สุดก็คือ โดราเอมอน ซึ่งของกินประจำการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ “โดรายากิ” นั่นเอง จะมีวิธีทำอย่างไรนั้นไปดูกันเลยจ้าาาาา

ส่วนผสม
– ไข่ไก่ 2 ฟอง
– นํ้าตาลทราย 80 กรัม
– นํ้าผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
– ผงฟู (Baking Powder) 1/2 ช้อนชา
– นํ้าเปล่า 50 ม.ล.
– แป้งเค้ก 130 กรัม
– นํ้ามันเล็กน้อยสำหรับทากระทะ
– ถั่วแดงกวนบดทั้งเปลือก (หรือจะใช้ถั่วแดงกวนสำเร็จรูปก็ได้)
– นมสด

 

    

วิธีทำ
1. ตอกไข่ทั้ง 2 ฟอง นำมาตีกับนํ้าตาลจนฟูเบา
2. จากนั้นใส่นํ้า นํ้าผึ้ง ตามด้วยแป้งเค้ก แล้วตีต่อจนเข้ากัน สังเกตจากแป้งที่ได้จะค่อนข้างข้น นำแป้งที่ได้ห่อพลาสติกแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นนำแป้งออกมาเติมน้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะแล้วคนซ้ำ
3. ตั้งกระทะให้ร้อน ทานํ้ามันบางๆ ให้ทั่วกระทะ แล้วใช้กระดาษซับน้ำมันเช็ดกระทะให้ทั่ว
4. ตักแป้งครั้งละประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ แล้วหยอดแป้งลงไปในกระทะ พอแป้งด้านบนเดือดเป็นฟองพลิกแป้งแล้วทอดอีกด้านหนึ่งให้สุก แล้วตักขึ้นพักไว้
5. นำถั่วแดงกวนมาเติมนมสดเล็กน้อยผสมให้เข้ากันเพื่อเพิ่มความหอมมัน นำไปทาลงบนแป้งที่ทอดไว้กะปริมาณตามชอบ นำแป้งอีกแผ่นมาประกบคู่กันเป็นอันเสร็จ…
.
แต่ถ้าใครไม่ชอบถั่วแดงก็สามารถใช้ไส้อื่นแทนได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสังขยา ช็อกโกแลต วิปครีม ฯลฯ

 

“โดรายากิ” อาหารโปรดโดราเอมอน

Happy Dish : วิธีทำ “โดรายากิ” อาหารประจำตัวของโดราเอมอนที่ใครๆ ก็รู้จัก @Matichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2017

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

ถึงแม้ละครบุพเพสันนิวาสจะลาจอไปแล้ว แต่เรื่องราวประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังเป็นสิ่งที่ชวนให้ค้นหาและศึกษาติดตามต่อ

หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวการเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของราชทูตจากฝรั่งเศส ที่ถามพระนารายณ์เกี่ยวกับการให้พระองค์เปลี่ยนศาสนา ซึ่ง รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี นักวิชาการ เล่าให้ “มติชนอคาเดมี” ฟังถึงคำตอบของสมเด็จพระนารายณ์ว่า ตอนที่เชอร์วาลิเย เดอ โชมองต์ เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภารกิจของทูตคณะนี้คือการให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเข้ารีต เปลี่ยนศาสนาไปนับถือคริสต์ศาสนาให้ได้ ส่วนภารกิจที่สองคือการเจรจาความด้านการค้า เพื่อที่จะขอสิทธิพิเศษบางประการจากราชสำนักอยุธยา

“โดยภารกิจแรกที่ต้องการพยายามทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเข้ารีต ราชทูตเองก็พยายามชักจูงสมเด็จพระนารายณ์ให้เห็นว่า การนับถือพระพุทธศาสนาที่มีพระผู้เป็นเจ้าถือว่าเป็นความยิ่งใหญ่ เป็นเสมือนว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้ทรงเป็นผู้อปถัมภ์ศาสนาคริสต์อยู่แล้ว ถ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ด้วย ก็จะแสดงความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนารายณ์ด้วย ซึ่งเราจะเห็นความฉลาดและพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนารายณ์ในการตอบแบบประนีประนอม คือไม่ได้ตอบว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ในขณะเดียวกันจะทรงใช้คำว่า มีความเป็นไปได้ที่จะทรงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ หากว่าพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้ทรงเปลี่ยนพระทัย แต่อย่างไรก็ดี ก็จะพระราชทานสิทธิแก่บาทหลวงในการเผยแผ่ศาสนาอยู่แล้ว”

รศ.ดร.ปรีดี กล่าวว่า เพราะฉะนั้นการที่พระองค์บอกว่าจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อพระผู้เป็นเจ้าดลพระทัยให้เปลี่ยน ก็เป็นการตอบแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของท่านว่าท่านไม่สามารถที่จะสละศาสนาที่มีมากว่า 2,200 ปีได้ เพราะบรรพบุรุษท่านนับถือมาแล้ว อยู่ๆ จะมาเปลี่ยนไปเลยก็เปลี่ยนไม่ได้ แน่นอนว่าท่านก็คงคิดอยู่แล้วว่ามีการเปลี่ยนศาสนาขึ้น ผลที่ตามมาจะส่งผลกระทบต่อสังคมค่อนข้างมาก มันอาจจะเกิดความไม่พอใจของคนในสังคม พระสงฆ์อาจจะลุกฮือขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไป

“แต่จริงๆ แล้วสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงชอบศาสนาคริสต์ เพราะเวลาบาทหลวงต่างๆ มาเข้าเฝ้า จะเอาของมาถวายท่านเยอะมาก เช่น หนังสือที่ว่าด้วยรูปเคารพทางศาสนา พระคัมภีร์ไบเบิล หรืออะไรต่างๆ แล้วท่านก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ และท่านก็สนใจ เรียกบาทหลวงเข้ามาถามตลอดเวลาว่าคนนี้คือใคร คนนั้นคือใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย เพราะฉะนั้นท่านก็ทรงให้ความสนใจ แต่ถ้าถามว่าลึกๆ ในใจท่านอยากจะเปลี่ยนหรือเปล่า คงต้องตอบว่าท่านก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะถ้าเปลี่ยนก็ต้องรื้อโครงสร้างของสังคมไทยทั้งหมด เช่น วัดมีจำนวนลดลง แต่ขณะที่พระสงฆ์ยังมีบทบาทเยอะ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สมเด็จพระนารายณ์จะทรงเข้ารีต เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์” รศ.ดร.ปรีดีกล่าว


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

หลายคนอาจจะคุ้นเคยว่า ชนชาติที่มีอายุขัยเฉลี่ยบืนยาวที่สุดในโลก คือ ชาวญี่ปุ่น แต่งานวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน และองค์การอนามัยโลก และเพิ่งเผยแพร่ในวารสาร The Lancet แสดงให้เห็นว่า หญิงเกาหลีใต้ที่เกิดตั้งแต่ปี 2030 จะเป็นคนกลุ่มแรกในโลกที่มีอายุยืนยาวเฉลี่ยเกิน 90 ปี

ขณะที่อีก 6 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา ชิลี และสหราชอาณาจักร อายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงก็น้อยกว่าไม่มากนัก คืออยู่ที่ประมาณ 85 ปี

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ทำให้สาวเกาหลีมีอายุขัยยืนยาวนั้นน่าจะมาจากอาหาร โดยเฉพาะ “กิมจิ” อาหารที่ทำจากการนำผักมาดอง รสชาติเค็มและเผ็ด โดยส่วนใหญ่แล้วใช้ผักกาด

กิมจิเป็นอาหารดองที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ วิตามินเอและบี นอกจากนี้ยังประกอบด้วยแลคโตบาซิลลีจำนวนมาก ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีที่พบในโยเกิร์ตและทางเดินอาหาร

อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่กิมจิอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้อายุยืนยาวขึ้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็นระบบการดูแลสุขภาพอันยอดเยี่ยมของเกาหลี, การพัฒนาการศึกษาด้านโภชนาการ, การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และสภาพสังคม, อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ลดลง ก็ล้วนช่วยลดอัตราการตายได้ แต่การกินอาหารที่ประกอบด้วยกิมจิ, ข้าว และปลา ก็ดูเหมือนจะเสริมได้นั่นเอง


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

สำหรับคนรักสุขภาพและมุ่งมั่นการกับลดน้ำหนัก ฟิตแอนด์เฟิร์ม หัวใจหลักประการหนึ่ง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หักห้ามใจจากรสชาติอาหารที่ชื่นชอบ มาเลือกกินแต่อาหารมีประโยชน์ รสธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “กินคลีน”

ต้องยอมรับว่า การเริ่มต้นกินคลีน ฝืดและฝืนอย่างยิ่ง เช่น กินผักมากขึ้น ลดน้ำตาล เลี่ยงของทอด หากแต่ผลที่ตามมาในอนาคตจะทำให้ปลื้มปริ่มและดีต่อใจ

เรามี 5 สิ่งที่ควรทำควบคู่กับการกินคลีน มาฝาก

1.ไม่อดอาหารเช้า เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง

2.อย่าเข้าใจผิดว่าน้ำตาลเทียมดูแลสุขภาพ เพราะผลิตจากสารเคมี กินมากๆทำให้สะสมในร่างกาย

3.แบ่งมื้ออาหารเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณอาหารเท่าเดิม อาทิ จาก3มื้อ เพิ่มเป็น6มื้อ

4.งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีปริมาณน้ำตาลสูง เช่นเดียวกับน้ำอัดลม นอกจากจะทำให้มาววววขาดสติแล้ว ยังทำร้ายสุขภาพด้วย

5.อ่านฉลากสินค้า เช่น ส่วนผสม คำแนะนำ คำเตือนทุกครั้ง เพื่อจะได้รู้ว่าสินค้าแต่ละชนิดคลีนจริงหรือไม่

ฝืนสักหน่อย ขัดใจตัวเองสักนิด หันมากินคลีนเพื่อสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวกันเถอะ

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 19 เม.ย. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับนายแจ็ค หม่า ว่า ในการพูดคุยกันครั้งนี้ ฝ่ายนายแจ็ค หม่า ระบุว่าจะเข้ามาสร้างคน สร้างระบบ อะไรต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนเรารวมถึงเรื่องการค้า ซึ่งตนได้บอกกับเขาว่ารัฐบาลไทยต้องการให้เขามาช่วยดูแลผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร อีกทั้งเขาจะช่วยดูแลรูปแบบของเขาและมีระบบการนำเข้าสินค้าให้สอดคล้องกับระบบ 4.0

นอกจากนี้ การพูดคุยหารือกันครั้งนี้เป็นการมาทำความตกลงร่วมกันและสัญญาว่าภายในปี 2562 จะต้องทำอะไรให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย โดยในวันนี้ได้มีการลงนามร่วมในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกันที่จะส่งเสริมเรื่องต่างๆ อาทิ การท่องเที่ยว เศรษฐกิจดิจิตอล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นเรื่องที่เราจะเอาของไปขายกับเขาเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องสร้างระบบและคนของเราเข้าไป เป็นการทำคู่ขนานด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาว และเขาจะมีการลงทุนในเรื่องเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ท ซิตี้) และโครงการศูนย์สมาร์ท ดิจิตอล ฮับ ในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมันจะเชื่อมโยงกันทั้งหมด ซึ่งตนขอให้เขาช่วยดูเรื่องของสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน การทำเกษตรแปลงใหญ่ ภาพที่นายแจ๊ค หม่า พูดถึงระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้าเกษตรไปได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเขาพร้อมให้บริการดังกล่าวในการขนส่งสินค้าเกษตรของไทย เรื่องนี้จึงถือเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ อย่าไปคิดว่าไทยจะเสียเปรียบอะไร

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ฝ่ายของนายแจ็ค หม่า ระบุว่าไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะเขามีเพียงพอแล้ว ถึงมุ่งหวังที่จะมาช่วยผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อย ต้องช่วยคนที่แข่งขันไม่ได้ให้มีความสามารถมากขึ้น รายการเข้ามาสู่การค้าทางออนไลน์ อีกทั้งต้องการมาช่วยประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งไทยมีนโยบายไทยแลนด์บวกหนึ่ง เพราะประเทศในอาเซียน มีการผลิตสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนฝากให้เขาช่วยดูแลเรื่องการขายปาล์ม ข้าว และยางพาราของไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งเขามีโรงเรียนสอนเรื่องธุรกิจ การค้าขายทางออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ช) การพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งถือเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่เขามามุ่งเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว ส่วนจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดเท่าไหร่นั้น ก็เป็นเรื่องของค่าทำงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับการที่ฝ่ายนายแจ็ค หม่า จะนำข้าวไทยไปขายนั้น เป็นการนำข้าวคุณภาพของไทยไปขายบนเว็บไซต์ของเขาด้วย ส่วนจะนำไปขายเป็นจำนวนเท่าไรในแต่ละปีนั้น คงจะมีการหารือเป็นขั้นตอนต่อไปในอนาคต

 

ขอบคุณภาพจากทำเนียบรัฐบาล
ที่มา มติชนออนไลน์

ถึงแม้ละครบุพเพสันนิวาสจะลาจอไปแล้ว แต่เรื่องราวประวัติศาสตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่องยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจและชวนหาคำตอบ

โดยเฉพาะบางคำถามของแม่การะเกด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทูตฝรั่งเศสไม่หมอบกราบถวายสาส์น หรือเรื่อง พระนารายณ์ตอบเรื่องเข้ารีต และ ลูกพระนารายณ์จริงๆแล้วมีกี่คน? มาฟังคำตอบจาก รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ก่อนไป ทัวร์ย้อนเวลาพา “ออเจ้า” ไปเฝ้า “ขุนหลวงนารายณ์” เมืองละโว้ (ลพบุรี) กับ มติชนอคาเดมี 28-29 เม.ย.นี้

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมกล้วยของคุณถึงดำเร็วนัก? หรือทำไมผักใบเขียวที่แช่ในตู้เย็นถึงเหี่ยวเร็วจัง?

หลายคนคงเป็นเหมือนกันคือต้องโยนอาหารลงถังขยะก่อนที่เราจะมีโอกาสได้กิน เพราะมันมีสภาพไม่ดีแล้ว โดยจากข้อมูลของหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ระบุว่า ครอบครัวชาวอเมริกันทิ้งอาการเสียไปเฉลี่ยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี

เราลองมาดูเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้อาหารของคุณอยู่ได้นานขึ้นกัน!

1.ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – วิธีง่ายๆ ในเก็บคือให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำแล้วล้างเบอร์รี่ก่อนนำเข้าตู้เย็น โดยให้ใช้น้ำส้มสายชู 1 ส่วน ต่อน้ำ 10 ส่วน วิธีนี้จะช่วยฆ่าสปอร์ราที่อาจติดมากับเบอร์รี่ โดยหากใช้วิธีนี้จะช่วยให้ราสเบอร์รี่อยู่ได้นานกว่า 1 สัปดาห์ และสตรอว์เบอร์รี่อยู่ได้นานกว่า 2 สัปดาห์เลยทีเดียว

2.เพื่อคงความสดใหม่ให้กล้วย ให้ใช้พลาสติกหุ้มบริเวณขั้วของกล้วย เนื่องจากบริเวณขั้วซึ่งตัดมาจากลำต้นจะผลิตแก๊สเอทีลีน ซึ่งทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น การแบ่งกล้วยออกมาแล้วหุ้มพลาสติกบริเวณขั้วจะช่วยให้กล้วยสดใหม่ได้นานขึ้น

3.ขนมปังเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นเด็ดขาด เพราะอากาศในตู้เย็นนั้นแห้งกว่าก้อนขนมปัง วิธีการที่ดีคือควรจะเก็บไว้ในถุงกระดาษแล้ววางไว้ในบริเวณที่แห้งๆ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการเก็บขนมปังไว้ในถุงพลาสติก เพราะจะทำให้ขนมปังเก่าและราขึ้นเร็ว แต่ถ้าหากคุณต้องการเก็บขนมปังไว้นานสักพักหนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดคือเก็บไว้ในช่องฟรีซ แล้วเอาออกมาปิ้งเมื่อคุณจะกินมัน

4.สำหรับพวกพืชที่มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร ให้นำมาแช่น้ำในเหยือก แล้วใช้ถุงพลาสติกครอบไว้ด้านบนเพื่อคงความชุ่มชื้น จากนั้นก็นำเข้าตู้เย็น ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้กับหน่อไม้ฝรั่งด้วย

expertvillage/YouTube screenshot

5.ผักกาดหอม – วิธีการเก็บคือให้นำกระดาษอเนกประสงค์ (paper towel) ห่อผักกาดหอมแล้วเก็บไว้ในถุงพลาสติก ซึ่งกระดาษดังกล่าวจะช่วยดูดซับความชื้นส่วนเกิน และปิดไม่ให้อากาศเข้า จากนั้นก็นำเข้าตู้เย็น เพื่อคงความเขียว

6.เก็บอโวคาโดไว้ที่อุณหภูมิห้องจนกระทั่งสุกและนิ่ม จากนั้นนำอโวคาโดเข้าถุงพลาติกและเก็บไว้ในตู้เย็น 3-5 วัน ซึ่งการเก็บอโวคาโดไว้ในถุงพลาสติกเป็นการป้องกันการเกิดการออกซิไดส์ ซึ่งจะทำให้เปลือกเปลี่ยนสีน้ำตาล เป็นต้น

7.สำหรับมะเขือเทศให้เก็บไว้ในถุงหรือกล่องแล้วเก็บไว้ที่เย็นๆ แต่ไม่ใช่ในตู้เย็น จนกระทั่งมะเขือเทศสุก จากนั้นก็นำออกมาวางไว้ในที่ปกติ อย่างไรก็ตาม มะเขือเทศที่สุกเกินไปสามารถวางไว้ในตู้เย็นได้ แต่ก็ไม่ใช่จุดที่จะทำให้มันมีรสชาติอร่อยที่สุด เพราะความเย็นจะช่วยชะลอการสุก แต่จะทำลายผนังเซลล์ของมะเขือเทศ

8.ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว และผลไม้จำพวกแตง ให้วางไว้นอกตู้เย็นเสมอ

9.ห้ามหั่นผลไม้, ผัก หรือเเนื้อสัตว์จนกว่าคุณพร้อมที่จะใช้มัน เพราะการหั่นแล้วทำให้อากาศสัมผัสกับอาหารมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อาหารจะแห้งและไม่ดีเร็วขึ้น การหั่นผักยังทำให้สูญเสียคุณค่าทางอาหารบางอย่างและสารออกฤธิ์ทางชีวภาพบาชนิดออกไปด้วย

10.พวกหัวหอม, กระเทียม และหอมแดง จะอยู่ได้นานขึ้นหากเก็บไว้ในที่เย็น, แห้ง และมืด ส่วนหัวหอมใหญ่จะเก็บไว้ได้นานขึ้นไปอีกด้วยการเก็บไว้ในถุงน่องแล้วแขวนไว้ ซึ่งจะทำให้มีอากาศหมุนเวียน คงความสดใหม่ได้นานราว 6 เดือนเลยทีเดียว

Healthy LifeStyle/YouTube screenshot

11.การเก็บมันฝรั่งไว้คู่กับแอปเปิลจะทำให้มันฝรั่งรากงอกได้ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการเก็บมันฝรั่งไว้ใกล้กับหัวหอมใหญ่ เพราะทั้งคู่จะปล่อยความชื้นและแก๊สออกมา ซึ่งทำให้พวกมันเสียเร็วขึ้น ขณะเดียวกันยังควรเก็บมันฝรั่งไว้นอกตู้เย็น เพราะการเก็บไว้ในตู้เย็นจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะเปลี่ยนรสชาติอาหารไป

12.เรื่องเล็กๆ อีกเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้คือ ไม่ควรแช่นมไว้ที่ประตูตู้เย็น เพราะอุณหภูมิบริเวณนี้ขึ้นๆ ลงๆ เป็นสาเหตุให้นมเสียเร็วขึ้น ดังนั้นควรเก็บนมไว้กลางตู้เย็นจะดีที่สุด

Daniel Goodman / Business Insider

13.น้ำผึ้งเป็นความหวานจากธรรมชาติที่แสนเพอร์เฟ็กต์ ดังนั้นการเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องจะเป็นวิธีเก็บที่ดีที่สุด และไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตกผลึกได้

14.พวกเนื้อสัตว์ควรเก็บไว้ช่องด้านล่างช่องฟรีซในตู้เย็น และไม่ควรแช่ร่วมกับอาหารอื่นๆ โดยควรห่อถุงพลาสติกสองชั้นเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

15.รักษาความสะอาดของตู้เย็นอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเติบโตของเชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ โดยควรทำความสะอาดตู้เย็นแบบหมดจดทุกๆ 3-4 เดือน และไม่ควรแช่ของในตู้เย็นจนแน่นเอี้ยดเกินไป เพราะในตู้เย็นควรจะมีอากาศไหลเวียนเพื่อคงความเย็นให้สิ่งของต่างๆ ในตู้เย็น

16.การป้องกันน้ำตาลทรายแดงไม่ให้เป็นก้อน ให้ใส่มาร์ชแมลโลว์ชื้นๆ หรือชิ้นขนมปังบางๆ ไว้ในถุงหรือกล่องใส่น้ำตาลด้วย

17.ควรเก็บผงพริกต่างๆ ไว้ในตู้เย็นเพื่อคงความสดและคงสีสัน การเก็บไว้ในที่ที่เจอแสงและพบกับความร้อนจะทำให้ผงพริกสูญเสียสีสันและรสชาติ

ถือเป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้กับครัวของคุณได้!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ากพูดถึง Degustation Menu หรือ “เมนูเพื่อการลิ้มลอง” ในห้องอาหารหรือภัตตาคาร หลายคนคงนึกถึงอาหารจากแถบยุโรป ที่จะเสิร์ฟแบบ portion เล็กๆ ให้เราได้ชิมหลายๆ เมนู แต่เชื่อว่าคงจะไม่คุ้นกับการกินอาหารจีนในรูปแบบนี้แน่นอน เพราะเมื่อพูดถึงอาหารจีน ก็มักนึกถึงว่าเสิร์ฟมาเป็นจานใหญ่ๆ เต็มโต๊ะกลมที่มีจานหมุน

การเสิร์ฟในรูปแบบ Degustation Menu จึงเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย “มติชน อคาเดมี” พาไปสัมผัสความแปลกใหม่ของการกินอาหารจีนกวางตุ้งที่ “ห้องอาหารเหม่ยเจียง” โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ กับเมนูใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นโดย “เชฟบอลล์ เหยา” เชฟอาหารจีนคนใหม่ของโรงแรมที่กำลังเป็นเชฟดาวรุ่งของฮ่องกงเลยทีเดียว

เชฟบอลล์ เหยา

ก่อนจะเข้าไปสู่อาหาร เล่าประวัติของเชฟให้ฟังกันสักนิดว่า เชฟเหยาผู้หลงใหลการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก มีดีกรีเป็นถึงหัวหน้าห้องอาหารจีนใน Lei Garden Restaurant Group ซึ่งทำให้ห้องอาหารของลีการ์เด้นที่สาขาชาร์ตินได้รับมิชลิน 1 ดาว และที่มงก๊ก 2 ดาว ก่อนจะย้ายไปอยู่ร้านอาหารจีนในปักกิ่ง เซินเจิ้น จนอยากออกไปทำที่อื่นบ้าง ซึ่งครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เชฟเหยาออกนอกประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเลยก็ว่าได้

ส่วนอาหารจีนที่เชฟเหยานำเสนอในห้องอาหารเหม่ยเจียงนั้น เริ่มต้นด้วยจานแรก “เปาะเปี๊ยะฟองเต้าหู้ไส้เห็ดรวม” จัดชิ้นพอดีคำเสิร์ฟมาบนจานหิน ตัวแป้งเปาะเปี๊ยะข้างนอกทอดมาได้กรอบ เคี้ยวรวมกับไส้ได้รสชาติหวาน ที่โดดเด่นเป็นกลิ่นเห็ดหอมลอยขึ้นมาระหว่างเคี้ยว

ถัดมาคือ “ฟักทองสามรส” เป็นฟักทองที่ดองในบ๊วย การเสิร์ฟจัดมาเป็นรูปดอกไม้สวยงาม ส่วนรสชาติก็ครบ 3 รส คือ เปรี้ยว หวาน และเค็มนิดหน่อย เนื้อฟักทองกรอบมากเหมือนเวลากินผักดองชนิดอื่นๆ

เมนูที่ 3 คือ “ซุปหอยสังข์ตุ๋นเห็ดมอเรล” ใช้น้ำซุปไก่ที่มีขั้นตอนการทำพิเศษคือ ต้มแบบ Double boiled ซึ่งเป็นการต้มด้วยความร้อน 2 ชั้น โดยเป็นเทคนิคที่ได้มาจากแม่ของเชฟ ทำให้ได้น้ำซุปใส หอม รสชาติไม่เค็มนัก เมื่อต้มรวมกับเห็ดและหอยสังข์แล้วจะได้กลิ่นเห็ดโดดเด่น ตามด้วยหอยและไก่ ส่วนเนื้อหอยสังข์ไม่คาว มีความหนึบหนับ

จานต่อมาคือ “กุ้งมังกรผัดไข่ขาวซอสมันปู” กุ้งมังกรสด เนื้อนุ่ม เด้ง เนื้อแน่น โดยรวมรสชาติออกจืดและเค็มหน่อยๆ ตามสไตล์อาหารจีน

เมนูที่ 5 คือ “หอยเชลล์ยัดไส้กุ้งซอสพอร์ตไวน์” เป็นจานที่กินแล้วได้กลิ่นหอมกลิ่นกระทะ ตัวหอยเชลล์หนึบหนับ ส่วนกุ้งก็เนื้อแน่น ข้างนอกอาจให้รสชาติเค็มไปนิด แต่สามารถแก้เค็มด้วยด้วยดอกกะหล่ำที่ตกแต่งมาในจาน

จานถัดมานี่เห็นแล้วรู้สึกว่าตกแต่งมาได้อย่างน่ารักมากๆ กับเมนู “มะเขือเทศห่อผักตุ๋นในซอสฟักทอง” เป็นมะเขือเทศสีแดงเรื่อๆ ข้างในยัดไส้ผักตุ๋น 4 อย่าง วางมาบนซอสฟักทองสีเหลืองน่ากิน รสชาติไส้ข้างในออกมัน ซึ่งแก้เลี่ยนได้ด้วยรสเปรี้ยวของมะเขือเทศ และตบท้ายด้วยซอสฟักทองที่ให้รสชาตินวลๆ

จานที่ 7 คือเมนู “เนื้อปลาหิมะเจี๋ยนซอสพริกซีอิ๊ว” เป็นจานที่ตกแต่งมาได้เก๋ไก๋แปลกตา มีการใช้เส้นหมี่กรอบมาทอดแล้วมัดให้มีรูปร่างคล้ายเรือ ซึ่งเป็นของกินเล่นได้ เนื้อปลาหิมะหั่นมาพอดีคำ กินแล้วได้กลิ่นหอมซีอิ๊วมาก แต่ก็ได้กลิ่นหัวหอมและพริกด้วย ส่วนรสชาติออกเค็มๆ ตามฉบับอาหารจีน

ถัดมาคือ “กุ้งพระราชากรอบราดซอสเปรี้ยวหวาน” ใช้กุ้งแดงนำเข้าจากประเทศสเปน ชุบด้วยแป้งผสมกับไข่แดงทำให้กุ้งกรอบจนสามารถกินได้ทั้งตัว แต่รสชาติค่อนข้างเค็ม ส่วนซอสรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี

มาถึงเมนูที่ 9 คือ “เนื้อปลาเก๋าแดงกับฟองเต้าหู้ซอสกระเทียมน้ำแดง” ปลาเก๋าเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นน้ำมันที่ใช้ทอด ส่วนฟองเต้าหู้และซอสรสชาติกลมกล่อมดี ไม่เค็มไป

จานที่ 10 นี่ไม่ได้กินถือว่าพลาดเลยทีเดียว กับเมนู “ซุปเนื้อวากิวห่อผักกาดตุ๋น” เนื้อวากิวนุ่มละลายในปาก ส่วนผักกาดที่ห่อด้านนอกก็บาง กรอบ น้ำซุปที่ราดก็รสชาติกลมกล่อม ลงตัว

เมนูต่อมาคือ “ฟองเต้าหู้แผ่นนึ่งราดซอสดำเห็ดทรัฟเฟิล” เสิร์ฟพร้อมฝาครอบรมควันอาหารไว้ เมื่อจะกินให้เปิดฝาออกแล้วราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิล ส่วนรสชาติอาหารจะเหนียวนุ่ม หอมเห็ด

เมนูที่ 12 คือ “ไก่ห่อนึ่งใบบัว” เสิร์ฟคู่กับชาปู้เอ๋อร์ที่ผสมขิง ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี เมนูนี้ไก่นุ่มกำลังดี รสชาติออกหวาน และได้ความเผ็ดของขิง

จานถัดมาคือ “บะหมี่ผัดหมูดำไอบีเรียย่าง” เนื้อหมูดำไอบีเรียที่ใช้มีความนุ่ม รสหวานคล้ายหมูแดง ส่วนเส้นหมี่ได้รสชาติไข่ นุ่ม เหนียว กินเข้ากันดีกับถั่วงอก

เมนูคาวจานสุดท้ายคือ “ข้าวผัดกุนเชียงและเผือก” ข้าวผัดได้แห้ง ร่อน ไม่แฉะ ไม่มัน หอมกลิ่นไหม้ติดกระทะ ส่วนกุนเชียงรสชาติหวาน ขณะที่เผือกมันๆ ทำให้เคี้ยวเพลิน

เริ่มต้นเมนูของหวานด้วย “รังนกครีมฟักทอง” ที่จะเสิร์ฟรังนกแยกมากับตัวครีมฟักทอง แล้วค่อยตักใส่ ที่พิเศษคือครีมฟักทองใส่กะทิมาด้วย ทำให้หอมกะทิมาก ให้อารมณ์เหมือนกินขนมไทย แต่ไม่หวาน

ปิดท้าย Degustation Menu จากเชฟบอลล์ เหยา ด้วย “เต้าฮวย แปะก๊วย และเห็ดหูหนูขาวเย็น” เห็นหน้าตาครั้งแรกก็สะดุดตากับเต้าฮวยที่ใช้พิมพ์ตัดเป็นรูปดอกไม้สวยงาม รสชาติไม่หวาน เมนูนี้นอกจากใส่เห็ดหูหนูขาวและแปะก๊วยแล้วยังใส่แห้วมาช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ให้มีความกรุบกรอบ

ใครอยากไปสัมผัสความแปลกใหม่ของการกินอาหารจีนแบบละเลียดทีละเมนู แล้วตื่นเต้นกับจานที่กำลังจะมาถึง ติดต่อจองได้ที่ห้องอาหารเหม่ยเจียง โรงแรมเพนนินซูลา สนนราคาเซตนี้ 16 เมนู อยู่ที่ 4,900++ บาท ไม่รวมชา

Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111