“งานกินรับเฮงกับซินแส” ที่มติชนอคาเดมี จับมือกับ ซินแสมุขมังกร ชี้ชัดรหัสรวยในวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอาหารที่จัดเตรียมไว้นั้น จัดหนักจัดเต็มกันจริงๆ เสิร์ฟโต๊ะจีนถึง 10 อย่าง เมนูนั้น ประกอบด้วยอาหารหลากหลาย ที่แต่ละอย่างมีความหมายมงคลให้เกิดความเฮงทั้งสิ้น

ถุงทองฮ่องเต้กระเพาะปลาน้ำแดง
เทียนหม่าเพี่ยน
เป็ดกีต้าร์

เริ่มจาก “ถุงทองฮ่องเต้” (กระเพาะปลาท่านละ 1 ที่) และ “เทียนมั้วแช่น้ำส้มเย็น”

เทียนมั้วในน้ำส้ม เป็นสมุนไพรจีนอยู่ใต้ดิน นำมาล้างและฝานเป็นแผ่นบางสวยชุบกับน้ำส้มวางบนน้ำแข็ง ซึ่งความหมายของน้ำแข็งโดยรอบเปรียบเหมือนก้อนเมฆลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ ส่วนเทียนมั้วแช่น้ำส้มมีสีทองกินแล้วมีเงินมีทอง

“เป็ดกีต้าร์” นอกจากรสชาติอร่อย หนังกรอบนอกเนื้อนุ่มด้านในแล้ว เป็ดยังมีความหมายที่ดี เพราะ เป็ด เป็นสัญลักษณ์แทนหงส์ซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลของจีน

กุ้งมังกรผัดซอส X.O.
ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว
ปูผัดผงกะหรี่

“กุ้งมังกรผัดซอส X.O.” เรื่องของกุ้ง ชื่อว่ากุ้งมังกร โดยหลักฮวงจุ้ยหงส์กับมังกรต้องอยู่คู่กัน เมื่อกินทั้งคู่แล้วจะเกิดความมั่งคั่งร่ำรวย

“ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว” “ไก่หม่าล่า” “ปูเนื้อผัดผงกะหรี่”

ความหมายของ ปู เป็นสัตว์มงคลตามตำราของฮวงจุ้ยสายเต๋า เป็นสัตว์ที่นำโชคลาภแบบลาภลอย เพราะปูเดินเฉียง จึงเป็นโชคลาภที่มาเฉียงๆ เช่น ถูกหวย ได้โบนัส เจ้านายขึ้นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงพิเศษ เป็นเงินที่ไม่คิดว่าจะได้

ต่อมา “ผัดผัก 5 ขุนพล” เป็นผัดผักที่มีครบ 5 ธาตุ เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์ดี ประกอบด้วย สีขาวก้านผักกาดธาตุทอง สีเหลืองใบผักกาดขาวธาตุดิน เห็ดสีดำธาตุน้ำ หน่อไม้ฝรั่งสีเขียวธาตุไม้ สีส้มแครอทธาตุไฟ รวมแล้วครบ 5 ธาตุในความเป็นมงคลสูตรฮวงจุ้ย กินแล้วเป็นมงคล สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคไร้ภัย มั่งคั่งร่ำรวย

ไก่ในน้ำมันหม่าล่า
ผัดหมี่จักรพรรดิ

“ผัดบะหมี่ฮ่องกง” เส้นหมี่ที่ยาวหมายถึงสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว

ตบท้ายด้วยขนมหวาน “รังนกไข่ทองคำ” เป็นรังนกแปะก๊วย ที่เปรียบเหมือนไข่ทองคำ ซึ่งถือว่ามีความมงคลอย่างมาก

คุณจะได้อิ่มอร่อยกับเมนูที่จัดหนักจัดเต็มทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน พร้อมฟังความรู้ ข้อแนะนำจากซินแส เพื่อให้ปีหนูทองเฮงๆ ปังๆ กันให้ระเบิดเถิดเทิงกันไปเลย

ผู้ที่สนใจ งานจัดวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 จัดที่ภัตตาคารเฉาเซียง โรงแรมเดอะ เทรเวลเลอร์ ถนนรัชดาภิเษก ดินแดง กรุงเทพฯ ในราคาท่านละ 2,900 บาท

สนใจติดต่อ มติชนอคาเดมี Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124 Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105 สอบถามทาง Inbox Facebook : คลิกที่นี่ได้เลย m.me/Matichon.Academy.Thailand หรือ line : @matichonacademy คลิก https://line.me/R/ti/p/%40matichonacademy

คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) โดนัทสูตรลิขสิทธิ์อันดับ 1 ที่ครองใจคนทั่วโลก ต้อนรับปีชวดนี้ ด้วย แฮปปี้ ไชนีส นิวเยียร์ (Happy Chinese New Year) กับ 4 โดนัทสุดคิวท์  เพื่อเป็นความหมายดีๆ ในศักราชใหม่ เริ่มด้วยตัวแทนแห่งปี แฮปปี้ เม้าส์ (Happy Mouse) โดนัทเคลือบด้วยสตรอว์เบอร์รี่ กามัวส์ ตกแต่งด้วยบัตเตอร์ครีมเป็นน้องหนูสุดน่ารัก มาพร้อมกับ โกลเด้น ริง (Golden Ring) โดนัทสอดไส้ไข่เค็มที่ทุกคนชื่นชอบ เคลือบด้วยกามัวส์ สีทองประกายวิบวับ เปรียบเสมือนเหรียญทอง แทนความมั่งคั่ง ตามมาด้วย ลัคกี้ ออเรนจ์ (Lucky Orange) โดนัทเคลือบออเรนจ์ กามัวส์ สอดไส้ด้วยครีมรสส้ม หอม หวาน สื่อแทนความหมาย สิริมงคล หรือความโชคดี ปิดท้ายด้วย พิงค์ บลอสซั่ม (Pink Blossom Strawberry) โดนัทเคลือบช็อกโกแลตสตรอว์เบอร์รี่ สอดไส้ด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี่ และตกแต่งลวดลายเป็นรูปดอกเหมย แทนความเบิกบาน มีโชคลาภ และอายุยืนยาว

ส่งมอบความสุขด้วยคำอวยพรและความอร่อยแด่คนที่คุณรักด้วย แฮปปี้ ไชนีส นิวเยียร์ ในราคาเพียงชิ้นละ 35 บาท หรือแบบเซ็ทในราคา 296 บาท (ราคาดังกล่าวยกเว้นสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง) ตั้งแต่วันที่ 15-9 กุมภาพันธ์ 2020 เท่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ คริสปี้ ครีม โดนัทสุดโปรดของคุณได้ที่ www.krispykreme.co.th หรือ www.facebook.com/krispykremethailandfanpage หรือ Instagram : KrispyKremeThailand และ #Krispykremethailand

ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บัตรเครดิตซิตี้ และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนต้อนรับศักราชใหม่ เบิกฤกษ์   ปีชวดมหามงคล จัดงาน “เอ็มโพเรี่ยม เอ็มควอเทียร์ ไชนีส นิวเยียร์ 2020” พบความอลังการกับจักรพรรดิเทพมังกรทอง ตามลักษณะมงคลของตำนานมังกรจีนโบราณ พร้อมชมการแสดงโชว์เหินฟ้า ประกอบแสง สี เสียงตระการตา ร่วมอำนวยพรจากสรวงสวรรค์ ประกอบเทพมังกรทอง ครั้งแรกกับตลาดจำลองบรรยากาศเมืองโบราณของจีนใจกลางสุขุมวิท ครบครันด้วยร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดัง และของมงคลต่างๆ พร้อมเสริมความมั่งมีศรีสุขกับอาหารมงคล ภายในศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และดิ เอ็มควอเทียร์ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษเอาใจนักช้อป และสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำมากมาย ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม ดิ เอ็มควเทียร์

ตื่นตากับจักรพรรดิเทพมังกรทอง ตามลักษณะมงคลของตำนานมังกรจีนโบราณ ความสูงกว่า 11 เมตร ประดับประดาด้วยเกล็ดมังกรสีทองเรืองแสงสวยสะดุดตาตลอดลำตัว นำพาโชคลาภ ความมั่งคั่ง ความโชคดี และสุขภาพที่แข็งแรง แก่ทุกคน และผสานการแสดงนาฎกรรมจีนล้ำสมัย ประกอบแสง สี เสียง ตระการตา ในวันที่ 22 และ 24-26 มกราคม 2563 เวลา 19.00 น. บริเวณควอเทียร์ พาร์ค ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

ครั้งแรกกับ ตลาดจีนโบราณ (The EmQuartier Chinese Street Legends) ใจกลางสุขุมวิท ที่จำลองบรรยากาศเมืองโบราณของประเทศจีนมาให้ทุกคนได้สัมผัส ครบครันด้วยร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดัง และร้านสินค้ามงคลต่างๆ พร้อมเสิร์ฟชาอูหลงต้นฤดูจากไร่ชาฉุยฟงชื่อดังจากเชียงราย ในระหว่างวันที่ 21-26 มกราคม 2563 บริเวณ ควอเทียร์ อเวนิว ชั้น G ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

อิ่มอร่อยกับอาหารมงคล ณ ฮีลิกซ์ สกาย ไดนิ่ง ชั้น 6-9 ที่คัดสรรสุดยอดเมนูมงคลรับทรัพย์ เสริมสิริมงคล จาก 50 ร้านอาหารชั้นนำ โดยชาวจีนเชื่อว่าหากรับประทาน เนื้อปลา, เป็ด, บะหมี่, ส้ม, กุ้ง, ลูกชิ้นปลา, เต้าหู้ และสาหร่าย ในช่วงปีใหม่นี้จะเสริมสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง และความโชคดีตลอดปี ในระหว่างวันที่ 21-26 มกราคม 2563

วันเวลาที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ  อย่างไม่มีวันหวนกลับ ทำให้กรุงเทพมหานครหรือเรียกแบบรวมๆ “ประเทศไทย” มีอายุมาได้ 237 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 238  เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในรอบปีนักษัตรไทย คือ “ปีชวด” ซึ่งวันที่ 1 มกราคม 2563 ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามหลักสากลนั้น จะตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนยี่ (มกราคม)  แต่ยังคงเป็นปีนักษัตร “กุน”  หากจะนับเอาปีชวดอย่างแท้จริงตามตำราโหราศาสตร์ ต้องเป็นวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2563 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (มีนาคม)   เอาเป็นว่าถ้ายึดถือตามหลักสากล คือ วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นวันขึ้นปีใหม่ จะเท่ากับคริสตศักราช (ค.ศ.) 2020 จุลศักราช 1381 มหาศักราช 1941 และ รัตนโกสินทร์ศก 238

ตามคติที่เชื่อกันมาแต่โบราณ การนำเอา “สัตว์” มานับเป็นปี มี 12 นักษัตรนั้น ยังหาต้นตอหลักฐานยังไม่พบ แต่พอปะติดปะต่อเค้าโครงบางอย่างในการนำเอาสัตว์มาใช้เป็นชื่อปีได้บ้าง  ก่อนอื่นมาดูความหมายของคำว่า “นักษัตร” ราชบัณฑิตยสภาอธิบายนิยาม ว่าหมายถึงชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ เรียกว่า 12 นักษัตร โดยกำหนดให้สัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายแต่ละปี เริ่มจาก “ปีชวด” มีหนูเป็นเครื่องหมาย “ปีฉลู” มีวัวเป็นเครื่องหมาย

“ปีขาล” มีเสือเป็นเครื่องหมาย “ปีเถาะ” มีกระต่ายเป็นเครื่องหมาย “ปีมะโรง”  มีงูใหญ่เป็นเครื่องหมาย  “ปีมะเส็ง”  มีงูเล็กเป็นเครื่องหมาย “ปีมะเมีย” มีม้าเป็นเครื่องหมาย “ปีมะแม”  มีแพะเป็นเครื่องหมาย “ปีวอก” มีลิงเป็นเครื่องหมาย “ปีระกา” มีไก่เป็นเครื่องหมาย “ปีจอ” มีหมาเป็นเครื่องหมาย  “ปีกุน”  มีหมูเป็นเครื่องหมาย

อย่างไรก็ตาม การใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ 12 นักษัตรนั้น มีในกลุ่มประเทศเอเชียเท่านั้น และเป็นประเทศใกล้ชิดหรือมีความสัมพันธ์กับไทย อาทิ จีน ญวน ญี่ปุ่น เกาหลี กัมพูชา ลาว ทิเบต ไทใหญ่ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยการรับแนวคิดเรื่อง 12 นักษัตร ปรากฏหลักฐานในหลายแห่ง เริ่มตั้งแต่ตำนานการตั้งจุลศักราช กล่าวว่าเริ่มต้นใช้จุลศักราช 1 เมื่อเช้าวันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุนเอกศก ตรงกับพุทธศักราช 1182 เมื่อเห็นว่าเริ่มที่ปีกุน บ่งชี้ว่าปีนักษัตรมีมาก่อนปีจุลศักราช แต่จะเริ่มเมื่อใดนั้น ยังไม่สามารถชี้เฉพาะได้อย่างชัดเจน ส่วนศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวถึง “1214 สกปีมะโรง” ศิลปินแห่งชาติอย่าง “สมบัติ พลายน้อย” ตีความว่า เมื่อ พ.ศ. 1835 ไทยก็ได้ใช้ปีนักษัตรแล้ว หรืออาจมีใช้กันก่อนหน้านี้แล้วก็ได้เช่นกัน

หลักฐานน่าสนใจอีกแห่ง คือหนังสือพงศาวดารไทใหญ่ พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ตอนหนึ่งกล่าวถึง 12 นักษัตร ว่า “ในนามสัตว์ 12 นักษัตรข้างไทยสยามนั้น น่าจะเลียนนามสัตว์ประจำองค์สาขาปีมาจากเขมรอีกต่อ  จึงไม่ใช้นามปีตามภาษาไทยเหมือนไทยใหญ่ กลับไปใช้ตามภาษาเขมร  ฝ่ายไทยใหญ่เล่าเมื่อคำนวณกาลจักรมณฑลก็ไพล่ไปเลียนนามปีและนามองคสังหรณ์อย่างไทยลาว  หาใช้นามปีของตนเองไม่  และไทยลาวน่าจะถ่ายมาจากแบบจีน อันเป็นครูเดิมอีกต่อ แต่คำจะเลือนมาอย่างไรจึงหาตรงกันแท้ไม่ เป็นแต่มีเค้ารู้ได้ว่าเลียนจีน”

เมื่อสืบค้นถึงนักษัตรจีน นักวิชาการและนักเขียนจีนล้วนบอกตรงกัน “ตอบลำบาก”  โดย “ซงเฉียวจือ” ผู้เขียนหนังสือ “โหราศาสตร์จีน 12 นักษัตรประยุกต์” บรรยายว่าจุดเริ่มต้นการใช้ 12 นักษัตรนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะตอบ แต่คัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งกล่าวถึงเรื่อง 12 นักษัตร อย่างละเอียดและชัดเจน ปรากฏใน “คัมภีร์ลุ่นเหิง” ของ “หวางชง” สมัยตงฮั่น ในคัมภีร์นี้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง 12 นักษัตร โดยใช้หลักกำเนิดและข่มกันตามกฎเบญจธาตุ ความคิดนี้สอดคล้องกับข้อเสนอของ “โจวเซี่ยวเทียน” ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเสฉวน และคณะผู้เขียนหนังสือ  “เปิดตำนาน 12 นักษัตรจีน” ซึ่งระบุว่าจากหลักฐานและข้อมูลเท่าที่มี พอจะระบุได้ว่า คติ 12 นักษัตรเกิดขึ้นก่อนสมัยฮั่นตะวันออกแล้ว (ค.ศ. 25-220)

“เจ้าอี้” ผู้คงแก่เรียนในสมัยราชวงศ์ชิง เขียนหนังสือชื่อ “ไกหวีฉงซู” มีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่าด้วยการตรวจสอบกำเนิดแหล่งที่มาของ 12 นักษัตร แล้วสรุปว่า 12 นักษัตรเผยแพร่มากในสมัยตงฮั่น (ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก) ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงมากนัก “ฮูหานเสีย” ประมุขของชนเผ่าซ่งหนูเป็นผู้นำเข้ามาในจงหยวน (ตงง้วน)  สมัยซีฮั่น (ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก) เห็นได้ว่าแนวคิดของเจ้าอี้ และลู่เหิงสอดคล้องกัน กล่าวคือ มองว่า 12 นักษัตรมาจากชนเผ่าส่วนน้อยทางตอนเหนือของจีน อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์ลุ่นเหิงไม่ได้บอกว่าทำไมถึงได้เอาสัตว์เหล่านั้นมาใช้เป็นชื่อปี

การเรียกชื่อปีเป็น 12 นักษัตรยังมีอยู่ในจารึกภาษาโบราณของตุรกีด้วย ทำให้สันนิษฐานได้อีกว่าบางทีอาจมีกำเนิดมาจากตุรกี ซึ่งเป็น “ตาด” สาขาหนึ่ง จีนอาจได้มาจากตาด แต่ก็มีคำถามว่าในโลกมีสัตว์มากมาย ทำไมต้องเลือกสัตว์ 12 ชนิดนี้มาเป็นสัตว์ประจำแต่ละนักษัตร ในบรรดา 12 ชื่อ มีทั้งสัตว์ที่มีอยู่จริง และสัตว์ในจินตนาการอย่างมังกร คำถามนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยไว้ด้วยว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า การที่เอารูปสัตว์ใช้เป็นเครื่องหมายแทนสิ่งอื่น มีประโยชน์ให้จำสิ่งนั้นง่าย ถ้าหากชื่อปีใช้เขียนตัวอักษรและอ่านเรียกตามภาษาที่เขียน เมื่อพ้นเขตประเทศที่ใช้ตัวอักษรและภาษานั้นออกไปถึงนานาประเทศ ซึ่งต่างประเทศใช้ตัวอักษรและภาษาอื่น ชื่อปีที่บัญญัติก็ไม่มีใครเข้าใจ ไม่เป็นประโยชน์อันใด ถ้าเอารูปสัตว์ขึ้นตั้งเป็นเครื่องหมายแทนปี เช่น เอารูปหนูเป็นเครื่องหมายปีที่ 1 เอารูปวัวเป็นเครื่องหมายปีที่ 2 ประเทศอื่นๆ จะเรียกหนูเรียกวัวตามภาษาของตนว่ากระไรก็ตาม คงได้วิธีประดิทินสิบสองนักษัตรไปใช้ได้ตรงกันกับประเทศเดิมไม่ขัดข้อง…”

ขณะที่นักวิชาการอย่างโจวเซี่ยวเทียน ก็ยอมรับว่าคำอธิบายเพื่อตอบคำถามข้างต้นมีมาจากหลากหลายสำนัก แต่สำหรับเขาคิดว่า คำอธิบายที่สมเหตุสมผลคือ “เลือกตามช่วงเวลาการเคลื่อนไหว” โดยเลือกสัตว์ 12 ชนิด มาเป็นปีนักษัตร และจัดลำดับก่อนหลังโดยมีส่วนเกี่ยวกับ “ความเคลื่อนไหว” จากพฤติกรรมของสัตว์นั้นเป็นประการสำคัญ ในการอธิบายอาจต้องเอ่ยถึงการนับเวลาในสมัยโบราณ คนโบราณแบ่งเวลาในหนึ่งวันหนึ่งคืนเป็น 12 ชั่วยาม (เท่ากับ 24 ชั่วโมงของปฏิทินสุริยคติ) 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง

12 ชั่วยามนี้จะถูกจับคู่กับ  “ตี้จือ” (แผนภูมิสวรรค์ภาคปฐพี ใช้สำหรับนับวันและปีแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นคติสำคัญในด้านโหราศาสตร์จีน)

ช่วงแรกเรียกว่า ยามจื่อ หมายถึง 23 ถึง 1 นาฬิกา ถูกจับคู่กับหนู เนื่องจากเป็นเวลาที่หนูออกหากิน

ช่วง 2  เรียกว่า ยามโฉ่ว หมายถึง 1 ถึง 3 นาฬิกา ถูกจับคู่กับวัว เนื่องจากเป็นตอนที่วัวเคี้ยวเอื้อง

ช่วง 3 เรียกว่า ยามฉิน หมายถึง 3 ถึง 5 นาฬิกา ถูกจับคู่กับเสือ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เสือเพ่นพ่าน

ช่วง 4 เรียกว่า ยามเหม่า หมายถึง 5 ถึง 7 นาฬากา ถูกจับคู่กับกระต่าย เนื่องจากเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น บนท้องฟ้าเห็นพระจันทร์ ตามตำนานเชื่อกันว่ามีกระต่ายอยู่บนดวงจันทร์ จึงให้คู่กับกระต่าย

ช่วง 5 เรียกว่า ยามเฉิน หมายถึง 7 ถึง 9 นาฬิกา ถูกจับคู่กับมังกร เนื่องจากตามตำนานแล้ว มังกรจะร่ายรำให้เกิดฝน

การสันนิษฐานเช่นนี้อาจทำให้มองเป็นการจับแพะชนแกะอยู่บ้าง แต่แนวคิดนี้สอดคล้องกับความคิดเห็นของซงเฉียวจือ คำถามหนึ่งที่แพร่หลายมากที่สุดไม่พ้นเรื่อง “แมว” ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด แต่กลับไม่มีใน 12 นักษัตร ซงเฉียวจือ อธิบายเรื่องนี้ ว่าก่อนหน้าจักรพรรดิฮั่นหมิงตี้ ประเทศจีนมีแต่แมวป่า ส่วนแมวบ้านที่ปรากฏในสมัยนี้นำเข้าจากอินเดีย หลังสมัยจักรพรรดิฮั่นหมิงตี้ แต่ 12 นักษัตรมีครบแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น จึงไม่มีที่ว่างสำหรับแมว แต่จากตำนานพื้นบ้านกลับมีเรื่องเล่าว่า ที่ไม่มีแมวในปีนักษัตร เพราะแมวถูกหนูทรยศ

ว่ามาเสียยืดยาว ถึงเวลาอำลา “ปีกุน” เข้าสู่ “ปีชวด” ซึ่งมีหนูเป็นเครื่องหมายประจำปีนี้ได้แล้ว เริ่มเรื่องจากคำว่า “ชวด” ก่อนทำไมจึงเป็น “ชวด” ที่มีหนูเป็นเครื่องหมาย เปิดจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน “ชวด” มี 3 ความหมาย ได้แก่ 1.เป็นชื่อปีที่ 1 ของปีนักษัตร มีหนูเป็นเครื่องหมาย  2.หมายถึงผิดหวัง  ไม่ได้ดังหวัง  3.หมายถึง พ่อหรือแม่ของปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ก็ว่า พจนานุกรมฉบับเดียวกันนี้ยังอธิบายว่าคำว่า “นักษัตร” เป็นภาษาสันสกฤต มี 2 ความหมาย  ความหมายแรก หมายถึงดาวฤกษ์  ความหมายที่สองหมายถึงชื่อรอบเวลา กำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ เรียกว่า 12 นักษัตร โดยกำหนดให้สัตว์เป็นเครื่องหมายในปีนั้นๆ  คือ ชวด-หนู ฉลู-วัว ขาล-เสือ เถาะ-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้า มะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-หมา กุน-หมู  และยังมีเครื่องหมายในภาษาไทย ใช้กำกับคำ วลี หรือประโยคที่ต้องการเน้นเรียกว่าเครื่องหมาย อัญประกาศ  หรือ ฟันหนู

นอกจากนั้น ในพจนานุกรมยังได้อธิบายว่า “หนู” เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสกุลใ นวงศ์ Muridae มีฟันแทะ มีอยู่ทั่วไปตามบ้านเรือนและในถิ่นธรรมชาติ มีหลายชนิด เช่น หนูพุกใหญ่ หนูท้องขาว เมื่อใช้เป็นคำวิเศษณ์ “หนู”หมายถึงเล็ก ใช้เฉพาะพรรณไม้บางอย่างที่มีพันธุ์เล็กหรือของบางอย่างที่มีขนาดเล็ก เช่น กุหลาบหนู แตงหนู หรือใช้ “หนู” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 ผู้น้อยใช้พูดกับผู้ใหญ่ สรรพนามบุรุษที่ 2 ผู้ใหญ่ใช้เรียกผู้น้อย หรือคำสำหรับเรียกเด็ก มีความหมายไปในทางเอ็นดู เช่น หนูแดง หนูน้อย เป็นต้น

วนไปเวียนมาก็ยังไม่ได้คำตอบ ว่า ทำไม “ชวด” จึงหมายถึง “หนู” หรือทำไมปีหนูจึงได้เรียกเป็น “ปีชวด” ใครมีคำตอบที่ชัดเจนช่วยไขปริศนาด้วยจะเป็นพระคุณ