ห่านพะโล้ ไส้และลิ้นห่านพะโล้

ร้านอาหารแต้จิ๋ว – ช่วงนี้เป็นที่ทราบกันดีว่านักท่องเที่ยวจากต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยได้ สมควรที่พวกเราชาวไทยควรจะหันมาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง ด้วยการตระเวนกินเที่ยวร่วมด้วยช่วยกินนะจ๊ะ

คราวนี้เลยขอพาไปทบทวนชิมสุดยอด ร้านอาหารจีนแท้ๆ ที่ย่านเยาวราช ในบรรยากาศเรียบง่าย แต่ฝีมือการปรุงต่างจากร้านอาหารจีนทั่วไปในเมืองไทย เพราะรายนี้เป็น ร้านจีนแต้จิ๋วแท้ๆ ฝีมือกุ๊กจีนแต้จิ๋วจาก เมืองซัวเถา มาตั้งรกรากเปิดร้านที่เยาวราชได้ประมาณ 16 ปีแล้ว ตั้งชื่อตรงตัวเลยว่า ร้านอาหารแต้จิ๋ว

ร้านนี้เดิมเป็นร้านเล็กๆอยู่ริม ถ.เยาวราช ก่อนถึงสี่แยกเฉลิมบุรี ผมตามไปชิมตั้งแต่เปิดใหม่ๆ อยู่ในตึกแถวแค่ห้องเดียว ต่อมาเพิ่มห้องปรับอากาศอีกคูหาหนึ่ง มาบัดนี้ร้านอาหารแต้จิ๋ว ได้ย้ายร้านมาอยู่ที่ใหม่ ริมถนนพระราม 4 ช่วงต้นถนน อยู่ในย่านเยาวราชเช่นเดิม (เป็นช่วงวันเวย์) อยู่ในตึกแถวติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง อีกทั้งขยายเพิ่มเป็น 3 ชั้นแล้ว

ทางไปร้านมีให้เลือก 2 ทาง ทางแรกให้ตั้งต้นที่ วงเวียนโอเดียน ตรงซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ วิ่งมาตามทางวันเวย์ของถนนเยาวราชแค่นิดเดียวก็ถึง สี่แยกเฉลิมบุรี มีร้านสะดวกซื้อ7-11 เป็นจุดสังเกตอยู่หัวมุมแยกด้านขวา ให้เลี้ยวขวาที่แยกนี้เข้าถนนทรงสวัสดิ์ แล้วมองหาช่องทางเข้าทางขวามือเลยเพื่อเลี้ยวเข้า ลานจอดรถเฉลิมบุรี จุได้ราว 70 คัน ค่าจอด ชม.ละ 30 บาท

จากนั้นให้เดินออกมาริมถนน เลี้ยวขวามาที่ แยกหมอมี พอถึงแยกยังไม่ต้องเลี้ยวไหน ให้เดินข้ามถนนเล็กๆสองทีติดต่อกัน คือเดินข้ามถนนเจริญกรุงมาที่ป้อมตำรวจเกาะกลาง และเดินข้ามถนนพระราม 4 อีกครั้ง จากนั้นให้เลี้ยวขวาย้อนวันเวย์ของ ถนนพระราม 4 ไป 150 เมตร ก็จะเห็น ร้านอาหารแต้จิ๋ว ป้ายชื่อสีแดงอยู่ในตึกแถวสีเหลือง 4 ชั้นทางซ้ายมือ ตรง ปากซอยประดู่ (จอดรถในซอยนี้ได้เช่นกัน) อยู่ตรง สามแยกที่เลี้ยวเข้าถนนลำพูนไชย ไปเยาวราชพอดี

ส่วนอีกทางมาตาม ถนนพระราม 4 มุ่งหน้ามาที่ แยกหัวลำโพง แล้วตรงต่อไปอย่างเดียวข้าม คลองผดุงกรุงเกษม เข้าถนนพระราม 4 ที่กลายเป็น ถนนวันเวย์ ผ่านแยกไมตรีจิตต์ เพียงไม่เกิน 400 เมตร ก็จะเห็น ร้านอาหารแต้จิ๋วอยู่ทางขวามือ มาทางนี้ให้เลี้ยวขวาเข้าไปจอดในซอยประดู่ข้างร้าน

ร้านแต้จิ๋วนี้เป็นขวัญใจของบรรดาคนไทยเชื้อสายจีน เพราะเป็นร้านกับข้าวตามสั่งง่ายๆ สไตล์ซัวเถา รสชาติถูกใจเหมือนกินตามบ้านจำพวกผัดๆ นึ่งๆ ต้มๆ รสไม่จัดมาก แต่ก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ มีผักสดๆ และปลาดีๆ จากเมืองจีน อีกทั้งเมนูของทะเลชั้นเลิศของดีมีราคาให้เลือกเพียบ พนักงานส่วนใหญ่จะพูดไทยเป็นภาษาที่สอง แต่โชคดีมีเมนูอาหารพร้อมภาพประกอบ จิ้มเลือกเอาได้เลย หรือไปยืนดูของทะเลในอ่างหน้าร้านและมุมของสดในร้าน แล้วสั่งกับพนักงานเลย บางคนสามารถอธิบายคล่องเลยว่าเอาไปทำเมนูอะไรได้บ้าง

หอยแครงยำซีอิ๊ว
หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่
หอยกะพงผัดโหระพา เมนูที่หายไป

มาคราวนี้มีเจ้าโอเพื่อนสนิท ขาประจำร้านแต้จิ๋วมาด้วย เลยได้สั่งของอร่อยสุดสุด กุ้งทะเลลวก (400-800 บาท) เป็นกุ้งแชบ๊วยสดๆ เนื้อหวานๆ ลวกมาสุกกำลังดี กินหมดในพริบตา กับ หอยแครงยำซีอิ๊ว (200 บาท) หอยแครงลวกยำแบบจีนด้วยซีอิ๊วหอมๆ ไม่มีรสเปรี้ยวเหมือนยำไทย โรยเครื่องกระเทียมสด พริก และต้นหอมมาเต็มจาน ทั้ง 2 อย่างนี้ห้ามพลาดเลย และมีของกินเล่นอีกอย่างที่ควรสั่งมาร่วมกันคือ ฮ่อยจ๊อ (400 บาท)

ของอร่อยเมนูดั้งเดิมมีครบถ้วน ห่านพะโล้แบบแต้จิ๋ว (300-500-800 บาท) เนื้อห่านนุ่มรสชาติเข้าเนื้อ น้ำพะโล้รสชาติกลมกล่อมเหมือนกินร้านแต้จิ๋ว (หรือ ชิวเชา)ในฮ่องกง มี ไส้กับลิ้นพะโล้ หอมมันอีกด้วย ลิ้นห่านเปื่อยเข้าเนื้อรสเข้มข้น สั่งรวมกันในจานเดียวได้ จิ้มกับน้ำจิ้มน้ำส้มสายชูกับกระเทียมไม่ใส่พริก หรือจะจิ้มน้ำจิ้มรสจัดจ้านใส่พริกก็อร่อยทั้งนั้น

มาร้านนี้แล้วไม่ได้กินปลาเหมือนมาไม่ถึงร้านนะจ๊ะ ที่ห้ามพลาดคือ หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่ (500-800 บาท) หัวปลาเก๋าเนื้อเด้งดึ๋งหนึบอร่อยผัดกับเต้าซี่เค็มๆ หอมๆ ใส่ขึ้นฉ่ายเยอะๆ ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว (ราคาตามขนาด ตัวละ 800-1,400 บาท) เนื้อสดเป็นก้อนๆ นึ่งมาสุกกำลังดี

ลิ้นห่านพะโล้

เมนูปลามีอีกมากมายทั้งหัวปลาจีน ปลาเก๋า ปลาเก๋าแดง ปลาชิกคั่ก ปลากะพง ปลาจะละเม็ด ปลาเต๋าเต้ย ปลาไหลหูดำของจีน ปลาหิมะ นำไปทำได้ทั้งผัดขึ้นฉ่าย ทอด นึ่งบ๊วย

นอกจากปลาต่างๆ แล้ว ปูทะเล ที่นี่ก็ขึ้นชื่อมาก คัดมาแต่ตัวโตๆ ไซซ์ใหญ่บิ๊กเบิ้ม (กิโลละ 1,800 บาท ตัวละ 800-2,000 บาท) จะสั่งทำ ปูทะเลผัดพริกไทยดำ ผัดต้นหอม หรือ ผัดผงกะหรี่ ได้ทั้งนั้น ขอแนะนำเมนูที่หากินที่อื่นไม่ได้ ข้าวต้มปูทะเล ข้าวต้มเนื้อนิ่มๆ ใส่ปูทะเลตัวโตเนื้อหวานสด น้ำซุปหอมหวานใส่หอยเชลล์แห้งหรือกังป๋วย สั่งปู 2 ตัว ทำได้ 2 ชามเบ้อเริ่ม กินกันอิ่มหนำสำราญ 20 กว่าคน

เมนูผัดๆ ก็อร่อยล้ำเลิศแบบง่ายๆ เช่น ผัดผักน้ำ (200 บาท) (ซาเอียไฉ่) ใส่กระเทียมสดจากเมืองจีน จานนี้สุดยอดกรอบอร่อย อีกทั้ง ผัดผักคะน้าทีโป้ว (200 บาท) คะน้าฮ่องกงสีเขียวสดกรอบๆ ผัดกับทีโป้วหรือปลาตาเดียวแห้งจากเมืองจีน ที่น่าลิ้มลองอีกอย่างคือ กระเพาะปลาสดผัดผักกาดขาว (500 บาท) ใส่พริกและกระเทียม รสนุ่มนวลชวนกินอย่าบอกใคร น่าเสียดายที่ หอยกะพงผัดโหระพา (200 บาท) ตัวเล็กๆ นิ่มๆ มันๆ ไม่มี เพราะหาหอยกะพงไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ถ้าเจอให้รีบสั่งนะจ๊ะ เราเลยสั่ง กระเพาะปลาสดผัดโหระพา ( 500 บาท) แทน

ปิดท้ายด้วย ข้าวผัดผักกาดดอง (200-300-400 บาท) ใส่ผักกาดดองชิ้นเล็กๆ กับเครื่องต่างๆ ผัดได้หอมกลิ่นผัดในกระทะมากๆ

เป็นที่น่ายินดีว่าเดี๋ยวนี้คุณสุทินหรือคุณพ้ง มีลูกชายมาช่วยอยู่หน้าเตาอีกคนแล้ว ร้านนี้ขอเชียร์ 2 มือให้มาชิม อร่อยไม่เหมือนร้านจีนอื่นใดเลย ร้านอาหารแต้จิ๋วเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง-5 ทุ่มครึ่ง โทรสอบถามทางหรือจองโต๊ะได้ที่ 08-9059-4076 และ 0-2623-3755 นะจ๊ะ

ร้านอาหารแต้จิ๋ว

โดย คุณสุทิน (พ้ง) แซ่เล้า

ที่ตั้ง 69-71 ถ.พระราม 4 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100

โทร 08-9059-4076, 0-2623-3755

เปิดบริการ 11.30-23.30 น. ทุกวัน

หยุด ตรุษจีน 5 วัน

แนะนำ กุ้งทะเลลวก หอยแครงยำซีอิ๊ว ห่านพะโล้ ไส้กับลิ้นพะโล้ หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่ข้าวต้มปูทะเล ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลผัดพริกไทยดำ/ผัดต้นหอม ผัดผักน้ำ ผัดผักคะน้าทีโป้ว กระเพาะปลาสดผัดผักกาดขาว หอยกะพงผัดโหระพา (ถ้ามี) กระเพาะปลาสดผัดโหระพา ข้าวผัดผักกาดดอง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ปูทะเลผัดพริกไทยดำ
ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว
ปลาจะละเม็ดนึ่งซีอิ๊ว
คะน้าผัดปลาแห้งทีโป้ว
ข้าวผัดผักกาดดอง
กุ้งทะเลลวก

เมื่อเดือนก่อนปิ่นโตเถาเล็กพาไปทบทวนร้านสำราญโอชา ใกล้ตลาดสามชุกมาแล้ว คราวนี้ขอพามาทบทวนความอร่อยกันที่ร้านเล็กๆ ในตัวเมืองสุพรรณบุรี ขวัญใจคนสุพรรณฯบ้าง อย่างที่เคยบอกไว้ว่าส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะผ่านเลยไป ไม่ค่อยได้แวะเที่ยวเล่นชิมอาหารในตัวเมืองขุนแผนสักเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่นี่คือสุดยอดร้านอร่อยของสุพรรณบุรีทีเดียว ร้านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามไม่เหมือนใครว่า ขัวะ

คุณจิรา ศรีภรรยาของคุณขัวะเฉลยที่มาของชื่อนี้ว่า คุณสามีตอนเด็กๆ ร้องไห้ปากกว้างอยู่เป็นนิตย์ เลยได้ฉายาปากกว้างตามภาษาจีนว่า ฉุ่ยขัวะ คุณขัวะนั้นเป็นน้องชายของร้านสุพรรณโอชา ร้านดังในยุคก่อน จึงมีฝีมือในการทำอาหารมาก และได้แยกมาเปิดร้านเองตั้งแต่ 38 ปีก่อน

ร้านขัวะอยู่ในตึกแถว 1 คูหาใจกลางเมืองริมถนนนางพิม ห่างจากโรงแรมศรีอู่ทองแกรนด์ ไม่เกิน 200 เมตร ฝั่งเดียวกัน ถนนเส้นนี้ไม่จอแจจึงจอดรถริมถนนได้เลย

เฮียขัวะทำอาหารแบบวันแมนโชว์ได้อร่อยล้นเหลือ ขนาดที่กำลังนั่งเขียนบทความนี้ ยังกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ รู้สึกอยากไปกินอีก ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนโตเป็นหนุ่มมาช่วยที่ร้านยามว่างได้แล้ว

ได้กลับมาร้านขัวะครั้งนี้มีความสุขที่สุดเพราะมีเมนูอร่อยไม่เหมือนใครมากมาย เริ่มด้วยสลัดหมูน้ำใส (150-180 บาท) สไตล์ร้านจีน หมูสับชิ้นใหญ่ๆ ชุบแป้งทอดอร่อยเด็ด กินกับสลัดผักกาดหอม หัวหอม กะหล่ำม่วง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ และแครอต ราดน้ำสลัดใสๆ ปรุงด้วยน้ำมัน เกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชู เปรี้ยวนิดหวานหน่อยเค็มเล็กน้อย หอมสดชื่นถูกใจ

ซี่โครงหมูทอด (150-180 บาท) เมนูง่ายๆ แต่อร่อยขั้นเทพ ชุบแป้งทอดเคลือบผิวนอก ข้างนอกแห้งๆ ข้างในอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ แทะมันสุดสุด อีกจานห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด ยำแซ่บเนื้อสันในหรือยำเนื้อลวก (150-180 บาท) เนื้อสันในหมักจนนุ่ม สุกกำลังดี ปรุงรสแซ่บจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาวกับกระเทียม พริกเหลือง พริกขี้หนู ผักชีฝรั่ง แกล้มด้วยผักกาดหอม และมีสุดยอดเมนูเนื้ออีกอย่างที่เพิ่งได้ลองชิมคราวนี้ เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา (150-180 บาท) ตุ๋นเอง 4 ชั่วโมงจนเปื่อยเข้าเนื้อ มีทั้งเนื้อและเอ็นตุ๋น คอเนื้อได้ชิมแล้วต้องขึ้นสวรรค์ ซึ่งเนื้อตุ๋นนี้ ลูกค้าขาประจำยังชอบสั่งให้ทำเป็นต้มยำเนื้อตุ๋น (150-180 บาท) อีกด้วย

อีกจานที่ห้ามพลาดเช่นกันคือ เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เห็ดโคนของดีหายาก ราคาจึงแพงหน่อย (500 บาท) แต่อร่อยจนยกให้ 2 นิ้วโป้ง เห็ดโคนอวบๆ มีมันกุ้งจากหัวกุ้งออกมาผสมด้วย เลยหอมมันยกกำลังสอง ถ้ามาหน้าฝนให้สั่งต้มยำพุงไข่ปลาช่อน (150-180 บาท หม้อไฟ 250 บาท) รสชาติพื้นบ้านขนานแท้ นี่คือของดีที่ห้ามพลาด

4

จำพวกแกงเผ็ดๆ ต่างๆ น่าลิ้มลองมีอีกหลายอย่าง ทั้งแกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง (400 บาท) ไม่ต้องติดทะเลก็ได้กินอร่อย และเมนูใหม่คราวนี้ที่สมาชิกลงเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าอร่อยไม่เหมือนใครก็คือ แกงป่ากุ้งก้ามกราม (150-180 บาท) สูตรนี้ใส่หน่อไม้ดองด้วย ซึ่งจะดองไม่เปรี้ยวมาก เข้ากันดีอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนเครื่องแกงนั้นหอมผิวมะกรูดและกระชาย ส่วนผัดผักแค่ผัดปวยเล้ง (80-170 บาท) ง่ายๆ ก็หอมอร่อยอีกเช่นกัน

ยังอิ่มไม่ได้ ให้ปิดท้ายด้วยอาหารจานเส้นเหมือนภัตตาคารจีน ผัดมี่สั้ว (80-150 บาท) ซื้อจากเจ้าประจำในตลาด ไม่มียี่ห้อ นุ่มเหนียวหอมไม่มีกลิ่นใดๆ อันไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย ผัดใส่กะหล่ำปลี แครอต และเห็ดหอม แบบหมี่เจ ปรุงด้วยซอสปรุงรสแค่นี้ก็กลายเป็นเมนูอันโอชะ อิ่มแค่ไหนก็ต้องลิ้มลอง
ร้านขัวะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม นี่คือหนึ่งในสุดยอดร้านอาหารของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นร้านกับข้าวไทย-จีน-พื้นบ้านเมนูไม่ซ้ำใคร อร่อยทุกเมนูจริงๆ ผ่านไปสุพรรณบุรีอย่าลืมแวะร้านขัวะด้วยนะจ๊ะ

ขัวะ
โดย คุณวัฒนวงษ์(ขัวะ)-คุณจิรา สมอดิศร
ที่ตั้ง 51/3 ถ.นางพิม ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000
โทร 0-3552-1045, 08-8224-5578
เปิดบริการ 10.00-22.00 น. ทุกวัน
หยุด ตรุษจีน (วันไหว้) 1 วัน สารทจีน 1 วัน
แนะนำ สลัดหมูน้ำใส ซี่โครงหมูทอด ยำแซ่บเนื้อสันใน แกงป่ากุ้งก้ามกราม เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา กุ้งทอดเกลือ ต้มยำพุงไข่ปลาช่อน แกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง ผัดปวยเล้ง ผัดมี่สั้ว
ช่วงคนแน่น ไม่แน่นอน
Facebook ร้านอาหารขัวะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
สำรับข้าวแช่

กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว พอถึงหน้าร้อนทีไร ร้านอาหาร โรงแรม หรือแม้กระทั่งบ้านของตระกูลเก่าแก่ต่างๆ จะทำข้าวแช่ออกมาประชันกันมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่กระแสตอบรับการกินข้าวแช่นั้นสูงมาก เป็นที่น่าชื่นใจคนรุ่นใหม่ช่วยกันสืบสานตำนานข้าวแช่ให้คงอยู่คู่เมืองไทยตลอดไป

ปีนี้ขอพามาที่ห้องอาหารมิสสยาม (Miss Siam) โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ ปากซอยเกษมสันต์ 1 ถนนพญาไท อยู่ตรง เชิงสะพานหัวช้าง ฝั่งด้านที่จะมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งซอยเกษมสันต์ 1 นี้ เป็นซอยวันเวย์รถเดินทางเดียวไปสู่ถนนพระราม 1 ดังนั้นการมาที่โรงแรมนี้ต้องเข้าจากทางถนนพญาไทเท่านั้น

ห้องมิสสยามนี้ยังอยู่ภายใต้การดูแลของเชฟบอมเบย์ ไพโรจน์ ประไพรักษ์ เช่นเดิม และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยมาเยือนห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเป็นเพราะผมติดใจในรสมือของเชฟบอมเบย์ ที่ทำอาหารรสจัดเหลือหลายเหมือนกินที่บ้าน ใส่เครื่องไม่ยั้งเหมือนร้านอาหารไทยในต่างจังหวัด

ในช่วงฤดูร้อนนี้โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ ได้จัดเทศกาลบุฟเฟต์ ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง มื้อกลางวันกินได้ไม่อั้นอีกครั้งหนึ่ง ในสนนราคาหัวละ 675 บาทสุทธิ (เด็กอายุ 5-11 ปี คิด 338 บาทสุทธิ) ตั้งแต่ วันที่ 15 มีนาคม ไปจนถึง 15 พฤษภาคม 2563 เวลา 11.30-14.30 น. ซึ่งไม่ได้มีเพียงข้าวแช่เท่านั้น ยังมีอาหารไทยอื่นๆ ของว่าง ขนมไทยอลังการอีกมากมาย

เชฟบอมเบย์ (เรียกสั้นๆ ได้ว่าเชฟบอม) นั้นเคยไปร่ำเรียนที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) และทำงานต่ออีกทั้งฝึกปรือวิชาทำอาหารไทยกับเชฟวิชิต มุกุระ อีก 4 ปี นอกจากนี้เชฟบอมยังเคยเป็นเชฟสอนทำอาหารไทยที่ เลอ กอร์ดองเบลอ ดุสิต อีกด้วย

ข้าวแช่ตำรับนี้เชฟบอมได้แรงบันดาลใจจากสมัยที่อยู่โรงแรมโอเรียนเต็ล ประกอบกับนำอาหารของอาม่าตัวเองมาร่วมด้วย (บ้านเดิมอยู่แถววัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร) ซึ่งอาม่ามีแผงปลาสดที่ตลาดสมเด็จเจ้าพระยา คลองสานด้วย เชฟบอมจึงคุ้นเคยกับการคัดวัตถุดิบต่างๆ มาตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งเมื่อผู้ใหญ่พาไปชิมข้าวแช่ตำรับเก่าแก่ต่างๆ ก็จะนำมาปรับใช้ด้วย

ห้องมิสสยามที่จัดบุฟเฟต์นั้นจุคนได้ราว 50 คน และเสริมที่นั่งตรงลานด้านนอกข้างสระว่ายน้ำได้อีก 20 คน เมื่อมานั่งที่โต๊ะแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องลุกไปตัก เพราะจะมีข้าวแช่พร้อมกับข้าวแช่ต่างๆ เสิร์ฟมาเป็นสำรับบนตั่งไม้ให้ก่อนคนละ 1 ชุด ซึ่งตัวข้าวแช่จะใส่น้ำลอยดอกมะลิ ชมนาด กุหลาบมอญ และกระดังงาหอมกรุ่น และมีกลิ่นหอมจากการอบควันเทียนด้วย ดอกไม้เหล่านี้ปลูกโดยเจ้าของโรงแรมและจากสวนของเพื่อนจึงมั่นใจได้ว่าไร้ยาฆ่าแมลง

ส่วนเครื่องข้าวแช่หรือกับข้าวแช่นั้นมีถึง 8 อย่างรวมถึงของกินเล่นอีก 1 อย่าง ประกอบด้วย ลูกกะปิทอดผัดกับหัวกะทิ ไม่ใช้น้ำมันเลย หอมกลิ่นปลาดุกย่างกับกะปิมาก เชฟบอมสั่งหมักกะปิ 1 ปีล่วงหน้า ใส่มะพร้าวที่ขูดเอง กระเทียมไทย คัดแต่กระชายไม่มีกระเปาะ ไม่มีรสขื่น และปั้นด้วยมือ ถ้าคลึงเจอก้างก็จะเด็ดออก นอกจากนี้ก็มีไชโป๊วผัดหวานหนึบมากและไม่เป็นเนื้อทรายๆ ทำจากไชโป๊วเค็ม พริกหยวกยัดไส้หมูสับ นุ่มๆไม่กระด้าง ไม่หวานจัด ซึ่งเชฟบอมใช้เคล็ดลับการล้างแบบคนจีน เนื้อหมูต้องล้างด้วยเกลือก่อนจะได้ไม่คาว ส่วนผสมใช้วิธีชั่งตวงวัดเป๊ะๆ ส่วนไข่แหจะนำมาพันทีหลัง ไม่ลงทอดด้วย จะได้ไม่อมน้ำมัน

หอมแดงยัดไส้ปลาแห้ง ทำจากปลาสลิดที่ดมความเค็มก่อนแล้วนำมาต้มน้ำเกลือที่เค็มพอกันเพื่อดึงเอาความเค็มออก ส่วนแป้งสำหรับชุบทอดนั้นหมักไว้ข้ามคืน แป้งกรอบทนอีกทั้งมีความหวานอยู่ที่แป้งด้วย หมูหวานฝอย รับจากตลาดพลูที่ทำกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว และยังมี พริกแห้งยัดไส้กุ้งผสมแห้ว เป็นเครื่องข้าวแช่ที่หากินยาก เชฟบอมเคยไปชิมข้าวแช่ตระกูลเก่าแก่แห่งหนึ่งแล้วจำมาทำเองบ้าง และที่ไม่เหมือนใครคือมี ไข่แดงเค็มทอด หนึบหอมมันแต่เนื้อไม่ร่วน อีกทั้ง หมูปั้นปลาอินทรี (เค็ม) สูตรของอาม่า ที่เชฟบอมบอกว่าต้องใช้มันหมูสาวเท่านั้นจึงจะหอมและไม่เหม็นคาว ส่วนปลาอินทรีต้องไม่มีกลิ่นตุเพราะจะไม่ทอดไม่ปิ้ง สับผสมกับหมูแล้วทอดเลย อย่างสุดท้ายคือของกินเล่น แตงโมลำไยปลาแห้ง ซึ่งแตงโมนั้นจะคว้านเป็นลูกกลมๆสอดไส้อยู่ในลำไยอีกที ให้กินคู่กัน ในชุดยังมีผักแกะสลักอีกด้วย เช่น กระชายแกะเป็นดอกจำปา ดอกแคนตาลูป ใบมะม่วง ใบแตงกวา

ลูกกะปิทอด

ถ้าติดใจกับข้าวแช่อย่างไหน ก็สามารถไปตักมาเพิ่มเองได้ไม่อั้น อีกทั้งยังมีมุมอาหารไทย ของว่าง กับขนมหวานบริการอีกมากมาย ซึ่งอาหารคาวจะปรุงสดเดี๋ยวนั้น มีตั้งแต่ข้าวผัดปลาทูหอมและเครื่องเคียง แกงจืดสามกษัตริย์ หมี่กรอบ ข้าวเม่าหน้าหมี่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงเผ็ดเนื้อพริกขี้หนู แกงเขียวหวานปลากราย ยำผลไม้กุ้งสด ลาบเป็ด พล่ากุ้งตะไคร้สด แสร้งว่าปลาฟู ขนมจีนซาวน้ำ และทีเด็ดอีกอย่างคือ ผัดไทยกุ้งสด ที่ใส่กุ้งแม่น้ำย่างกับหัวกะทิ สุดยอดมากๆ

ส่วนอาหารคาวปรุงสดอีกชุดที่จะสลับวันกันออกมาก็คือ ข้าวคลุกกะปิและแกงจืดเป็ดมะนาวดอง หมี่กรอบ ข้าวเม่าหน้าหมี่ แกงเผ็ดหอยเชลล์ใบชะอม แกงเขียวหวานเนื้อ ไก่ กุ้ง ข้าวมันส้มตำ ไก่ย่าง หมี่กะทิ และยำข้าวทอดขมิ้น

มุมของว่างต่างๆ เช่น กุ้งห่มสไบ ข้าวตังหน้าตั้ง ถุงทองเม็ดบัว พริกขิงกรอบ มะม่วงกะปิหวาน ปากหม้อไส้ปลาและไก่ ถั่วแปบไส้ถั่ว ไส้กุ้ง ที่น่ารักมากคือมีมุมน้ำพริกใส่ในครกทั้ง น้ำพริกปูสด น้ำพริกกะปิ น้ำพริกมะขาม น้ำพริกเผาผัดกุ้งย่างกะทิ และของแนมน้ำพริกต่างๆ รวมถึงมุมขนมหวาน มีขนมไทยหลากหลายและกล้วยไข่เชื่อม (เด็ดมาก ต้องลองเช่นกัน) ส่วนในชุดที่เรียกให้มาเสิร์ฟตอนจบได้เลย ไม่ต้องไปตักเอง คือผลไม้สดตามฤดูกาล และ ส้มฉุน อีก 1 ถ้วย ซึ่งในบุฟเฟต์นั้นจะรวม น้ำสมุนไพร และ ชา กาแฟไว้เรียบร้อย

สำหรับใครที่อยากสั่งข้าวแช่กลับบ้านก็สามารถสั่งได้ในราคา 450 บาทสุทธิ ต่อชุด โดยควรจองล่วงหน้า 1 วัน และควรโทรจองที่นั่งล่วงหน้าก่อนที่เบอร์ 0-2217-0777 หรือที่ไลน์ @HUACHANGHOTEL มิฉะนั้นอาจจะเต็มได้ ถ้าไม่ดีจริงคงไม่ทำข้าวแช่ฤดูร้อนมาตลอด 8 ปีเป็นแน่ อย่าลืมว่าข้าวแช่ตำรับหัวช้างปีนี้จะมีถึงแค่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เท่านั้นนะจ๊ะ

บุฟเฟต์ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง

ห้องอาหารมิสสยาม (Miss Siam)

โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ

ที่ตั้ง 400 ซ.เกษมสันต์ 1 เชิงสะพานหัวช้าง ถ.พญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2217-0777

เปิดบริการ 11.30 – 14.30 น.ทุกวัน ตั้งแต่ 15 มีนาคม – 15 พฤษภาคม 2563

สนนราคา คนละ 675 บาทสุทธิ (เด็กอายุ 5-11 ปี คิด 338 บาทสุทธิ)

แนะนำ ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง

Facebook Hua Chang Heritage Hotel, Bangkok

Line @HUACHANGHOTEL

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
หอมแดงยัดไส้ปลาแห้ง
ไข่แดงเค็มทอด
แตงโมลำไยปลาแห้ง
หมูปั้นปลาอินทรี
ผลไม้และส้มฉุน
บุฟเฟต์ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง
แกงพริกกระดูกหมูกลมกล่อมหรอยแรง

คนไทยช่วยคนไทยได้ด้วยการตระเวนกินเที่ยวทั่วประเทศ ช่วงนี้แน่นอนว่าสายการบินต่างๆ ตลอดจนโรงแรมที่พักต่างทำโปรโมชั่นกันสุดใจ ปิ่นโตเถาเล็กเลยขอเชิญชวนแฟนๆ มาเที่ยวกระบี่กันเถอะ

กระบี่แวดล้อมด้วยน้ำตก ภูเขา หาดทราย ท้องทะเลงดงาม อีกทั้งอาหารการกินก็มีให้เลือกหลากหลาย ดังเช่นในตัวเมืองกระบี่นั้นมีร้านอาหารที่รับรองว่าไม่มีใครเหมือน เพราะเจ้าของร้านมีคาแร็กเตอร์ลักษณะนิสัยไปในทางศิลปินเดี่ยวออกแนวติสต์ หน้าตาร้านดูธรรมดาเหมือนร้านข้าวต้มขายกับข้าว แต่ทำอาหารอร่อยอย่าบอกใคร คนกระบี่ติดกันงอมแงม ร้านนี้มีชื่อว่า ครัวน้องเจน

ร้านครัวน้องเจนอยู่ ริมถนนมหาราช ถนนสายหลักของเมืองกระบี่ ข้างๆ มูลนิธิประชาสันติสุข ตัวร้านเป็นห้องแถวชั้นเดียวแนวยาวขนานไปกับถนน แต่งร้านง่ายๆ ธรรมดาๆ มีทั้งห้องปรับอากาศและบริเวณด้านนอก ตั้งโต๊ะริมทางเท้าอีกด้วย เปิดบริการเฉพาะมื้อค่ำตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม

พระเอกชูโรงประจำร้านคือ โกวัช หรือ คุณธวัช เรือนแก้ว ลูกชายของ โกวี เคยช่วยพ่อทำร้านข้าวต้มตรงแถวธนาคารออมสินเก่าในจังหวัดนครศรีธรรมราชมาก่อน โกวัชย้ายมาเปิดร้านครัวน้องเจนที่กระบี่ได้ 13 ปีแล้ว

โกวัชมีฉายาที่คนกระบี่ตั้งให้ว่า โกว้าก เพราะว่าเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัด เอกลักษณ์ประจำตัวคือต้องโชว์ลีลาว้ากศรีภรรยาและลูกน้องในระหว่างการทำกับข้าว บางครั้งก็พูดเสียงดังกับลูกค้าที่คุ้นเคยอีกต่างหาก วันไหนไม่ได้ว้ากเสียงดังก้องร้าน อาหารคงไม่อร่อยเป็นแน่

โกว้ากเป็นเดี่ยวมือหนึ่ง ปรุงอาหารอยู่คนเดียว และจะทยอยทำทีละโต๊ะ ถ้าคนเต็มร้านอาจจะต้องรออาหารนานนับชั่วโมง และถ้าสั่งไปแล้วอยากสั่งเพิ่ม โกว้ากอาจจะว้ากเราได้ว่าสั่งอาหารเต็มโต๊ะพอแล้ว ให้มาสั่งใหม่วันหลัง หรือถ้าจะสั่งกลับบ้านก็ไม่ทำให้ ต้องกินที่ร้าน มีแกงพริกกระดูกหมูเท่านั้นที่ทำไว้เป็นหม้อ ซึ่งถ้าจะสั่งกลับก็ต้องดูทิศทางลมก่อนว่ายอมขายให้หรือไม่ และมาร้านนี้ห้ามเร่งเป็นอันขาด

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ลูกค้าขาประจำก็ไม่มีใครถือสา บอกว่าสนุกดีชินแล้ว ถ้าไม่ว้ากก็ไม่มีสีสัน อีกทั้งถ้าในโต๊ะมีเด็กเล็กมาด้วยโกว้ากจะใจดีเป็นพิเศษ แม้กระทั่งไข่เจียวซึ่งเป็นเมนูต้องห้าม (เพราะโกว้ากบอกว่ากินที่บ้านก็ได้) ก็ยินดีเจียวให้เด็กๆ กิน ร้านมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ จึงขอเชียร์ให้มาลองชิมให้จงได้เพื่อประสบการณ์สักครั้งหนึ่งในชีวิต

ของอร่อยที่ต้องสั่งขาดไม่ได้คือ แกงคั่วพริกกระดูกหมู (100-120 บาท) ที่ทำเป็นหม้อหรือกระทะใหญ่ไว้แล้ว เป็นสูตรของภรรยาโกว้าก เคี่ยวนาน 1 ชั่วโมงกว่าๆ จนรสชาติจัดจ้านหรอยแรง แต่กลมกล่อม ไม่มีรสไหนโดดเกินไป กระดูกหมูอ่อนเคี้ยวได้กร้วมๆ นอกจากนี้ยังมี หมูกรอบ (ไม่เกิน 150 บาท) ทอดมาร้อนๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็กินอร่อยเคี้ยวหนังไม่ติดฟัน โดยโกว้ากต้มหมูสามชั้นทั้งแผ่น ใช้ตะปูจิ้มหนังหมูแล้วนำไปเผา และหมูกรอบนี้เอาไปทำ หมูคั่วเกลือ (ไม่เกิน 150 บาท) ได้ด้วย กรอบนอกนุ่มใน รสเค็มกำลังดี หอมมากๆ

แกงอีกอย่างที่ต้องสั่งคือ แกงส้มปลากะพง (260-300 บาท) รสเข้มข้น ใส่ได้ทั้งยอดมะพร้าวสดกรอบ และออดิบ ซึ่งช่วงต้นปีนี้มีมะรุมก็เลยให้ใส่ด้วย แกล้มด้วย หมูสับปลาเค็ม (ชิ้นละ 40 บาท) ปั้นเป็นก้อนๆ ทอด เนื้อหมูสับนุ่มหอม ปลาอินทรีไม่เค็มมากจนเกินไป บีบมะนาวใส่หอมใหญ่และพริกขี้หนูเข้ากันดี เมนูนี้ต้องโทรสั่งล่วงหน้าก่อนจะมาที่ร้านถึงจะได้กิน หรือจะแก้เผ็ดด้วย ไข่ตุ๋น (80 บาท) เนื้อเนียนที่สุด หอมหวานด้วยน้ำซุปกระดูกหมู ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชอบสั่งกันมาก

หมูสับปลาเค็ม
แกงคั่วพริกกระดูกหมู ทำทีละหม้อใหญ่
แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน

ของซดๆ น้ำๆ ต้องลอง ต้มจิ๊กโก๋ (ไม่เกิน 320 บาท) เมนูดังประจำร้านไม่ซ้ำใคร คล้ายกับต้มยำแต่ไม่ใส่ข่า ปรุงด้วยพริกสดและพริกแห้งทอด มีรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ จากผักกาดดอง ใส่ทั้งเนื้อปลากะพงและกุ้งทะเลสดๆ และเครื่องในปลา (ซึ่งโกว้ากเรียกว่าสัตว์ประหลาด)

ของดีร้านนี้ยังมีอีกมาก ทั้ง กุ้งผัดสะตอใส่กะปิ (160-250 บาท) กรอบอร่อยทั้งสะตอและกุ้งทะเล ผัดเห็ดปลวก หรือ เห็ดโคนน้ำมันหอย ถ้าช่วงไหนมีให้สั่งด้วย ฮ่อยจ๊อ (ลูกละ 30 บาท) ทอดอัดแน่นไปด้วยทั้งเนื้อปูและเนื้อกุ้ง อีกทั้ง ปูม้าผัดผงกะหรี่ สไตล์ไทยปนจีน และช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่กระบี่จะเป็นหน้าไข่มดแดง (ส่วนเดือนเมษายนได้มาจากพัทลุง) ต้องสั่ง ไข่มดแดงคั่วเกลือ (180 บาท) ใส่กระเทียมสดกับกระเทียมเจียว เวลากินให้บีบมะนาวเล็กน้อยอร่อยเหาะจริงๆ หรือจะลองชิม แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน (180 บาท) รสนุ่มนวลชวนกิน ส่วนผัดผักแน่นอนว่ามาภาคใต้ต้องสั่ง ใบเหลียงผัดไข่ (ไม่เกิน 120 บาท) (หรือเรียกว่าใบเหมียง) ใบมันๆ

โกว้ากบอกว่า ยังมีของดีที่ขาประจำชอบมาก คือ ราดหน้าทะเล (350 บาท แล้วแต่ขนาด) อิ่มแค่ไหนก็ต้องชิม ใส่เครื่องมาเต็มทั้งปลากะพง หมึก กุ้ง ลูกชิ้นปลา ตับหมูและเนื้อหมู น้ำราดหน้ารสชาตินุ่มนวลหอมมาก ปิดท้ายด้วย แตงโม ผลไม้ล้างปากแจกฟรี มากินกี่ครั้งก็หวานฉ่ำตลอด

ขอบอกว่าสนนราคาอาหารของที่นี่จะกะตามจำนวนคนในโต๊ะ จึงไม่สามารถบอกแน่นอนได้ ที่แจ้งไปจึงเป็นราคาคร่าวๆ แต่รับรองว่าสบายกระเป๋าสมเหตุสมผล

มากระบี่แล้วอยากกินให้ได้อารมณ์และอร่อยไม่เหมือนใคร ต้องมาร้านครัวน้องเจนของโกว้ากให้จงได้ อย่าลืมว่าร้านเปิดเฉพาะมื้อค่ำตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม หยุดเดือนละ 2 วัน มักจะเป็นช่วงเสาร์-อาทิตย์ปลายเดือน โทร 08-1891-7037 ว้ากเสียงดังอย่างนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้ว

ข้อมูลร้าน

ครัวน้องเจน

โดย คุณธวัช เรือนแก้ว

(โกวัช มีฉายาว่า โกว้าก)

ที่ตั้ง 307/16 ถ.มหาราช ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่ 81000

โทร 08-1891-7037

 

เปิดบริการ 18.00 – 22. 00 น. ทุกวัน

หยุด เดือนละ 2 วัน โดยมาก คือ เสาร์-อาทิตย์ ปลายเดือน

แนะนำ แกงคั่วพริกกระดูกหมู หมูกรอบ หมูคั่วเกลือ แกงส้มปลากะพง หมูสับปลาเค็ม ต้มจิ๊กโก๋ กุ้งผัดสะตอใส่กะปิ ผัดเห็ดปลวกหรือเห็ดโคนน้ำมันหอย ฮ่อยจ๊อ ไข่มดแดงคั่วเกลือ แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน ใบเหมียงผัดไข่ ราดหน้าทะเล

Facebook ครัวน้องเจน กระบี่

ช่วงคนแน่น วันเสาร์-อาทิตย์

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
โกธวัชหรือโกว้าก
แกงส้มปลากะพง
ไข่มดแดงคั่วเกลือ
ต้มจิ๊กโก๋
หอยเป๋าฮื้อนึ่งสาเก

มีร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าหนึ่งที่ถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ของครอบครัวเรามานาน ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำทบทวนอีกครั้งหนึ่ง รายนี้ถือเป็นร้านแรกในเมืองไทย เปิดมานานกว่า 80 ปีแล้ว (เริ่ม พ.ศ.2482) มีชื่อว่าฮานาย่า (Hanaya)

ที่นี่มีจุดเด่นอยู่ที่เมนูญี่ปุ่นหลากหลาย ราคาดีสมเหตุสมผล แม้กระทั่งของสดจากญี่ปุ่น (มาอาทิตย์ละ 2 วัน ทุกวันอังคารและศุกร์) ก็มีราคาไม่แพงเกินไป กลายเป็นขวัญใจชาวไทย นิยมมากันทั้งครอบครัวใหญ่ จึงมักจะแน่นอย่าบอกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น จึงควรโทรมาจองก่อนล่วงหน้าดีที่สุด

ฮานาย่าตั้งอยู่ที่เดิมไม่เคยย้ายไปไหนตรงบริเวณ หัวถนนสี่พระยา ควรไปตั้งต้นที่หัวถนนสีลมที่เป็นสามแยก (ตรงโรงพยาบาลเลิดสิน) เลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญกรุง มาตามเส้นทางวันเวย์ ผ่านทางเข้าโรงแรมโอเรียนเต็ล ผ่านสามแยกที่ตัดกับถนนสุรวงศ์ ผ่าน CAT (กสท) ด้านซ้ายมือ จากนั้นให้เลี้ยวขวาที่สี่แยกไฟแดงถัดไปเพื่อเข้าถนนสี่พระยา เพียงแค่ 100 เมตร ให้ชิดขวาทันที จะเห็นป้ายทางเข้าฮานาย่าอันเบ้อเริ่ม เลี้ยวเข้าไปในทางแคบๆ นั่นแหละก็จะเห็นร้านอยู่ด้านในทางซ้าย มีที่จอดรถด้านหลังเป็นลานโล่งกับโรงจอดรถสูงๆ ได้ประมาณ 40 กว่าคัน ซึ่งด้านหลังนี้ยังออกไปซอยเจริญกรุง 39 โดยเข้าจากทางนี้ได้ด้วย

ด้านในร้านตกแต่งเนี้ยบเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่นแท้ จุคนทั้งสองชั้นได้ถึง 230 คน รวมห้องส่วนตัวเล็กใหญ่ถึง 8 ห้อง สำหรับใครที่ต้องการเจาะลึกถึงของกินญี่ปุ่นเป็นพิเศษ ขอเชิญนั่งหน้าเคาน์เตอร์ซูชิ (ได้ประมาณ 10 คน)

ความพิเศษของฮานาย่าอีกอย่างคือนอกจากจะมีเมนูทั่วไปหลากหลาย (เชิญเปิดเมนูเลือกจิ้มได้เลย) แล้ว ยังมีดีที่วัตถุดิบของสดพิเศษนอกเมนูอีกมาก ทั้งปลาปูกุ้งหอย ทั้งของกินเล่นกินจริง นี่คือจุดใหญ่ใจความที่อยากเชียร์ให้มาลิ้มลอง โดยจะขอเน้นบรรยายเมนูเหล่านี้เพื่อประโยชน์แก่การตามไปชิมได้ถูก

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับหนุ่มใหญ่หน้าใสใส่แว่นตาประจำซูชิบาร์ คือเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 คุณโยชิโอ้ หรือมีชื่อไทยว่า คุณยศกร วาตานูกิ ครอบครัวเราตั้งสมญานามให้ว่า พี่หล่อ เพราะลูกสาวคนโตของผมตอนเล็กๆอายุ 3 ขวบ เป็นคนตั้งชื่อให้ นอกจากนี้คุณพ่อของโยชิโอ้ คุณทากาชิ เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 จะประจำอยู่ในครัวอีกด้วย

พี่หล่อเล่าให้ฟังว่า คุณตาคุณยายของเขามาจากเมืองคาโกะชิม่า เปิดร้านมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านปัจจุบัน จนกระทั่ง พ.ศ.2509 ได้ย้ายข้ามฝั่งมาเปิดร้านใหม่ในปัจจุบันจนทุกวันนี้ (ดูรปร้านสมัยก่อนที่ด้านหลังเมนูได้ Miss Hanaya ในรูปหมายความถึงพนักงานร้าน) ตอนนี้ที่ซูชิบาร์มีผู้ดูแลอยู่ถึง 6 คน (แต่ก่อนมีเชฟอาวุโสชื่อ มิจัง คุ้นเคยกับคุณชายถนัดศรีมาก มาจากห้างไดมารู ห้างญี่ปุ่นเจ้าแรกในไทย แต่จากเราไป 3 ปีแล้ว)

shirako สเปิร์มปลาคอด
ซูชิหน้าปลากินเมได(Kinmedai)
ซูชิหน้าปลามาได (Madai)

สำหรับผู้ที่อยากเจาะลึกและมีสตุ้งสตางค์พร้อม ขอแนะนำให้สั่งแบบ โอมากาเสะ ซึ่งมีความหมายว่า มีอะไรดีๆ ก็ทำทยอยมาให้ชิมเลย หรืออยากสั่งแค่บางอย่างเองก็ย่อมได้

เริ่มกันด้วยของกินเล่นง่ายๆ อย่างเช่น รากบัวทอด (Renkon Crisp) (100 บาท+ ค่าบริการ 10%) กรอบอร่อย กับ หนังปลาแซลมอนทอดกรอบ (60 บาท+) ลูกชิ้นปลาหรือเนื้อปลาสับห่อใบโอบะย่าง (70 บาท+) และที่พิเศษกว่าใครคือ ผัก Ice Plant (300 บาท+) หรือ Siona ที่คนไทยตั้งชื่อว่า ผักเกล็ดหิมะ เพราะเหมือนมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่มีรสชาติเค็มๆ ในตัวกรอบอร่อย ผักนี้มีต้นกำเนิดในแอฟริกาใต้ และมีคนญี่ปุ่นนำไปปลูก นิยมกินแต่ยอด

ใบอ่อน ซึ่งที่ฮานาย่าจะขูดชีสเป็นแผ่นยาวๆ ให้กินคู่กันด้วย

มีของกินเล่นขึ้นชื่อแห่งจังหวัดอาคิตะ หัวไชเท้าดองรมควัน (Iburi Gakko)(100 บาท+) หั่นมาเป็นชิ้นๆ เคียงข้างด้วยหัวไชเท้าดองคลุกครีมชีสหอมมัน ถ้าชอบมะเขือเทศ ให้สั่ง Cindy Sweet หรือมะเขือเทศหวาน (100 บาท+) กรอบอร่อย ซึ่งพันธุ์นี้นำเข้ามาปลูกในไทยแล้ว

คุณโยชิโอ้

ต่อด้วยของทะเลต่างๆ ที่เป็นเมนูเล็กๆ มีสุดยอดไข่ตุ๋นหน้าปูซูไว (300 บาท+) เป็นของพิเศษนอกเมนู ใส่ปลามาไดและปลาหมึกกับส้มยูซุหอมๆ ด้วย อีกทั้ง ของดี 3 อย่าง ในถ้วยเดียวกันมีทั้งอูนิ (Uni) ไข่หอยเม่นจากฮอกไกโด ไข่ปลาแซลมอน และ ชิโระเอบิ (Shiroebi) กุ้งขาวหวาน (700 บาท+) ใช้ช้อนเล็กๆ ตักกินสะใจ อีกทั้ง อังกิโมะ (Ankimo)(100 บาท+) ตับปลา Monkfish ต้มซีอิ๊ว นุ่มแน่นหอม โปะหน้าด้วยชีสมอซซาเรลล่า เป็นของกินเล่นนอกเมนู และของดีๆ อย่าง หอยเป๋าฮื้อนึ่งสาเก (700 บาท+) เสิร์ฟมาทั้งตัว

ใครชอบสิ่งที่ท้าทายให้สั่งชิราโกะ (Shirako)(700 บาท+) หรือสเปิร์มปลาคอดสีขาวครีมๆ คลุกกับพอนสึเปรี้ยวๆ จึงกินเท่าไหร่ก็ไม่เลี่ยน อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

ส่วนซูชิที่ต้องสั่งคือโฮตารุอิกะ (Hotaru ika) หรือ หมึกหิ่งห้อย เราสั่ง หมึกหิ่งห้อยดองซีอิ๊วห่อสาหร่าย (คำละ 60 บาท+) ที่ญี่ปุ่นพอจับมาได้ก็ดองซีอิ๊วทันที รวมทั้ง หมึกหิ่งห้อยนึ่ง จิ้มมัสตาร์ด (200 บาท+) มาเป็นจานๆ อีกทั้งซูชิหน้าปลามาได (Madai) (คำละ 180 บาท+) หรือปลากะพงแดงญี่ปุ่น ก่อนกินให้บีบมะนาว และซูชิหน้าปลากินเมได (Kinmedai) (250 บาท+) ที่สุดยอดมาก ต่อด้วยเมนูในตำนานร้านนี้ ซูชิหน้าปลาไหลอูนางิ (Unagi) (360 บาท+) ย่างซีอิ๊ว ชิ้นยาวเหยียดเท่าตัวปลาไหล (แล่มาครึ่งตัว) ยาวกว่าข้าวปั้นหลายเท่า ข้าวญี่ปุ่นร้านนี้ใช้ข้าวสายพันธุ์โด่งดังของจังหวัดอาคิตะ ที่นำมาปลูกในไทยได้แล้ว

ถ้ายังไม่อิ่มให้สั่ง ปลาหิมะ (Gindara) ย่างเต้าเจี้ยว(500 บาท+) ซึ่งโยชิโอ้บอกว่าเป็นตัวเลือกที่มาแรงนอกเหนือจากปลาย่างซีอิ๊วหรือย่างเกลือ อีกทั้งให้ลองเห็ดไมตาเกะเทมปุระ (180 บาท+) แทนที่จะเป็นกุ้งเทมปุระ

คุณโยชิโอ้แถม หัวไชเท้าดองเปรี้ยวหวาน มาให้กินแก้เลี่ยน และปิดท้ายด้วย ซุปมิโสะหอยชิจิมิ (Shijmi) (150 บาท+) อีก 1 ถ้วยเป็นธรรมเนียมตอนจบ

ถึงตอนนี้รู้สึกอิ่มแปล้มาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องสั่งของหวาน พุดดิ้งชาเขียว (110 บาท+) โปะหน้าด้วยถั่วแดงกวน ทำแค่ 30 ถ้วยต่อวันเท่านั้น อีกทั้ง โมจิห่อไส้คัสตาร์ดครีม (80 บาท+)

นี่คือของพิเศษต่างๆ ที่คัดสรรมาเชียร์ให้ลิ้มลอง ส่วนเมนูอื่นๆ ซูชิ ปลาดิบทั้งนำเข้าและปลาไทย กับเมนูทั่วไปเหมือนกับร้านอื่นๆ มีอีกมากมาย ราคาสบายกระเป๋ามาก

ร้านฮานาย่า เปิดเป็นช่วงๆ ตามมื้ออาหาร 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 2 โมง และ 5 โมงครึ่งถึง 4 ทุ่มครึ่ง ทุกวัน แต่อย่าลืมว่าร้านหยุดทุกวันอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์แน่นอย่าบอกใคร ควรโทรไปจองก่อนที่เบอร์ 0-2234-8095 นะจ๊ะ


ข้อมูลร้าน

ภัตตาคารฮานาย่า (Hanaya)

โดย คุณทากาชิ วาตานูกิ

ที่ตั้ง 683 ถ.สี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 0-2234-8095 0-2233-3080

เปิดบริการ 11.30-14.00 น.(ครัวปิด 13.30 น.) 17.30-22.30 น. (ครัวปิด 21.30 น.) ทุกวัน

หยุด อาทิตย์ที่ 2 และอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน

ช่วงคนแน่น วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น

Facebook Hanaya 1976

ซูชิหน้าปลาไหลอูนางิยาวๆ
ปลาหมึกหิ่งห้อยนึ่ง
ปลาหิมะย่างเต้าเจี้ยว
ผักเกล็ดหิมะ Ice Plant
รากบัวทอด
หัวไชเท้าดองรมควัน Iburi Gakko
อังกิโมะ ตับปลานึ่งซีอิ๊ว
Hayana
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

วันนี้มีของกินเล่นอร่อยเจ้าเก่ามาบอกต่อ อยู่ที่ตัวจังหวัดชลบุรี ของกินเล่นที่ว่านี้คือซาลาเปา ฟังดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา เพราะเจ้านี้คือต้นตำรับซาลาเปารูปทรงไม่เหมือนใคร ลูกใหญ่ไส้เยอะอัดแน่นไปด้วยไส้ 4 ชนิด ร้านนี้มีชื่อว่า ซาลาเปาสี่สหาย

สมัยที่ซาลาเปาสี่สหายเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2541 นั้น บิดาข้าพเจ้า คุณชายถนัดศรีมาค้นพบ เขียนแนะนำในคอลัมน์ และชวนไปออกงานครบรอบ 39 ปี เชลล์ชวนชิม หน้าลานเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์หรือเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน ยังจำภาพติดตาได้ดีว่าหน้าร้านซาลาเปาสี่สหายมีคนมารอเข้าคิวซื้อเป็นแถวยาวเหยียดทบไปทบนับร้อยๆ คน ในยุคนั้นซาลาเปาสี่สหายคือผู้บุกเบิกการทำซาลาเปารูปทรงแปลกแตกต่างไปจากรายอื่นๆ ทีเดียว

ผู้คิดค้นสูตรซาลาเปานี้คือคุณสอาด ภรรยาของคุณกฤตชัย จิรพัฒน์ธำรงกุล จากที่เคยขายเสื้อผ้า สองสามีภรรยาเปลี่ยนมาทำซาลาเปาขายดิบขายดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถึงขนาดที่ว่าไปจดสิทธิบัตรรูปลักษณ์ของซาลาเปาสี่สหาย ลูกรีๆ ยาวๆ ใหญ่ๆ ไว้แล้ว

ส่วนที่มาของชื่อสี่สหายนั้นคือครอบครัวนี้มีลูก 4 คน อีกทั้งซาลาเปามี 4 ไส้นั่นเอง โดยตอนนี้มีลูกๆ มาสืบทอดการทำซาลาเปาไว้ได้ 2 คน คือคุณวีรศักดิ์ จิรพัฒน์ธำรงกุล (โต้ง) และน้องชายคนเล็ก พรพจน์ (โต๊ด)

ซาลาเปาสูตรนี้ใช้ยีสต์ให้ขึ้นฟู ผสมกับแป้งสาลี น้ำ น้ำตาล ตีส่วนผสมเสร็จแล้วพักไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นปั้นเป็นก้อนๆ ผ่าครึ่งและใส่ไส้ นำไปนึ่ง ซึ่งจะทำขายวันต่อวัน

ความอร่อยของ ซาลาเปาสี่สหาย ลูกรีๆ ยาวๆ ใหญ่ๆ อยู่ที่แป้งนุ่มเหนียวไม่ติดลิ้น และอยู่ที่ตัวไส้ 4 ชนิด ประกอบไปด้วยหมูสับหอมรากผักชีกระเทียมพริกไทย ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือและซีอิ๊ว ไส้กรอกคอกเทล ไส้กรอกโบโลญญา (ที่คนไทยชอบเรียกโบโลน่า) กลมแบน และ ไข่นกกระทา สนนราคาลูกละ 35 บาท กินเข้าไปเพียง 1 หรือ 2 ลูกก็อิ่มท้องไปทั้งวันแล้ว ซื้อกลับบ้านสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานเป็นอาทิตย์

นอกจากนี้ยังมี ซาลาเปาไส้หมูสับ หมูแดง ครีม งาดำ (ลูกละ 15 บาทเท่ากัน) หมั่นโถว (มี 3 สีคือ สีขาว สีเหลืองฟักทอง สีเขียวใบเตย) เหนียวนุ่ม ขนมจีบไส้หมูสับ (กระทงละ 40 บาท 10 ลูก) และ บ๊ะจ่าง (45 บาท) ไส้แปะก๊วย เห็ดหอม กุนเชียง ถั่วลิสง กุ้งแห้งและหมูหมัก ซึ่งควรซื้อติดไม้ติดมือไปลองชิมให้ครบ

ปัจจุบันถ้าใครอยากลิ้มลองซาลาเปาสี่สหาย ต้องไปที่จังหวัดชลบุรีเท่านั้น สาขาดั้งเดิมอยู่ที่ แม็คโคร (Makro) ชลบุรี ถนนสุขุมวิท ถ้ามาจากตัวเมืองชลบุรีจะอยู่ริมถนนสุขุมวิทฝั่งขวามือก่อนถึงสามแยกทางเข้าอ่างศิลา โดยร้านซาลาเปาสี่สหายจะอยู่ในศูนย์อาหาร ตรงหัวมุมประตูทางเข้าศูนย์อาหารเลย

นอกจากนี้ยังมีสาขาอยู่ที่ ศูนย์อาหารในห้างโลตัส (Lotus) ชลบุรี ริมถนนสุขุมวิท อยู่ในตัวเมืองข้างตึกคอม โลตัสบ้านสวน ริมถนน 344 จากแยกบ้านสวนไป จะอยู่ใกล้แยกบายพาสชลบุรีทางฝั่งขวามือ ตรงข้าม ร.ร.บ้านสวนจั่นอนุสรณ์ โลตัสบ้านบึงที่อำเภอบ้านบึง บิ๊กซี ชลบุรี หลังห้างเซ็นทรัลชลบุรี ซึ่งสาขานี้ตั้งอยู่ที่ลานจอดรถใต้บิ๊กซี หน้าประตูทางเข้า และ พลัสมอลล์ (Plus mall) อมตะนคร ที่ในนิคมอมตะนคร รวมทั้งหมด 6 สาขา

10SalapaoSeeSahai

ผ่านมาชลบุรี ต้องแวะไปลิ้มลองซาลาเปาสี่สหาย ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน รับรองว่าจะติดใจกลายเป็นลูกค้าประจำไปเลยแน่นอน

ซาลาเปาสี่สหาย

โดย คุณวีรศักดิ์ จิรพัฒน์ธำรงกุล (โต้ง)

ที่ตั้ง 1.แม็คโคร (Makro) ชลบุรี ถ.สุขุมวิท (ก่อนถึงแยกอ่างศิลา) 55/3 หมู่ 2 ถ.สุขุมวิท ต.เสม็ด อ.เมือง ชลบุรี 20000 2.โลตัส (Lotus) ชลบุรี (ริมถนนสุขุมวิท ข้างตึกคอม) 3.โลตัส บ้านสวน (ริมถนน 344 จากแยกบ้านสวนไปอยู่ใกล้แยกบายพาสชลบุรี) 4.โลตัส บ้านบึง 5.บิ๊กซี หลังห้างเซ็นทรัลชลบุรี (อยู่ที่ลานจอดรถใต้บิ๊กซี หน้าประตูทางเข้า) 6.พลัสมอลล์ (Plus mall) อมตะนคร

เปิดบริการ 08.30-19.00 น.(แม็คโคร) 08.30-20.00 น.(โลตัสและพลัสมอลล์) 08.30-21.00 น.(บิ๊กซี)

โทร 08-1861-3265

แนะนำ ซาลาเปาสี่สหาย

Facebook ซาลาเปาสี่สหาย

สถานที่ผลิต (ที่บ้าน) 112/180-181 หมู่ 7 ถ.พระยาสัจจา ปากซอยสวนหลวงวิลล่า 2 ต.เสม็ด อ.เมือง ชลบุรี

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
บะหมี่ใส่ก้ามปู(เฉพาะเสาร์-อาทิตย์-จันทร์)

คนฝั่งธนรุ่นพ่อสมัยเมื่อ 60 ปีก่อนทราบกันดีว่า แต่ก่อนนั้นช่วงตั้งแต่เชิงสะพานพุทธไปจนถึงตลาดพญาไม้คือดงบะหมี่ปูทะเลของกินอร่อย หลังจากความเจริญเยื้องกรายเข้ามา มีการสร้างสะพานคู่ ขยายถนนใหม่ ร้านเด็ดเหล่านี้ก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในเขตฝั่งธนบุรี

มีอยู่เจ้าหนึ่ง อากงหรือปู่อพยพมาจากเมืองจีนขายบะหมี่ปูอยู่ที่เชิงสะพานพุทธตั้งแต่ พ.ศ.2495 จนกระทั่งราวปี 2510 ลูกชายรุ่นที่สองหันไปขายกาแฟแทน เมื่อปี 2557 หลานชายรุ่นที่ 3 อันมีนามกรว่า เฮียเปี๊ยก บรรจบ ซื่อสุทธิกุล กลับมาสร้างตำนานบทใหม่ กับ ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้น (ตั้งตามชื่อของอากง) จึงขอพามาที่สี่แยกวัดแขกในบัดดล

พ่อของเฮียเปี๊ยกได้ถ่ายทอดวิชาทำบะหมี่ปูไว้ให้ จึงมาเริ่มเปิดร้านใหม่ที่เจริญนครปากซอย 18 จากนั้นย้ายไปแถวเสือป่า ต่อมามีการจัดระเบียบร้านค้า เฮียเปี๊ยกจึงข้ามมาถิ่นเก่า ปักหลักขายในร้านทำผมเดิม ในตึกแถวคูหาเดียวใกล้ สี่แยกบ้านแขก ตั้งแต่ปลายปี 2558 เป็นต้นมา

ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ ดังนั้นถ้าใครขับรถมาขอให้ไปจอดที่ ห้างบิ๊กซี สาขาถนนอิสรภาพ (ไม่เสียค่าจอด) อย่าลืมพกถุงผ้าไปด้วยนะจ๊ะ จะได้อุดหนุนซื้อของที่ห้างเสียก่อน จากนั้นควรแวะเข้าห้องน้ำในห้างให้เสร็จสรรพ ก่อนเดินออกมาข้างหน้าริมถนนแล้วเดินเลี้ยวซ้ายย้อนกลับไปทางสี่แยกบ้านแขก เพียงประมาณ 100 เมตร ก็จะเห็นร้านบะหมี่แปะชุ้นอยู่ฝั่งเดียวกันด้านซ้ายมือ ใกล้ ปากซอยอิสรภาพ 18

ที่นี่ทำกันในครอบครัว มีเฮียเปี๊ยก พี่อ๋อยภรรยา และน้องพีทลูกชาย (บางครั้งก็มีลูกสาวคนเล็กที่ยังเรียนอยู่มาช่วย) ด้วยความที่ลูกค้า 70 เปอร์เซ็นต์ คือนักเรียน นักศึกษา จึงมีเมนูสร้างสรรค์นอกเหนือจากบะหมี่ปูขึ้นมาอีกเพียบ นับได้ว่าเป็นร้านขวัญใจวัยรุ่นทีเดียว

ตรงข้างหน้าร้านจะตั้งรถเข็นใส่หม้อน้ำซุปทำจากน้ำต้มโครงไก่และ ปูม้าทั้งตัว ลอยหน้าเต็มหม้อ เพื่อเพิ่มกลิ่นรสความหอมของน้ำซุป ซึ่งเนื้อปูที่โรยหน้าบะหมี่นั้นคือปูทะเล ไม่ใช่เนื้อปูม้า โดยจะออกไปจ่ายตลาดตอนตี 4-ตี 5 จากเจ้าประจำที่ตลาดวงเวียนใหญ่ หรือไม่ก็ตลาดเก่าเยาวราช

ก่อนเดินผ่านประตูเข้ามา มีบทความของบล็อกเกอร์ดังๆ สรรเสริญถึงความอร่อยของบะหมี่ปูแปะชุ้นอยู่เต็มบานกระจก ที่ข้างในตั้งโต๊ะได้ประมาณ 7-8 ตัวเท่านั้น ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ข้างฝาผนังมีภาพสเกตช์ของแปะชุ้น อากงเฮียเปี๊ยก ยืนยกนิ้วโป้งการันตีความอร่อย

เมนูเด็ดซิกเนเจอร์ของบะหมี่ปูแปะชุ้นย่อมต้องเป็น บะหมี่ปูใส่ไก่และหมูแดง อันประกอบไปด้วย บะหมี่เส้นกลมเล็กเหนียวนุ่ม สั่งทำเพิ่มไข่เป็นพิเศษจากเจ้าประจำที่ท่าดินแดง โรยหน้าด้วยปูทะเล ไก่ต้มฉีกใช้เนื้อสะโพก และหมูแดงทำเองไม่ใส่สี หน้าตาคล้ายหมูอบทำจากเนื้อหมูส่วนใกล้สันคอนุ่มๆ แล้วราดกระเทียมเจียว โรยกากหมู ถ้าเป็นอย่างแห้งจะใส่ผักกาดหอม ส่วนบะหมี่น้ำจะใส่ผักกวางตุ้ง ข้อสำคัญคือสนนราคาเพียงชามละ 45 บาทเท่านั้น (พิเศษ 60 บาท) ราคาสบายกระเป๋าแบบนี้แล้วจะไม่เป็นขวัญใจนักเรียนนักศึกษาได้อย่างไร

แนะนำว่าให้สั่ง บะหมี่แห้งใส่เกี๊ยวกุ้งผสมหมูสับ แล้วขอน้ำซุปหอมกลิ่นปูม้ามาอีก 1 ถ้วยเล็ก (ให้จดในใบตอนสั่ง ขอแถมน้ำซุปมาเลย ไม่เสียสตางค์เพิ่ม) สูตรบะหมี่ปูแปะชุ้นนี้ให้กินทั้งปู เนื้อไก่ และหมูแดงในคำเดียว จะได้กลิ่นรสและความหอมเข้ากันดีมาก เติมน้ำส้มพริกเหลืองตำเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

เฮียเปี๊ยก บรรจบ

ส่วนใครที่ชอบจัดเต็ม บะหมี่ปูใส่ก้ามปูทะเล ต้องมาวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ 3 วันนี้เท่านั้น ก้ามปูสดเนื้อแน่นสะใจมาก (ชามละ 350 บาท) นอกจากนี้ยังมีเส้นเล็ก เส้นหมี่ให้เลือก อีกทั้งอยากเติมท็อปปิ้งอะไรให้ดูในเมนูได้เลย มีหลายอย่าง เช่น ไข่อบ (ฟองละ 10 บาท) ซึ่งไม่ใช่ไข่พะโล้ แต่อบกับน้ำหมูแดงจนกลายเป็นสีน้ำตาล

ชอบใจร้านนี้ตรงที่มีเมนูข้าวต่างๆ (หรือจะใส่บะหมี่แทนก็ได้) ให้กินหลากหลาย เฮียเปี๊ยกจัดให้ตามเสียงเรียกร้องของน้องๆ นักเรียน ที่ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาดคือเมนูชื่อเก๋ พริกพสุธา (70-120 บาท) คือข้าว (หรือบะหมี่) กุ้งแชบ๊วย ราดเครื่องซอสกระเทียมพริกไทยหอมๆ บดผสมกับพริกขี้หนูสวนและพริกจินดา มีรสเค็มอมหวานเล็กน้อยและหอมเข้มข้นมาก จะใส่ปลากะพง (70-120 บาท) ปูม้า (100 บาท) ก็ได้

อีกอย่างที่ตั้งราคาดีมาก กลายเป็นเมนูโปรดของข้าพเจ้าไปแล้วก็คือ ข้าวซี่โครงรสโอชา ข้าวราดกระดูกหมูอ่อน ปรุงรสหวานมันเค็ม ใส่น้ำหมูแดง กากหมู น้ำมันงาและกระเทียมเจียว กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด อิ่มอร่อยในสนนราคาเพียง 35 บาท (พิเศษ 45 บาท) หรือจะสั่ง ข้าวไก่อบ (35-45 บาท) ใช่ไก่เนื้อสะโพกนุ่มๆ หอมหวาน พอราดน้ำจิ้มซีฟู้ดแล้วมีครบทุกรส ซึ่งเด็กวัยรุ่นกำลังโตที่กินจุๆ นิยมสั่งเมนูข้าวขนาดโคตรพิเศษ 60 บาทอีกด้วย ใส่ในชามกระเบื้องให้ปริมาณมากจุใจ

พริกพสุธาใส่กุ้งแชบ๊วย

ต่อด้วยเมนูรสแซ่บ เผ็ดพงไพร (70-120 บาท) เป็นข้าวหรือบะหมี่ราดต้มยำแห้งกุ้งแชบ๊วย ใส่เครื่องต้มยำสมุนไพรบดเป็นซอสสำเร็จไว้เลย มีพริกเผา พริกขี้หนูสวนและพริกจินดาแดงแซ่บๆ เมนูนี้มีรสเปรี้ยวแซ่บเพิ่มขึ้นมาด้วย ถ้าชอบต้มยำน้ำข้นให้สั่ง แซ่บพิรุณ (70-120 บาท) บะหมี่หรือข้าวใส่ต้มยำกุ้งแชบ๊วยน้ำข้นผสมนมข้นจืดกับเครื่องต้มยำบด

ยังมีเมนูข้าวอื่นๆ อีกหลายอย่างให้เลือก ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้นเปิดสายหน่อยตั้งแต่ 11 โมงครึ่งไปจนถึง 3 ทุ่มครึ่ง โดยจะมีช่วงพักเปลี่ยนน้ำซุปตอนบ่าย 2 โมงถึงบ่าย 3 โมงครึ่งอีกด้วย (แต่ยังมีเมนูข้าวต่างๆ ขายอยู่ในช่วงพัก) ร้านหยุดทุกวันอังคาร ขอเชียร์ให้มาชิมลิ้มลอง รับรองว่าต้องถูกใจแน่นอน

บะหมี่ปูแปะชุ้น

โดย คุณบรรจบ (เปี๊ยก) ซื่อสุทธิกุล

ที่ตั้ง 46 ใกล้ปากซอยอิสรภาพ 18 ถนนอิสรภาพ วัดกัลยาณ์ ธนบุรี กรุงเทพฯ 10600

โทร 08-7395-3278

เปิดบริการ 11.30-21.30 น. พุธ-จันทร์

หยุด อังคาร

แนะนำ บะหมี่ปู

Facebook ร้านบะหมี่ปู แปะชุ้น

ช่วงเวลาคนแน่น 18.00-20.30 น.

หมายเหตุ ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถและห้องน้ำ ให้ไปจอดที่บิ๊กซีสาขาอิสรภาพ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
แซ่บพิรุณ
ข้าวอบไก่
ตำมะม่วงปลาแห้ง

ถ้าอยากชิมของอร่อยสุดยอดที่เมืองเชียงใหม่ เที่ยวกินครบจบภายใน 5-6 ร้าน ควรไปร้านไหนบ้าง คำตอบคือไม่ง่ายเลย เพราะเชียงใหม่อุดมไปด้วยของกิ๋นลำขนาดอยู่ทั่วทุกมุมเมือง มีทั้งร้านอาหารเหนือ ร้านที่ขายอาหารเฉพาะประเภท ร้านนานาชาติ เรื่องขนมเค้กของหวานก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แค่นึกในใจ ปิ่นโตเถาเล็กก็มีร้านโปรดอยู่หลายสิบเจ้าทีเดียว

แต่ถ้าจะให้เลือก แน่นอนว่าอันดับหนึ่งย่อมต้องเป็นร้านอาหารเหนือ และร้านโปรดของข้าพเจ้าก็คือเฮือนใจ๋ยองที่เปิดมานานตั้งแต่ พ.ศ.2545 ด้วยความที่ครบเครื่องเรื่องรสชาติอาหารเมืองขนานแท้ (โดยคนยอง) เรื่องความหลากหลายของเมนูพื้นบ้าน และได้บรรยากาศเมืองเหนือในเรือนไม้ล้านนาโบราณ ถ้าไม่ดีจริง คงไม่มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาอุดหนุนกันเนืองแน่นทุกมื้อกลางวันเช่นนี้หรอก

ร้านเฮือนใจ๋ยอง อยู่ริมถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพงสายใหม่ มาจากแยกดอนจั่น ตรงถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ผ่านศูนย์การค้า Promenada เป็นระยะทางประมาณ 9 กม. ก็จะเห็นร้านเฮือนใจ๋ยองทางขวามือ ก่อนถึงแยกเข้าตัวอำเภอสันกำแพงเล็กน้อย จอดรถได้ในซอยข้างร้านกับที่ด้านหน้าร้านริมถนนได้เลย

เริ่มแรกอาจารย์ลิปิกร มาแก้ว กับคุณนก ศรีภรรยา ตลอดจนพี่แดงพี่สาว ขายลาบไก่ในเพิงเล็กๆ มาบัดนี้ขยับขยายกลายเป็นร้านอาหารผู้คนคึกคัก มีทั้งเรือนไม้ล้านนาสำหรับนั่งกินใต้ถุนบ้าน ส่วนชั้นบนตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้สมัยป่ออุ้ยแม่อุ้ย ด้านหนึ่งจัดเป็นมุมขันโตก ด้านหน้ามีเรือนเล็กชั้นเดียวสร้างใหม่ขายของพื้นเมือง ด้านข้างมีเรือนอีกหลังติดเครื่องปรับอากาศ ส่วนด้านหลังมีหอศิลป์และที่กินข้าวเพิ่มเติม ถัดจากห้องปรับอากาศมีร้านกาแฟเพิ่มมาอีก ต่อไปจนถึงริมถนนใหญ่ยังมีตึกสร้างใหม่ที่ชั้นล่างมีห้องกินข้าว เรียกว่า โซน L.A. อีกด้วย

เสน่ห์ของเฮือนใจ๋ยองอยู่ที่อาหารพื้นบ้านทางเหนือรสชาติเข้มข้นเหมือนที่ทำกินในบ้านจริงๆ จัดใส่ในถ้วยชามเซรามิกแบบง่ายๆ ลำแต๊ๆ เด็ดที่สุดเท่าที่ได้เคยกินมาทีเดียว

ตอนนี้เฮือนใจ๋ยองเพิ่มของกิ๋นพื้นเมืองอีกมากมายรวมเป็น 50 กว่าอย่าง มีอาหารล้านนาที่รับรองว่าคนต่างถิ่นไม่รู้จักเพียบ ถ้ารออาหารแล้วหิวก็มีมุม ขนมจีนน้ำเงี้ยว ให้ตักเอง หยอดเงินจ่าย 30 บาทเองได้เลย และมีมุมผักสดพื้นบ้านเลือกหยิบตามใจชอบ (แต่ต้องกินให้หมด)

เมนูใหม่อันดับหนึ่งในดวงใจตอนนี้คือ น้ำพริกน้ำปู๋ (65 บาท) น้ำพริกหนุ่มผสมน้ำปู๋ ซึ่งทำจากปูนาตำทั้งกระดอง กรองเอากากออก เคี่ยวและปรุงรสจนได้น้ำสีดำๆ เข้มข้น ช่างเป็นน้ำพริกที่ข้นหอมเป็นที่สุด และน้ำพริกดั้งเดิมที่สั่งประจำทุกครั้งคือ น้ำพริกปลาจี่ (65 บาท) ได้ความหอมของพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม ห่อใบตองแล้วปิ้ง ผสมกับกลิ่นปลาช่อนย่าง แกล้มด้วย แคบหมูติดมัน (30 บาท)

เมนูใหม่อีกอย่างที่ชอบมากเช่นกันคือ ปูอ่อง (70 บาท) ทำจากเนื้อปูนากับมันปูนา (ที่เลี้ยงเองในนา) เคี่ยวแล้วกรอง แล้วเคี่ยวต่อกับฟักทอง ไข่และกระเทียม ขอบอกว่าเด็ดไม่แพ้มันปูญี่ปุ่นเลย อีกทั้งเมนูใหม่รสจี๊ดจ๊าดถูกใจสาวๆ ตำมะม่วงปลาแห้ง (80 บาท) ใส่ปลาช่อนแห้ง คลุกกับถั่วลิสง หอมแดงเจียว แกล้มด้วยผักเชียงดา ใบชะพลู และชะอม

แอ๋บปลานิลไร้ก้าง
ลาบปลานิลคั่ว
น้ำพริกน้ำปู๋

ของกินพื้นเมืองที่หมดเร็วต้องรีบสั่งคือ ไก่เมืองนึ่งสมุนไพร (ราคาตามน้ำหนัก) หมักกับรากผักชี หอมแดง กระเทียม ลูกผักชี ดีปลี เม็ดตะไคร้กับตะไคร้ น้ำมันงา น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว และเกลือนาน 1 คืน จนรสจัดเข้าเนื้อหอมขมิ้น

ที่ห้ามพลาดอีก 2 อย่างคือ ต๋ำขนุน (65 บาท) หรือ ต๋ำบ่าหนุน อร่อยสุดสุด ขนุนอ่อนต้มจนเปื่อยแล้วนำมาโขลก ผัดกับหมูสับ แคบหมู ใส่มะเขือเทศ เครื่องแกง ใบมะกรูด ซึ่งในขั้นตอนจะมีการโขลกส่วนผสมอีกถึง 2 ครั้ง ก่อนเสิร์ฟราดน้ำมันกระเทียมเจียวจนหอม กับ ต๋ำบะเขือ (35 บาท) หรือตำมะเขือยาวใส่พริกชี้ฟ้าเขียว กระเทียม หอมแดงเผา ใส่ไข่ต้ม เป็นของง่ายๆ ที่อร่อยกลมกล่อมหอมกลิ่นมะเขือและไม่เผ็ด

อีกอย่างที่มาแล้วต้องสั่งทุกครั้งคือส้มผักกาดน้อย (60 บาท) เป็นยำผักที่รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวล ทำจากผักกาดซอยเป็นชิ้นเล็กๆ กับมะกอก (จึงมีกลิ่นน้ำมะกอกหอมๆ) ใส่เครื่องต่างๆ ปรุงด้วยน้ำยำปลาทับทิม โรยด้วยแคบหมู ส่วนผัดผักให้สั่งผักพื้นเมืองซึ่งมีวิตามินเอสูง เชียงดาผัดไข่ (50 บาท) อร่อยหอมหวาน ผัดกับพริกชี้ฟ้าหอมๆ

ต๋ำบะเขือ

จำพวกแกงมีให้เลือกหลากหลาย มี แกงหน่อไม้ (65 บาท) ใส่หน่อไม้หวานกิมซุงซึ่งอ่อนมากๆ ปรุงด้วยพริกหนุ่ม กะปิ หอม กระเทียม น้ำปลาร้าและน้ำซาวข้าว และ แกงตูน (80 บาท) แกงพื้นบ้านทางเหนือใช้พริกแกงแค ใส่ก้านตูนกรอบๆ (ตูนคือคูนหรือออดิบนั่นเอง) กับเนื้อปลาช่อน มีรสเปรี้ยวด้วยมะนาว (หรือน้ำมะกรูด) นอกจากนี้ยังมีแกงแคกบรสจัดมาก (100 บาท) มาเมืองเหนือต้องกินเนื้อกบ สดอร่อยอย่าบอกใคร และมีแกงแคไก่ แคปลาให้เลือกอีกด้วย

อยากกินรสจัดเผ็ดร้อนทุกคำกลืนต้องลองแกงคั่วไก่ (80 บาท) ทำแห้งๆ น้ำขลุกขลิกเหมือนคั่วแค ใส่มะแขว่นและกะทิเล็กน้อย มีส่วนผสมของใบจัน (ใบยี่หร่า) ผัดกับน้ำพริกแกงแค จึงมีรสร้อนแรงเป็นที่สุด ส่วนลาบเมืองนั้น ให้สั่งลาบปลานิลคั่ว (70 บาท) ใส่มะแขว่นมีกลิ่นเอกลักษณ์เหมือนลาบหมูคั่ว

ยังมีของน่าลิ้มลองอีกเพียบทั้ง จิ้นส้มหมกไข่ (40 บาท) คือแหนมใส่ไข่ห่อใบตองแล้วย่างไฟ กับจิ้นส้มผัดไข่ (50 บาท) หรือแหนมผัดไข่ แอ็บปลานิลไร้ก้าง (50 บาท) คลุกเครื่องแกง ห่อใบตองแล้วย่างไฟอ่อนๆ จนสุกหอม กินได้สบายใจไม่กลัวติดคอเพราะเอาก้างออกแล้ว ห่อนึ่งหมู (60 บาท ห่อนึ่งไก่ก็มี) ใส่หมูสามชั้นกับสันคอหมูและวุ้นเส้น นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องแกงแบบเดียวกับพริกแกงแค ห่อด้วยใบตอง และนึ่งจนสุก คั่วโฮะ (65 บาท) หรือแกงโฮะใส่น้ำฮังเล ตะไคร้ โรยผงฮังเล และใส่ผักแกงแค หน่อไม้ดอง กับวุ้นเส้น มีรสออกหวานนิดหน่อย

นอกจากนี้ยังมีเมนูตามฤดูกาล เช่น หน่อยัดไส้ พริกยัดไส้ ตำหน่อไม้สด (คล้ายตำไทย) และเมนูอื่นๆ ให้ลองถามที่ร้านได้เลย

เมนูเหล่านี้กินคู่กับข้าวได้สารพัดแบบ มีทั้งข้าวนึ่ง (ข้าวเหนียวธรรมดา) ข้าวนึ่งข้าวกล้อง ข้าวนึ่งก่ำ (15 บาทรวด) อีกทั้งข้าวสวย (10 บาท) และข้าวกล้องสวย (15 บาท) ด้วย

จะเห็นได้ว่ามีของกิ๋นพื้นเมืองมากมายลำแต๊ๆ จริงๆ เฮือนใจ๋ยองเปิดบริการ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมง หยุดทุกวันจันทร์ โปรดหลีกเลี่ยงช่วงเที่ยง คนแน่นอย่าบอกใคร โทรสอบถามได้ที่ 08-6671-8710 08-6730-2673 ขอย้ำว่าร้านนี้อร่อยขนาดยกนิ้วให้ทั้งสองมือ แอ่วเมืองเหนือเมื่อไหร่ ต้องมาชิมให้ได้นะจ๊ะ


ข้อมูลร้าน เฮือนใจ๋ยอง

โดย คุณรัชนีวรรณ ฉลาดพงศ์พันธ์(พี่แดง)

ที่ตั้ง 65 ม.4 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง เชียงใหม่ 50130

โทร 08-6671-8710 08-6730-2673 (คุณนก)

เปิดบริการ 10.00-16.00 น. อังคาร-อาทิตย์

หยุด จันทร์

แนะนำ น้ำพริกน้ำปู๋ น้ำพริกปลาจี่ ปูอ่อง ตำมะม่วงปลาแห้ง ไก่เมืองนึ่งสมุนไพร ต๋ำขนุน ต๋ำบะเขือ ส้าผักกาดน้อย เชียงดาผัดไข่ แกงหน่อไม้ แกงตูน แกงแคกบ แกงคั่วไก่ ลาบปลานิลคั่ว จิ้นส้มหมกไข่ จิ้นส้มผัดไข่ แอ็บปลานิลไร้ก้าง ห่อนึ่งหมู คั่วโฮะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ต๋ำขนุน
เชียงดาผัดไข่
จิ้นส้มหมกไข่
แกงตูน
แกงคั่วไก่
ขนมจีนน้ำเงี้ยวให้ตักเอง

มาต่อกันในอาทิตย์นี้กับขนมไทยและฝรั่งสุดโปรด เหมาะสำหรับเป็นของกำนัลในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งทั้งสองร้านนี้ ครอบครัวเราคุ้นเคยกันดีและเป็นขาประจำมาตั้งแต่แรก นับเป็นเจ้าโปรดของคุณชายถนัดศรีเลยทีเดียว

เจ้าแรกคือ ลูกจันทร์ ร้านขนมไทย (และฝรั่ง) สารพัดอย่างมากกว่า 100 ชนิด ไม่ค่อยซ้ำใคร สามารถจัดใส่ในกระเช้าได้หลากหลายรูปแบบ ร้านนี้เป็นของคุณลูกจันทร์และคุณประเสริฐ สุวรรณสัญญา คุณลูกจันทร์คือผู้สืบทอดตำรับขนมไทยเก่าแก่จากคุณย่า (ร้านเทียมจันทร์)

ร้านลูกจันทร์ปักหลักขายอยู่ที่ (หน้าบ้านเก่าของปิ่นโตเถาเล็ก) ข้างร้านอาหารช้อนเงินช้อนทอง ริมถนนพระรามที่ 6 คลองประปา สามเสน (ติดศูนย์ป้องกันสนิมคาดูแลค) ตั้งแต่ปี 2532 และยังมีอีกสาขาหนึ่งอยู่ใกล้กัน ข้างร้านสามเสนวิลลา ใกล้กับศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ (ตึกใหม่)

นึกอะไรไม่ออกให้มาที่ลูกจันทร์ มีขนมสารพัดชนิดอัดแน่นเต็มร้าน ของอร่อยที่ห้ามพลาดคือ ข้าวตังเสวย นาบไฟแบบโบราณด้วยแผ่นเหล็กแบนๆ จนได้ข้าวตังแผ่นกลมๆ บางๆ กรอบๆ กินเพลินยั้งไม่อยู่ ขายในกล่องทรงกระบอกใสมี 2 ขนาด (95-190 บาท)

อีกอย่างที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยคือ ข้าวตังกรอบ ทำจากข้าวตังทอด ทาน้ำพริกเผาโรยหน้าด้วยหมูหยองและเอาไปอบอีกที มีทั้งชนิดข้าวตังเป็นเม็ดๆ กับชนิดข้าวละเอียด ไม่เป็นเม็ด ใส่ในถุงเล็กกับกล่องกลมใหญ่ (แบบเม็ด ถุงละ 70 บาท กล่องละ 130 บาท และแบบข้าวละเอียด ถุงละ 60 บาท กล่องละ 100 บาท)

ของกินเล่นขึ้นชื่ออีกอย่างคือ เมล็ดบัวผัด คัดเม็ดใหญ่แก่จัดเป็นพิเศษ นำมาทำหลายขั้นตอน คุณลูกจันทร์บอกว่าถ้าไม่จุดธูปทำไม่สำเร็จ เพราะต้องแกะเมล็ดบัวแล้วเอาไปต้ม นึ่ง ล้างน้ำ ทอด อบ แล้วราดน้ำตาลผสมน้ำปลาอีกทีจนหอมกรอบนุ่มอร่อย (ถุงเล็ก 65-130 บาท ถุงครึ่งกิโลกรัม 350 บาท ถุง 1 กิโลกรัม 700 บาท ขวดโหลแก้ว 200-350-650-850-950 บาท)

ยังมีของโปรดของผมที่ไม่ใช่ขนม แต่เป็น ปลาสลิดทอดกรอบ กรอบมัน เคี้ยวเพลินเจริญอาหาร ไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย ควรจัดเป็นของกำนัลในกระเช้าด้วย (ถุง 160 บาท กล่อง 170-250 บาท)

สิ่งที่ควรซื้อกินเล่นทันทีคือ ขนมเอแคลร์แบบฝรั่ง (กล่องละ 30 บาท) หอมนมเนย แป้งนุ่มนิ่ม ไส้ไม่หวานมาก และมีขนมขบเคี้ยวน่าลิ้มลอง ชีสธัญพืช และผลไม้รวม (ถุงละ 65 บาท กล่องละ 150-260 บาท)

นอกจากนี้ ยังมีขนมอื่นอีกมากมาย ถือเป็นศูนย์รวมขนมไทยดั้งเดิม เช่น ขนมหน้านวล (45 บาท) ที่หากินยาก ข้าวตังอบเนย ขนมปังกรอบโรยหน้าหมูหยอง ขนมปังขาไก่ ขนมเบื้องกรอบ ทองม้วน ทองพับ ลูกหยีคลุก ลูกหยีกวนแบบไม่มีเม็ด ผลไม้แช่อิ่มต่างๆ เช่น มะม่วง มะขาม กระท้อน ตลอดจน คุกกี้เม็ดบัว คุกกี้งา คุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขนมกล้วย ขนมหยกมณี เทียนสลัดงา พายไก่ พายทูน่า

และยังมีขนมของกินใหม่ๆ เช่น ข้าวเม่า เค้กมะตูม (กล่องละ 160 บาท) น้ำพริกสูตรโบราณอย่าง น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกเผากุ้ง และ หลนปูเค็ม ที่มีผักสดให้เสร็จสรรพ กระเทียมโทนดอง ขิงดอง หน้าร้อนยังมีกระท้อนแช่อิ่ม บางวันก็มีไส้กรอกสูตรเยอรมันแท้ๆ ที่สมัยก่อนขายแถวห้างไทยไดมารูมาฝากวางขายอีกด้วย

ขนมเมอร์แรงก์ รสกาแฟ ,ขนมเมอร์แรงก์ รสชาเขียว ,ขนมเมอร์แรงก์ รสดั้งเดิม
ขนมเอแคลร์
ข้าวตังเสวย,ขนมหน้านวล,เมล็ดบัวผัด

ส่วนกระเช้าของขวัญมีให้เลือกหลายแบบทั้งขนาดเล็ก ใหญ่ สูง เตี้ย กว้าง เลือกจัดขนมได้มากน้อยตามใจชอบ ร้านลูกจันทร์เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 08.45-20.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ปิด 6 โมงเย็น

อีกหนึ่งเจ้าโปรดตลอดกาลของครอบครัวปิ่นโตเถาเล็ก พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House) กับ ขนมเมอแรงก์ อบกรอบ ทำสดใหม่อยู่เสมอจากไข่ขาว น้ำตาล เม็ดมะม่วงหิมพานต์บด และอัลมอนด์สไลซ์บางๆ อร่อยหอมหวานมัน ด้วยความที่เนื้อบางเบาจึงกินเพลินหยุดไม่ได้จริงๆ

ถ้าแฟนๆ ไม่เชื่อว่าเมอแรงก์ของ PN Cookies กินเพลินแค่ไหน ให้ไปที่สาขาใหม่เพิ่งเปิดมาไม่ถึง 2 ปี ตรง ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน ถนนพระรามที่ 1 ที่นี่มีให้ทดลองชิมฟรี 1 ชิ้นด้วย

มีให้เลือกถึง 3 รสชาติคือ รสดั้งเดิม รสกาแฟ และ รสชาเขียว บรรจุอยู่ในห่อสีชมพูสวยหวาน แบ่งเป็น 3 ช่อง ช่องละ 9 ชิ้น รวมทั้งหมด 27 ชิ้น หนักประมาณ 1 ขีดนิดๆ แต่มีน้ำตาลอยู่แค่ 1 ช้อน (รสดั้งเดิมและรสกาแฟ 95 บาท รสชาเขียว 105 บาท / มีกล่องขนาด 2 ห่อ – 4 ห่อ – 10 ห่อ)

ร้านขนมไทยลูกจันทร์

อีกทั้งยังโทรสั่งที่บ้านได้เหมือนเดิม ใช้เบอร์มือถือเดียวกันทั้งที่บ้านและที่ร้าน คือ 09-2098-6565 สั่งได้ทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม และไปรับได้ที่ บ้านเลขที่ 406 หมู่บ้านชลนิเวศน์ ซอยชลนิเวศน์แยก 8(4) ถนนประชาชื่น แถวคลองประปา ซึ่งที่บ้านจะเปิดให้รับขนมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น ซึ่งที่บ้านมีทั้งเมอแรงก์ในถุงและกล่องใสแบบดั้งเดิม (ถุงใส 170-340 บาท / กล่อง 380 บาท) กับในห่อสีชมพูแบบใหม่ด้วย

สุดท้ายนี้ ปิ่นโตเถาเล็กขออวยพรส่งท้ายปีเก่าล่วงหน้า ให้แฟนๆ มีความสุขกายสบายใจ รับมือกับสภาวะเศรษฐกิจปีหน้าได้เป็นอย่างดีถ้วนทั่วทุกตัวคนนะจ๊ะ

ลูกจันทร์

โดย คุณลูกจันทร์-คุณประเสริฐ สุวรรณสัญญา

ที่ตั้ง สาขา 1 – 198/20 ข้างร้านช้อนเงินช้อนทอง ถนนพระรามที่ 6 สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400

โทร 0-2278-1193, 0-2617-0896

สาขา 2 – เยื้อง รพ.วิชัยยุทธ ฝั่งใต้ 47 ถนนเศรษฐศิริ สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400

โทร 08-7544-6907

เปิดบริการ 08.45-20.00 น. (อาทิตย์เปิดถึง 18.00 น.) ทุกวัน

แนะนำ ข้าวตังเสวย ข้าวตังกรอบ เมล็ดบัวผัด ปลาสลิดทอดกรอบ ขนมเอแคลร์ ชีสธัญพืชและผลไม้รวม ขนมหน้านวล

พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House)

โดย คุณชวนันท์ (นุ่น) กิจสัมพันธ์

ที่ตั้ง ชั้น 5 ห้อง 5008 ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน (Siam Square One) เลขที่ 388 ถนนพระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 09-2098-6565

เปิดบริการ 11.00-21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ เมอแรงก์ (Meringue) คุกกี้

สาขาที่บ้าน เลขที่ 406 หมู่บ้านชลนิเวศน์ แยก 8(4) ถนนประชาชื่น ติดต่อเบอร์เดียวกันได้เลย สั่งได้ตั้งแต่ 08.00-21.00 น.

พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House)
ปลาสลิดทอดกรอบ
น้ำพริกปลาทูผัด

อาทิตย์นี้ไปเจอะเจอร้านอาหารไทยพื้นบ้านสุดแสนประทับใจจนอยากรีบบอกต่อ เพิ่งเปิดมาปีกว่า คุณยายคนทำอายุรวมกันมากกว่า 250 ปี ขายเป็นสำรับเมนูตามใจแม่ครัว ไปแล้วเหมือนได้กินข้าวกับญาติผู้ใหญ่ใจดี ร้านนี้มีชื่อว่า บ้านตาเรือง ขอขอบคุณ น้องแทนไร้เทียมทาน ที่แนะนำร้านดีมีเอกลักษณ์เช่นนี้นะครับ

ตาเรืองคือชื่อคุณทวดของน้องหวาย สมิทธิ เกษสกุล ตาเรืองมีลูกๆ มากถึง 10 คน แต่ก่อนนั้นบ้านนี้มีที่ทางมากมาย (ตาพัน พ่อตาเรืองคือเจ้าของที่แถวแฟลตดินแดงในตอนนี้) ทำนาอยู่บริเวณลำรางนาซอง คือซอยสถานทูตจีนในปัจจุบัน สมัยก่อนจูงควายไปเลี้ยงใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้

ตัดภาพมายุคไทยแลนด์ 4.0 น้องหวาย เหลนของตาเรือง ลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลคุณยายคนอื่นๆ เนื่องจากคุณยายขจรคนสุดท้องได้จากน้องหวายไป ก็เลยคิดได้ว่าเวลาของครอบครัวมีค่ามากกว่าสตางค์

หลังจากลาออกมาสักพัก น้องหวายเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า ภายหลังรู้ว่าสตางค์ก็มีค่าพอๆ กับครอบครัว จึงเปิดบ้านให้คุณยายขายขนม ทำไปทำมาช่วงแรกจึงเพิ่มเป็นสำรับอาหาร 2 อย่าง คิดแค่ 100 บาท ขายไปสักพักกลัวว่าคุณยายจะเหนื่อยจึงเปิดขายเหลือแค่ วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น

การมาร้านบ้านตาเรืองต้องโทรจองล่วงหน้าเป็นวันๆ กับ น้องหวาย ที่ เบอร์ 06-3551-6554 โดยจะขายเป็นสำรับอาหารไทยพื้นบ้าน 4 อย่าง (สำรับหนึ่งกินได้ 2-4 คน) หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน (มีประมาณเกือบ 30 อย่าง) ไม่มีเมนูให้สั่งนะจ๊ะ ซึ่งคิวจองไม่ยุ่งยากอะไร (ณ ตอนนี้)

ตัวบ้านจุคนได้หลายสิบคน เปิดขายตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ขอแนะนำว่าให้ไปตั้งแต่ร้านเปิด หรือไปหลังบ่ายโมงกว่าจะสะดวกสบายไม่แน่นจนเกินไป

พอได้วันนัดแล้ว ให้มาที่ ซอยสถานทูตจีน รัชดาภิเษก 3 ที่อยู่เลยห้างฟอร์จูนไปเพียงเล็กน้อย เลี้ยวเข้าซอยไปแล้วให้มองทางขวาหา ซอยรัชดา 3 แยก 14 จุดสังเกตปากซอยแยกคือร้านสะดวกซื้อ 7-11 ร้านที่ 3 นับจากถนนใหญ่ และมีศาลพระพรหมตั้งอยู่ปากซอยด้วย

ซอยรัชดาฯ 3 แยก 14 นี้เป็นซอยตันสั้นๆ ไม่พลุกพล่าน เข้าไปเกือบท้ายซอยจะเห็นร้านบ้านตาเรืองอยู่ในเรือนหลังคาทรงจั่วใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นทางซ้ายมือ มีป้ายชื่อร้านเล็กๆ ติดอยู่ จอดรถริมซอยได้เลย (ถามกับที่ร้านได้) แถวนั้นเป็นบ้านญาติพี่น้องกันทั้งละแวก

เข้ามาในร้านรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้านสวน มีต้นไม้ใหญ่น้อย ตกแต่งด้วยไม้และกระเบื้องดินเผา ประดับประดาด้วยกระด้ง ข้อง หมวกชาวนา ตะกร้าจักสาน โมบายล์ปลาตะเพียนสาน ผ้าขาวม้า และรูปภาพตาเรืองตอนหนุ่มและลูกๆ ตั้งโต๊ะทั้งในห้องปรับอากาศและระเบียงด้านนอก ตรงฝ้าเพดานเหนือเคาน์เตอร์เขียนชื่อคุณตาคุณยายทั้ง 10 คนไว้ด้วย

พอมาถึงร้านก็แจ้งชื่อเราที่จองได้เลย ก่อนอื่นให้สั่งเครื่องดื่มชื่อเก๋ๆ จากในเมนูแผ่นใหญ่ เช่น ชาดำจี๊ดจ๊าด (45 บาท) น้ำมะขามพริกเกลือ (59 บาท) น้ำดอกบ๊วยบานแฉ่ง (59 บาท) จากนั้นเขาก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารเป็นสำรับมี 4 อย่างกับข้าวกล้อง 1 หม้อเล็ก

ในวันนั้นประกอบด้วย น้ำพริกปลาทูผัด เสิร์ฟมาบนกระจาดสาน คล้ายแจ่วแต่ไม่มีปลาร้า ปรุงรสจัดๆ เค็มเปรี้ยวหอม มีมะนาวให้บีบเพิ่ม แกล้มด้วยไข่ต้มยางมะตูม หมูสวรรค์หอมลูกผักชี และผักสด

ครอบครัวตาเรือง
ผัดพริกกุ้งมะพร้าวขูด

ส่วนกับข้าวอีก 3 ชนิดจะเสิร์ฟในจานวางอยู่บนถาดสังกะสีเคลือบ มีตั้งแต่ ต้มไก่ใบมะขามอ่อน เปรี้ยวเค็มหอมรสพื้นบ้านแท้ๆ ชื่นใจ ผัดเขียวหวานสันคอหมู ที่ถูกใจมาก รสมือเหมือนที่ผมกินตอนเด็ก เครื่องแกงหอมๆ นั้นคุณยายซื้อมาปรุงเพิ่ม เติมลูกผักชียี่หร่า ไม่มีรสหวาน ส่วนสันคอหมูจะรวนกับกะทิและน้ำปลา นุ่มหอมมีรสชาติเข้าเนื้อ

และอย่างสุดท้ายในสำรับคือเมนูยอดนิยม กุ้งทอดน้ำปลาหวาน จะมีมาร่วมสำรับบ่อยๆ น้ำปลาหวานปรุงด้วยน้ำตาลปี๊บ ใส่หอมเจียวซึ่งเจียวกับน้ำมันหมู (ซึ่งสมัยก่อนแทบทุกบ้านจะใช้น้ำมันหมูกันเกือบทั้งนั้น) สนนราคาสำรับประจำวันนี้คือ 560 บาท กินได้ 2-4 คน ซึ่งไม่แพงเลย

ปิ่นโตเถาเล็กขอร้องล่วงหน้าให้คุณยายทำอาหารอื่นๆ ในสำรับมาเป็นตัวอย่างอีกหลายจาน มีตั้งแต่ กะปิคั่วแนมด้วยผักสด (ไม่หวานถูกใจมาก) ใช้กะปิสองคลองจากบางปะกงเท่านั้น ผัดพริกกุ้งมะพร้าวขูด คืออาหารของครอบครัว พริกแกงเน้นผิวมะกรูด ใส่กุ้งบุบกับครกเป็นชิ้นเล็กๆ กับมะพร้าวแก่ขูด รสชาติไม่หวานเช่นกัน อีกอย่างคือ หมูตุ๋นซีอิ๊ว หมูสันคอกับสามชั้นติดมัน (คุณยายชอบ) ทำคล้ายต้มเค็มรสเข้มๆ น่าเสียดายที่วันนั้นไม่มีหมูกรอบจึงไม่ได้ลิ้มลอง หมูกรอบคั่วใบกะเพราพริกแห้ง

สำรับอีก3อย่างประจำวัน

สนนราคาสำรับอื่นๆ ก็มีตั้งแต่ 580-600-610-640 บาท (ราคาแพงสุดมีปลากะพงเป็นวัตถุดิบด้วย) เมนูในสำรับหมุนเวียนอื่นๆ ก็มีเช่น แกงเลียง แกงส้ม แกงเผ็ดฟักทอง ต้มกะทิสายบัวใส่ปลาทู

ลืมบอกไปว่าแม่ครัวอาหารคาวคือคุณยายศิริ อายุ 80 ปี (ตอนนี้น้องหวายกับคุณแม่มาช่วยทำอาหารด้วย) การเตรียมวัตถุดิบพิถีพิถันสุดสุด ซื้อมะพร้าวมาคั้นกะทิเอง ปลาดุก ปลาช่อน จะซาวด้วยน้ำมะขามหลายครั้งจนหมดคาว ไม่มีเมือก

นอกจากนี้ยังมีเมนูจานเดียวนอกสำรับ เผื่อสำหรับผู้ที่ยังไม่จุใจ คือ ผัดหมี่ศิริมงคล หมี่ผัดซอสที่ทำจากมะขามเปียก พริกแห้ง หอมแดง น้ำตาลมะพร้าว โปรดสังเกตว่าใช้ชื่อเมนู ศิริมงคล ไม่ใช่สิริมงคล เพราะตั้งชื่อตามคุณยายศิริ ที่ผัดหมี่ให้หวายได้กินตั้งแต่ยังเล็ก

3.ตัวช่วยคนช่างกิน เพราะจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดอาการจุกเสียด แน่นเฟ้อ เพราะอาหารไม่ย่อยจากมื้ออาหารแบบจัดหนักได้

4.ต้านมะเร็งร้าย ขอย้ำว่าไม่ใช่การรักษาโรคมะเร็ง! เพียงแต่มีการวิจัยที่นำใบจิงจูฉ่ายประมาณ 1 กำมือ มาปั่นหรือตำคั้นน้ำเพื่อรับประทานเช้า-เย็นก่อนมื้ออาหารสัก 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 2–3 เดือน ว่ากันว่าจะสามารถช่วยต้านทานต่อเซลล์มะเร็งได้ แต่ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย และเลือกกินอาหารที่ดีด้วย

5.สรรพคุณทางยาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ว่ากันว่าจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยขับพิษ แก้อาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยลดอาการผดผื่นคัน นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่มีโซเดียมต่ำเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคไต และยังช่วยในการฆ่าไวรัส เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมาลาเรียได้อีกทาง

อิ่มของคาวแล้ว ที่ร้านยังมีขนมไทยอีกด้วย ทำเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนั้นมี ครองแครงน้ำกะทิ ข้าวเหนียวสังขยา กล้วยบวชชี (22 บาทรวด) ตะโก้ (35 บาท) ข้าวเหนียวมะม่วง (80 บาท) และที่ไม่เหมือนใครคือ แตงโมหมูหยองผัด (55 บาท) ซึ่งก็คือปลาแห้งแตงโม แต่คุณยายทวี (พี่ใหญ่สุดอายุ 87 ปี) เปลี่ยนจากปลาแห้งเป็นหมูหยองผัดเพื่อไม่ให้มีรสคาว ส่วนตะโก้นั้นเป็นฝีมือคุณยายสมจิตต์

น้องหวายฝากบอกมาว่าต่อไปอาจจะขยายเวลาเปิดไปจนถึงทุ่ม 2 ทุ่มอีกด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัว ใครอยากไปชิมให้รีบตามไป อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน เพราะของดีอย่างนี้จะมีคนบอกต่อ ยกโขยงกันไปชิม แต่ตอนนี้ยังจองง่ายอยู่นะจ๊ะ

หมูตุ๋นซีอิ๊ว
คุณยายทวี อายุ 87 ปี
คุณยายทวี อายุ 87 ปี
กะปิคั่ว
กะปิคั่ว
ขนมไทยประจำวัน

บ้านตาเรือง

โดย สมิทธิ (หวาย) เกษสกุล

ที่ตั้ง 1151/3 รัชดาภิเษก ซอย 3 แยก 14 เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

โทร 06-3551-6554

เปิดบริการ 11.00-17.00 น. เสาร์-อาทิตย์

หยุด จันทร์-ศุกร์ และวันนักขัตฤกษ์

แนะนำ อาหารไทยพื้นบ้านรสมือคุณยาย เป็นสำรับ 4 อย่าง และมีขนมไทยขายเพิ่มต่างหากด้วย

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)