“กลิ่นในตู้เย็น” เป็นสิ่งที่หลายคนรำคาญซะเหลือเกิน เพราะบางครั้งถึงแม้จะทำความสะอาดก็แล้ว จัดวางของใหม่ก็แล้ว แต่ตู้เย็นก็ยังมีกลิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากบางสิ่งที่ไม่มีใครสังเกต หรือบางครั้งก็ห่อหุ้มอาหารไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณสามารถตรวจดูด้วยตัวเองได้

ลองมาดูกันว่า 5 ขั้นตอนในการตรวจเช็กที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็นกัน!

1.ตรวจดูชีสของคุณ

บอกเลยว่าชีสมักเป็นที่มาของกลิ่นส่วนใหญ่ในตู้เย็น โดยชีสที่หั่นบางๆ ที่คุณเพิ่งซื้อจากที่ร้านอาจไม่ใช่ปัญหา ยกเว้นแต่ว่าเก่ามาก สิ่งที่ต้องทำคือ คุณควรตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณห่อชีสได้เรียบร้อยดีหรือไม่ และควรระบุวันที่ซื้อมาไว้ที่กล่องใส่ชีสของคุณด้วย

2.มองย้อนกลับไปที่ชั้นทุกชั้นในตู้เย็น

เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ที่คุณไม่ได้ใช้มักจะถูกดันไปอยู่ด้านหลังของชั้น ส่วนข้างหน้าก็จะมีแต่ของที่คุณใช้บ่อยๆ ดังนั้นหากตู้เย็นของคุณมีกลิ่นและกลิ่นนั้นไม่ได้มาจากชีส จึงตั้งข้อสังเกตได้เลยว่ากลิ่นนั้นอาจมาจากของเก่าๆ เปื่อยๆ ที่ถูกดันไปอยู่ด้านหลังก็เป็นได้

3.ตรวจดูกล่องที่มีฝาปิดและถุงใส่ของทุกชิ้นในตู้เย็น

หากเช็กตามข้อ 1 และ 2 แล้วคุณยังไม่พบสาเหตุของกลิ่น พนันได้เลยว่ากลิ่นนั้นอาจมาจากภาชนะที่มีฝาแต่คุณไม่ได้ปิดฝาไว้ ดังนั้นคุณจึงควรตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณปิดฝาภาชนะทุกชิ้นอย่างสนิทดี หรือหากเป็นถุงซิป ก็ควรตรวจดูว่าถุงเหล่านี้ปิดดีและแน่นหนาแล้ว

4.ลองเช็กดูในลิ้นชักแช่ผัก

ดูมา 3 ข้อแล้วก็ยังไม่เจอ คำตอบของคุณอาจอยู่ในลิ้นชักแช่ผักก็เป็นได้ ลองนึกดูว่าสัปดาห์ที่แล้วคุณซื้อมะเขือเทศมาหรือเปล่า ซึ่งบางครั้งคุณก็ลืมไปเลยใช่มั้ย ซึ่งผักเหล่านี้จะเริ่มเหี่ยว และยิ่งทิ้งไว้นานก็จะยิ่งมีกลิ่นนั่นเอง

5.ตรวจดูประตูตู้เย็น

ผ่านมา 4 ข้อแล้วหากคุณยังไม่เจอสิ่งใดอีก ลองดูที่ฝั่งประตูตู้เย็นที่เป็นแหล่งเก็บซอส ที่อาจจะเป็นแหล่งสร้างกลิ่นได้ เพราะซอสที่อยู่ฝั่งประตูตู้เย็นมักอยู่ในขวดที่บางครั้งคุณก็อาจลืมปิดฝา ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

วิจัยขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะครั้งแรกของโลก

จากการค้นคว้าเรื่องขมิ้นชันมานาน อยากสรุปว่า ยังไม่เห็นชาติไหนเก่ากว่าคนไทยในการใช้ขมิ้นชัน แม้จะมีหลักฐานว่า ขมิ้นชันมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดีย แต่ว่าพืชพรรณชนิดเดียวกัน แต่ละชาติพันธุ์ก็อาจมีประสบการณ์การใช้เฉพาะถิ่นที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งไหน ดังจะเห็นว่ารายงานการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะอาหารและขับลมครั้งแรกเกิดขึ้นที่เมืองไทย

การศึกษาวิจัยขมิ้นชันในประเทศไทยเริ่มจากการเก็บข้อมูลสมุนไพรพื้นบ้านของ เภสัชกรสุพจน์ อัศวพันธนกุล ในปี 2525 ที่พบว่าคนไทยในภาคเหือใช้ขมิ้นชันเป็นยารักษาโรคกระเพาะ เนื่องจากขมิ้นชันใช้เป็นอาหารและปลอดภัย เภสัชกรสุพจน์จึงนำมาทำเป็นยาลูกกลอนใช้ในหมู่มิตรที่มีปัญหาโรคกระเพาะ พบว่าใช้ได้ผลดี จึงนำมาเผยแพร่ในวารสารสมุนไพรของโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง

ในระหว่างปี 2528-2531 ภายใต้นโยบายสาธารณสุขมูลฐานของรับาลไทย มีการศึกษาวิจัยสมุนไพรในโรงพยาบาลอำเภอ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมัน มีนายแพทย์วิษณุ ธรรมลิขิตกุล เป็นหัวหน้าโครงการ ทำให้ขมิ้นชันถูกคัดเลือกมามาศึกษาวิจัยทางคลินิกในการเป็นยารักาาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ก็พบว่าได้ผลดี โดยในเวลาไล่เลี่ยกันคือ ปี 2529 ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ทำการศึกษาวิจัยขมิ้นชันทางคลินิกใช้รักษาโรคกระเพาะพบว่าได้ผลดีเช่นกัน จึงเป็นการยืนยันสรรพคุณของขมิ้นชันที่ชาวบ้านใช้รักษาโรคกระเพาะ

ขมิ้นชัน คนไทยใช้ตั้งแต่ปากถึงทวาร

การใช้ขมิ้นชันรักษาโรคเป็นความรู้พื้นๆ ที่คนไทยทั่วไปรู้กัน ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอยา ทำให้ไม่มีการบันทึกไว้ในตำราทางการแพทย์แผนไทย ทั้งที่ความจริงแล้วคนไทยใช้รักษาโรคตั้งแต่ปากถึงทวาร

โรคปากเป็นแผล จะเอาขมิ้นชันมาฝาน ต้มอมบ้วนปาก รักษาแผลในปาก เหงือกเป็นแผล

ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย จะเอาหัวขมิ้นชันกับเกลือมาคั่วให้สุก จากนั้นเอาน้ำอุ่นมาผสมแล้วดื่มกิน หรือต้ม นึ่ง ตากแห้งตำผงไว้ใส่ในอาหารกินเป็นประจำ หรือเอาหัวขมิ้น หัวไพล ตำกับเกลือกินก็ได้

โรคกระเพาะ เมื่อไหร่ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด จะใช้ขมิ้นตำคั้นน้ำกินหรือใช้ขมิ้นสดหรือแห้งผสมกับเกลือ หรือทำเป็นยาตำรับผสมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น ไพล ชะเอมเทศ เทียนทั้งห้า โดยกินอย่างต่อเนื่องเป็นเดือน

โรคลำไส้อักเสบ หรือ IBD ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้จักโรคนี้ แต่ถ้าหากมีอาการท้องอืดท้องบวม ปวดเกร็งท้องบริเวณท้องน้อย แน่นท้อง ท้องอืด หน้าท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง อาจเรอหรือผายลมมากขึ้น อุจจาระไม่ปกติ เบื่ออาหาร ชาวบ้านจะนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งชงกับน้ำอุ่นดื่มวันละ 3-4 ครั้ง กินติดต่อกันอย่างน้อย 5 วัน หรือเอาขมิ้นคั่วกับเหลือ กินเช่นเดียวกับการรักษาอาการท้องอืด

โรคริดสีดวงทวาร มีแผลที่ไหนขมิ้นต้องไปที่นั่น แม้แต่แผลที่ทวารหนักจะใช้ผงขมิ้นตัวเดียวหรือผสมกับผงรากกะเม็งหรือผงของผลบวบแห้งอย่างละเท่าๆ กัน ทาหัวริดสีดวงที่มีเลือดออก ส่วนยากินจะใช้มะขามป้อมและขมิ้นชันอย่างละเท่าๆ กัน ผสมกับน้ำผึ้งกิน

ขมิ้น ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย

ขมิ้นชันน่าจะเป็นสมุนไพรประจำคนตระกูลไทยโดยแท้ เพราะไม่ว่าจะเป็นไทยน้อยอย่างเรา หรือว่าไทยใหญ่ ไทยลื้อ ลาว ไทยแดง ไทยดำ ไทยในรัฐอัสสัมของอินเดีย ก็เรียกขมิ้นหรือเข้ามิ่นเหมือนกัน

มาร์โคโปโล นักเดินทางค้าขายชาวอิตาลีไปเจอขมิ้นชันครั้งแรกในจีนเมื่อเจ็ดร้อยกว่าปีก่อน คนจีนไม่นิยมกินขมิ้นเป็นเครื่องเทศหรือเป็นอาหาร แต่ในจีนตอนใต้มีการกินขมิ้นเป็นผัก และใช้เป็นสีผสมอาหารเหมือนหญ้าฝรั่น หรือว่าแถวนั้นจะเป็นถิ่นของคนตระกูลไทยลื้อ แถบสิบสองปันนา เพราะมีแต่คนตระกูลไทยเท่านั้นที่ใช้ขมิ้นในวิถีชีวิตอย่างหลากหลาย ใช้เป็นเครื่องเทศ ยา เครื่องสำอาง สีแต่างอาหาร และย้อมเสื้อผ้า

คนไทยสมัยก่อนเชื่อว่า กินขมิ้นชันแล้วจะไม่แก่ กินแล้วผิวสวย เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยปรับธาตุ ช่วยย่อย บำรุงตับ บำรุงดี บำรุงเลือดลมให้ไหลเวียนดี ทำให้เลือดสะอาดบริบูรณ์ ขับเลือดเสีย ช่วยบำรุงเอ็นให้เส้นเอ็นโล่ง แก้อาการเส้นเอ็นตายเพราะลมเดินไม่สะดวก ดังนั้นจึงเปรียบขมิ้นดั่งทองคำ การกินข้าวหุงขมิ้นจึงเรียกว่ากินข้าวคำ

งานวิจัยสมัยใหม่พบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านอักเสบ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ รักษาเข่าเสื่อม ลดการทำลายของเซลล์ต่างๆ จากโรคเบาหวาน จึงสมกับที่เป็นทองคำแห่งสุขภาพจริงๆ

ขมิ้นชันป้องกันมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร

ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่อยู่ในตำรายาอายุวัฒนะ ในยาหมู่ ยาตำรับ ยาปรับธาตุ รวมทั้งใส่ในอาหารเพื่อทำให้อายุยืน โดยที่ไม่มีคำอธิบายมากนัก แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการศึกษาฤทธิ์ของขมิ้นชันในการใช้ป้องกันและรักษามะเร็งพบว่า ขมิ้นชันมีสารที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็ง ป้องกันการดูดซึมสารนี้ และป้องกันไม่ให้สารก่อมะเร็งทำปฏิกิริยากับสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (ซึ่งจะป้องกันมิให้เกิดการกลายพันธุ์และการทำลายดีเอ็นเอ) นอกจากนี้ยังเพิ่มระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย และยังยั้งไม่ให้เซลล์ที่ได้รับสารก่อมะเร็งกลายเป็นเวลล์มะเร็ง มีการศึกษาการใช้ขมิ้นในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่พบว่ามีแนวโน้มที่ดี

ขมิ้นชันเป็นอาหารและเครื่องเทศอยู่แล้ว หากจะกินเป็นประจำก็ไม่มีปัญหา เพราะแม้แต่สภาพพฤกษศาสตร์ของอเมริกา (The American Botanical Council) ยังแนะนำว่าไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่กินขมิ้นชันขนาดพอประมาณ (เช่น 1-2 กรัม) ทุกวัน ยกเว้นผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด หญิงตั้งครรภ์ หรือคนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี


จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้ในวิถี … ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

ต้นอ่อนทานตะวันทำกันได้หลากหลายเมนู แต่ถ้ารีบๆ เราขอชวนทำไข่ตุ๋น เสร็จพร้อมรับประทานกันใน 5 นาที โดยจะตุ๋นไข่ในหม้อดินอย่างไข่ตุ๋นเกาหลี สะดวกรวดเร็ว และไม่ต้องล้างอุปกรณ์หลายใบ

จากหนังสือปลูกเองกินเอง สนพ.มติชน

กินก๋วยเตี๋ยวมีความเสี่ยงหรือไม่?

ถ้าสิ่งที่เราพบในก๋วยเตี๋ยวให้พลังงานในระดับพอเหมาะต่อการเป็นอาหาร 1 มื้อ นั่นคือ มีปริมาณที่ไม่มาก และไม่น้อยจนเกินไปก็คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงความเสี่ยงที่พบจากการกินก๋วยเตี๋ยวกัน หากแต่ในโลกความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เรามาดูส่วนประกอบของเส้นก๋วยเตี๋ยวกัน

ประกอบด้วย แป้งข้าวเจ้า น้ำ สารกันบูด และน้ำมันสำหรับทุกเส้น (กรณีของเส้นใหญ่) แป้งข้าวเจ้า ไม่ใช่ปัญหา แต่สารกันบูดและน้ำมันในเส้นใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

เส้นก๋วยเตี๋ยวสด ซึ่งทำมาจากแป้งที่มีความชื้นอยู่สูงนั้น สามารถขึ้นราภายใน 2-3 วัน แต่เรากลับพบว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวสดในปัจจุบันสามารถเก็บได้นานถึง 7 วัน หรือบางทีอาจนานกว่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าในเส้นก๋วยเตี๋ยวมี “สารกันบูด” อยู่

สารกันบูดที่นิยมใช้ในเส้นก๋วยเตี๋ยวมีทั้งกรดเบนโซอิก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กรดโพรพิโอนิก เพื่อยับยั้งเชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่งตามมาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ คือ สารกันบูดทุกๆตัวรวมกันต้องไม่เกิน 1,000 ppm (1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม)

แต่ก็ไม่ต้องถึงกับตระหนกเกินไป เพราะแม้ปริมาณที่กฎหมายกำหนดไม่ให้ใส่สารกันบูดเกินกว่าค่ามาตรฐานคือ ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

แต่ไม่ได้หมายความว่าหากได้รับเกินกำหนดแล้วร่างกายจะได้รับอันตรายจากการรับประทานเส้นก๋วยเตี๋ยวโดยทันที เพราะปริมาณที่ได้รับต่อการกิน 1 มื้อนั้น ไม่อาจส่งผลทันทีต่อร่างกายได้ นอกเสียจากจะกินในปริมาณ 10 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งมีปริมาณที่มากพอที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ อีกแง่หนึ่งการได้รับสารดังกล่าวในปริมาณเล็กน้อย แต่ติดต่อกันเป็นเวลานานก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน เพราะจะทำให้มีสารพิษสะสมในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง

ส่วนของน้ำมันทาเส้นใหญ่ การกินก๋วยเตี๋ยวโดยลวกเส้นก่อนอาจช่วยให้ปลอดภัยได้

และคำแนะนำที่ดีที่สุดที่จะลดความเสี่ยงในการรับประทานก๋วยเตี๋ยวได้ คือ ทำกินเอง โดยสามารถเลือกซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ปลอดภัยได้ จากการสำรวจพบว่าเส้นอบแห้งจะมีความปลอดภัยกว่าเส้นสด และควรพิจารณาซื้อเส้นที่ระบุชัดว่ามาจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการรับรองมาตรฐานไว้

ขณะเดียวกันวิธีรับประทานก็อาจสลับสับเปลี่ยนเมนูอาหาร เช่น จากการกินก๋วยเตี๋ยวเส้นอย่างเดียว ก็เปลี่ยนมากินเกาเหลาบ้าง หรือหันมากินก๋วยเตี๋ยวหมู เนื้อ กระดูกหมู ไก่ หรือเป็ด แทนการกินลูกชิ้นทุกวันก็อาจจะช่วยลดอันตรายลงบ้าง

คลิกอ่าน > เปิดสูตร วิธีทำก๋วยเตี๋ยว-ทำลูกชิ้นกินเอง ให้ปลอดภัย

 


Source เรียบเรียงจากหนังสืออาหารเสี่ยงเลี่ยงได้ สนพ.มติชน

ขิง เพื่อคู่ใจบำรุงไฟธาตุ

ไฟธาตุในการย่อยอาหารนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างยิ่ง เรามักไม่เห็นคุณค่าของมันจนกระทั่งเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นแหละ ถึงตอนนั้นบางทีธาตุก็แปรปรวนจนเยียวยาได้ลำบาก ขิงเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อนบำรุงไฟธาตุที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง ทั้งกลิ่นดีรสดี ไม่เผ็ดร้อนเกินไป มีความพอเหมาะพอควร ไม่ทิ้งกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ไว้เป็นหลักฐาน เข้ากับอาหารได้หลากหลาย ใช้ได้ทั้งขิงแห้ง ขิงสด ขิงอ่อน ใช้ทำอาหารหวาน อาหารคาว เครื่องดื่ม ชา ได้สารพัด ด้วยเหตุนี้ขิงซึ่งมีถิ่นกำเนิดในจีนและอินเดียเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน จึงกลายเป็นสมุนไพรเครื่องเทศนานาชนิดที่คนขาดไม่ได้เสียแล้ว

มนุษย์เราแต่ละคนมีธาตุลักษณะที่แตกต่างกันไป คนปิตตะที่มีธาตุไฟเด่นกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน การย่อยอาหาร กรเผาผลาญดีมาก ดังนั้นขิงอาจจะไม่จำเป็นและร้อนเกินไปสำหรับคนกลุ่มนี้ แต่สำหรับคนธาตุเสมหะ คือ มีธาตุน้ำเด่น เป็นคนเจ้าเนื้อ อ้วนง่าย การย่อยไม่ค่อยดี หรือคนวาตะที่มีธาตุลมเด่นซึ่งเรามักจะพบในคนสูงอายุตัวผอมแห้ง การย่อยอาหารไม่ดี ทนร้อน ทนหนาวไม่ค่อยได้ คนสองประเภทนี้เหมาะที่จะใช้ขิงเป็นเครื่องเทศคู่ท้องอย่างมาก โดยเฉพาะคนธาตุเสมหะซึ่งมีน้ำอยู่ในตัวเยอะ ขิงจะช่วยขับน้ำ แก้จุดอ่อนของคนธาตุนี้ได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากใช้เป็นเครื่องเทศแล้ว ขิงยังเป็นยาช่วยขับลม แก้จุกเสียด อึดอัดท้องได้ดี เพราะมีน้ำมันหอมระเหย ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ได้ และยังเพิ่มการหลั่งน้ำดี ทำให้การย่อยดีขึ้น แม้จะใช้เดี่ยวๆ ก็ช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้ดี

ขิง แก้อาเจียนคลื่นไส้ปลอดภัยกว่า

คนสมัยนี้เวลามีอาการเมารถเมาเรือได้แต่พึ่งยาสมัยใหม่ กินแล้วก็ง่วงหัวซุกหัวซุน ทั้งที่มีสมุนไพรแก้เมารถเมาเรือที่ปลอดภัยใช้กันมานมนานอย่างขิง ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ทำให้ขิงแตกต่างจากเครื่องเทศชนิดอื่น สมัยก่อนถ้าจะเดินทางผู้ใหญ่จะให้กินน้ำต้มขิงก่อนหรือให้อมขิงไว้ อาการเมารถเมาเรือก็น้อยลง ไม่ง่วงหลับจนอาจเป็นเหยื่อของคนที่คิดร้าย

อาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นดูเหมือนเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่ในทางการแพทย์แผนไทยแล้วการที่ลมแปรปรวนพัดผิดที่ผิดทางเป็นสาเหตุของความไม่สบายกายไม่สบายใจ ลองถามผู้หญิงที่แพ้ท้องดูก็จะรู้ว่ามันทรมานเพียงใด การใช้ยาแผนปัจจุบันแก้อาการดังกล่าวบางครั้งก็มีผลข้างเคียงร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งในอดีตเคยมีบทเรียนจากกรณียาแก้แพ้ท้องชื่อ ทาลิโดไมด์ (Thalidomide) เคยทำให้เด็กทั่วโลกพิการมาแล้ว ในกรณีผู้ป่วยหลังผ่าตัดก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะผู้ป่วยเพิ่งได้รับยาสลบมา ไม่ควรใช้ยาที่ทำให้ง่วงงุนหรือมีผลข้างเคียงค่อสมองและหัวใจอีก แต่ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนแผนปัจุบันมักมีผลข้างเคียงดังกล่าว

ขิง เพิ่มการเผาผลาญ ไล่หวัด ไล่น้ำ (หนัก)

การที่ขิงมีความร้อนจะไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย มีรายงานการศึกษาว่าขิงช่วยเมการเผาผลาญ จึงเหมาะกับคนเจ้าเนื้อ คนอ้วนง่าย ในทางการแพทย์แผนไทย ขิงมีความร้อนจึงช่วยลดการกำเริบของเสมหะและลมซึ่งพบในโรคหวัด ไอ หอบหืด ตำรับน้ำขิงแก้หวัดแก้ไอจึงเป็นที่รู้จักกันดี

งานวิจัยสมัยใหม่ของขิง

นอกจากการขับลม การป้องกันและบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนแล้ว ยังพบว่าขิงมีฤทธิ์ในการแก้ปวเแก้อักเสบ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Helicopter pylori (H. pylori) 19 สายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์ cagA+ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร้งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันสมองเสื่อมอีกด้วย

ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาวิจัยในคนถึงฤทะป้องกันการอาเจียนของขิง พบว่าขิงมีสรรพคุณในการป้องกันการอาเจียนจากการเคลื่อนไหว เช่น การเมารถเมาเรือ ป้องกันและบรรเทาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยหลังผ่าตัด ป้องกันและบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด ดังนั้น ขิงจึงเป็นความหวังที่จะใช้เป้นยาบรรเาและป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนที่ปลอดภัยที่สุดในโลก

ข้อควรระวัง

-หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินมาก เพราะในการแพทย์ตะวันออกจัดว่าขิงเป็นยาร้อน เชื่อว่าการกินยาร้อนมากเกินไปอาจทำให้แท้งได้ เช่น คนสมัยก่อนจะใช้ขิง ดีปลี กระเทียม ดองเหล้าเป็นยาขับประจำเดือน

-ไม่ควรใช้ขิงในผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดี เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ขับน้ำดี หากจะใช้ควรระมัดระวังและอยู่ในความดูแลของแพทย์

-ขิงสามารถเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาของยาละลายลิ่มเลือด ดังนั้นผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการจับตัวของเกล็ดเลือด ให้ระมัดระวังการกินขิงและควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

-การกินขิงในปริมาณมาก อาจเกิดอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากขิงมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง

-ขิงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ในคนที่เป็นโรคกระเพาะ แต่ก็มีรายงานว่า ขิงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย H. pylori ซึ่งทำให้เกิดโรคกระเพาะ


 

จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้ในวิถี … ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

งานวิจัยชิ้นใหม่เปิดเผยว่า การดื่มน้ำจากขวดพลาสติก และการใช้ไมโครเวฟ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ไม่เป็นความจริงที่ใครหลายคนเชื่อ

โดยงานวิจัยดังกล่าวได้สำรวจประชาชนในอังกฤษ 1,330 คน และเผยแพร่ในวารสาร European Journal of Cancer พบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจถูกต้องว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากคิดว่ามีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ การสูบบุหรี่ การมีน้ำหนักตัวมากเกิน และการสัมผัสรังสี UV มากเกินไป เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

สถาบันมะเร็งแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า 4 ใน 10 ของมะเร็งสามารถป้องกันได้จากการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน

ขณะที่นักวิจัยจาก University College London และ University of Leeds ได้ทำการสำรวจและพบว่า กว่า 40% เข้าใจผิดคิดว่าความครียดและสารอาหารเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง

ขณะที่ 35% เข้าใจผิดๆ ว่าแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง, 34% คิดว่ามาจากการกินอาหารที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม, 19% คิดว่าเตาไมโครเวฟ และ 15% คิดว่ามาจากการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งได้ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีก็ตาม

แต่คนที่เข้าใจถูกต้องก็ยังมีอยู่ คือ 88% คิดว่ามาจากการสูบบุหรี่, 80% คิดว่ามาจากการสูบบุหรี่มือสอง และ 60% คิดว่าแสงแดด เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

อย่่างไรก็ตาม การเชื่อผิดๆ นั้นไม่ได้หมายความว่าผู้คมีแนวโน้มจะมีไลฟ์สไตล์เสี่ยงมากขึ้น แต่คนที่ทราบสาเหตุจริงๆ ของการเกิดโรคมะเร็งก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สูบบุหรี่ และยังดูเหมือนว่าจะกินผักและผลไม้มากขึ้นด้วย

ดร.ซามูเอล สมิธ จาก University of Leeds กล่าวว่า น่ากังวลว่าเราอาจจะเห็นคนที่เชื่อความเชื่อผิดๆ เหล่านี้มากขึ้น ซึ่งหน่วยงานรัฐหรือภาคการศึกษาอาจต้องชี้แจงหรือแจ้งให้คนรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ประมวลภาพการเรียนหลักสูตรหมูสะเต๊ะ ภายใต้โครงการ “เสริมอาชีพ เพิ่มรายได้ ททท.ใส่ใจไม่ทิ้งกัน” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) นำโดย คุณอกนิษฐ์ ลิ้มตระกูล รองผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ททท. ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน และร่วมเรียนหลักสูตรการทำหมูสะเต๊ะพร้อมกับพนักงาน ททท.กว่า 30 คนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ

โครงการดีๆ เพื่อสร้างอาชีพเป็นรายได้เสริมให้กับพนักงาน ททท. สอนโดย อ.สมยศ เพชรกลัด หมูสะเต๊ะเจ้าดังบางซื่อ ปัจจุบันเปิดร้านอยู่ที่ตลาดบองมาเช่ และเป็นอาจารย์หลักสูตรหมูสะเต๊ะของมติชนอคาเดมีด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น สนุก และเป็นกันเอง ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อวันก่อน

หลายคนอาจมีวิธีการรีไซเคิลหนังสือพิมพ์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น นำมาห่อของ พับถุง ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วการน้ำหนังสือพิมพ์ไปรีไซเคิลยังทำได้อีกหลายอย่างเลย ลองไปดู 4 ไอเดียรีไซเคิลหนังสือพิมพ์ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้กัน

1.ใช้ซับหนังสือที่เปียกน้ำ

หนังสือที่เปียกน้ำไปแล้วบางทีเราก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งเอง แต่กว่าจะแห้งก็ใช้เวลานาน ยิ่งหนังสือเล่มหนาก็ยิ่งใช้เวลามากขึ้นไปใหญ่ แถมยังบวมอีก วิธีการคือให้นำหนังสือพิมพ์มาพับแล้วสอดเข้าไปในหนังสือที่เปียก จากนั้นวางหนังสือเล่มที่เปียกไว้ในแนวตั้ง แค่นี้หนังสือเล่มโปรดของคุณก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

2.กระถางเพาะต้นไม้

จะให้เป็นกระถางปลูกต้นไม้เลยก็อาจจะยากไปนิด แต่หนังสือพิมพ์สามารถเอามาทำเป็นกระถางเพาะต้นกล้าได้ วิธีการนำหนังสือพิมพ์มาพับแล้วใช้แก้วน้ำเป็นบล็อคสำหรับทำทรงกระบอก เสร็จแล้วใส่ดิน เพาะเมล็ด เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตพอที่จะนำลงดินได้ ก็สามารถนำลงดินไปทั้งกระถางได้เลย ซึ่งกระดาษจะสามารถย่อยสลายไปเองได้

3.ห่อของขวัญเก๋ๆ พร้อมทำโบว์ง่ายๆ

การนำหนังสือพิมพ์มาห่อของขวัญแทนกระดาษห่อของขวัญอาจเป็นไอเดียที่เคยเห็นกันมาบ้าง แต่จะให้สวยเก๋ขึ้น คุณอาจเพิ่มริบบิ้นสีสวยๆ เข้าไป เพิ่มความน่ารักด้วยโบว์ดอกไม้ ที่วิธีการทำคือนำแบบที่ตัดเป็นรูปดอกไม้มาทาบลงบนหนังสือพิมพ์หน้าที่มีสีสวยๆ แล้วตัดกระดาษตามแบบ จากนั้นตัดดอกไม้แต่ละชิ้นด้วยสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ม้วนเข้ามาแล้วทากาว ดัดกลีบ แล้วเอาแต่ละชั้นมาซ้อนกัน ก็จะได้เป็นดอกไม้ประดับน่ารักๆ

4.ถุงกระดาษเก๋ๆ

บ้านเราอาจจะคุ้นชินกันแล้วกับถุงกระดาษ แต่ทำแบบเมื่อก่อนก็ดูธรรมดาไป วิธีการสร้างความแปลกใหม่ คือ เมื่อพับถุงกระดาษเสร็จ อาจใช้ริบบิ้นมาทำหูถุง เอาไว้ใส่ของกุ๊กกิ๊กเบาๆ ก็น่ารักไปอีกแบบ แต่ไม่ควรนำไปใส่ของทอด เพราะอย่าลืมว่าหนังสือพิมพ์มีหมึกที่มีสารตะกั่วอยู่ ซึ่งหากเรากินเข้าไปจะได้รับอันตรายได้

4 practical newspaper hacks. 📰 bit.ly/2Kzjqbp

โพสต์โดย 5-Minute Crafts เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2018

เล่าความจริงในสังคมญี่ปุ่น

คนญี่ปุ่นพร่ำบ่นกับงานไหม? มีสิครับ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีพอใจและไม่พอใจกับสิ่งต่างๆ ได้เหมือนกัน

เราอาจจะเห็นภาพว่า คนญี่ปุ่นบ้างาน ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าทุกๆ เรื่องในชีวิต แต่มันมีหลายประเด็นเหมือนกันครับที่พนักงานบริษัทเองก็ “พร่ำบ่น” ต่อบริษัท และอยากให้เลิกกฎเกณฑ์หรือวัฒนธรรมต่างๆ

ผลการสำรวจจาก Goo Ranking ในเว็บไซต์ญี่ปุ่น มีการจัดอันดับวัฒนธรรมหรือกฎเกณฑ์บริษัทที่พนักงานไม่ชอบตามความอึดอัด หรือจะเรียกว่าซาลารี่แมนขอบ่นก็ได้

1.”โอฟรี” หรือ Service OT

พนักงานหลายคนทำงานเกินชั่วโมงที่มีการบัญญัติตามกฎหมาย ต้องทำงานนอกเวลา แถมเจ้านายยังบอกว่าให้ตอกบัตรตรงตามเวลาเข้า-ออก หรือเป็นการทำ “โอฟรี” ที่นายจ้างกำลังทำผิดกฎหมายนั่นเอง แบบนี้จะไม่ให้บ่นได้อย่างไร

2.ต้องเข้าประชุมรวมที่ไร้ความหมาย

หลายครั้งมีการประชุมรวมที่ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลแม้แต่นิด บางบริษัท โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ใช้เวลาเป็นวันในการประชุม แต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจหรือสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ฉะนั้น การประชุมที่ไร้ความหมายจะทำให้ความกระตือรือร้นในการทำงานของเราตกลงไป

3.ไม่สามารถกลับบ้านก่อนรุ่นพี่หรือเจ้านาย

บรรยากาศนี้ผมสัมผัสมากับตัวครับ มันจะมีรังสีอะไรบางอย่างในที่ทำงานที่เข้ามาย้ำเตือนเราว่า “รุ่นน้องหรือพนักงานที่ยังมีประสบการณ์ในบริษัทน้อยต้องขยันขันแข็งมากกว่า” บางทีเคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่เห็นเจ้านายยังทำงานอยู่ เราก็ต้องหาอะไรมาทำเพื่อฆ่าเวลารอให้เจ้านายกลับก่อน

4.ต้องท่องปรัชญาหรือวิสัยทัศน์ของบริษัท

ปรัชญา วิสัยทัศน์ หรือคำขวัญองค์กรที่บริษัทตั้งไว้เพื่อให้ดูดีในสายตาของคนรอบข้างนั้น มันจะดีมากถ้าพนักงานบริษัททุกคนเห็นด้วยและทำงานให้สอดคล้องต่อปรัชญาหรือวิสัยทัศน์ของบริษัท แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าบรรยากาศที่แท้จริงของบริษัทนั้นมันสวนทางกับปรัชญาหรือวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ พนักงานหลายคนอาจจะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องพูดหรือท่องคำเหล่านั้นก็ได้

5.ถูกเปลี่ยนสิ่งที่เคยกำหนดไว้แล้วอย่างกะทันหัน

เรื่องนี้ลูกน้องมักจะได้รับปัญหาจากการที่เจ้านายมาสั่งให้เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่กะทันหันทั้งๆ ที่คำสั่งก่อนหน้านี้คืออีกแบบหนึ่ง

6.ชอบใช้ผู้หญิงทำงานจับฉ่าย

เห็นได้ง่ายในออฟฟิศญี่ปุ่น ผู้หญิงที่ทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ (Office Lady) จะมีหน้าที่ชงชา เตรียมน้ำดื่ม หรือทำความสะอาดทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการทำงาน

7.โดนบังคับให้ไปกินเลี้ยงสังสรรค์

หลายครั้งการทำงานทั้งวันก็เหนื่อยจะแย่ ยังต้องไปกินเลี้ยงสังสรรค์กับรุ่นพี่หลังเลิกงานทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไป แถมบางครั้ง รุ่นพี่ก็ไม่เลี้ยง (ตามธรรมเนียมรุ่นพี่มักจะเลี้ยงหรือจ่ายเงินมากกว่า) ทำให้เราต้องออกเงินสะสมของตัวเองอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมการทำงานในญี่ปุ่นที่ผมเองก็สัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริงๆ หลายข้อผมเจอมาแล้วกับตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทนะที่จะเจอเรื่องเหล่านี้

เชื่อว่าสิ่งที่จะช่วยลดความอึดอัดเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี คือ การสื่อสารสิ่งที่เราคิดออกไปอย่างสมเหตุสมผลและรู้กาลเทศะ ใช้วิธีการพูดที่ประนีประนอม ถนอมน้ำใจกัน เช่น วันไหนผมมีธุระจริงๆ ผมก็จะบอกเจ้านายไว้ล่วงหน้า พร้อมอธิบายเหตุผลและความจำเป็นของเราไว้ก่อนเสมอ ง่ายๆ แค่นี้เองถ้าเหตุผลมันฟังขึ้น ถ้าเขาเป็นเจ้านายที่เป็นผู้ใหญ่พอ เขาจะเข้าใจเรา

ถ้าเราทำได้ เราจะมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งอึดอัดอีกต่อไปแบบ 7 ข้อข้างต้น

อย่าลืมนะ สื่อสารไปเหอะว่าเราคิดอะไร บอกไปอย่างสมเหตุสมผลในจังหวะเวลาที่เหมาะสมครับ

ที่มา หนังสือ JAPAN DARK SIDE ถึงร้ายก็รัก โดย บูม-ภัทรพล เหลือบุญชู สนพ.มติชน

หลายคนอาจเคยได้ยินสปาแปลกๆ กันมาบ้าง เช่น สปาทองคำ สปางู สปาน้ำแข็ง แต่อาจจะไม่เคยได้ยินสปาชวนน่ากินอย่าง “สปาช็อกโกแลต” มาก่อน

ร้านสปาชื่อว่า Body by Brooklyn ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอการนวดที่มีเอกลักษณ์สุดๆ นั่นก็คือ ใช้ช็อกโกแลตในการนวด

ขั้นตอนการนวดชวนหิวนี้จะเริ่มจากการใช้ช็อกโกแลตผสมสครับขัดที่ผิว จากนั้นจะละลายช็อกโกแลตบริสุทธิ์ให้ช็อกโกแลตพออุ่น ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความเครียด นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติจะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นอีกด้วย

ชมคลิป

This is a chocolate massage

This spa has a chocolate massage

โพสต์โดย INSIDER เมื่อ วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2017