ขนุนอ่อน ขึ้นปีใหม่ล้างลำไส้กันดีกว่า

การล้างพิษล้างลำไส้กลายเป็นกระแสที่ฮิตกันมาอย่างต่อเนื่อง ก็เพราะเมือกที่เครือบผนังลำไส้ของคนเราอาจสะสมสิ่งตกค้างหมักหมมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพ จึงต้องหาเทคนิควิธีการต่างๆ ไปกวาดเอาสิ่งตกค้างออกมา แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ไปกระทบต่อสมดุลของผนังลำไส้

เรื่องแบบนี้คนล้านนาเขามีวิธีให้ลูกหลานล้างลำไส้อย่างแยบยล โดยในวันปากปี๋ หรือวันที่สามของประเพณีปีใหม่ (วันสงกรานต์) คนล้านนาจะกินแกงขนุนกันทุกครอบครัว เพราะเชื่อว่าจะหนุนส่งชีวิตให้เจริญก้าวหน้า นับเป็นวัฒนธรรมด้านอาหารและสุขภาพที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากขนุนอ่อนอุดมไปด้วยเส้นใยที่ดูดซับสารพิษ และเป็นอาหารของโปรไบโอติกส์ในลำไส้ของเรา ทั้งมีคุณสมบัติหล่อลื่น ไม่กระตุ้น ไม่ระคายเคือง ช่วยให้การขับถ่ายเป็นธรรมชาติ ขนุนอ่อนจึงเป็นพนักงานทำความสะอาดลำไส้อย่างดี รสฝาดอ่อนๆ ยังช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วย ขนุนอ่อนไม่ร้อนเหมือนขนุนสุก คนหนุ่มสาว ซึ่งอยู่ในวัยปิตตาหรือธาตุไฟกำลังแรง ก็กินได้

ขนุนสุก ยาระบายสำหรับผู้สูงอายุ

ขนุนสุกมีความหอมหวานและให้เมือก ซึ่งช่วยการหล่อลื่นของลำไส้ รับประทานมากๆ จะช่วยระบาย คนสูงอายุมักจะมีปัญหาท้องผูกที่เกิดจากความเย็นและแห้งของร่างกาย หรือที่การแพทย์แผนไทยเรียกว่าเกิดการกำเริบของวาตะ การกินยาถ่ายชนิดกระตุ้นลำไส้เป็นประจำนั้นจะทำลายกลไกธรรมชาติและทำให้ติดยาระบาย แต่ขนุนสุกมีความร้อน ความหล่อลื่น ชุ่มชื้น ให้กากใยที่อ่อนนุ่ม ทำให้เกิดการระบายอย่างธรรมชาติ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นยาระบายสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่เป็นเบาหวาน

ขนุน ยากำลังของแจ็คผู้ฆ่ายักษ์

ขนุนมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Jackfruit ยังไม่รู้ที่มาที่แน่ชัดของชื่อนี้ แต่ทำให้นึกถึงแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ เพราะมีความเชื่อว่า การรับประทานขนุนกับน้ำผึ้งเป็นยาบำรุงกำหนัดชั้นยอด คนไทยจึงไม่นิยมถวายขนุนสุกแก่พระภิกษุสงฆ์ เพราะจะทำให้จิตใจไม่สงบ ส่วนคนจีนเชื่อว่าขนุนสุกช่วยแก้กระหายน้ำ แก้เมาสุรา เป็นยาบำรุงกำลังและช่วยย่อย

ขนุนสุกเป็นผลไม้ให้พลังงานอย่างทันอกทันใจ เพราะมีทั้งซูโครสและฟรุกโตส และอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ วิตามินเอและสารฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่มากในขนุน ทำให้เยื่อบุต่างๆ ในร่างกายและผิวหนังแข็งแรง ป้องกันปอด ช่องปาก และผิวหนังให้ห่างไกลจากมะเร็ง มีวิตามินซีสูงช่วยต้านการติดเชื้อและอันตรายจากรังสี ขนุนยังมีวิตามินบีช่วยบำรุงประสาทซึ่งไม่ค่อยพบในผลไม้ชนิดอื่น

ส่วนอื่นๆ ของขนุนล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เม็ดขนุนเป็นอาหารที่มีประโยชน์ให้พลังงานมาก มีโปรตีนสูง พร้อมทั้งเกลือแร่และวิตามิน คนจีนเชื่อว่าเม็ดขนุนมีสรรพคุณช่วยขับน้ำนม แก่นขนุน ใช้ต้มกินเพื่อคลายเครียด เป็นยาบำรุงเลือดลม บำรุงสุขภาพ มีรสหวานปนขมเล็กน้อย นำมาฝนกับน้ำซาวข้าวก็แก้ฝ้าได้ดี ใบขนุน กินเป็นผักได้ บำรุงน้ำนม และช่วยคุมเบาหวาน

น่ารู้
•ปอกขนุนแล้วยางติดมีด เพียงเอาน้ำมันพืชทาแล้วล้างด้วยผงซักฟอก ยางเหนียวๆ ก็จะหลุดออก
•ขนุนเป็นไม้มงคลประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หรดี) โบราณเชื่อว่าปลูกขนุนไว้ในบริเวณบ้านจะหนุนเนื่องให้มีบุญบารมี มีเงินทอง มีคนเกื้อหนุนจุนเจือ
•ถิ่นกำเนิดของขนุนสันนิษฐานว่าอยู่ที่อินเดีย มีการกินขนุนเป็นผลไม้มาตั้งแต่ 3,000-6,000 ปีก่อน คนอาเซียนมีวัฒนธรรมการกินใช้ขนุนไม่ต่างกัน


ที่มา หนังสือบันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

“บักหุ่ง” มาไกล แต่คนไทยขาดไม่ได้

มะละกอหรือที่ทางอีสานเรียกว่า หมากหุ่ง ชื่อเต็มๆ คือ หมากหุ่งกินหน่วย เนื่องจาก “หุ่ง” เป็นคำลาว หมายถึงรุ่ง หรือ สว่าง หมากหุ่งจึงหมายถึงพืชที่มีผลที่ให้ความสว่าง ซึ่งมาจากการที่คนอีสานบีบเอาน้ำมันจากเมล็ดละหุ่งมาใส่ถ้วย แล้วใส่ไส้ลงไปเพื่อใช้จุดไฟให้แสงสว่าง หมากหุ่งแดง หมากหุ่งขาว ก็คือละหุ่งแดง ละหุ่งขาว และพลอยเรียกพืชหน้าตาคล้ายกันที่มียางสีขาวแต่อยู่คนละวงศ์ว่า หมากหุ่ง “กินหน่วย” ซึ่งก็คือ มะละกอ นั่นเอง

หมากหุ่งไม่ใช่พืชพื้นถิ่นบ้านเรา ถิ่นกำเนิดของมะละกอนั้นอยู่แถวทะเลแคริบเบียน บริเวณประเทศปานามาและโคลัมเบียในปัจจุบัน ชาวสเปนนำมาเผยแพร่ในเอเชียอาคเนย์ในศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ พ.ศ.2143 ซึ่งก็คงตามๆ การเข้ามาของพริก ยิ่งมาเจอกับมะเขือเทศในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ด้วยฝีมือนักตำแห่งที่ราบสูงที่มีวัฒนธรรมการตำส้มสารพัด จึงสร้างสรรค์เมนูตำหมากหุ่งสะท้านโลกขึ้น

มะละกอเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุย แต่ทนน้ำขังไม่ได้เลย จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มะละกอไปแพร่หลายกลายเป็นอาหารถิ่นของอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่แห้งแล้งที่สุดของประเทศไทย ตำบักหุ่งควรจะจดทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย เพราะเป็นเมนูที่มีเอกลักษณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความหลากหลายของตำรับและรสชาติ เช่น ส้มตำไทย ส้มตำปู ส้มตำโคราช ส้มตำปลาร้า ที่สำคัญมะละกอดิบมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อระบบปากท้องไส้ ขอเพียงแต่คำนึงถึงลักษณะในการทำเท่านั้น

ตำบักหุ่ง ยาล้างตระกรันในท้องไส้

ท้องไส้ของเรามีเยื่อเมือกบุไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กรดและน้ำย่อยมาทำลายผนังลำไส้ เยื่อเมือกเหล่านี้นานวันจะมีของเสียตกค้างมาจับกันเป็นก้อนเหนียวเหมือนกับตระกรันในท่อน้ำ การกินอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ ก็ช่วยกำจัดของเสียเหล่านี้ได้ส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ช่วยทำความสะอาดอื่นๆ เช่น เอนไซม์ช่วยย่อยจากธรรมชาติ

มะละกอเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ชื่อ ปาเปน (papain) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเปบซิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนในระบบทางเดินอาหารของคนเรา เอนไซม์ปาเปนมีอยู่มากในมะละกอดิบ และถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน ดังนั้นถ้าต้องการฤทธิ์ของปาเปนจะต้องกินมะละกอดิบที่ไม่นำมาปรุงโดยผ่านความร้อน ข้อดีของปาเปนที่ต่างจากเปบซินชนิดอื่นๆ คือ สามารถทำงานได้ทั้งในสภาวะที่เป็นกรดและเป็นด่าง จึงช่วยย่อยโปรตีนไม่ให้เราท้องอืดท้องเฟ้อ และทำให้ได้ประโยชน์จากโปรตีนอย่างเต็มที่

ปาเปนในมะละกอยังช่วยกำจัดคราบของเสียที่เกาะอยู่ตามเมือกที่เคลือบลำไส้ มะละกอดิบจึงเปรียบเสมือนน้ำยาล้างตระกรันในท่อของระบบปากท้องลำไส้ นอกจากนี้ มะละกอดิบยังมีคุณสมบัติช่วยกำจัดเนื้อที่ตายแล้ว และช่วยรักษาแผล จึงเหมาะกับคนที่มีแผลในกระเพาะและลำไส้เล็ก ตำบักหุ่งจึงเป็นเมนูสุขภาพที่ทำให้คนไทยได้กินมะละกอดิบอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และได้เอนไซม์ปาเปนเป็นผลพลอยได้มานมนาน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เพิ่งมาเริ่มหัดกินมะละกอดิบเป็นผักสลัดกันเมื่อเร็วๆ นี้เอง

อาหารช่วยระบาย และป้องกันท้องผูกในเด็กอ่อน

ในมะละกอสุกจะมีสารเพคตินอยู่มาก เมื่อเรากินมะละกอสุก สารเพคตินนี้จะดูดน้ำในลำไส้แล้วพองขยายตัวจากเดิมหลายเท่า ทำให้กากอาหารมีมากขึ้นแล้วไปดันผนังลำไส้ กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวถ่ายออกมา อาการท้องผูกก็จะทุเลาลง การกินมะละกอเพื่อช่วยระบายจึงเป็นความรู้สามัญในการดูแลตัวเองของคนทั่วโลก

จริงๆ แล้ว ทั้งมะละกอดิบและสุกต่างก็มีสารเพคติน แต่มะละกอสุกกินง่ายกว่า โดยเฉพาะเด็กอ่อน หลังจากอายุครบที่จะกินกล้วยได้ก็ควรจะให้กินมะละกอด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน เด็กๆ จำนวนมากมักมีอาการท้องผูกตั้งแต่ยังเล็ก บางคนต้องสวนกันเป็นประจำ สาเหตุใหญ่มาจากนิสัยการกินที่ไม่ถูกต้อง ไม่ค่อยกินผักผลไม้ กินน้ำน้อย ขาดการออกกำลังกาย ดังนั้นการฝึกให้เด็กกินผักผลไม้ตั้งแต่เล็กๆ ก็จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้

นอกจากแก้ท้องผูกได้แล้ว มะละกอยังเป็นยาแก้ท้องเสียที่ใช้กันมาก โดยเฉพาะในเด็กหรือทารก เพราะมีความปลอดภัยสูง จากรายงานการทดลองพบว่า สารเพคตินจะเป็นเมือกเหนียวลื่นๆ ที่ไปเคลือบผนังของกระเพาะและลำไส้ ช่วยลดการระคายเคืองและการอักเสบ สารเพคตินนี้ยังช่วยทำให้อุจจาระแข็งขึ้น ถ่ายเป็นก้อน ไม่เหลวเป็นน้ำ มะละกอยังมีสารที่ทำให้เชื้อแบคทีเรีย ต้นเหตุของท้องเสีย หยุดเจริญเติบโตด้วย

มะละกอ ผลไม้ชะลอความแก่

มะละกอเป็นผลไม้ที่ออกตลอดทั้งปี และร่ำรวยโอสถสารมากที่สุดชนิดหนึ่ง ที่สำคัญๆ คือสามทหารเสือ ได้แก่ วิตามินเอหรือเบต้าแคโรธีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำให้เกิดโรคสารพัด และเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ อันเป็นกลไกที่นำความแก่ชรามาให้คนเรา ดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ชะลอความแก่อีกชนิดหนึ่ง เพราะทั้งผลดิบ ผลสุก และยอดอ่อน ล้วนแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากทั้งสิ้น

ปาเปนในมะละกอยังย่อยโปรตีนให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายชนิดหนึ่งชื่อ อาร์จินีน (arginine) ซึ่งจะกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมน ควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและรังไข่ในผู้หญิง และทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์เป็นปกติ จึงไปสอดคล้องกับความเชื่อของคนอินเดีย จีน และคนอีกหลายประเทศ ที่ว่า การกินมะละกอจะช่วยบำรุงสมรรถภาพของผู้ชาย ให้หน้าที่ของสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ประโยชน์ทางยาอื่นๆ ของมะละกอ

นอกจากจะเป็นผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ส่วนต่างๆ ของมะละกอยังใช้ประโยชน์เป็นยาได้มากมาย

ใบ – หมอยาไทยนิยมนำมาเข้ายาประคบร่วมกับใบละหุ่ง แก้อักเสบช้ำบวม พอกแผลเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยการตำพอกได้ทั้งแผลสดและแผลมีหนอง ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ต้มกินเพื่อเป็นยาขับปัสสาวะ ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยพบว่า ในมะละกอมีฤทธิ์แก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

ราก – พ่อวิน ตุ้มทอง หมอยาใหญ่แห่งเมืองเลย ใช้เป็นยาขับนิ่ว ซึ่งการวิจัยสมัยใหม่ก็พบว่ารากของมะละกอมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ นอกจากนี้ รากยังใช้ต้มกินเพื่อขับประจำเดือน ขับพยาธิได้อีกด้วย

ยาง – ใช้แก้พิษตะขาบกัด แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยย่อยเนื้อ

น้ำคั้นจากผลดิบใช้ลดความดันโลหิต น้ำต้มผลดิบมีสรรพคุณในการบำรุงน้ำนม

ส่วนผลมะละกอสุกสามารถใช้พอกหน้าเพื่อบำรุงผิวหน้าให้สดใส เพราะมีเอนไซม์ปาเปนซึ่งช่วยผลัดเซลล์ทำให้ผิวหน้าสดใส และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งยังมีวิตามินซี วิตามินเอ กรดอะมิโนที่ช่วยชะลอความแก่

ข้อควรระวัง

-การกินมะละกอสุกไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด แต่ถ้ากินมากไปจะทำให้ตัวเหลืองได้

-ยางมะละกอมีความเป็นพิษ หากสัมผัสโดยตรงจะทำให้ระคายเคือง การรับประทานมะละกอดิบมากไปก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

-ยางมะละกอมีผลต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นผู้หญิท้องโดยเฉพาะสามเดือนแรกไใควรรับประทานมะละกอดิบมากเกินไป

-มะละกอมีเพคตินสูง หากรับประทานมากไปจะทำให้อึดอัดท้องได้


 

ที่มา หนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

ถ้าเรายังจำกันได้ สมัยประถมเราต้องท่องจำอาหารหลัก 5 หมู่กันอยู่เสมอ เราถูกย้ำว่าควรกินอาหารให้ครบมื้อครบหมู่ โดยสารอาหารสำคัญที่ผลไม้ไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้อย่างเพียงพอก็คือโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ (และคอลลาเจนที่จะทำให้คุณหน้าเด้งก็ได้มาจากเนื้อสัตว์นี่แหละ ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนอดอาหารถึงได้หน้าเหี่ยว) และไขมันที่ช่วยละลายวิตามิน ทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ

ผลไม้ส่วนมากมีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับข้าว จึงไม่ได้หมายความว่าคุณสามารถกินผลไม้เท่าไรก็ได้โดยไม่จำกัด แต่ถ้ามีใครถาม่าผลไม้อะไรกินแล้วไม่อ้วน ผมก็ต้องขอตอบว่านอกจากน้ำเปล่า อะไรที่มีแคลอรี่ กินเข้าไปเยอะๆ มันก็อ้วนทั้งนั้น เราจึงมีหลักการจำง่ายๆ ว่าคลอรี่ที่ได้จากการกินผลไม้ 1 ครั้งคือ 70 แคลอรี่ อะไรหวานมากก็กินน้อยหน่อย อะไรที่หวานน้อยก็กินได้มากหน่อย โดยการกิน 1 ครั้งเราเรียกว่า 1 ส่วน หรือเท่ากับลำไย 6-8 ผล องุ่น 6-8 ผล ฝรั่งขนาดกลางครึ่งลูก กล้วยน้ำว้า 1 ผล เงาะ 4 ผล มังคุด 4 ผลเล็ก ชมพู่ 2 ผลเล็ก ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่ มะละกอ 6 ชิ้น มะม่วงสุกครึ่งลูก แตงโม 6 ชิ้น เป็นต้น

กรมอนามัยแนะนำว่าเราต้องกินผลไม้ขั้นต่ำ (ร่วมกับการกินอาหารปกติ) ให้ได้วันละ 3 ส่วน ส่วนผู้ชายตัวฌตห่อยควรกินให้ได้ 5 ส่วน ซึ่งถ้าดูจากปริมาณ แม้เราจะกินข้าวแล้วก็ยังต้องกินผลไม้อีกตั้งมากมาย โดยอาจเลือกกินเป็นของว่าง ทำให้เราไม่เหลือท้องไว้กินขนม นี่จึงจะเป็นวิธีกินผลไม้ลดความอ้วนที่ถูกวิธี ผลไม้ 3 ส่วนได้ 210 แคลอรี่ น้อยกว่าชาเขียวขวดเดียวแต่ช่วยให้อิ่มนาน แถมได้วิตามิน เกลือแร่เพียบ ไม่ใช่ว่าอดข้าวแต่ไปกินขนม น้ำหวาน แล้วมาบ่นว่าแค่ดมก็อ้วน ดังนั้นจึงขอย้ำอีกครั้งว่าต้องกินผลไม้มากๆ ร่วมกับอาหารหลักจึงจะเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ไม่ควรกินผลไม้อย่างเดียวแล้วงดอาหารประเภทอื่น เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารได้

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากินครบส่วน?

ถ้าต้องการ 3 ส่วนต่อวัน เราสามารถเลือกผลไม้ได้ตามใจ เช่น วันนี้เราอาจจะเลือกกินกล้วยอย่างเดียว 3 ผล วันรุ่งขึ้นอาจจะเลือกกินกล้วยน้ำว้า 2 ผล ฝรั่งครึ่งผล หรือถ้ามีให้เอกกินหลากหลายก็เป็นกล้วยน้ำว้า 1 ผล ฝรั่งครึ่งผล ส้ม 1 ผล เป็นต้น

ฉะนั้น คนที่กินผลไม้แทนข้าวหรือกินผลไม้เพื่อลดความอ้วนช่วงแรกน้ำหนักจะลด แต่ที่หายไปจะมีน้ำในร่างกายและกล้ามเนื้อเท่านั้น (ซึ่งทีสาเหตุมาจากการขาดโปรตีน ทำให้ระบบการเผาผลาญเสีย) สังเกตได้ว่าแม้น้ำหนักจะลดแต่หุ่นก็จะอ้วนเหมือนเดิมหรือไม่ก็ผิวหนังหย่อนด้วย ซึ่งทันทีที่กลับมากินปกติ น้ำหนักตัวก็จะโยโย่กลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม


จากหนังสือ รู้งี้ผอมไปนานแล้ว โดยสาธิก ธนะทักษ์ (โค้ชเป้ง) สนพ.มติชน

ในช่วงเทศกาลบอลโลกนี้ เชื่อว่าหลายคนคงนั่งรอเวลาดูการแข่งขัน เชียร์ทีมโปรดอย่างใจจดใจจ่อ แต่กว่าจะได้ทีมที่ชนะในปีนี้ สายตาจะพังไปกับการดูบอลโลกรึเปล่านะ จ้องทีวีนานซะขนาดนี้สายตาไม่เป็นอันต้องพักผ่อนกันเลยทีเดียว ถึงจะเชียร์บอลให้สนุกแค่ไหน แต่เรื่องสุขภาพของสายตาก็ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน มาดู 5 ผลไม้กินเพลินๆ ช่วยบำรุงสายตาในช่วงดูบอลได้กันเลย

1.มะม่วงสุก

ผลไม้รสชาติหอมหวาน กับเมนูยอดฮิตติดปากคนไทย อย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง นอกจากจะอร่อยแล้ว มะม่วงสุกยังมีประโยชน์ที่เป็นมากกว่าผลไม้ธรรมดา ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) บอกว่า มะม่วงสุก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินอี ฟอสฟอรัส และใยอาหาร เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยลดสิวเสี้ยนและริ้วรอยก่อนวัย

(ข้อมูลอ้างอิง : http://www.thaihealth.or.th/sook/info-body-detail.php?id=141)

2.เบอร์รี่

ผลไม้ในตะกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ นำมาแปรรูปได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเบอร์รี่อบแห้ง และที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น เช่น สตรอว์เบอร์รี และจากบทความวิจัย เรื่อง “หลายประโยชน์ของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มหาวิทยาลัยบูรพา” กล่าวว่า ผลไม้ในตะกูลเบอร์รี่ ยังมีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาหนัก ช่วยทำให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด และยังช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา และลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา

(ข้อมูลอ้างอิง : http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=6108)

3.ส้ม

ส้มเป็นผลไม้อีกอย่างหนึ่งที่คนไทยนิยมรับประทาน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ราคาไม่แพงและหากินง่าย มีขายเกือบทั้งปี ยิ่งนำมาแช่เย็นกิน รสชาติยิ่งหวานสดชื่นขึ้นไปอีก นั่งกินเพลินๆ อร่อยและได้ไฟเบอร์จากเส้นใยของส้ม ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งส้มยังอุดมไปด้วยสารต้านอนูมูลอิสระหลายชนิด พร้อมวิตามินต่างๆ มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน วิตามินบี ที่สำคัญคือโฟเลตและแร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น

(ข้อมูลอ้างอิง : http://www.healthtodaythailand.net)

4.เสาวรส

เสาวรส หรือ กะทกรกฝรั่ง มีกลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์มีรสอมหวาน ศูนย์สารสนเทศการวิจัย (ศสจ.) ได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของ เสาวรสไว้ว่า น้ำเสาวรส อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ มากมาย อาทิ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม สามารถนำไปแต่งกลิ่นประกอบอาหาร และขนมต่างๆ นอกจากนี้เสาวรสยังใช้เป็นส่วนผสมในฟรุต-สลัด มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินซีช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค รักษาสภาพเยื่อบุผิวได้อีกด้วย

(ข้อมูลอ้างอิง : http://ridcnrct.blogspot.com/2013/04/blog-post.html)

5.มะละกอ

หลายคนไม่ค่อยชอบรับประทานมะละกอสุก เพราะว่ากลิ่นไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก สำหรับคนที่ไม่ชอบทาน ซึ่งมะละกอเป็นผลไม้บ้านๆ ปลูกง่าย ออกผลง่าย ราคาถูก มีประโยชน์มากมายนำผลดิบของมะละกอมาทำอาหารเมนูอาหารยอดฮิต อย่างส้มตำ และมะละกอสุกรักษาอาการท้องผูก ซึ่งมูลนิธิหมอชาวบ้าน ได้กล่าว ในบทความเรื่อง “มะละกอ ต้านอนุมูลอิสระ” ไว้ว่า มะละกอสุก ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม และลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อันเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ

(ข้อมูลอ้างอิง : https://www.doctor.or.th/article/detail/6412)

มะม่วงเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับสังคมชนบทในสมัยก่อน เพราะปลูกง่าย ทนแล้ง ไม่ต้องดูแลอะไรมาก ยิ่งมะม่วงพื้นบ้าน เช่น แก้ว พิมเสน อกร่อง ทองดำ หนังกลางวัน แรด หัวเงน แก้มแหม่ม แก้วลืมคอน หอมทุเรียน กระบอก สำปั้น ปลาซิว ขี้ซี สามฤดู มีสารพัดสายพันธุ์จนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ละพันธุ์มีกลิ่นรสแตกต่างกันออกไป มะม่วงยังเป็นต้นไม้อายุยืนยาว ปลูกรุ่นทวดรุ่นเหลนยังได้กิน ทนทานจริงๆ จะมีก็แต่กาฝาก ถ้าต้นแก่ๆ เปลือกหนาๆ กาฝากก็ยังเจาะไม่ลง

กาฝากมะม่วงนั้นนิยมเอาไปทำยา โดยเอาไปตากแห้งเก็บไว้ต้มกินเป็นยา แรกๆ ยังไม่มีความรู้ว่าทำไมจึงเป็นยา ต่อมาพ่อหมอยาสอนว่ากาฝากมะม่วงนี้ดีนัก มะม่วงมีสรรพคุณอะไร สรรพคุณพวกนั้นก็ถูกกาฝากดูดมาอยู่ในตัวหมด ตั้งแต่เป็นยาลดความดันโลหิต ยาแก้ปวดเมื่อยยาบำรุงร่างกาย ป้องกันโรคภัยได้สารพัด ถ้าเป็นตามคำของหมอยาพื้นบ้านก็หมายความว่า ถ้ากาฝากต้นไม้ชนิดหนึ่งมีสรรพคุณอะไร ก็เชื่อมโยงไปได้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นน่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน แต่บ้านเราไม่ค่อยใช้กิ่ง ใบ ต้น หรือรากของมะม่วงเป็นยา นิยมใช้กาฝากมากกว่าโดยเฉพาะกาฝากมะม่วงกะล่อน เดี๋ยวนี้กาฝากมะม่วงหายากขึ้น ถ้าหากาฝากไม่ได้ ก็ใช้กิ่งใบของมะม่วงแก้ขัดได้

มะม่วง ผลไม้สุขภาพดี มีรสชาติ

มะม่วงเป็นผลไม้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของชีวิตเด็กบ้านนอก เมื่อใดที่ลมฝนพัดมาเด็กๆ จะคว้าตะกร้าวิ่งไปที่ต้นมะม่วงกะล่อนสูงใหญ่ที่บริเวณหัวไร่ปลายนา คอยเก็บลูกที่ร่วงเอามากวน เวลากวนมะม่วงกะล่อนจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน มะม่วงหลักๆ ที่ปลูกไว้ทุกบ้านคือ แก้ว พิมเสน และอกร่อง พันธุ์อื่นๆ อาจจะเบี้ยวออกปีเว้นปีบ้าง แต่สามพันธุ์นี้มาตามนัดตลอด อกร่องบางปีลูกอาจจะน้อย แต่ก็มาอยู่ดี

มะม่วงแก้วกินได้หลายแบบ ดิบก็ไม่เปรี้ยวมาก กินกับน้ำปลาหวานอร่อย และอร่อยสุดตอนสุกปากตะกร้อ ต้องกินเดี๋ยวนั้น กรอบข้างนอกหวานข้างใน คนสมัยใหม่ไม่มีทางรู้ มะม่วงแก้วจะเอามาดองเก็บไว้กินได้ทั้งปี แต่ถ้าเอามากวนจะแข็งมาก ส่วนพิมเสนกินดิบเปรี้ยวจี๊ด เอาไว้กินสุก หรือควรเก็บไว้กินแต่ไม่อยู่ตลอดปี เพราะกินหมดก่อน

ส่วนอกร่องกินดิบไม่อร่อย กวนก็ไม่อร่อย เนื้อเป็นทรายๆ ต้องกินกับข้าวเหนียวมูล ข้าวเหนียวมะม่วงอกร่องนี้นับเป็นสุดยอดของอร่อยอย่างหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ไม่ใช่ความอร่อยอย่างเดียวที่ทำให้อาหารหวานตำรับนี้น่าทึ่ง แต่กะทิที่ใส่ลงไปยังช่วยในการดูดซึมเบต้าแคโรทีนที่มีอยู่อย่างมากมายในมะม่วงด้วย ตำรับของว่างที่สุดยอดอีกอย่างของบ้านเรา คือมะม่วงน้ำปลาหวาน ถ้ารวบรวมจริงๆ คงมีหลายสิบหรือเป็นร้อยสูตรเลยทีเดียว แค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้ว

กินมะม่วง หายห่วงเรื่องท้องไส้

มะม่วงอยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมานานจนกลายเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ต้องหันมามองมะม่วงในมุมใหม่ มีงานวิจัยที่ศึกษามะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ยืนยันตรงกันว่า มะม่วงมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ (prebiotics) คือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ในการใช้มะม่วงเป็นแหล่งให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือเป็นอาหารสุขภาพให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานและมะเร็งได้

พรีไบโอติกส์มีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน ช่วยดูดซับสารพิษ และเป็นอาหารของโปรไบโอติกส์ ทำให้จุลินทรีย์ดีเหล่านี้แข็งแรง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ กำจัดสารพิษ สร้างวิตามินต่างๆ คงเป็นเพราะเหตุนี้เองเด็กบ้านนอกที่โตมากับดินกับทรายเมื่อ 40-50 ปีก่อนจึงไม่รู้จักกับโรคภูมิแพ้ ท้องไส้ไม่ค่อยผูก เพราะกินผักผลไม้มากมาย ถ้าท้องผูกจริงๆ ก็กินมะม่วงอ่อนจิ้มพริกเกลือกินดื่มน้ำตามลงไปมากๆ หรือกินมะม่วงสุกสัก 2-3 ลูก หรือไปเอามะม่วงกวนที่เก็บไว้ในปี๊บมาต้มน้ำกิน เติมน้ำมะขามให้เปรี้ยวนิดๆ ก็ช่วยได้แล้ว

คนโบราณเชื่อว่ามะม่วงสุกจะช่วยคนที่ธาตุอ่อนการย่อยไม่แข็งแรง รักษาริดสีดวงลำไส้ที่ทำให้ท้องเสียบ่อยๆ ถ่ายไม่เป็นเวลา ท้องลั่นท้องลม หากกินมะม่วงจะช่วยได้ ส่วนมะม่วงดิบนอกจากช่วยย่อยอาหารและช่วยระบายแล้ว ยังลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ในขณะที่การวิจัยสมัยใหม่พบว่า สารแมงจิเฟอริน (magiferin) ที่พบทุกส่วนของมะม่วงมีคุณสมบัติในการป้องกันผนังกระเพาะไม่ให้ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์และยาแก้อักเสบอินโดเมธาซิน (indomethacin) และมีรายงานว่าสารต้านมะเร็งจากมะม่วงมีแนวโน้มที่จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

มะม่วง ผลไม้เป็นยา เห็นคุณค่าทั่วโลก

คนหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้กินมะม่วงเป็นแค่ผลไม้ แต่ยังใช้สรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ชาวอินเดียเชื่อว่าการรับประทานมะม่วงช่วยในการขับถ่าย ขับปัสสาวะ กระตุ้นกำหนัด ทำให้สดชื่น ชาวเซเนกัลก็เชื่อเหมือนกันว่ากินมะม่วงจะทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนชาวปานามากินมะม่วงสุกเป็นยาช่วยระบายเหมือนๆ คนไทย สรรพคุณข้อนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงซึ่งพบว่าอุดมไปด้วยใยอาหารที่เป็นพรีไบโอติกส์ วิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งสารโพลีฟีนอลที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วง 100 กรัม จะมีวิตามินเอถึงหนึ่งในสี่ของปริมาณที่คนเราควรได้รับต่อวัน วิตามินเอจะช่วยสร้างเยื่อบุและเซลล์ของผิวหนัง บำรุงปอด และผิว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 1 ซึ่งช่วยบำรุงประสาท และมีวิตามินอีอยู่ไม่น้อย ซึ่งช่วยในการปรับระดับฮอร์โมนของผู้หญิง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนสมัยก่อนเวลาเลือดลมจะมาเขาให้กินมะม่วงกวน ราวกับรู้ว่าในมะม่วงมีวิตามินอีอย่างนั้นแหละ

การศึกษาวิจัยประโยชน์ทางยาของมะม่วงส่วนใหญ่มุ่งไปที่คุณสมบัติของสารสำคัญที่พบในมะม่วงคือ สารแมงจิเฟอรินที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งพบในทุกส่วนของมะม่วง แต่มีมากในใบ เปลือกต้น เปลือกผล สารนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดความดัน ต้านเบาหวาน ชะลอความชรา ต้านการอักเสบ แก้ปวด เป็นต้น ปัจจุบันประเทศคิวบามีการสกัดสารจากเปลือกต้นมะม่วงออกมาจำหน่ายเป็นอาหารเสริมในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ต่างๆของร่างกาย

ในอินเดียและหลายประเทศในแอฟริกามีการใช้ส่วนต่างๆ ของมะม่วงเป็นยากันอย่างแพร่หลาย คนแอฟริกันจะใช้เปลือกต้นมะม่วงต้มกินเป็นยาแก้อักเสบ แก้ปวดและเบาหวาน ส่วนในอินเดียซึ่งมะม่วงเป็นผลไม้ประจำชาติเหมือนกับฟิลิปปินส์นั้น ใช้มะม่วงเป็นยาทุกส่วน เช่น ใบมะม่วงใช้เป็นยาลดน้ำตาล เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเสียง ซึ่งเป็นสรรพคุณที่คล้ายกับบ้านเรา แม้ว่าคนไทยจะนิยมใช้กาฝากมะม่วงมากกว่า แต่ก็มีบางท้องที่นำใบมะม่วงอ่อนมาอังไฟให้กรอบ ชงน้ำร้อนแบบชาวจีนเป็นยาบำรุงร่างกาย ลดความดัน ลดเบาหวาน หรือแก้เสียงแหบแห้งด้วยการนำใบมะม่วงอ่อนมาต้มน้ำกิน นอกจากนี้ยังใช้มะม่วงทั้งห้าต้มกินเพื่อลดความดัน ส่วนเปลือกมะม่วงจะนำมาต้มกินแก้ท้องเสีย บางแห่งเก็บเปลือกผลมะม่วงนำมาตากแห้งชงน้ำกินเพื่อทำให้ชุ่มคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง

มะม่วง เครื่องสำอางชั้นดีราคาประหยัด

มะม่วงใช้เป็นเครื่องสำอางได้ดี มีคุณสมบัติไม่แพ้เครื่องสำอางราคาแพงๆ วิธีใช้คือ นำมะม่วงสุกพอกหน้าไว้เท่านั้นเอง หรือนำไปปั่นให้เหลวเพื่อทาหน้าก็ได้ คุณสมบัติในการบำรุงผิวนี้เกิดจากการที่มะม่วงมีวิตามินซีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูง คือมีมากกว่ามะนาวถึง 3 เท่า และมีคุณสมบัติในการทำให้ผิวหน้าเรียบลื่นนุ่มชุ่มชื้น ในมะม่วงยังมีสารจำพวกน้ำตาลร่วมกับพวกกรดอะมิโนที่ช่วยคงความชุ่มชื้นไว้ที่ชั้นของผิวหนัง วิตามินเอและซีในมะม่วงยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ลบรอยเหี่ยวย่นได้ดี ถ้าอยากสวยอย่างง่ายๆ ก็เพียงแต่เอามะม่วงสุกหนึ่งลูกปั่นแล้วนำมาพอกหน้า ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใส อ่อนเยาว์ได้จริงๆ ไม่ได้โฆษณาเกินจริงเหมือนโฆษณาหน้าเด้ง

ยำยอดมะม่วงอ่อน

ส่วนประกอบ

ยอดมะม่วงอ่อน ปลากระป๋อง หรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่าง ดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง เกลือ

วิธีทำ

เก็บใบมะม่วงอ่อนมาผึ่งให้สลด พักไว้ ทำเครื่องยำโดยนำดีปลีแห้ง พริกแห้ง ปลาแห้ง ตำให้ละเอียดเข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ พักไว้ นำใบมะม่วงที่สลดดีแล้วมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ปลากระป๋องหรือมะเขือเทศที่ผัดจนเปื่อยกับเนื้อปลาย่างลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องยำที่เราตำไว้แล้วชิมรสตามชอบ

 

จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN