เครือเจริญโภคภัณฑ์ปฏิบัติการเดินหน้าสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามต่อเนื่อง ตามเจตนารมย์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือฯ ในการเตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลสนามแก่โรงพยาบาลที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ โดย นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น ดีลิเวอรี ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสื่อสารองค์กร บริษัท สยาม แม็คโคร จำกัด (มหาชน) และนางสาวรุจนาฏก์ วิมลสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านบรรษัทสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมกันเป็นผู้แทนองค์กร มอบอาหารและน้ำดื่ม และอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร จากโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 เพื่อสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาล 4 แห่ง ในสังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ โดยมี พลอากาศโท ธนวิตต สกุลแสงประภา เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ เป็นผู้แทนรับมอบอาหาร น้ำดื่มและด้านการสื่อสาร ณ กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อให้

บริการเพื่อสังคมแก่ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนประมาณ 300 เตียงที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม กองทัพอากาศ

นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนเครือเจริญโภคภัณฑ์ จากโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 กล่าวว่า เครือซีพีและบริษัทในเครือฯยินดีที่ได้รับใช้สังคมในโอกาสที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิดระลอก 3 โดยจะส่งมอบอาหาร น้ำดื่ม เพื่อเป็นเสบียงให้กับโรงพยาบาลสนามตามความตั้งใจของท่านประธานอาวุโส เครือซีพี ซึ่งในวันนี้เป็นการมอบเสบียงอาหารและการสื่อสารให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลจันทรุเบกษา โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (ดอนเมือง) ซึ่งต้องรับผิดชอบรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 เตียง ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระแก่ภาคสาธารณสุขได้ไม่มากก็น้อย โดยจะมอบอาหารและน้ำดื่มให้ 3 มื้อทุกวันในช่วงวิกฤติโควิด-19 ระลอกนี้

พลอากาศโท ธนวิตต สกุลแสงประภา เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพี ในฐานะภาคเอกชนที่ห่วงใยและร่วมแรงร่วมใจในการสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลทั้ง 4 แห่ง ถือเป็นขวัญกำลังใจแก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด-19 ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลสังกัด กรมแพทย์ทหารอากาศ ซึ่งขณะนี้เราได้เตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นการแสดงน้ำใจและกำลังเสริมสำคัญในการช่วยประเทศไทยให้ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปได้

ก่อนหน้านี้โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 ได้มอบอาหารน้ำดื่ม และด้านการสื่อสารแก่โรงพยาบาลสนาม-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนอกจากโรงพยาบาลในกองทัพอากาศที่ได้เริ่มส่งมอบในวันนี้ จะทยอยเดินหน้าส่งมอบกำลังใจเพื่อแบ่งเบาภาระแก่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลสนามของ รพ.รามาธิบดี โรงพยาบาลสนามของ รพ.พระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลสนามของ รพ.ตำรวจ โรงพยาบาลสนามในสังกัดกองทัพเรือต่อไป

เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร  เข้าร่วมรับโล่เกียรติยศ “ World’s Most Ethical Companies 2021” หรือ “บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกประจำปี 2564” จาก Ethisphere สถาบันระดับโลกในด้านการประเมินมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่มีจริยธรรม  ในงาน Virtual WME  Honoree Gala  2021   หลังจากที่ได้ประกาศผลการคัดเลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมประจำปี 2564 ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งนี้โดยมีผู้บริหารระดับสูงบริษัทชั้นนำใน 22 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมงาน อาทิ  Kellogg, LinkedIn, Sony, L’OREAL, Microsoft, PepsiCo, Prudential เป็นต้น ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดงาน Virtual ออนไลน์ครั้งแรก ในรูปแบบ Private Viewing Party เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด- 19  ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งแสดงความยินดีและสัมผัสประสบการณ์การรับชมงานระดับโลก

ในการนี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 6 ซีอีโอจากบริษัทที่ได้รับรางวัลนี้แบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมในช่วง CEO Highlight ร่วมกับ Michael Dell, Chairman and CEO, Dell Technologies , Jo Ann Jenkins CEO of AARP, Halsey Cook Jr. CEO of Milliken, Julie Sweet CEO of Accenture และ นายปกิต เอี่ยมโอภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

ทั้งนี้  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวถึงเส้นทางการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์แก่นักธุรกิจบนเวที  Virtual WME  Honoree Gala  2021   โดยกล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ดำเนินธุรกิจเติบโตมาหนึ่งศตวรรษมีพนักงานกว่า 4 แสนคนทั่วโลก ด้วยการยึดมั่นในหลักจริยธรรมและปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการของเครือฯ ไปพร้อมกับการยืดหลักค่านิยมองค์กรเป็นเข็มทิศสำคัญในการทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรม  อันได้แก่ “ปรัชญา 3 ประโยชน์” คือ การดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องเกิดประโยชน์ต่อทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน  รวมถึงประชาชนในประเทศต้องได้ประโยชน์  และสุดท้ายบริษัทก็จะได้รับประโยชน์  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเครือฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน  นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังยึดมั่นในค่านิยม “ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม” ซึ่งถือเป็นรากแก้วสำคัญในการทำให้ธุรกิจของเครือฯ จนได้รับความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน  ในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 “เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการยอมรับจากสถาบัน Ethisphere ให้เป็น 1 ใน 135บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก รางวัลนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า เครือฯจะไม่หยุดที่จะพัฒนาองค์กร ผู้บริหารและพนักงานของเครือฯ เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมดั่งเช่นที่เรายึดมั่นในคุณธรรมและความซื่อสัตย์มาตลอด 100 ปี ก้าวต่อไปของเครือฯ เราพร้อมมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมตามหลักมาตรฐานสากล  เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้คนในสังคม” นายศุภชัย กล่าว

ด้าน มร.ทิมโมธี เออร์บลิค (Timothy Erblich) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบัน Ethisphere กล่าวว่า ภาคธุรกิจคือกำลังสำคัญในการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ผ่านกระบวนการการทำธุรกิจ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) คือพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกให้ดีขึ้น ซึ่ง Ethisphere มั่นใจว่าผลงานอันน่าภาคภูมิใจของทั้ง 135 บริษัทจากทั่วโลกที่ได้รับพิจารณาให้เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมจะสร้างแรงบันดาลใจให้ภาคธุรกิจอีกจำนวนมากในทั่วโลกได้นำไปปฏิบัติตาม ภาคธุรกิจควรหันมาให้ความสำคัญกับ ESG ให้มากยิ่งขึ้น

กรอบความคิดและวิธีการคัดเลือกบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกนั้นได้รับการกำหนด ตรวจสอบ และขัดเกลาจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและความเข้าใจลึกซึ้งจากเครือข่ายผู้นำความคิดของ Ethisphere และจากคณะกรรมการWorld’s Most Ethical Company Methodology Advisory Panelเกณฑ์การคิดคะแนนมาจาก 5 ประเภทหลักๆ ประกอบด้วย กระบวนการดำเนินงานด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (compliance) (35%) การสร้างวัฒนธรรมด้านจริยธรรม (20%) ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (20%) การกำกับดูแลกิจการ (corporate governance) (15%) และชื่อเสียงขององค์กรและความเป็นผู้นำ (10%)

Ethisphere® Institute เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกที่กำหนดและพัฒนามาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้องค์กรดำเนินธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ และได้รับความไว้วางใจในตลาด Ethisphere มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการวัดผลและกำหนดมาตรฐานจริยธรรมหลักโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกในการวิเคราะห์และประเมินผล ซึ่งช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปรับปรุง การดำเนินธุรกิจและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็ง Ethisphere ยกย่องความสำเร็จด้านจริยธรรมขององค์กรต่าง ๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ผ่านการประกาศเกียรติคุณ “บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก” ซึ่งผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในนาม Business Ethics Leadership Alliance (BELA) ท่านสามารถดูค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ethisphere ได้ที่: https://ethisphere.com

วันที่ 22 เมษายน 2564  เครือเจริญโภคภัณฑ์คิกออฟโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 เริ่มที่โรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรก  โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ(ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่และนายมนัสส์  มานะวุฒิเวช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และ นางสาวรุจนาฎก์ วิมลสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมกันเป็นผู้แทนเครือฯ มอบอาหารและน้ำดื่มสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์  ทั้งนี้โดยมีศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานกรรมการ โรงพยาบาลสนาม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.บุญไชย สถิตมั่นในธรรม อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม จุฬาฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภัทรธนกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม ด้านสื่อสารองค์กร จุฬาฯ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรภัทร อิงคโรจน์ฤทธิ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม ด้านการบริหารงานทั่วไป จุฬาฯ ร่วมรับอาหาร น้ำดื่มจากโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด19 ณ สำนักงานโรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารจุฬาพัฒน์ 14

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของทุกภาคส่วนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงผนึกกำลังกันดำเนินโครงการ“ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ตามดำริของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อเสริมกำลังแก่โรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โรงพยาบาลสนามของรพ.รามาธิบดี โรงพยาบาลสนามของรพ.ศิริราช โรงพยาบาลสนามของรพ.พระมงกุฏเกล้า โรงพยาบาลสนามของรพ.ตำรวจ โรงพยาบาลสนามของทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ โดยจะสนับสนุนด้านอาหาร น้ำดื่ม เครือข่ายสื่อสารอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขในยามที่ประเทศชาติเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด19  โดยในส่วนของซีพีเอฟนั้นมีความเต็มใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจในโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด19 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ในที่สุด

ด้าน นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ(ร่วม) บมจ. ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า วิกฤตโควิดระลอกใหม่ครั้งนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือซีพีได้ระดมสรรพกำลังร่วมกัน ให้โครงการ ซีพีร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นนักรบแถวหน้า รวมทั้งขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยโควิด19 ที่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลทั่วไปมีอาการที่ดีขึ้นและหายป่วยโดยเร็ว ซีพีออลล์จะสนับสนุนอาหาร น้ำดื่มแก่โรงพยาบาลสนามในโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด19 อย่างเต็มกำลัง

สำหรับนายมนัสส์  มานะวุฒิเวช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในส่วนของกลุ่มทรู ได้นำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสนามให้ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างราบรื่นไม่สะดุด ซึ่งที่โรงพยาบาลสนาม-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยส่งทีมวิศวกรลงพื้นที่ติดตั้งรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว ทรูมูฟ เอช (COW หรือ Cell-On-Wheel) เพื่อขยายสัญญาณเครือข่ายอัจฉริยะ True5G ที่สามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันได้เป็นจำนวนมาก ตลอดจนเพิ่มความผ่อนคลายด้วยบริการ “ทรูวิชั่นส์ นาว” -TrueVisions NOW ดูทรูวิชั่นส์ผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชันทรูไอดี โดยมอบรหัส รับชมฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่ต้องแยกกักตัว ได้รับชมสาระ ความบันเทิง และคอนเท้นต์ ในรูปแบบสตรีมมิ่ง จาก 24 ช่องดังของทรูวิชั่นส์  เป็นเวลา 14 วันตลอดช่วงกักตัวอีกด้วย

โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 ครั้งที่ 1 ณ โรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด(มหาชน) บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด พร้อมด้วยชมรมเลขานุการเครือซีพี และทีมซีพีอาสา

5
6
ธนินท์ เจียรวนนท์

เจ้าสัวธนินท์ ประธานลงนามเอ็มโอยู “ซี.พี.-ซีพีเอฟ-แม่โจ้” วิจัยกัญชง พร้อมวางระบบปลูกครบวงจร เตรียมลุยเดินเครื่องผลิตอาหารผสมกัญชงเมนูแรกในปีนี้

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และความร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชกัญชง ระหว่าง รศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร พร้อมนายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ และคณะ

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การลงนามเอ็มโอยูพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากกัญชงเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ ช่วยยกระดับฐานะของเกษตรกรไทย

ทั้งนี้ CPF RD Center จะพัฒนานวัตกรรมอาหารโดยใช้จากสารสำคัญในพืชกัญชง ส่วนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการผลิตพืชกัญชงคุณภาพ จะมาช่วยวางระบบการจัดการวัตถุดิบกัญชง ซึ่งจะเป็นระบบพิเศษ ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ในระบบปิด เพื่อป้องกันโรคและแมลง และที่สำคัญต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงสายพันธุ์และแหล่งเพาะปลูกได้ เพื่อควบคุมเรื่องความปลอดภัยของอาหารซึ่งเป็นเป้าหมายการทำงานร่วมกันในครั้งนี้

“ผมคิดว่าเรื่องกัญชงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับประเทศไทย และประเทศไทยก็เปิดกว้างในเรื่องนี้ การวิจัยพัฒนาพืชกัญชงเป็นเรื่องท้าทาย แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายและยึดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคเป็นหลัก การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารนั้นจะต้องรอประกาศขององค์การอาหารและยา (อย.) ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ก่อน จากนั้นคาดว่าจะพร้อมผลิตอาหารสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกัญชงที่ดีต่อสุขภาพจะออกสู่ตลาดได้ภายในปีนี้”

ทั้งนี้ กัญชงถือเป็นพืชที่พิเศษ ที่รับประทานและดูดซับเข้าสู่ร่างกายได้ 100% ทั้งยังมีคุณค่าสารสำคัญมากมาย อาทิ CBD ที่งานวิจัยในต่างประเทศพบว่ามีประโยชน์ต่อระบบประสาทและสมอง ระบบหัวใจ สารกลุ่มเทอร์ปีนช่วยผ่อนคลาย และสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนเมล็ดกัญชงเป็นแหล่งโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกายรวมถึงมีไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 ส่วนกากเมล็ดกัญชงสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ได้อีกด้วย

รศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ระบุว่า มหาวิทยาลัยได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกัญชงและกัญชามาตั้งแต่ปี 2554 การลงนามความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ การผลิต ต่อยอดไปสู่การแปรรูปทั้งเวชภัณฑ์ อาหารสัตว์ เครื่องสำอาง เนื่องจาก CPF มีโนว์ฮาวและเทคโนโลยีช่วยต่อยอดในทุกด้านซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อวงการการศึกษาของไทย

“เรามั่นใจว่าจะค้นพบและพัฒนาสายพันธุ์ที่เป็นไทยแท้ที่ดีช่วยลดการนำเข้า มีเทคนิควิธีการปลูกที่ดีทั้ง outdoor และ indoor และเพียงพอใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร สามารถใช้ประโยชน์กัญชงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจ”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

12 มีนาคม 2564 – บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมมือกับบริษัท ทรู ดิจิตอล พลัส จำกัด  จัดทำโครงการการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเกม SDGs Game Fest การสร้างสรรค์ไอเดียออกแบบและพัฒนาเกม ภายใต้แนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเกมที่สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับ SDGs เพื่อร่วมขับเคลื่อนและส่งเสริมการดำเนินงานที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อภายในปี 2573 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปในวงกว้าง โดยเปิดรับแนวคิด (Concept) และ แผนพัฒนาเกม (Game Development) ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 100 ทีม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือก และคาดว่าจะได้ทีมชนะเลิศภายในเดือนมิถุนายน 2564 โดยเกณฑ์การคัดเลือก จะไม่จำกัดเพศและวัย สิ่งสำคัญคือต้องมีความมุ่งมั่นพร้อมสร้างสรรค์เกมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ คำนึงถึงความยั่งยืนในทุกมิติ  โดยพบว่าผู้สนใจเข้าร่วมโครงการมีช่วงอายุค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่อายุ 12-70 ปี

สำหรับทีมชนะเลิศ จะได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 200,000 บาท รวมไปถึงทุนเพื่อพัฒนาเกมให้สามารถใช้เล่นได้จริง จำนวน 15 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล และรางวัลชมเชย 2 รางวัล โดยเป้าหมายของโครงการคือ เกมจะถูกนำไปพัฒนาให้ใช้ได้จริงและนำไปจัดแสดงในงาน Thailand Game Show 2022 ต่อไป

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า “เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยืนยันความมุ่งมั่นในการประกอบธุรกิจอย่างรับผิดชอบ บนพื้นฐานของหลักบรรษัทภิบาล ก้าวสู่อนาคตแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อโลก เพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งต่อยอดความสำเร็จจากเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2563 ด้วยการประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมเป้าหมาย Net Zero Carbon และ Zero Waste สู่ปี 2573 และผนึกกำลังร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติทั้ง 17 ข้อภายในปี 2573 อีกด้วย ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายอย่างยิ่งและต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายดังกล่าว”

ในการนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้จัดทำโครงการ SDGs Game Fest เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทุกเพศทุกวัยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบพัฒนาเกมออนไลน์ที่จะช่วยส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะองค์กรภาคเอกชน ได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างเกม ได้แก่ กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โครงการวิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรู แอกซิออน อินเตอร์แอกทีฟ จำกัด (True Axion Interactive) ซึ่งบริษัททั้งสองนี้เป็นศูนย์กลางของกลุ่มนักพัฒนาเกมออนไลน์ที่มีชื่อเสียงในระดับอาเซียน ร่วมออกแบบและพัฒนาเกมที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ การขจัดความยากจน การลดความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม การแก้ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่จะสื่อสารหลัก คือ กลุ่มเยาวชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ

รายงานของ Nielsen Company ระบุว่า เมื่อปี 2563 อุตสาหกรรมเกมและสื่ออินเตอร์แอคทีฟ มีรายได้ประมาณ1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเด็นนี้ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวเสริมว่า “การจัดทำโครงการนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะเสริมจุดแข็งของธุรกิจเกมไทย ด้วยการพัฒนาบุคลากรผ่านการออกแบบและพัฒนาเกมในเชิงสร้างสรรค์ เครือฯ จึงยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนศักยภาพของทุกคนในการออกแบบและพัฒนาเกมที่สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนและเกมนี้น่าจะเป็นต้นแบบแก่ประเทศต่าง ๆ ได้นำไปใช้จริง ซึ่งจะส่งเสริมอาชีพ เพิ่มขีดความสามารถด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในอุตสาหกรรมเกมไทยให้เติบโตสู่ตลาดโลก พร้อมสร้างรายได้ ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น Thailand 4.0 และยังเป็นการสนับสนุนสหประชาชาติที่ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย”

นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งสมัยนั้นรัฐบาลไทยเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้สินค้าเกษตรมีมูลค่าเพิ่มในรูปแบบต่างๆ โดยกำหนดเป้าหมายสำคัญคือ “การเป็นครัวของโลก” เนื่องจากไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารที่อุดมสมบูรณ์ และอาหารไทยยังมีชื่อเสียงระดับโลก เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ  อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวยังไม่ประสบผลสำเร็จมากเท่าที่ควร และรัฐบาลยังคงหาทางผลักดันเพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19 ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงัก เศรษฐกิจโลกก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า

ดังนั้น  เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังดิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง  “Select USA: Helping Thai Companies Go Global” โดยเชิญภาคเอกชนไทยที่มีบทบาทลงทุนในต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนทรรศนะ และประสบการณ์ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา งานดังกล่าวจัดขึ้นที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ทั้งยังรับชมผ่านระบบออนไลน์ ได้ด้วย

นายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ประธานธุรกิจ-สหรัฐอเมริกา เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมเสวนา “Case Studies of Global Expansion – Lessons Learned” ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนการขยายตัวของภาคเอกชนไทยสู่การลงทุนระดับโลก โดยมี นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายไมเคิล กล่าวเบื้องต้นถึงการจัดเสวนา ว่าองค์กรธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยได้ขยายการลงทุนไปสหรัฐอเมริกา ดังนั้น จึงอยากเชิญธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จ มีวิสัยทัศน์ และมีบทบาทในระดับโลก ร่วมกันนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของภาคเอกชนไทยมาแลกเปลี่ยนมุมมองหลังวิกฤตโควิด-19 เพื่อจะได้ร่วมมือกันขับเคลื่อนธุรกิจในระดับโลก ควบคู่ไปกับความยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งเป็นความหวังในปี ค.ศ. 2021 นี้ 

จากนั้นนายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต จากซีพี กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนของธุรกิจไทยในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2549-2562 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นเป็น 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับบริษัทไทยในการสำรวจโอกาสทางธุรกิจในระดับโลก  สหรัฐฯ มีหลายมลรัฐและมีกฎกติกาข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป  จึงเป็นเรื่องที่นักลงทุนจำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะนำมาซึ่งการขยายการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้ จากประสบการณ์ของซีพีในการกระจายการลงทุนใน 23 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานมากกว่า 350,000 คน  สิ่งสำคัญคือจะต้องวิเคราะห์การลงทุนทั้งก่อนและหลังที่จำเป็นทั่วโลก รวมทั้งวิสัยทัศน์ขององค์กรจะต้องสอดคล้องกับการขยายการลงทุนในธุรกิจต่างแดนนั้นด้วย โดยเครือซีพี เลือกลงทุนในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลหลัก

 

03

คือ 1.สหรัฐเป็นประเทศที่มี GDP มากที่สุดในโลก และส่งผลให้มีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2.เมื่อมองถึงอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นธุรกิจหลักของซีพี สอดคล้องกับในพื้นที่แถบตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ที่มีการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองมาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับอุตสาหกรรมอาหารของซีพี  3.สหรัฐฯ มีเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งซีพีให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ขององค์กร

นายบุญชัย กล่าวต่อว่า ซีพีได้เข้าไปลงทุนในสหรัฐโดย บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  เข้าซื้อหุ้น 100% ด้วยเม็ดเงิน 38,000 ล้านบาท ของบริษัท เบลลิซิโอ ฟู้ด อิ้งค์ (Bellisio) ผู้นำด้านการผลิตอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2559  และเป็นการรองรับเทรนด์อาหารแช่แข็งทั่วโลก ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญของซีพี และเป็นหนึ่งในเป้าหมาย Kitchen of The World ที่นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2542

นอกจากการเข้าซื้อกิจการแล้ว ซีพียังได้สร้างธุรกิจใหม่อีก 2 แห่งในรัฐเท็กซัสและฟลอริด้าอีกด้วย ซึ่งรูปแบบดำเนินธุรกิจของซีพีในสหรัฐฯ นั้น ให้ความสำคัญกับการต้องเข้าใจวิถีคนอเมริกัน ทำความเข้าใจด้านพฤติกรรม ทัศนคติและวัฒนธรรมอเมริกัน เพื่อที่จะได้เข้าใจการทำธุรกิจแบบอเมริกัน อย่างกรณีเบลลิซิโอนั้น ซีพีจ้างพนักงานสัญชาติอเมริกันทั้งหมด 2,000 คน  มีคนไทยเพียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งทีมงานนี้สามารถช่วยเราสร้างธุรกิจใหม่ หรือ Greenfield Business ได้  ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนไปยังต่างประเทศของซีพีได้ปรับใช้มาจากประสบการณ์ในไทยก่อน ด้วยการขยายธุรกิจให้เติบโต

จากนั้นเร่งสปีดเพื่อให้เกิดการขยายตลาดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ คือการเข้าไปสร้างประโยชน์ต่อประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ ลำดับต่อมาคือประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศนั้นๆ และสุดท้ายจึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กร

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัยใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยซีพี  ได้เปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมาและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรีแก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล และประชาชนกลุ่มเปราะบาง  ไปแล้วกว่า 11 ล้านชิ้น และปัจจุบันยังผลิตหน้ากากอนามัยมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเป็นประจำทุกเดือนๆ ละกว่า 300,000 ชิ้น นอกจากนี้ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทในเครือยังร่วมสนับสนุนการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยซีพีแก่กลุ่มผู้เปราะบางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่ต้องการให้บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมหลังผ่านวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพื่อนำผลกำไรที่เกิดขึ้นมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยต่อไป

ทั้งนี้ ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ ยังคงผลิตหน้ากากอนามัยฟรีมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเป็นประจำทุกเดือนๆ ละกว่า 300,000 ชิ้น  และแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรีผ่านโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ครอบคลุมโรงพยาบาล มูลนิธิ  และองค์กรการกุศลกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฎิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ได้นำไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย และสามารถนำหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย รวมถึงการส่งมอบหน้ากากอนามัยซีพีให้กับสถานทูตลาว กัมพูชาและเวียดนาม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มแรงงานที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และในช่วงที่ผ่านมา ได้ขยายการส่งต่อความห่วงใยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมอบหน้ากากอนามัยซีพีจำนวน 1 ล้านชิ้นให้แก่รัฐบาลเมียนมาเพื่อแจกจ่ายไปยังประชาชนชาวเมียนมาในช่วงที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิดระบาด

ในการนี้ ศาสตราจารย์ นพ. ซอ ตัน ตุน  อธิบดีกรมวิจัยทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขและการกีฬา  สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา กล่าวว่า ขอชื่นชมพร้อมขอบคุณที่เครือซีพี  ได้เล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่เมียนมา  เพื่อใช้ในการป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อดังกล่าว  โดยทางกระทรวงฯจะดำเนินการจัดสรรหน้ากากอนามัยที่ได้รับจากซีพีไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการเร่งด่วนในกลุ่มแพทย์ พยาบาล บุคลาการทางการแพทย์ และประชาชนเมียนมา เพื่อใช้ป้องกันโควิด-19 ต่อไป

นายเชิดเกียรติ อัตถากร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  กล่าวว่า หน้ากากอนามัยที่ได้รับจากเครือซีพี ถือเป็นขวัญกำลังใจและให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ที่ยังมีความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงการต่างประเทศจะนำไปมอบให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศทั่วโลก รวมทั้งหน่วยงานทีมประเทศไทย ซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะด่านหน้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ด้านพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  กล่าวว่า หน้ากากอนามัยที่ได้รับมอบจากเครือซีพี ได้เร่งนำไปแจกจ่ายกับกลุ่มผู้เปราะบางที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย รวมไปถึงอาสาสมัครในพื้นที่  เพราะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นหน้ากากอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็นในเวลานี้ที่จะช่วยป้องกันไวรัส

นางสาวจิราภรณ์ ศรไชย  รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล โรงพยาบาลสงฆ์  กล่าวว่า ปัจจุบัน โรงพยาบาลมีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยไม่ต่ำกว่าวันละ 600 ชิ้น ซึ่งเครือซีพีเป็นองค์กรเอกชนที่ตระหนักถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ และมีบทบาทสำคัญในการเร่งสร้างโรงงานหน้ากากอนามัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ขณะที่บาทหลวงเทพรัตน์ ปิติสันต์ อธิการเจ้าคณะนักบวชซาเลเซียน ประเทศไทย  กล่าวว่า  หน้ากากอนามัยซีพีที่ได้รับมานี้  ได้นำไปแจกจ่ายฟรีแก่โรงเรียนและสถาบันต่าง ๆ ในครอบครัวซาเลเซียนจำนวน 30 แห่งทั่วประเทศไทย  โดยเฉพาะเยาวชนที่ยากจนและด้อยโอกาส  พร้อมขอบคุณเครือซีพีที่เล็งเห็นความสำคัญโดยเฉพาะกับกลุ่มคนเปราะบางที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด

น.ส.ปิยธิดา นิยม ผู้อำนวยการเขตคลองเตย  กล่าวว่า  ชุมชนคลองเตยเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่  ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนที่ไม่สามารถจัดหาหรือเปลี่ยนหน้ากากอนามัยได้บ่อยๆ  รวมถึงกลุ่มคนเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19  ได้ง่าย  ซึ่งการได้รับมอบหน้ากากอนามัยถือว่ามีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดและป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด 19  

สำหรับหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดย บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่เรียกว่า Surgical Mask จัดอยู่ในกลุ่มของอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางการแพทย์จึงมั่นใจได้เต็มที่ในการใช้ป้องกันโรคโควิด-19 โดยได้รับการรับรองจาก  Nelson Labs องค์กรมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์จากสหรัฐอเมริกาถึงคุณภาพมาตรฐานหน้ากากอนามัยซีพี ตอกย้ำความมั่นใจในการใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี      

ศุภชัย เจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ชวนชมนิทรรศการ “ต้นแบบแห่งเมล็ดพันธุ์ความสุขที่ยั่งยืน” เพื่อน้อมรำลึกพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ 1-6 ธ.ค.นี้ แจกเมล็ดพันธุ์ผักฟรีทุกวันรวม 9,999 ซอง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทในเครือฯร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563 ที่รัฐบาลจัดขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  โดยร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ต้นแบบแห่งเมล็ดพันธุ์ความสุขที่ยั่งยืน” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะที่เป็นต้นแบบของกษัตริย์นักพัฒนาที่ยั่งยืน  โดยน้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นต้นแบบในการสร้างความยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติและสังคมเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของคนไทย

ทั้งนี้ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริใน 3 ด้านสำคัญ คือ ด้านการพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เครือฯและบริษัทในเครือฯได้ใช้เป็นต้นแบบในการประกอบธุรกิจสร้างประโยชน์เพื่อประเทศชาติและสังคม สอดคล้องกับปรัชญา “3 ประโยชน์” ที่เป็นค่านิยมองค์กรซึ่งมุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อองค์กรเป็นลำดับสุดท้าย ภายในนิทรรศการต้นแบบแห่งเมล็ดพันธุ์ความสุขที่ยั่งยืนนี้ จึงแบ่งออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย 1.เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต : การพัฒนามนุษย์  2.เมล็ดพันธุ์แห่งโอกาส : การพัฒนาสังคม 3.เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน : การพัฒนาสิ่งแวดล้อม

โซนที่ 1 เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต  : การพัฒนามนุษย์ ด้วยเพราะเห็นว่าการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนามนุษย์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้มีส่วนร่วมในการช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างอนาคตให้กับเยาวชนของประเทศ ผ่านโครงการสำคัญ ๆ ได้แก่  1.โครงการทรูปลูกปัญญา มอบโอกาสการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมด้วยสื่อและเทคโนโลยีอย่างครบวงจร 2.โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรม สร้างต้นแบบเยาวชน สนับสนุนการศึกษาและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม 3.โครงการพัฒนาศักยภาพคน โดย บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน)  ก่อตั้งสถาบันการศึกษาเพื่อสังคม 2 แห่ง คือ “วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์” และ “สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์” รวมถึงศูนย์การเรียนรู้ปัญญาภิวัฒน์อีกกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาศักยภาพผ่านการมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนอีกหลากหลายโครงการ

โซนที่ 2 เมล็ดพันธุ์แห่งโอกาส : การพัฒนาสังคม  เนื่องจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักว่าการสร้างคุณค่าทางสังคมถือเป็นหนึ่งในภารกิจหลักเพื่อมอบโอกาสที่ยั่งยืนกับคนไทย ในโซนนี้จะนำเสนอถึงโครงการต่าง ๆ ที่เครือฯและบริษัทในเครือฯร่วมพัฒนาและสร้างสรรค์เพื่อสังคม ได้แก่  โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ที่จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้น้อมนำแนวพระราชดำริด้านการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในลักษณะหมู่บ้านเกษตรกรรม ตั้งแต่ปี 2520 เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งปัจจุบันหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย  โครงการ“ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ปากน้ำประแส” เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศต่อยอดสู่การสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” สนับสนุนการร่วมสร้างสรรค์สุขภาพและสุขภาวะที่ดีให้กับเยาวชน “โครงการส่งเสริมเกษตรกรและ SME” จำหน่ายสินค้าผ่านร้าน 7-11 และ 24 shopping เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน “โครงการรอยยิ้มชาวเล” ที่นำผลผลิตของชุมชนประมงพื้นบ้านหัวไทร จ.นครศรีธรรมราชจากการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล มาต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นส่งเสริมรายได้ให้แก่ชาวประมงภายใต้แนวคิด SEACOSYSTEM เพื่อทะเลไทยยั่งยืน  “โครงการ True Coffee deaf Barista” ที่เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินพัฒนาเป็นบาริสต้ามืออาชีพ และยังช่วยส่งเสริมศักยภาพสร้างอาชีพอย่างยั่งยืนแก่กลุ่มผู้พิการเพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม

โซนที่ 3 เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน : การพัฒนาสิ่งแวดล้อม เครือเจริญโภคภัณฑ์มุ่งมั่นในการปกป้องระบบนิเวศและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนไปยังคนรุ่นใหม่  ในโซนนี้นำเสนอโครงการสบขุ่นโมเดล จ.น่าน ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟเพื่อพลิกฟื้นผืนป่า และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

“ยามวิกฤตต้องคิดเสมอว่า เมื่อสว่างแล้วจะทำยังไง ผมชอบมองโลกแง่ดี ตอนที่มืดที่สุดเราต้องศึกษา ถ้าสว่างต้องทำอะไร ต้องทำตอนมืด ไม่ใช่พอสว่างค่อยมาทำ อาจจะช้าไป”

คำกล่าวข้างต้น เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ย้ำหลายครั้งตลอดบทสนทนาเมื่อถามถึงแนวคิดในการขับเคลื่อนองค์กรฝ่า (ทุก) วิกฤตในอดีต ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่ใครต่อใครมองว่าหนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว ก็ไม่ต่างกัน

“เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว เฉพาะเมืองไทยนะ เพราะเราผ่านช่วงที่น่าจะพีคที่สุด และอันตรายที่สุดไปแล้ว ต้องยกย่องหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ช่วยแพทย์ทุกหมู่บ้าน อสม. ที่คอยติดตามเป็นหูเป็นตาให้ และให้ความรู้กับชาวบ้าน เราทำได้ดีมาก ต้องยกย่อง และให้กำลังใจ นักธุรกิจเวลาสู้กันมีตัวตน รบในสงครามที่มีตัวตน แต่หมอสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ถ้าติดก็ตายได้ เราต้องให้กำลังใจ เพราะสนามรบนี้หมอไปรบ”

แต่ถ้าถามว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไร เจ้าสัวธนินท์บอกว่า ต้องถามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมาที่จะทำให้เศรษฐกิจ และธุรกิจต่างๆ เดินต่อไปได้

“ถ้ามีมาตรการที่ไม่ถูกต้อง เราอาจติดลบมากกว่าที่หลายสำนักประเมินไว้ เพราะการปิดหรือเลิกกิจการไปไม่ยาก แต่การฟื้นกลับมาใหม่ไม่ง่าย เปรียบได้กับการสร้างบ้าน สร้างตึกที่ต้องใช้เวลาหลายปี เวลาจะรื้อกดระเบิดแค่ไม่กี่วินาทีพังราบ”

นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นต้องรีบเปิดประเทศ โรคนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร และย้ำว่า “วิกฤต” เป็นแค่สิ่งชั่วคราว เมื่อมืดก็มีสว่าง แต่รอให้สว่างแล้วทำ อาจไม่ทัน เช่น การท่องเที่ยวเมื่อพิสูจน์แล้วว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยเก่งมาก มีโรงพยาบาลดีๆ มีโรงแรมห้าดาวเต็มไปหมดจึงควรใช้สิ่งนี้โฆษณาไปทั่วโลก

และต่อยอดไปสู่การผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะสร้างตลาดการท่องเที่ยวใหม่ที่มีการใช้จ่ายเงินสูง เฉลี่ย 2 แสนบาท/คน จะสร้างรายได้มากถึง 1 ล้านล้านบาท

“ให้โรงแรมห้าดาวลิงก์กับบริษัททัวร์ ไปชวนเศรษฐีอเมริกัน จีน ยุโรป รัสเซีย มาเที่ยวเมืองไทย พวกนี้เป็นกลุ่มหนีตาย ไม่ใช่หนีภัย ดังนั้นไม่ต้องเยอะ แค่ 1 ล้านคน ก็เท่ากับ 4-5 ล้านคนแล้ว เพราะบ้านเขาไม่มีเตียง ไม่มียา ไม่มีหมอพอ บ้านเรามีครบ ทำได้ก็จะฟื้นเศรษฐกิจได้เร็ว คนมีเงินมาอยู่บ้านเราได้เป็นเดือน หรือ 2-3 เดือน แต่ต้องทำเดี๋ยวนี้ เมื่อทุกอย่างสงบแล้วทำไมเขาต้องมาเมืองไทย”

เจ้าสัว “ธนินท์” เห็นด้วยกับการคลายล็อกทีละขั้นของรัฐบาล และเชื่อว่าไม่น่าทำให้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไทยกลับมารุนแรงขึ้น

“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไร 100% มีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่เราจะป้องกันและดูแลตัวเองยังไง ญี่ปุ่นบ้านเขาเล็ก หลังเลิกงานไปสังสรรค์ร้านเล็กๆ ของไทยกว้างกว่า อากาศก็ร้อน ผมอาจผิดก็ได้ แต่ผมชอบมองโลกในแง่ดี ทำให้มีกำลังใจ ตอนที่มืดที่สุดเราต้องศึกษาว่าถ้าสว่างจะทำอะไร ต้องทำตอนที่ยังมืด ไม่ใช่สว่างแล้วค่อยมาทำ”

เช่นกันกับในทุกสังคม ถ้าไม่มีคนโกง ไม่มีคนเกเร โลกนี้คงไม่ต้องมีตำรวจ มีคุก ไม่ว่าอเมริกาหรือที่ไหน เพียงแต่มากหรือน้อย และมองว่าเมืองไทย เรื่องโกงมีแต่น้อย และคนส่วนใหญ่ยังเป็นคนดี นักธุรกิจก็มีไม่ดี มีที่เอารัดเอาเปรียบ แต่ 80% เป็นคนดี ถ้าไม่ดี เมืองไทยจะอยู่มาได้ยังไง เพราะนักธุรกิจเป็นคนสร้างอะไรหลายอย่างให้กับประเทศ

“ซีพีเป็นบริษัทครอบครัว แต่ผู้ถือหุ้นก็มีกองทุนอะไรต่างๆ และใช้มืออาชีพ ลูกหลานไม่ได้มาวุ่นวายดูแต่เรื่องคนและการเงิน ซีพีถึงขยายไปทั่วโลกได้ ถ้าเราจำกัดเฉพาะครอบครัว เราไปไม่ได้ไกล ทรู ขายอาหารสมอง ซีพีขายอาหารปากท้องยังไปได้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น คนต้องกินต้องใช้ แต่จะบอกว่าไม่กระทบ ไม่เสียหายเลยคงไม่ใช่”

ในช่วงที่ผ่านมา เครือซีพีเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่ระดมสรรพกำลังทั้งเงินและคนช่วยประเทศก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ในหลายรูปแบบ เช่น การสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรี, มอบอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้กักตัว, มอบ 77 ล้านบาท ให้ 77 โรงพยาบาล, แจกอุปกรณ์สื่อสาร-หุ่นยนต์-ซิม เป็นต้น

เจ้าสัวธนินท์มองว่า ถ้าส่วนรวมดีขึ้น ประเทศดีขึ้น ธุรกิจต่างๆ รวมถึงเครือซีพีก็จะดีขึ้น แต่ถ้าส่วนรวมพัง ธุรกิจใหญ่จะพังหนักกว่า

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนเชอรี่ นาคเจริญ [email protected]