อาหารบางชนิดใช่ว่าจะได้กินมื้อไหนเวลาไหนก็ได้ เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหาร 8 อย่างนี้ ที่ขอบอกไว้เลยว่าไม่ควรกินก่อนนอนเด็ดขาด มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง

1.ของทอด

กลิ่นน้ำมันหอมๆ ทำให้ของทอดอาจเป็นของโปรดของใครหลายคน แต่คงต้องบอกว่าอาหารมันย่องเต็มไปด้วยไขมันนี้จะเข้าสู่ร่างกายช้ากว่าโปรตีนและแป้ง ดังนั้น จะทำให้ร่างกายของคุณทำงานหนักในขณะที่คุณหลับไป ซึ่งหากคุณไม่ต้องการให้ระบบทางเดินอาหารยังต้องทำงานหนักในขณะที่ร่างกายกำลังพักผ่อนนอนหลับ ก็ไม่ควรกินของทอดก่อนนอน

2.อาหารเผ็ด

เหตุผลที่คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดก่อนนอนก็คือ อาหารเผ็ดๆ สามารถทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการระคายเคือง และทำให้เกิดอาการเสียดท้องได้ ซึ่งทำให้หลับยากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายหลั่งสารฮิสตามีนออกมา ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริมให้ร่างกายตื่นตัว จึงทำให้หลับยากขึ้นด้วย

3.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การจิบเครื่องดื่มเบาๆ อย่างไวน์แดงสักแก้วก่อนนอนอาจทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลิน แต่จะทำให้คุณหลับได้ไม่ดีได้ เพราะเมื่อหัวคุณถึงหมอน ตับของคุณจะกำลังทำงานอย่างหนักในการพยายามกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ทั้งนี้ เนื่องจากตับและหัวใจมีความเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อตับกำลังทำงาน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมา

4.ช็อกโกแลต

ต้องขอบอกว่ากาแฟไม่ใช่แหล่งคาเฟอีนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ “ช็อกโกแลต” ก็เป็นแหล่งคาเฟอีนประเภทหนึ่งด้วย โดยช็อกโกแลต 1 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนประมาณ 23 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับหนึ่งในสี่ของกาแฟ 1 ถ้วย

5.น้ำเปล่า

ส่วนใหญ่แล้วการดื่มน้ำเราอาจจะต้องยกนิ้วให้คนที่ดื่มน้ำบ่อยๆ จนได้หรือเกินกับที่ปริมาณร่างกายต้องการ แต่คงไม่ใช่กับคนที่ดื่มน้ำปริมาณมากๆ ก่อนนอน เพราะการดื่มน้ำก่อนนอนจะทำให้ร่างกายต้องการขับของเหลวออก ซึ่งจะทำให้คุณต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก และทำให้การหลับไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น จึงควรดื่มให้เพียงพอในระหว่างวันไปจนถึงมื้อเย็น แต่ไม่ควรดื่มน้ำก่อนนอน

6.กาแฟ

หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าในกาแฟมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้ร่างกายตื่นตัว ลดความง่วง ดังนั้น สำหรับคอกาแฟแล้ว แนะนำว่าหากอยากมีการนอนหลับที่ดีขึ้น ไม่ควรกินกาแฟหลังบ่ายต้นๆ แต่ถ้าหากต้องจิบกาแฟเพื่อกินคู่กับขนมหวานในช่วงประมาณบ่ายสาม ควรจะลดปริมาณคาเฟอีนลงครึ่งหนึ่ง

7.ไอศกรีมกาแฟ

น่าเสียดายว่าของหวานหลังอาหารมื้อค่ำไม่ควรเป็นไอศกรีมกาแฟ เพราะมีกาแฟเป็นส่วนประกอบ ซึ่งในกาแฟก็มีคาเฟอีนนั่นเอง

8.ขนมเพิ่มพลัง

อาหารและขนมเพิ่มพลังเหล่านี้ประกอบไปด้วยคาเฟอีน เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะของนักกีฬา ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารเหล่านี้ในช่วงใกล้นอน นอกจากนี้ยังควรตรวจดูบนฉลากให้แน่ใจว่าโปรตีนเชคที่คุณกินหลังออกจากยิมนั้นไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

หลายคนคงเคยได้ยินคำขู่ว่า “เวลาออกกำลังกายเหนื่อยๆ ถ้าหยุดนั่งทันทีจะทำให้ก้นใหญ่”

คิดว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่?

บางคนบอกไม่รู้ แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า ยืนก่อนก็ยังดี เดี๋ยวก้นใหญ่ แต่สาวๆ บางคนบอกถ้าเป็นอย่างนี้ไม่นั่งหรอก นอนคว่ำเลยดีกว่า เผื่อจะช่วยให้ส่วนอื่นใหญ่ได้ แต่แท้จริงแล้วเวลาออกกำลังกายหรือทำอะไรเหนื่อยๆ มาเรายังไม่ควรหยุดทันที ไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือแม้แต่ยืนเฉยๆ

การหยุดทันทีภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนักจะเกิดอันตราย เพราะในขณะที่ออกกำลังกายหนักๆ หัวใจต้องทำงานมากขึ้นเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อที่ได้รับเลือดมามากก็จะหดตัว บีบเอาเลือดที่ใช้แล้วกลับไปยังหัวใจมากขึ้นด้วย เป็นการรักษาวงจรการไหลเวียนโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ แต่ถ้าเราหยุดออกกำลังกายทันทีจะทำให้กล้ามเนื้อที่ทำงานไม่สามารถหดตัวบีบเลือดกลับสู่หัวใจได้ ผลคือจะมีเลือดคั่งอยู่ที่กล้ามเนื้อเป็นจำนวนมาก และหัวใจที่ยังเต้นเร็วและแรงอยู่นั้นก็จะได้รับเลือดไม่พอ

วิธีที่ถูกต้องภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก (หนักจนพูดไม่เป็นคำ หายใจหอบ) คือ ให้เคลื่อนไหวด้วยการวิ่งช้าๆ หรือเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งจนอัตราการเต้นของหัวใจลดลง และสามารถพูดประโยคยาวๆ ได้เป็นปกติ เป็นการคลายอุ่นและวอร์มดาวน์ร่างกาย นอกจากนั้นยังมีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตนำเอาของเสียหรือกรดแลกติกออกไปจากกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี

รู้อย่างนี้แล้วหลังออกกำลังกายเสร็จอย่างเพิ่งรีบหยุด เดินไปมาสักครู่ ยืดเส้นยืดสายกันสักนิดนะครับ


จากหนังสือ รู้งี้ผอมไปนานแล้ว! โดย สาธิก ธนะทักษ์ (โค้ชเป้ง) สนพ.มติชน

“วุธ 4NOLOGUE” เล่าเรื่องดูแลศิลปินเกาหลี เปิดข้อตกลง Technical Rider/Artist Rider ด่านสุดหินของผู้จัด


เรื่องโดย W.K.언니 ([email protected])

านๆ ที “วุธ-อนุวัฒน์ วิเชียรณรัตน์” ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท โฟโนล็อค จำกัด (4NOLOGUE) ผู้จัดโชว์จากเกาหลีและมีธุรกิจบันเทิงแบบครบวงจร จะเปิดอาณาจักรย่านลาดพร้าว 107 ให้เข้าชมแล้ว ยังมานั่งเล่าเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน เช่น ประสบการณ์การดูแลศิลปินเกาหลีที่ขึ้นชื่อใน 2 เรื่อง คือ ยาก และ เยอะ ว่าจริงหรือไม่

ในช่วง 3-4 ปีแรกที่เข้ามาเป็นผู้จัด วุธ เล่าว่า ไม่เข้าใจในมาตรฐาน หรือกฎเกณฑ์ที่เขากำหนดไว้ว่าทำไมต้องเยอะขนาดนี้ และมาตรฐานของแต่ละค่ายก็แตกต่างกัน แต่เมื่อได้ทำต่อเนื่องก็จับทางได้แล้วว่าควรทำอย่างไร กลายเป็นว่าได้การเรียนรู้ไปในตัว ซึ่งเขามองว่าการดูแลศิลปินถือว่าเป็น “งานยาก” ที่สุดแล้ว และเมื่อผ่านมาได้ ส่งผลให้การทำงานราบรื่น และมีโอกาสอื่นๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

วุธ-อนุวัฒน์ วิเชียรณรัตน์

แต่กว่าที่จะได้เห็นความสวยงาม ความสนุกสนานด้านหน้าเวทีคอนเสิร์ตเกาหลีนั้น บรรดาผู้จัดต้องผ่านอะไรมาบ้างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดย วุธ เล่าว่า เมื่อต้นสังกัดศิลปินไฟเขียวให้โฟร์โนล็อครับหน้าที่จัดคอนเสิร์ตแล้ว จะมีเอกสาร 2 ชุดที่เป็นเสมือนกรอบการทำงานให้คือ 1) ข้อตกลงทางเทคนิค หรือ Technical Rider ซึ่งจะกำหนดสิ่งที่ผู้จัดต้องเตรียมในพื้นที่จัดแสดงคอนเสิร์ตทั้งหมด เช่น ระบบแสง สีเสียง และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และ 2) ข้อตกลงในการบริหาร-ดูแลศิลปิน หรือ Artist Rider ถ้าอธิบายให้ฟังง่ายๆ ก็คือ การดูแลทุกเรื่องของศิลปิน ตั้งแต่การกิน นอน และขึ้นโชว์ในคอนเสิร์ต

ฟังวุธเล่าก็ทำให้แปลกใจไม่น้อย เพราะใน Artist Rider กำหนดรายละเอียดในระดับละเอียดยิบ ตั้งแต่ประเภทของรถยนต์ที่ใช้มารับศิลปิน ลงลึกถึงเบาะนั่งภายในรถที่ต้องการ และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในข้อตกลงจะระบุรายละเอียดเฉพาะตัวของศิลปินแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่โรงแรม ต้องกี่ดาว สีของห้องพัก ห้ามมีโทรศัพท์พื้นฐานที่สามารถต่อตรงมายังห้องพักของศิลปิน ชื่อที่ใช้สำหรับแจ้งเข้าพักในโรงแรมต้องใช้ “รหัส” หรือ Name Code เท่านั้น รวมถึงกลิ่นน้ำหอมในห้องพักจะต้องจัดตามที่กำหนดไว้ด้วย แม้แต่ในเรื่องอาหารของศิลปินก็จะกำหนดไว้อย่างละเอียด ข้อตกลงจะระบุตั้งแต่อาหารที่ชอบ อาหารที่แพ้ อาหารที่รับประทานไม่ได้ หรือแม้แต่กิมจิ ก็ยังถูกกำหนดอุณหภูมิในการแช่เย็น เพราะอุณหภูมิส่งผลต่อรสชาติได้

“เมื่อได้จัดคอนเสิร์ตหลายครั้งก็ทำให้รู้ว่า ข้อกำหนดเหล่านี้ มันจำเป็น และหากทำได้ตามที่กำหนด โดยเฉพาะในส่วนของ Artist Rider งานทุกอย่างจะลื่นไหลไปจนกระทั่งจบงาน ผมมองว่ามันเป็นระบบที่ดีด้วยซ้ำ”

ในช่วงที่ผ่านมา โฟร์โนล็อค จัดคอนเสิร์ตของดงบังชินกิ (TVXQ) วงซุปเปอร์ จูเนียร์ (Super Junior) และวงบิ๊กแบง (BIGBANG) รวมถึงศิลปินอื่นๆ ในรูปแบบของแฟนมีตติ้งมาอย่างต่อเนื่อง วุธ เล่าว่า ในช่วงที่ศิลปินเกาหลีเข้ามาจัดคอนเสิร์ตในไทยแรกๆ จะมีข้อกังวลในอันดับต้นๆ ของทีมงานเกาหลีคือ อาหาร ของศิลปิน บางค่ายระบุห้ามเสิร์ฟอาหารไทยก็มี “อาหารที่ไม่เคยกินมาก่อนก็เสี่ยงที่จะทำให้ศิลปินท้องเสียหรือเกิดอาการแพ้อาหารได้ และอาจจะกระทบต่อการขึ้นโชว์ของศิลปิน เราเข้าใจทีมงานของเกาหลีเลยว่าถ้าขึ้นโชว์ไม่ได้จะเสียหายขนาดไหน”

ในขณะเดียวกันมองว่า เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้ว ก็ต้องมาในแบบที่ถึงจริงๆ วุธเล่าถึงความพยายามในการนำเสนออาหารไทยบนโต๊ะอาหารของเหล่าศิลปินเกาหลีว่า นอกจากอาหารที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ทางโฟร์โนล็อคจะเพิ่มอาหารไทยเข้าไปเป็นทางเลือก นั่นหมายถึงว่า จะกินหรือไม่ก็ได้ อย่างเช่น เมนูต้มยำกุ้ง ผัดไทย และไก่ทอด ซึ่งเมื่อลองให้รับประทานก็พบว่าส่วนใหญ่ไม่ชอบต้มยำกุ้ง

“ลองถามดงบังชินกิ (ยุนโฮ-ชางมิน) ถึงเหตุผลที่ไม่ชอบต้มยำกุ้ง ซึ่งพวกเขาเองก็ให้คำตอบไม่ได้ ทีมงานของเราจึงตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่กลิ่นบางอย่างในต้มยำกุ้ง เรามานั่งแยกวัตถุดิบในการทำต้มยำกุ้ง และคิดว่าต้องเป็นกลิ่นของผักชีแน่ๆ รวมถึงขึ้นฉ่ายและต้นหอม เมื่อลองเสิร์ฟต้มยำกุ้งแบบไม่มีผักชี คราวนี้กินกันเต็มที่แล้ว”

วุธ เล่าถึงผลจากการผลักดันอาหารไทยให้กับศิลปินว่า หลังจากนั้นไม่ว่าจะศิลปินวงใดที่มาเมืองไทยก็จะเริ่มขออาหารไทย บางรายถึงกับให้พาไปร้านอาหารไทยก็มี และกลายเป็นเรื่องลุ้นของศิลปินและทีมงานเกาหลีว่า ในครั้งต่อไปจะได้ลองชิมเมนูใหม่ๆ อะไรบ้าง “ทีนี้การทำงานก็จะเริ่มมีความสุข เพราะทีมงานก็มี Relation ต่อกันมากขึ้นด้วย”

การทำงานได้ตามข้อตกลงทั้งหมดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาทำให้ค่ายเพลง “ไว้ใจ” การทำงานของโฟร์โนล็อคมากขึ้น บางรายจากเดิมที่จะต้องดำเนินการให้ครบทั้ง Technical Rider และ Artist Rider ก็ลดลงเหลือเพียง Technical Rider เท่านั้น เมื่อถามว่าศิลปินที่ดูแลยากที่สุดคือใคร วุฒิเล่าว่า แต่ละวงก็มีความแตกต่างกัน แต่โฟร์โนล็อคโชคดีที่เจอแต่ศิลปินที่ดีด้วย เขายังเล่าโมเมนท์น่ารักๆ ของเหล่าศิลปินหลังจากคอนเสิร์ตจบลงว่า บางวงหลังจากคอนเสิร์ตจบแล้วให้พาไปกินหมูกระทะ หรือเอ็มเคสุกี้ก็มี

วุธยังเล่าเรื่องราวน่าเอ็นดูของวงบิ๊กแบง อีกว่า พวกเขาต้องดื่มนมก่อนนอน ฉะนั้นการจัดนมสดไว้ในตู้เย็นก็เป็นอีกรายละเอียดที่อยู่ใน Artist Rider !!

เมื่อผ่านด่านสุดหินอย่างมาตรฐานการทำงานร่วมกับเกาหลีมาได้แล้ว ทำให้วุธตัดสินใจเพิ่มเติมธุรกิจรับดูแลศิลปินให้กับผู้จัดอื่นๆ ด้วย และขณะนี้ก็อยู่ในระหว่างลงทุนขยายธุรกิจเพื่อขึ้นแท่นเป็นผู้นำในธุรกิจบันเทิงของคนไทยที่ได้มาตรฐานสากล!!

หลังประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคาร เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ค. 2561 นี้ ซึ่งในประกาศดังกล่าว มีการกำหนดให้ห้องพัก ห้องเช่า หอพักต่างๆ ต้องจัดเก็บค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า ตามอัตราที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เรียกเก็บกับบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ซึ่งปรากฏว่าในโซเชียลมีเดีย เริ่มมีการแชร์ประกาศการแจ้งค่าน้ำ-ค่าไฟใหม่จากบางหอพัก แต่กลับพบว่าอัตราใหม่นั้นลดค่าน้ำประปาและค่าไฟลงจริง แต่มีค่าส่วนกลางของค่าน้ำและค่าไฟเพิ่มแต่จะแยกจ่ายต่างหาก ไม่ออกบิลให้

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวเป็นของผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @nayisnaynotyan ซึ่งตั้งคำถามถึงประเด็นค่าส่วนกลางที่หอพักเรียกเก็บ โดยระบุว่าไม่เข้าใจว่าค่าไฟส่วนกลางคืออะไร เพราะหอไม่มีลิฟต์ ส่วนค่าน้ำก็จ่ายในครื่องซักผ้าหยอดเหรียญไปแล้ว

นอกจากนี้ยังมีคอมเมนต์แชร์เรื่องราวจากหอพักของตนซึ่งอยู่แถวนวนคร ระบุว่า จะปรับลดค่าไฟตามกฎหมาย แต่ขอขึ้นค่าส่วนกลางจาก 100 เป็น 200 บาทแทน

ขณะที่อีกหอหนึ่งระบุว่า แจ้งปรับลดค่าน้ำและค่าไฟฟ้าลงมา แต่มีค่าบริการรายเดือนเพิ่ม ห้องละ 500 บาท ซึ่งค่าบริการรายเดือนนี้ ได้แก่ ค่าบำรุงมิเตอร์ไฟ มิเตอร์น้ำ ค่าซ่อมบำรุง และค่าไฟลิฟต์ ค่าไฟฟ้าส่วนกลาง เป็นต้น

ถ้าถามถึงทุเรียนเกรดพรีเมียม ต้องสวนผลไม้ไพฑูรย์ วานิชศรี ของคุณไพฑูรย์ วานิชศรี สวนทุเรียนเงียบสงบเนื้อที่200ไร่ ริมแม่น้ำเขาสมิง จ.ตราด การันตีคุณภาพทุเรียนเกรดส่งออก

คุณไพฑูรย์ เล่าว่า สวนของเราคัดทุเรียนคุณภาพ เกรดพรีเมียมส่งขายต่างประเทศ ส่งให้ซีพีไปขายห้างโลตัสของซีพีที่ประเทศจีน ส่วนหนึ่งส่งให้ซีพีไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงส่งเข้าโรงงานแปรรูปเป็นทุเรียนทอด ทุเรียนเชื่อมอบแห้ง ถ้าสุกก็ทำทุเรียนกวน เพิ่มช่องทางการขายหลากหลาย ตลอดจนรับนักท่องเที่ยวมาเที่ยวสวนหรือมาซื้อผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน เราเน้นขายคุณภาพ ราคาเป็นกันเอง อย่างทุเรียน ข้างทางขายกิโลกรัมละ120บาท ส่งล้งกิโลกรัมละ70บาท ที่สวนจะขายราคาประมาณกิโลกรัมละ80-90บาท เรารับประกันคุณภาพ ถ้าไม่ดี ก็ไม่ขาย นอกจากนี้เราจัดบุฟเฟ่ต์ ทุเรียน มังคุด เงาะ สละสุมาลี ให้ทาน ราคาย่อมเยาว์คนละ200บาท

อีกส่วนได้นำทุเรียนส่วนหนึ่งส่งโรงงานทำทุเรียนทอด ตั้งอยู่ใกล้คลองภักดีรำไพ จ.จันทบุรี เป็นแบรนด์ตัวเองชื่อ“ทุเรียนทอดสวนวานิช”ขายหน้าโรงงาน และขายออนไลน์ส่งทั่วประเทศ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทุเรียนเชื่อมอบแห้ง ทำคล้ายๆมะตูม ขายกิโลกรัมละ500บาท และทุเรียนกวน

ด้านการส่งออกทุเรียน คุณไพฑูรย์ บอกว่า ที่สวนปลูกหมอนทอง95เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่ส่งไปจีน และส่วนหนึ่งส่งไปญี่ปุ่น

“ส่วนทุเรียนพันธุ์พวงมณี ปีนี้เริ่มส่งให้ซีพีไปขายที่ญี่ปุ่นเป็นปีแรก ส่วนตลาดในจีนเราส่งไปประมาณ20ปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นหมอนทอง เพราะหมอนทองเป็นแมส เป็นพันธุ์การค้า ที่เหลือปลูกทุเรียนพันธุ์พวงมณีบ้าง มังคุดและลองกอง บ้างนิดหน่อย

“ยอดส่งออกทุเรียนแต่ละปีแล้วแต่กำลังการผลิต ปีนี้สวนของเราเริ่มส่งออกประมาณวันที่25เมษายน เนื่องจากรอให้คุณภาพดีอีกหน่อย ทุเรียนส่งออกต้องมีแป้งประมาณ32เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำ คือ แก่ คุณภาพดี หากนับอายุผลตั้งแต่ดอกบานจนถึงเริ่มตัด หมอนทองจะอยู่ที่115 วันขึ้นไป แต่บางคน105-110วันก็ตัดแล้ว ทำให้คุณภาพไม่ดี ไม่อร่อย

“ถ้าเราขายของคุณภาพ ยังไงก็คงไม่ตาย มีอนาคตกว่าทำของไม่มีคุณภาพ ที่สวนได้รับเครื่องหมาย GAP คือการผลิตที่ปลอดภัย มีระบบการผลิต และไม่ใช้สารเคมี รวมทั้งเป็นสวนเพื่อการท่องเที่ยวของ ททท.ตราด ข้อดีของที่นี่ เป็นแปลงทดลองร่วมกับสถานีวิจัยพืชสวนพลิ้ว กรมวิชาการการเกษตร มาประมาณ30ปี เราจะพัฒนาเทคโนโลยีได้ตลอด”คุณไพฑูรย์ เผย

สำหรับราคาทุเรียนในท้องตลาด คุณไพฑูรย์ บอกว่า ปีนี้ราคาทุเรียนถือว่าดี ปีที่แล้วก็ดี ดีมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เราส่งเข้าจีนเยอะๆ ถ้าผลผลิตเกรดส่งออกมีเยอะ เราก็ส่งหมด การคัดเกรดในระบบการค้า ชาวสวนจะรู้สเป็กกันอยู่แล้ว 3 พูเม็ด น้ำหนัก2.5-5.5กิโลกรัม เป็นเกรดส่งออก ปราศจากโรคแมลง

ถามถึงกรณีปีก่อน มีปัญหาเรื่องส่งออกทุเรียนอ่อน ถูกตีกลับมา คุณไพฑูรย์ บอกว่า ความจริงมีทุกปี ผมไปกับเจ้าหน้าที่ซีพี ไปดูทุเรียนที่เราส่งไปตลาดในจีน ระบบการค้าแบบจีน ส่งทุเรียนไปไม่ดีก็ขาดทุน ส่งทุเรียนดีก็อาจมีกำไร เป็นระบบฝากขาย พ่อค้าทุกคนในไทยที่ส่งทุเรียนไปจีนจะไม่รู้ราคา เพราะเป็นระบบฝากขาย ของไปเยอะพ่อค้าทางโน้นก็กดราคา ของไปน้อย พ่อค้าส่งออกก็ขึ้นราคา ไม่มีใครคุมตลาดได้เปะ

“สมมุติทุเรียนเข้าตลาดที่กวางโจว เจียงหนานเยอะ ของในตลาดเยอะมาก ก็ราคาถูก พ่อค้าทางโน้นกดราคา พ่อค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าจีน(ล้ง)ก็ขาดทุน ถ้าส่งของไปถึงตลาดเจียงหนานน้อย พ่อค้าผู้นำเข้าจะขึ้นราคา เป็นหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน เป็นระบบฝากขาย ไม่มีใครรู้ราคา ใหญ่แค่ไหนก็กำหนดราคาเองไม่ได้ เพราะตลาดจีนใหญ่มาก

“ต่างกับญี่ปุ่นในการตั้งราคา ชาวสวนเป็นคนตั้ง ไม่ใช่พ่อค้าตั้ง เราโค้ดราคาที่พอใจ เขารับได้ อย่างผมโค้ดราคาไปเมื่อก่อนสงกรานต์ ทุเรียนพันธุ์พวงมณีกิโลกรัมละ130 บาท ราคานี้เขาพอใจ คุณภาพอย่างนี้เขาโอเค

“แต่เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ พ่อค้าส่วนใหญ่ต้องส่งไปจีน ปีที่แล้วไทยส่งทุเรียนเข้าจีนเกือบ500,000ตัน ทั้งสดทั้งแปรรูป มูลค่ากว่า20,000ล้านบาท สมมุติว่าตอนส่งไปใหม่ๆ ทุเรียนอ่อนบ้าง ขาดทุนบ้าง สัก50ตู้คอนเทนเนอร์ โดย1ตู้คอนเทนเนอร์ มีทุเรียนประมาณ17-18ตัน ไม่ถึง10เปอร์เซ็นต์ หักกลบลบหนี้แล้ว เขาไม่จนหรอก”คุณไพฑูรย์ เผย

ด้านปริมาณผลผลิต คุณไพฑูรย์ บอกว่า ปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากสภาวะโลกร้อน อากาศแปรปรวน ทุเรียนไม่ดกเท่าที่ควร แต่มูลค่าในตลาดยังไม่แน่ว่าจะลดลงหรือไม่ เพราะราคาในตลาดยังใช้ได้อยู่

ปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่าฝนเยอะ เราก็ต้องดูแลเยอะ เพราะแมลงจะเยอะ โรคจะเยอะ เราต้องดูแลให้ดี เพราะถ้าดูแลไม่ดี กำลังการผลิตจะหายไปด้วย และถ้าโรคเยอะ จะทำให้ต้นทุนเราเพิ่มด้วย ต้องดูแลให้ดี ปีที่ผ่านมาถือว่าโรครุนแรง ผลไม้อะไรที่คนชอบโรคและแมลงก็ชอบ อันนี้เป็นกฎธรรมชาติเลย

ทั้งนี้ คุณไพฑูรย์ บอกถึงแนวโน้มที่น่ากลัวว่า สมมุติว่ารัฐบาลจีนเข้ามาเช่าพื้นที่ในลาวสัก 200,000 ไร่  ในเขมร 500,000 ไร่ ในพม่า 1,000,000 ไร่ แล้วก็ปลูกทุเรียน จ้างผู้เชี่ยวชาญคนไทยไปดูแล อย่างพื้นที่200,000ไร่ จ้างคนไทยผู้เชี่ยวชาญไปจัดการ1-5ปี ให้ไปเลย20-50ล้านบาท ตรงนี้น่ากลัว

เป็นความรู้ด้านการส่งออกทุเรียนจากมืออาชีพ กับประสบการณ์การทำสวนผลไม้ไพฑูรย์ วานิชศรี ส่งออกมานาน20ปี

เรียกได้ว่าเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับภาพการบริการสุดใจดีจากผู้ขับ JustGrab รายหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ที่ภายในรถเต็มไปด้วยบริการต่างๆ ฟรีสำหรับผู้ใช้บริการ

โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ @sripong1912 ได้โพสต์ภาพการใช้บริการ JustGrab ในเชียงใหม่นั่งไปเซ็นทรัลแอร์พอร์ต ซึ่งในรถมีของให้บริการเพียบ ไม่ว่าะเป็น WiFi, นม, ขนมขบเคี้ยว, น้ำเปล่า, ลูกอม, น้ำผลไม้, ถังขยะ, กระดาษชำระ ไปจนถึงถุงยางอนามัย และทุกอย่างให้บริการฟรี!

ในช่วงวันที่ 26-27 เมษายน 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีฟ้าผ่าและลูกเห็บตกบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในช่วงวันที่ 26-27 เมษายน 2561 ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่

มีผลกระทบตามภาคต่าง ๆ ดังนี้

ในวันที่ 26 เมษายน 2561

ภาคเหนือ : จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง : จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ในวันที่ 27 เมษายน 2561

ภาคเหนือ : จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง สุโขทัย กำแพงเพชร และตาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย ชัยภูมิ นครราชสีมา และบุรีรัมย์

ภาคกลาง : จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก : จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้ : จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์

จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ประกาศ ณ วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 17.00 น.

ไอเดียเพิ่มการเก็บพื้นที่ในตู้เย็นให้เป็นระเบียบ โดยใช้ถาดไข่ อีกทั้งวิธีนี้จะทำให้บรรดาขวดซอสต่างๆที่เวลาจะใช้ทีกว่าจะบีบออกจากขวดได้เป็นนานสองนานอย่างบรรดาซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซอสที่มีความข้นหนืด สามารถเก็บแบบที่ทำให้การเปิดฝาบีบใช้ง่ายดาย เราลองมาดูเทคนิคตามนี้กันเลย

มองหาถาดไข่ลักษณะนี้

วางลงไปในช่องด้านข้างประตูตู้เย็น

ลองใส่ขวดน้ำซอส-น้ำสลัดต่างๆแบบคว่ำฝาขวดลง

ใส่ขวดต่างๆให้ถาดไข่มีความสมดุลกันก็เป็นอันเรียบร้อย

 

 


Source : Nifty

“แมลงศัตรูพืช” เป็นปัญหาใหญ่ที่เกษตรกรชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน หลายคนคงเคยเจอ วิธีแก้ปัญหาที่หลายคนใช้ก็คือการใช้ยาฆ่าแมลง แต่ชาวนามีวิธีที่แตกต่าง คือใช้ “เป็ดไล่ทุ่ง” แทนยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันในเกาหลีใต้, จีน, ญี่ปุ่น, ไทย และแม้กระทั่งอิหร่าน

วิธีการคือเกษตรกรจะปล่อยเป็ดพันธุ์พิเศษเข้าไปในแปลงนา ซึ่งเป็ดเหล่านี้จะเข้าไปกินแมลงและวัชพืช รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ของวัชพืชด้วย ซึ่งจะลดปริมาณของวัชพืชในแปลงนาในฤดูกาลหน้า

ผลดีนั้นนอกจากจะกำจัดศัตรูพืชและวัชพืชได้โดยที่ข้าวไม่เสียหายแล้ว ข้าวที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีความต้านทานต่อพายุและสภาพอากาศรุนแรงได้ดีกว่าเดิม และการที่ชาวนาเปลี่ยนมาใช้วิธีอื่นแทนการใช้ยาฆ่าแมลง ยังเป็นวิธีที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมโลกด้วย

ปัญหาเดียวของวิธีนี้คือ เมื่อเป็ดพวกนี้กินจนอ้วนเกินไป น้ำหนักตัวของพวกมันจะเหยียบย่ำข้าวจนเสียหาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เป็ดใหม่ทุกปี

Japanese farmers are using ducks instead of pesticides

They eat all the weeds and insects – but leave the rice alone. Learn more: https://wef.ch/2J3GGOb

โพสต์โดย World Economic Forum เมื่อ วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2018

เป็นร้านที่ผ่านไปทีไรก็คนแน่นตลอด สำหรับร้านขนมจีนที่ตั้งชื่อตามภาษาใต้ว่า “ขนมจีนทะเลเดือดคลั่กๆ” หรือแปลได้ว่า ขนมจีนทะเลเดือดเยอะๆ ทำเลของร้านตั้งอยู่บริเวณฟุตปาธปากทางเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตตรัง

“จ๊ะต๋อย” นางช่อทิพย์ จิตรเที่ยง วัย 42 ปี เล่าให้ฟังว่า บ้านเดิมอยู่ที่ตำบลตะเสะ อำเภอหาดสำราญ แต่ตัดสินใจนำครอบครัวมาเช่าบ้านอยู่ในตัวเมืองตรัง เพื่อเปิดขายอาหารจานเด็ด ซึ่งหลังจากเปิดตัวขายมา 3 เดือน ก็มีลูกค้าอุดหนุนแน่นร้านตลอด ถึงแม้จะต้องนั่งกินบนเสื่อบนทางเท้าก็ตาม แต่กลับได้บรรยากาศที่ชิลๆ เป็นอย่างยิ่ง

จุดเริ่มต้นของเมนูดังกล่าวเกิดขึ้นนับตั้งแต่ “จ๊ะต๋อย” ยังอาศัยอยู่ที่ริมทะเลอันดามัน ซึ่งมักจะทำขนมจีนสูตรนี้ซึ่งสืบทอดจากมาคุณยาย กินกันเป็นประจำในกลุ่มพี่น้องชาวมุสลิม โดยมีความแตกต่างตรงที่มิได้มีการนำเฉพาะเนื้อปูหรือกุ้งมาผสมลงไปในน้ำแกงเท่านั้น แต่กลับเป็นการยกอาหารทะเลสดๆ เป็นตัวๆ อาทิ ปูม้า กุ้งทะเล หมึก หอยแมลงภู่ หรือหอยลาย โดยเฉพาะไข่ปู มาใส่ลงไปแบบล้นจาน ในราคาเพียง 79 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความอร่อยแบบเต็มอิ่มเต็มคำ และน่าจะเป็นเจ้าเดียวในไทยที่กล้าทำเช่นนี้

“จ๊ะต๋อย” บอกว่า ตนเองได้เปรียบตรงที่สามารถสั่งอาหารทะเลสดๆ จากแถวบ้านส่งตรงมาได้เลย เมื่อนำมาปรับให้มีรสชาติที่ไม่เผ็ดจนเกินไป ผสมผสานกับความหอมของเครื่องแกง จึงทำให้ “ขนมจีนทะเลเดือดคลั่กๆ” เป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน และบรรดานักศึกษา จึงมียอดขายค่อยข้างดีถึงวันละ 120 จาน สร้างรายได้ให้ 8-9 พันบาท เมื่อหักกับต้นทุนที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอาหารทะเล ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ก็ยังเหลือเงินพอเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย

นายครรชิต ช่วยดู ครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองตรัง กล่าวว่า ตนได้พาครอบครัวมาทานขนมจีนสูตรนี้หลายครั้งแล้ว เนื่องจากติดใจในรสชาติที่อร่อย และความสดของอาหารทะเล โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าแพงอะไรเลย แต่กลับเห็นว่าคุ้มค่าด้วยซ้ำไป และจากการที่ได้ไปทานขนมจีนมาหลายที่ ก็ยังไม่เคยเจอะเจอว่าที่ใดจะให้อาหารทะเลมากจนล้นจานเช่นนี้ แถมยังมีหลายอย่างด้วย พร้อมทั้งยังมีบรรยากาศที่น่านั่งแบบสบายๆ โดยเฉพาะในช่วงยามเย็นถึงค่ำ จึงไม่แปลกที่จะได้รับความนิยมจากลูกค้ามากมายเช่นนี้

 

ที่มา มติชนออนไลน์