“พาณิชย์” จัด “Thai Fruit Festival 2024 by MOC” ขนผลไม้สด-แปรรูป ขนมหวาน ไอศกรีม ขายในงานมหาสงกรานต์ ที่ท้องสนามหลวง

“พาณิชย์” จัดกิจกรรม “Thai Fruit Festival 2024 by MOC” ในงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ที่ท้องสนามหลวง นำผลไม้สด ผลไม้แปรรูป ขนมหวาน ไอศกรีม มาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวรวม 5 วัน

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ได้กำหนดจัดกิจกรรม “Thai Fruit Festival 2024 by MOC” ในงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ที่ท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยได้นำผลไม้สดตามฤดูกาล ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ ขนมหวานทำจากผลไม้ ไอศกรีม และปิงชู มาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาเล่นน้ำสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 11-15 เม.ย.2567 เริ่มตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น. รวม 5 วัน

“การจัดงาน Thai Fruit Festival 2024 by MOC ในครั้งนี้ นอกจากเป็นการเพิ่มช่องทางการระบายผลผลิตผลไม้ของไทยที่กำลังออกสู่ตลาด ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ยังเป็นการขับเคลื่อน Soft Power ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว ทั้งไทยและต่างชาติ ที่มาเล่นสาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ผลไม้ไทย เป็นที่รู้จักมากขึ้น”

DSC_6960
DSC_6836

สำหรับผลไม้สด ที่จะนำมาจำหน่ายมีจำนวน 11 ชนิด ได้แก่ มะม่วงฟ้าลั่น มะม่วงน้ำดอกไม้ จาก จ.พิจิตร และพิษณุโลก สับปะรด ส้มโอ จ.เชียงราย ส้ม จ.เชียงใหม่ แตงโม จ.สุพรรณบุรี ฝรั่ง จ.ตาก มะพร้าว มะละกอ ชมพู่ กล้วย จ.ราชบุรี และมังคุด จ.จันทบุรี ส่วนผลไม้แปรรูป มี 4 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลำไย สับปะรด และฝรั่ง ส่วนน้ำผลไม้ ที่จะจำหน่าย เช่น สมูทตี้จากมะม่วง แตงโม น้ำผลไม้พร้อมทาน จากมะพร้าว ฝรั่ง ลำไย และมะนาวผง น้ำผลไม้เกล็ดหิมะ ทำจากมะพร้าว ส้ม และสับปะรด และยังมีผลไม้สดพร้อมทาน เช่น มะม่วง สับปะรด แตงโม ชมพู่ มะละกอ มะพร้าว กล้วย ผลไม้ดอง เช่น มะม่วง ฝรั่ง นอกจากนี้ ยังมีไอศกรีมท้อปปิ้งผลไม้ ไอศกรีมทุเรียนผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ บิงชูท้อปปิ้งผลไม้ รวมทั้งยังมีกิจกรรม แชะแชร์จับรางวัลรับฟรีผลิตภัณฑ์ภายในงาน 

“กระทรวงพาณิชย์ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่ท้องสนามหลวง หรือถนนข้าวสาร ให้แวะไปชม ชิม ช้อปผลไม้ตามฤดูกาล ในวันและเวลาดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และจะได้รู้ว่าผลไม้ของไทยอร่อย มีคุณภาพ ไม้แพ้ชาติใดในโลก”
นายนภินทรฯ กล่าว

#กระทรวงพาณิชย์ #MOCThailand #MOC #ข่าวเศรษฐกิจ #ThaiFruit Festival2024byMOC

น้ำตาล สามารถเป็นสาเหตุของอาการฟันผุได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการบริโภคผัก และผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารเป็นส่วนประกอบ

น้ำตาล ทำลายสุขภาพ หากบริโภคอย่างไม่ระมัดระวัง

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การบริโภคน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่มที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด และฟันผุ เป็นต้น

คนไทย ติดหวาน

ปริมาณน้ำตาลที่คนไทยได้รับส่วนใหญ่มาจากขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล จากการศึกษาผลของการดำเนินมาตรการภาษีเครื่องดื่มรสหวานต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน โดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2562 พบว่า โดยเฉลี่ยในแต่ละวันคนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยกว่า 3 แก้ว (519.3 มิลลิลิตร) โดยผู้ชายดื่มมากกว่าผู้หญิง และพบว่าในกลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปีเป็นกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อ

สัปดาห์มากที่สุด เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลที่วางจำหน่ายในประเทศไทยพบมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก เฉลี่ย 9-19 กรัม/100 มิลลิลิตร ในขณะที่ปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรมีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัม/100 มล. เพราะจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ในระยะยาว

ผักผลไม้ก็ช่วยลดเสี่ยงฟันผุได้

ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า น้ำตาลเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียในการผลิตกรดทำลายผิวฟัน จนลุกลามไปเรื่อยๆ หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยควรเน้นบริโภคผักหรือผลไม้ที่มีเส้นใยเซลลูโลส เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการเคี้ยวเส้นใยจะช่วยกระตุ้นให้มีน้ำลายมากขึ้น สามารถเจือจางสภาพความเป็นกรดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งอาหารกลุ่มโปรตีน เช่น ถั่วต่างๆ นมที่มีแคลเซียมและฟอสเฟตสูง หากต้องการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล แนะนำให้สั่งสูตรหวานน้อย เพื่อลดปริมาณน้ำตาลส่วนเกิน

ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย คือ น้ำเปล่า โดยควรดื่มอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพราะจะช่วยชะล้างเศษอาหารที่ตกค้างในช่องปาก ทำให้ปากไม่แห้ง ลดปัญหากลิ่นปากเป็นผลดีต่อสุขภาพฟันไม่ก่อให้เกิดฟันผุ

ที่มา : Sanook.com

ขุ่นพระ! ทำไงดีกางเกงตัวเดิมใส่ไม่ได้แล้ว เครียดดดดด…เชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้คงเกิดกับสาวๆ หลายๆ คน ที่เพลิดเพลินกับการกินอาหารอร่อยจนลืมเรื่องน้ำหนักตัวและห่วงยางน้อยๆ ไปเลย พอเริ่มมีไขมันส่วนเกินกระจายไปทั้งตัวก็เริ่มไม่มั่นใจเหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นมาลดน้ำหนักกันเถอะ ลองกิน 5 ผลไม้ช่วยลดน้ำหนักกันดีกว่า เริ่มกันเลย

1. แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลอุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินเหมาะกับการเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดความอยากอาหารได้ เพราะไฟเบอร์จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มไว ไม่กินจุบกินจิบ ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และที่สำคัญผิวพรรณก็จะดูเปล่งปลั่งอีกด้วย

2. แตงโม

แตงโมเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการลดน้ำหนักมาก เพราะมีแคลอรี่ต่ำ และชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% จึงทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าแตงโมจะทำให้อ้วน แตงโมยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย…ดี๊ดี

3. ส้ม

ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและมีกากใยจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วย แต่ส้มเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ดังนั้น จึงควรทานในปริมาณที่พอดี

4. กีวี่

เป็นผลไม้ยอดนิยมของสาวๆ เลยก็ว่าได้ แต่สาวๆ หลายคนยังไม่รู้ว่ากีวี่ถูกจัดเป็นผลไม้ช่วยลดน้ำหนักด้วยนะ เพราะกีวี่มีไฟเบอร์จำนวนมากช่วยป้องกันโรคท้องผูก ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ กีวี่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนบำรุงผิวอีกด้วยนะ

5. แก้วมังกร

แก้วมังกร สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แน่นอนเพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัว มีแคลอรี่ต่ำเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ ทานแล้วอิ่มท้องนาน เรียกได้ว่าสามารถรับประทานแทนอาหารหนึ่งมื้อได้เลย แม้จะทานเยอะแค่ไหนก็ไม่ทำให้อ้วน แถมช่วยบำรุงผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลอีกด้วย

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

ผู้หญิงและความสวยนั้นเป็นของคู่กันใช่ไหมล่ะคะ แต่จะดีแค่ไหน หากสาวๆ ทุกคนสามารถสวยได้ทั้งภายนอกและภายใน นอกจากความสวยภายนอกที่เราสามารถแต่งเติมเสริมแต่งไปให้สวยได้ตามใจแล้ว ภายในก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเช่นกันนะคะ เพราะเรื่องสุขภาพนั้นไม่เข้าใครออกใคร อีกทั้งยังไม่สามารถแต่งเติมอะไรเข้าไปได้อีกด้วย วันนี้เลยอยากชวนสาวๆ ไปทำความรู้จักกับ “ผลไม้ 5 สี” ที่จะช่วยให้สวยแบบเพรียบพร้อมทั้งภายนอกและภายใน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

ผลไม้สีเขียว
สีเขียวของผลไม้นั้น ได้มาจากเม็ดสีของสารธรรมชาติที่เรียกว่า คลอโรฟิลด์” ซึ่งสารชนิดนี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส และเปล่งปลั่ง ลดการเกิดริ้วรอย ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดี ลดอาการท้องผูกเนื่องจากอุดมไปด้วยกากใยธรรมชาติ และให้ไฟเบอร์สูง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ให้พลังงานต่ำ จึงช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ฝรั่ง กีวี องุ่นเขียว แอปเปิ้ลเขียว หรือลูกแพร์สีเขียว ซึ่งปกติการกินแบบสดๆ ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าจะนำมากินคู่กับอาหารชนิดอื่นก็ไม่เลวเลยทีเดียว เช่น สมูทตี้ หรือโยเกิร์ตผลไม้ ฯลฯ

ผลไม้สีแดง
สำหรับสีแดงนั้นได้มาจาก ไลโคปีน เบตาไซซีน และสารแอนโทไซยานิน ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเกิดมะเร็ง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ให้ประโยชน์มากมายเรื่องผิวพรรณ ช่วยทำให้แผลเป็นจางลง และช่วยลดการเกิดสิวอีกด้วย

ผลไม้สีแดงที่หาทานได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น สตรอว์เบอร์รี บีทรูท เชอร์รี แตงโม กระเจี๊ยบแดง และอื่นๆ อีกมากมาย และจะดีแค่ไหนถ้าเรามาลองทำ ยำผลไม้สีแดง จัดจ้านถึงใจ ได้ความสดชื่น แบบนี้ก็น่าสนใจใช่ไหมล่ะคะ

ผลไม้สีขาว
กล้วย สาลี่ ลองกอง ลิ้นจี่ ลางสาด แห้ว ละมุด และพุทรา สีขาวของผลไม้เหล่านี้เกิดจากสารอาหารที่เรียกว่า แซนโทน กรดไซแนปติก และอัลลิชิน ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้มีส่วนช่วยในการลดอาการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และความดันโลหิต ช่วยลดอาการปวดต่างๆ ตามข้อ และลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งอีกด้วย ลองเลือกกินกล้วยหอมสุกตอนเช้า 1 ผล ตามด้วยน้ำเปล่าสักแก้ว แบบนี้ก็สวย และเป็นเมนูไดเอตได้อีกด้วย

ผลไม้สีเหลือง หรือสีส้ม
แคโรทีนอยด์ เป็นสารที่พบในผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม อย่างเช่น ข้าวโพด มะม่วง เสาวรส แคนตาลูป สับปะรด และ มะละกอ เป็นต้น ซึ่งสารตัวนี้นั้นมีส่วนช่วยในการรักษาสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของจอประสาทตา มีส่วนช่วยพัฒนาการมองเห็นของเด็ก และสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส ลองมิกซ์ มะม่วง เสาวรสและสับปะรด มาปั่นกับโยเกิร์ตเป็น สมูทตี้ ดีๆ สักแก้ว รับรองฟินเลยล่ะค่ะ

ผลไม้สีม่วง และน้ำเงิน
ปิดท้ายกันด้วย มันม่วง เผือก บลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี องุ่นสีม่วง ลูกพรุน และผลไม้อื่นๆ ที่จัดอยู่ในผลไม้ตระกูลสีม่วงและน้ำเงิน ผลไม้เหล่านี้ได้รับเม็ดสีจากสาร แอนโทไซยานิน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึง 2 เท่า มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของหลอดเลือด และปกป้องหลอดเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดได้ มีส่วนในการยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหาร ต่อต้านไวรัส

นอกจากจะต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว หากสามารถกินผลไม้ให้ครบ 5 สีด้วยแล้ว ก็คงจะดีต่อสุขภาพของเราไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีๆ เพราะใครจะรู้ว่าผลไม้แต่ละสีนั้นจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย แถมผลไม้ส่วนใหญ่นั้นยังให้พลังงานต่ำ มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณของสาวๆ เปล่งปลั่ง และดูสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ เกิดเป็นผู้หญิงทั้งทีจะสวยภายนอกอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องดูแลมาจากข้างในด้วยนะคะ จะได้คงความสวยและความสุขภาพดีแบบนี้ไปนานๆ ค่ะ
 
ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

จะทานผลไม้ทั้งที ต้องเลือกให้เป็นกันสักหน่อย เพราะนอกจากจะได้รสชาติที่อร่อย สด หอมหวานแล้ว ผลไม้ที่ดี ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วยนะคะ วันนี้เราเลยมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเลือกทานเลือกซื้อผลไม้ ชนิดต่างๆ มาฝากกันค่ะ

กล้วย
ขอแนะนำให้เลือกกล้วยที่ยังมีผลเป็นสีเขียวอยู่ ซึ่งช่วงเวลาที่กล้วยจะสุกกำลังดีให้สังเกตสีผลของกล้วยเริ่มมีสีเหลืองอร่าม โดยที่ขั้วยังมีสีเขียวอยู่หน่อยๆ ลักษณะนี้จะเป็นช่วงที่กล้วยยังมีเนื้อแน่นกำลังดี ไม่เละจนเกินไป

แตงโม
จะรู้ได้อย่างไรว่าแตงโมลูกไหนเนื้อแน่น ฉ่ำอร่อยกำลังดี ให้ทำตามวิธีนี้ค่ะ ลองดีดที่เปลือกแตงโมแล้วลองฟังเสียงดู ถ้าเสียงมีความแน่นหนักเป็นอันใช้ได้ นอกจากการลองดีดแล้วฟังเสียงแล้วให้ดูที่ขั้วของแตงโมที่ต้องมีลักษณะเพิ่งตัดออกมา ยังมีสีเขียวสดแสดงว่าเป็นผลที่สดใหม่ ไม่ช้ำ สามารถเลือกซื้อได้เลย

ทุเรียน
การเลือกทุเรียน มีวิธีการสังเกตอยู่หลายวิธี เริ่มจากให้ดูที่หนามทุเรียน เลือกหนามทุเรียนที่มีสีออกน้ำตาล จากนั้นลองใช้ก้านไม้เคาะที่เปลือกทุเรียน ลองฟังถ้ามีเสียงกลวงโปร่งแปลว่าผลเริ่มสุกกำลังดี วิธีต่อไปให้ลองดมกลิ่น ถ้าเริ่มได้กลิ่นหอมเป็นอันใช้ได้ค่ะ

เงาะ
วิธีการเลือกเงาะ ให้เริ่มดูที่ลักษณะภายในนอกของผลเงาะ ที่มีผลใหญ่สีแดงสดและขนสีเขียวสดไม่แห้ง จากนั้นลองจับที่ผลเงาะด้วยการบีบผลเบาๆ สัมผัสให้รู้สึกว่าเนื้อแน่นไม่มีรอยบุ๋ม

มังคุด
ให้เลือกผลที่ลักษณะแก่จัด จับที่เปลือกมังคุดต้องไม่แข็งมากจนเกินไป สีผิวมีลักษณะเข้ม ที่สำคัญอย่าลืมดูที่ขั้วเลือกมังคุดผลที่มีลักษณะขั้วสีเขียวสด กลีบเลี้ยงมีสีเขียวสดและเผยอออก

มะม่วงสุก
ใครที่ชื่นชอบมะม่วงสุก ต้องลองสังเกตก่อนเลือกซื้อทาน โดยเริ่มจากดูลักษณะของผิวให้มีสีเหลืองนวล ไม่เหี่ยวไม่ช้ำ จับที่ผลต้องไม่นิ่มจนเกินไป ควรเลือกผลที่ยังมีขั้วสดติดอยู่

กระท้อน
สีผลกระท้อนต้องมีสีเหลืองอมน้ำตาล ผิวมีลักษณะเปลือกบาง จากนั้นลองกดที่บริเวณรอบขั้วของกระท้อน ถ้ามีลักษณะเนื้อหนานุ่มเป็นอันใช้ได้ หากผ่ากระท้อนด้านใน สังเกตดูตรงเมล็ดให้มีลักษณะเป็นปุยฟูสีขาว

ส้มเขียวหวาน
ใครที่ชื่นชอบการทานส้มต้องฟังทางนี้เลยค่ะ วิธีการเลือกไม่ยากเลยค่ะ ให้สังเกตที่เปลือกของส้มเขียวหวานจะมีลักษณะผิวขรุขระเล็กน้อย มีลายเส้นสีน้ำตาล จะเป็นส้มที่มีรสหวานกว่าผลที่มีเปลือกเขียวสวยใสเพราะจะมีรสที่ค่อนข้างเปรี้ยว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกผลไม้ที่เรานำมาฝากกัน แต่นอกจากการเลือกผลไม้อย่างถูกวิธีแล้วที่สำคัญคือการเลือกทานในปริมาณที่เหมาะสมจะดีที่สุดค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

“สละ” เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีรสชาติที่หวานอร่อยไม่แพ้ผลไม้ชนิดไหนเลย แต่ใครจะรู้ว่ามีประโยชน์มากมายด้วย สำหรับใครที่ชอบรับประทานผลไม้อย่างสละลองไปดูประโยชน์กันเลย

1. รักษาอาการท้องเสีย
การรับประทานสละสามารถช่วยบรรเทาอาการได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาแก้ท้องเสียแต่อย่างใด ถือเป็นผลไม้ที่พิเศษอย่างหนึ่งเลยเชียว

2. ช่วยบำรุงสายตา          
สารเบต้า-แคโรทีนที่อยู่ในสละ เป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้วิตามินเอในสละ ก็ยังช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน เพิ่มความคมชัดในการมองเห็นสำหรับผู้ที่มีอาการสายตาสั้นอีกด้วย

3. สละมีสารต้านอนุมูลอิสระ      
สละ เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีการศึกษาในมหาวิทยาลัยของมาเลเซียพบว่า ในสละมีสารฟีโนลิก และสารฟลาโวนอยด์ อันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งชนิดต่างๆ รวมทั้งชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย

4. บำรุงสมอง          
สละ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ช่วยบำรุงสมอง เนื่องจากในสละนั้นมีโพแทสเซียมและสารเพคตินสูง ช่วยบำรุงสมองในส่วนของความจำให้สมองใส ใครที่ชอบมีปัญหาเรื่องความจำก็สามารถรับประทานสละเข้าไปเสริมกับอาหารอื่นๆ ได้

5. บรรเทาความเหน็ดเหนื่อย     
วิตามินเอในสละ นอกจากจะบำรุงสายตาได้แล้ว ก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหรือเล่นกีฬาได้อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยลดอาการอักเสบภายในร่างกายที่เกิดมาจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ที่มา : Tesco Lotus

เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการมาได้ซักพักแล้ว คุณแม่หลายๆ คนอาจรู้สึกกังวลใจเพราะกลัวลูกๆ จะเป็นหวัด วันนี้เรามีผลไม้วิตามินซีสูง 10 ชนิดที่นอกจากจะมีรสชาติอร่อยถูกใจเด็กๆ แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันหวัดในช่วงหน้าฝนนี้มาแนะนำให้ลองไปซื้อกินกันด้วย

1. ฝรั่ง
ฝรั่งถือเป็นผลไม้ประจำบ้านของหลายๆ คน เพราะหาซื้อง่าย ราคาถูก และมีให้รับประทานตลอดทั้งปี บางคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าฝรั่งจะมีวิตามินซีสูง เพราะฝรั่งมีรสชาติออกหวานค่อนข้างไปทางจืดปนฝาด แต่จริงๆ แล้วฝรั่งสด 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 160 มิลลิกรัมเลยทีเดียว ควรรับประทานทั้งเปลือกเพื่อที่จะได้วิตามินซีเต็มที่

2. กีวี่
กีวี่ผลไม้เนื้อสีเขียวสดใส มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ถือเป็นผลไม้จิ๋วแต่แจ๋วเพราะถึงแม้ผลจะมีขนาดเล็กแต่กลับเต็มไปด้วยใยอาหาร แร่ธาตุ และสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพมากมาย เช่น ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบีรวม และวิตามินซี โดยกีวี่ 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 92 มิลลิกรัม

3. ลิ้นจี่
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ประจำฤดูฝนและยังเป็นผลไม้โปรดของเด็กๆ หลายคน เพราะรับประทานง่าย มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานซึ่งช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดี สามารถรับประทานสดๆ หรือดัดแปลงเป็นเมนูกินเล่นหรือเครื่องดื่มได้ เช่น ลิ้นจี่ลอยแก้ว น้ำลิ้นจี่ปั่น และลิ้นจี่อบแห้ง ลิ้นจี่เป็นผลไม้ผลเล็กที่มีวิตามินซีสูง โดยลิ้นจี่ 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม เพียงพอต่อปริมาณวิตามินที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน

4. มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่าย มีให้รับประทานตลอดปี ที่สำคัญคือราคาไม่แพง แม่บ้านหลายๆ คนจึงมักซื้อติดบ้านไว้เสมอ มะละกอสุกจะมีรสชาติหวานอร่อยและมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากจะช่วยขับถ่ายและแก้ท้องผูกแล้ว มะละกอยังมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะละกอ 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 70 มิลลิกรัม


5. สตรอว์เบอร์รี
สตรอว์เบอร์รีผลไม้จิ๋วแต่แจ๋วขวัญใจเด็กๆ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ช่วยเพิ่มความสดชื่น สามารถรับประทานสดๆ รับประทานคู่กับโยเกิร์ต หรือทำน้ำสตรอว์เบอร์รีสดปั่นได้ นอกจากรสชาติที่อร่อยถูกปากแล้ว สตรอว์เบอร์รียังมีวิตามินซีสูง โดยสตรอว์เบอร์รี 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 66 มิลลิกรัม  


6. ส้ม
ส้มเป็นอีกหนึ่งในผลไม้หาซื้อง่ายที่แม่บ้านส่วนใหญ่นิยมซื้อไว้ติดบ้าน รสชาติของส้มจะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ทั้งเปรี้ยว หวาน หรือเปรี้ยวอมหวาน และมีกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ สามารถรับประทานสดๆ หรือคั้นน้ำดื่มได้ นอกจากส้มจะมีใยอาหารมาก ก็ยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วย โดยส้ม 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 53 มิลลิกรัม

7. เงาะ
เงาะเป็นหนึ่งในผลไม้ประจำหน้าฝน เด็กๆ หลายคนชอบกินเงาะเพราะมีรสชาติหวานฉ่ำ สามารถรับประทานสดๆ หรือนำไปลอยแก้วได้ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยถูกใจเด็กๆ แล้ว เงาะยังมีวิตามินสูงอีกด้วย โดยเงาะ 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 53 มิลลิกรัม


8. สับปะรด
สับปะรดเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายเพราะมีผลผลิตตลอดทั้งปี มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวและเนื้อชุ่มฉ่ำ สามารถรับประทานสดหรือนำไปประกอบอาหารคาวและขนมหวานได้หลากหลายเมนู เช่น ผัดสับปะรด แยมสับปะรด และฟรุตสลัด สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยสับปะรด 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 48 มิลลิกรัม


9. ส้มโอ
ส้มโอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายและราคาไม่แพง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สามารถรับประทานสดๆ หรือนำไปทำเป็นอาหารกินเล่น เช่น ยำส้มโอ สลัดส้มโอ หรือส้มตำส้มโอ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ส้มโอถือเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูง โดยส้มโอ 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 44 กรัม


10. องุ่นเขียว
องุ่นเขียวถือเป็นองุ่นที่หาซื้อได้ง่ายที่สุดและยังเป็นผลไม้ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนชื่นชอบ เพราะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ช่วยเพิ่มความสดชื่น นอกจากนั้นองุ่นเขียวยังมีสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการมาก ทั้ง วิตามินเอ  วิตามินบี วิตามินบี 2 และวิตามินซี โดยองุ่น 100 กรัมมีวิตามินซีราว 10 มิลลิกรัม

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

แม่บ้านยุคใหม่ นอกจากการได้รับมรดกตกทอดเป็นวิชาความรู้งานบ้านงานเรือน เรายังเห็นการชอบเสิร์ชหรือดูวิดีโอเทคนิคต่างๆ เพื่อนำความรู้ที่หลากหลายมาปรับใช้ให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดของตัวเอง โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่เลือกให้คนในบ้านรับประทาน มักจะแฝงไปด้วยสรรพคุณต่างๆ ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บให้กับสมาชิกในบ้านได้อย่างน่าทึ่ง เพราะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก แดดออก อาจจะทำให้ป่วยได้ ว่าแต่จะมีผักผลไม้ชนิดใดบ้างนั้น ดูพร้อมกันเลยค่ะ!

1. พริกหวาน
พริกหลากสีสันที่รสชาติไม่เผ็ด มีทั้งสี เขียว แดง เหลือง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เหล็กและโพแทสเซียม สามารถนำมารับประทานสดๆ เป็นสลัดผัก หรือเป็นผักชุบแป้งทอดก็อร่อยไม่เบา โดยในพริกหวานจะมีสารแคปไซซิน ช่วยลดน้ำมูกทำให้การหายใจสะดวกขึ้น รวมถึงช่วยบำบัดอาการภูมิแพ้ต่างๆ ได้

2. ขิง
แค่ได้ยินชื่ออาจจะรู้สึกร้อนวูบวาบทันทีสำหรับสมาชิกในบ้านที่ไม่ชอบกิน แต่รู้หรือไม่ว่ารสชาติหวานแต่เผ็ดร้อนของขิง มีสรรพคุณช่วยขับเสมหะได้ดีเยี่ยม เพียงทุบขิงสดขนาดเท่าหัวแม่มือให้แตก แล้วนำไปต้มในน้ำให้เดือด แล้วผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย ใช้จิบเวลาไอ จะช่วยให้ชุ่มคอขึ้นได้อย่างดี

3. ผักกาดขาว
ผักที่เราคุ้นเคยที่สุดทุกบ้านก็ว่าได้ เพราะมักจะพบเจออยู่ในหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ต้มจืด ผัดผัก หรือจะกินเป็นผักสดคู่กับน้ำพริกต่างๆ แต่รู้ไหมว่าสรรพคุณของผักกาดขาวก็ไม่ธรรมดา เพราะในใบของผักกาดขาวนั้นมีวิตามินซีสูงมาก จึงมีส่วนช่วยบรรเทาอาการไอและช่วยขับเสมหะได้อย่างดี อีกทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย

4. หัวไชเท้า
ตามตำราจีน หัวไชเท้า จัดเป็นสมุนไพรเย็น มีส่วนช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ช่วยปกป้องระบบทางเดินหายใจ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ซึ่ง หัวไชเท้า ยังอุดมไปด้วยมีวิตามินซี ช่วยแก้โรคหวัด อาการไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะได้อย่างดี ปกติเรานิยมนำหัวไชเท้ามาปรุงอาหารในเมนูต่างๆ ทั้งแบบต้มในน้ำซุป หรือตุ๋นรวมกับเครื่องยาจีนต่างๆ แต่ทราบไหมว่าเราสามารถนำหัวไชเท้าสดมาคั้นน้ำ แล้วเติมน้ำ ผสมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพได้อย่างดีในช่วงอากาศหนาวเย็น

5. ลิ้นจี่
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยจึงทำให้เราอาจจะเกิดอาการคัดจมูกได้บ่อยๆ การได้รับประทานผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสมาชิกในบ้าน เนื้อฉ่ำๆ สีขาวนวลของลิ้นจี่นั้นเป็นแหล่งรวมสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด จึงมีส่วนช่วยแก้โรคหวัด คัดจมูกได้สูงมาก และยังช่วยป้องกันแบคทีเรียในลำคอ ไม่ให้เกิดอาการไอเรื้อรังอีกด้วย

6. ส้ม
ผลไม้ที่ควรมีติดบ้านทุกวัน เพราะหาซื้อได้ง่ายและยังเป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกด้วย สามารถกินเป็นลูกได้เลย หรือจะนำไปคั้นเป็นน้ำส้มก็ให้ประโยชน์สูงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะการช่วยเสริมสร้างเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากวิตามินซีในส้มมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว จึงช่วยยับยั้งต่อต้านการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัส

7. มะขาม
จัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย เพราะทั้ง ผลและใบ สามารถช่วยรักษาโรคหวัด อาการไอ ช่วยละลายเสมหะได้ ซึ่งรสเปรี้ยวของมะขามมักจะถูกปากใครหลายคน ยิ่งเมื่อนำมาจิ้มกับเกลือ หรือคั้นเป็นน้ำใช้จิบบ่อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวจะเจ็บคออีกต่อไป

นอกเหนือไปจากการดูแลตัวเอง อย่างการใส่แมสก์ป้องกันการติดเชื้อไวรัส หรือล้างมือบ่อยๆ ด้วยใจที่ลุ้นแบบวันต่อวันว่า นี่ฉันติดหรือยังนะ เชื่อเถอะว่าการรับประทานอาหารก็ช่วยป้องกันไวรัสได้ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ สมุนไพร 3 กลุ่ม ที่คอนเฟิร์มแล้วจากแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกชื่อดัง

“นพ. มรุต จิรเศรษฐศิริ” อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำผัก ผลไม้ สมุนไพรที่มีสรรพคุณเด็ดในการช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ช่วยป้องกันการติดโควิด-19 ว่าประกอบไปด้วยผัก ผลไม้ สมุนไพร 3 กลุ่มด้วยกัน

กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกัน

พลูคาว หรือผักคาวตอง เห็ดต่างๆ ซึ่งมีสารสำคัญ คือเบต้ากลูแคน เช่น เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดออรินจิ เห็ดหลินจือ ตรีผลา เช่น สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม

กลุ่มที่มีวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ

ดอกขี้เหล็ก, ยอดมะยม, ใบเหลียง, ยอดสะเดา, มะระขี้นก, ฟักข้าว, ผักเชียงดา, คะน้า, มะรุม, ผักแพว มะขามป้อม, ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสี

กลุ่มที่มีสารสำคัญป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19

พลูคาวหรือผักคาวตอง กะเพรา หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน แอปเปิล เปลือกผลของพืชตระกูลส้ม เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า

เห็นได้ว่าผัก ผลไม้ สมุนไพรเหล่านี้มักเป็นส่วนประกอบใน อาหารไทย อยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบใส่ลงไปในอาหารได้อย่างหลากหลาย ยกตัวอย่าง

เมนูต้มยำ มีหอมแดง หอมใหญ่ ซึ่งมีสารเคอร์ซีทินช่วยป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ ลดโอกาสการติดเชื้อ ส่วนเห็ดในเมนูต้มยำก็มีสารเบต้ากลูแคน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

เมนูต้มโคล้ง ส่วนประกอบในเมนูนี้จะคล้ายกันกับเมนูต้มยำ คือ มีหอมแดง หอมใหญ่ และมะนาว ซึ่งมีสารเคอร์ซีทิน เบต้ากลูแคน และวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิทำให้ไม่ป่วยง่าย

แกงส้มมะรุม ถือเป็นเมนูที่มีผักหลายสี หลายชนิดรวมกันในเมนูเดียว จึงทำให้เป็นแหล่งรวมวิตามินซีสูง รวมไปถึงสารกลุ่มแอนโทไซนิน ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยไม่ให้ป่วยง่าย

ผัดกะเพรา ก็ช่วยเสริมภูมิป้องกันไวรัสด้วย เพราะใบกะเพรามีสารโอเรียนทิน ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ช่วยให้ไม่ป่วยจากเชื้อไวรัสได้!

ที่มา : ข่าวสด

นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า หลายคนคงเคยได้ยินมาว่ากินหวานแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ เราจึงเห็นภาพการสั่งอาหารและเครื่องดื่มของคนในยุคนี้ที่มักต้องขอต่อด้วยว่า “ขอไม่หวาน” เพราะไม่ว่าจะรับประทานกาแฟ,น้ำปั่น,ชาไข่มุกไปจนถึงก๋วยเตี๋ยว-ข้าวแกงก็อาจมีเสียงกำชับนี้ตามมา แต่ความจริงหวานแบบดีก็มีมาก อย่างหวานจาก “ผลไม้สด” เป็นต้นการกินผลไม้สดๆ ที่หวานทั้งลูกนั้นแม้จะได้น้ำตาลก็จริงแต่ก็มีสิ่งที่มีประโยชน์แถมช่วยไม่ให้น้ำตาลหวาน “เข้าเลือด” เร็วเกินไปนัก โดยเฉพาะผลไม้แบบไทยๆ

นายแพทย์กฤษดา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ผลไม้ไทยมีในเรื่องช่วยสุขภาพนั้นมีอยู่หลักๆ ดังนี้ ได้แก่ 1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอย่างกลูโคสและฟรุกโตส 2. วิตามิน เช่น วิตามินเอ, แคโรทีนอยด์, วิตามินซี, กรดโฟลิกและสารต้านสนิมแก่ทั้งหลาย 3. แร่ธาตุ อย่างแมกนีเซียม, แคลเซียม, เซลีเนียมและแมงกานีส 4. น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักในผลไม้ไทยหลายชนิด 5. ไฟเบอร์ มีทั้งเส้นใยแบบละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ

“ผลไม้ไทยหลายชนิดกินแล้วอิ่มออกชื่นใจเหมาะกับคนที่ควบคุมน้ำหนักด้วยเพราะมีอิทธิฤทธิ์ชวนให้อิ่มเต็มกระเพาะเร็วแบบไม่ทำให้อ้วนเกิน ยกตัวอย่างฝรั่งหรือสับปะรด หรือแม้แต่ผลไม้ที่ดูหวานจนหลายท่านกลัวเช่นทุเรียนหรือกล้วยนั้นถ้ารู้วิธีกินให้เหมาะก็จะไม่อ้วนเลยแถมยังช่วยลดไขมันเสียด้วยซ้ำ” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าว

สำหรับผลไม้ไทยที่ช่วยเรื่องชะลอวัยนั้น นายแพทย์กฤษดา ได้ยกตัวอย่างไว้ 8 ชนิด ได้แก่

1. ลองกอง เนื้อใสเป็นแก้ว กินแล้วสบายเพราะมีทั้งน้ำตาลให้พลังงาน, วิตามินและเส้นใยอาหารครบ การรับประทานลองกองนั้นจะกินสักช่อหนึ่งงามๆ แล้วตามด้วยสับปะรดก็ช่วยเพิ่มเส้นใยอาหารอีกทั้งช่วยควบคุมน้ำตาลที่ห่วงว่าจะเกินได้ด้วย

2. เงาะ รับประทานเงาะงามๆ จากบ้านเรา กินเงาะให้อร่อยชื่นใจขอให้ลองแช่เย็นแล้วค่อยรับประทาน สำหรับท่านที่กลัวน้ำตาลจากเงาะจะกระทบสุขภาพขอให้ลดปริมาณข้าวหรือแป้งที่กินเป็นมื้อหลักลง เลี่ยงรับประทานเงาะกระป๋องเพราะน้ำตาลสูงและให้รับประทานเงาะในปริมาณที่เหมาะสม

3. มังคุด ของดีอยู่ที่เปลือกด้วย อย่างน้ำมังคุดนี้ทำให้เราได้รับประทานของดีสีม่วงคือ Anthocyanins จากเปลือกมังคุด ช่วยหยุดความชรา พาให้อนุมูลอิสระลด เพราะมังคุดมีของดีที่ช่วยทั้งลดการอักเสบแล้วยังมีฤทธิ์เย็นที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายด้วย

4. สละ ผลไม้รสหวานหอมมีกลิ่นชื่นใจ ให้วิตามินซีและเอดีมากๆ ถ้าอยากรับประทานสละให้อร่อยลองค่อยๆ คว้านเม็ดออกให้รับประทานง่ายหรือเอามาปั่นดูกับน้ำผึ้งก็จะเป็นเครื่องดื่มที่ชุ่มคอแก้เหนื่อยได้ดี

5. เสาวรส ถ้าพอสะดวกหาเสาวรสสดๆ มากินได้ขอแนะนำให้บรรจุไว้ในมื้ออาหารประจำวันด้วย เพราะเสาวรสมีเส้นใยอาหารช่วยระบายท้องและวิตามินซีที่เหมาะกับการสร้างคอลลาเจน ถ้าใครมีอาการเจ็บคอเริ่มเป็นหวัดขอให้จัดเสาวรสสดผ่าครึ่งไว้ตักรับประทานด้วย

6. ฝรั่งสด ผลไม้ไทยที่หาได้ง่ายในบางฤดูกาลราคาถูกแสนถูก อุดมไปด้วยวิตามินซี, เส้นใย, โฟเลต, วิตามินเอ, โพแทสเซียม, ทองแดงและแมงกานีส สารต้านอนุมูลอิสระในฝรั่งช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นเส้นใย “เพ็กติน” ของฝรั่งที่เหมือนกับในแอปเปิลยังช่วยปกป้องลำไส้ใหญ่จากความเสี่ยงมะเร็งด้วย

7. แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่ให้ความอิ่มสูงมากจากการที่มีเส้นใยเยอะ เหมาะกับผู้ที่อยากคุมน้ำหนักเพราะแคลอรี่ต่ำแต่วิตามินสูง โดยเฉพาะสารดีๆ อย่างแคโรทีนอยด์และเบตาเลนส์ (Betalains) ที่มีการศึกษาในหลอดทดลองพบว่าช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำเสี่ยงมะเร็งกับยับยั้งเซลล์มะเร็งได้

8. มะละกอ มีสารสำคัญช่วยต่อมลูกหมากและลดเสี่ยงมะเร็งหลายจุดคือ “ไลโคปีน” เป็นสารเดียวกับที่มีในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ชอบกินมะเขือเทศก็เลือกมะละกอเพราะนอกจากสารที่ว่ายังมีวิตามินซี, โพแทสเซียมและโฟเลตที่เหมาะกับคนเลือดจาง ส่วนมะละกอดิบในส้มตำแสนอร่อยยังมีเอนไซม์ “ปาเปน” ที่ช่วยย่อยได้

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ผู้เขียน : พารนี ปัทมานันท์