กำลังเป็นกระแสที่ร้อนแรงยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามบ่าย สำหรับนิทรรศการ “จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา” ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมกัน ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านไป        1 เดือนกว่าๆ แล้ว เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ    คนไทยให้ความสนใจเข้าชมกันอย่างล้นหลาม ต่อคิวซื้อตั๋วยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงเช้า ถึงตอนนี้ยอดคนดูพุ่งเกิน 1 แสนรายไปแล้ว

“มติชนอคาเดมี” ผู้นำแห่งการทัวร์ศิลปวัฒนธรรม เราไม่ตก        เทรนด์รีบจัดทัวร์พาชมไป 2 รอบ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม            ที่ผ่านมา ที่แม้จะผ่านไปแล้ว 1 เดือนกว่า ก็ไม่มีทีท่าว่าคนจะซาลงแม้แต่น้อย

งานนี้มีการจัดวางได้เหมาะสมเต็มพื้นที่ มีการลำดับช่วงเวลาแบ่งเป็น 3 ห้อง ตั้งแต่ราชวงศ์โจวตะวันออก ก่อนจะเข้าสู่ยุคราชวงศ์ฉินของจิ๋นซีฮ่องเต้ และ เปลี่ยนผ่านไปสู่ราชวงศ์ฮั่น

การเป็นลูกทัวร์ “มติชนอคาเดมี” ต้องพิเศษกันหน่อย ด้วยการจัดห้องส่วนตัวให้ลูกทัวร์ไปนั่งพักสบายๆ ดื่มกาแฟ รับประทานของว่าง นั่งฟังบรีฟสั้นๆ ก่อนจะเข้าไปชมนิทรรศการจาก อ.แอ๋ม-ผช.ศ.นวรัตน์ ภักดีคำ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ที่รับหน้าที่เป็นไกด์บรรยายให้ฟังในครั้งนี้

อ.แอ๋ม บอกว่า เรารู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ผ่านสื่อภาพยนตร์ ทุกคนมองที่ความยิ่งใหญ่ในการรวบรวมแผ่นดินจีนจากแคว้นที่แตกแยกมารวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีไม่ได้เกิดแค่วันเดียว จากแคว้นเล็กๆ มายิ่งใหญ่ได้อย่างไร ใครเป็นผู้วางรากฐาน และเมื่อแคว้นต่างๆ ที่แตกต่างกันทั้งภาษา ระบบชั่งตวงวัด วัฒนธรรมประเพณี ทำอย่างไรให้ทั้งอาณาจักรเกิดความเป็นหนึ่งเดียว ขณะที่ในยุคนั้นเรื่องชีวิตหลังความตายมีความสำคัญ จึงต้องมีความรู้เบื้องต้นพกติดตัวเวลาเข้าไปชม

เริ่มจากห้องแรกแสดงของจากยุคราชวงศ์โจวตะวันออก ซึ่งยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายที่นิยมใช้สำริด หลังจากนี้เริ่มมีการใช้เหล็กมากขึ้น เป็นยุคที่ปรากฏหลักฐานศิลปกรรมที่เกี่ยวกับโลกหลังความตาย ซึ่งเป็นต้นเค้าให้กับความเชื่อในยุคถัดมา

มาถึงราชวงศ์ฉิน เป็นยุคที่รวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว การสร้างงานศิลปกรรมเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ แม้กระทั่งโลกหลังความตาย ที่เมื่อครั้งมีชีวิตยิ่งใหญ่อย่างไร ดังนั้นสุสานที่เป็นบ้านหลังความตายก็ต้องยิ่งใหญ่เหมือนกัน ซึ่งในสุสานที่ขุดพบนั้น พบว่ามีการจำลองพระราชวังทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน มีรถม้า เสื้อเกราะศิลา ทหารตุ๊กตาดินเผาขนาดเท่าคนจริง ซึ่งถือว่าเป็นเมกะโปรเจ็คต์ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งคาดว่าการทำแบบนี้เป็นการรับประกันว่าผู้วายชนม์จะอยู่เป็นสุขในโลกหลังความตาย และเป็นการแสดงแสนยานุภาพของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่มีต่อรัฐทั้งหก

จนมาถึงราชวงศ์ฮั่นที่เป็นการสืบต่อและคิดเพิ่ม ที่ความเชื่อหลังความตายยังมีอยู่ แต่อาจเปลี่ยนแนวคิดไปบ้าง คือ ขนาดตุ๊กตาที่เล็กลง เน้นแค่สัดส่วนที่สมจริงแต่ไม่ต้องเท่าตัวจริง ตุ๊กตาดินเผาจากม้าศึกก็กลายเป็นปศุสัตว์ มีหมู แพะ วัว เป็นต้น

สำหรับกระแสคนไทยเข้าชมนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้นี้ “อ.หลิง-ผศ.ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช” รองคณบดีฝ่ายวิชาการ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า การที่คนหลั่งไหลมาชมนิทรรศการจิ๋นซีครั้งนี้มองว่ามีปัจจัย 3 ข้อ 1. ต้องให้เครดิตกรมศิลปากรที่ประชาสัมพันธ์หลายช่องทางทำให้คนเข้าถึงมากขึ้น 2. อาจเพราะคนไทยรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ผ่านซีรีส์ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุสานจิ๋นซี หรือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี และ 3. เนื่องจากจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นมีความยิ่งใหญ่เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว

อ.หลิง บอกว่า ถามว่าจะเป็นเหตุผลที่คนไทยรู้สึกใกล้ชิดกับจีนนั้น ส่วนตัวมองว่าอาจเป็นแค่เหตุผลรอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนคงเข้าศาลเจ้าเยอะไปแล้ว หรือ ที่วิหารเซียนก็มีตุ๊กตาจิ๋นซีมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็มองว่ากระแสนี้เป็นสัญญาณที่ดี แต่หลังจากนี้ถ้ามีงานนิทรรศการอื่นๆ คนจะยังมาดูเยอะเป็นเทรนด์เหมือนครั้งนี้ไหม ส่วนตัวมองว่ายังบอกอนาคตของพิพิธภัณฑ์ภายใต้กรมศิลปากรไม่ได้ แต่คิดว่าจากงานนี้กรมศิลป์จะเห็นแนวทางแล้วว่าทำแบบไหนคนจะตื่นตัวมาดูพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เรียนรู้จากปรากฏการณ์นี้แล้วมาพัฒนาต่อ แต่ถ้าเป็นไปได้ในเวลาที่เหลืออยู่ มองว่ากรมศิลปากรน่าจะจัดทำคลิป หรือ จัดคนบรรยายเป็นรอบๆ เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นก่อนชม เพราะในนิทรรศการแม้ว่าจะมีแคปชั่นอธิบาย แต่ก็อ่านค่อนข้างลำบาก หลายคนจึงได้แค่ความสวย แปลกตา คือ ไม่อยากให้คนเข้าพิพิธภัณฑ์แล้วไปเซลฟี่กับของเท่านั้น อย่างน้อยได้เกร็ดความรู้ติดตัวออกไปบ้างก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

งานนี้แม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นว่ากองทัพทหารดินเผาที่นำมาจัดแสดงนี้น้อยไปนิด ไม่เกรียงไกรเอาเสียเลย ก็ต้องบอกว่าที่นำมาจัดแสดงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ทั้งนั้น

“ในฐานะที่งานนิทรรศการเป็นตัวแทนวัฒนธรรมจีนที่เกิดขึ้นหลายพันปีก่อน ของพวกนี้ทรงคุณค่า ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ดู ถ้าจะดูต้องจ่ายค่าเครื่องบินเป็นหมื่นไปซีอาน แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี จ่ายแค่ 30 บาทก็ได้ดู”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ที่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ – อาทิตย์ จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562 เวลา 09.00-18.00 น. โดยปิดขายบัตรเวลา 17.00 น. (ปิดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. 0 2224 1333 และ 0 2224 1402 ค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย 30 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ห้องโถงศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน(มติชนอคาเดมี) หมู่บ้านประชานิเวศน์1 มีการจัดเสวนา เปิดกรุสุสาน “จิ๋นซีฮ่องเต้” ไม่มีจิ๋น…ไม่มีจีน โดยมี ผศ.ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช และ ผศ.นวรัตน์ ภักดีคำ เป็นวิทยากร และ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ดำเนินรายการ

โดยเนื้อหาในวงเสวนาสรุปว่า ถ้าจีนไม่ผ่านช่วงเวลาที่จิ๋นซีปกครอง จะมีแคว้นเล็กๆเต็มไปหมด แต่จีนที่ระบบรัฐแบบนั้นหายไปได้คือคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้ จิ๋นซีเป็นคนเริ่มที่ทำให้เกิดการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ในแง่การปกครองจิ๋นซีฮ่องเต้ใช้เวลา 17 ปีในการรวมแคว้น โดยมีเว่ยเหลียวเป็นกุนซือให้จิ๋นซี ในการบ่อนทำลายอีก6แคว้นที่เหลือ ออกอุบายซื้อขุนนาง ติดสินบนขุนนางตามเมือง ตามแคว้นและค่อยๆบ่อนทำลายแคว้นเหล่านั้น พออ่อนแอก็ยกทัพเข้าไปตี พอกลืนเสร็จจิ๋นซีจึงใช้วิธีรวบอำนาจ

ทั้งนี้ ในยุคก่อนหน้าจิ๋นซี เป็นยุคที่ประเทศจีนยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แบ่งออกเป็น 7 แคว้น คือ ฉิน เว่ย จ้าว ฉู่ ฉี เอียน หาน และทำศึกสงครามกันมาหลายร้อยปี แต่ละแคว้นมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง มีภาษา มีตัวหนังสือต่างกัน มีระบบชั่งตวงวัดแตกต่าง มีระบบเงินตราไม่เหมือนกัน จิ๋นซีเป็นผู้ที่ทำให้กลายมาเป็นหนึ่งอาณาจักร เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา

ผศ.นวรัตน์ กล่าวถึงประวัติจิ๋นซีและการยึดครองแคว้นว่า ต้นตระกูลของจิ๋นซี เป็นพ่อค้าม้า แล้วหาม้าที่มีสายพันธุ์ดี ทำศึกได้ เอามาขายให้กษัตริย์ราชวงศ์โจว ในขณะนั้นอย่างมากก็ได้เป็นแค่แคว้น กว่าจะได้เป็นแคว้นเรื่อยๆลงมาจนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่ง คือ ฉินเซี่ยวกง ฉินเซี่ยวกงถือว่าเป็นคนสำคัญมากของแคว้นฉิน เพราะว่าฉินเซี่ยวกงรับนโยบายจากชางยาง ว่า ถ้าเข้าพบฉินเซี่ยวกงถึงสามครั้ง ครั้งแรกบอกว่าอยากเป็นมหากษัตริย์ไหม ฉินเซี่ยวกงบอกชางยางคนนี้ใช้ไม่ได้ เพ้อเจ้อ พอครั้งที่สองบอกว่าถ้าไม่อยากเป็นมหากษัตริย์งั้นเอาเทียบเท่ากษัตริย์โจวเอาไหม ฉินเซี่ยวกง ก็บอกไม่เอา เพ้อเจ้ออีกเหมือนกัน

จนกระทั่งครั้งที่สาม ชางยางบอกว่าเอางี้ท่านอยากเป็นเจ้าแคว้นไหม แล้วก็บรรยายว่าอยากเป็นเจ้าแคว้นต้องทำอย่างไรบ้าง ฉินเซี่ยวกงอยู่บัลลังก์ถึงขนาดคลานเข่าลงไปคุยด้วย เพราะพูดได้น่าสนใจมากว่าถ้าฉันจะตีแคว้นอื่นฉันต้องทำยังไง ตอนนั้นฉินเซี่ยวกงหวังแค่นั้น ไม่ได้หวังว่าตัวเองต้องยิ่งใหญ่เป็นมหากษัตริย์ แต่ถ้าบอกว่าให้ไปตีแคว้นอื่น เอาดินแดนแคว้นอื่นไหม ทำเนียมจีนเขาบอกว่าพ่อแม่อยู่ที่เข่า เพราะฉะนั้นการคุกเข่าคือเป็นการขอโทษที่จริงใจมาก เพราะฉะนั้นฉินเซี่ยวกงถือว่าเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้แคว้นฉินยิ่งใหญ่ขึ้นมาเทียบเท่ากับแคว้นอื่นๆ โดยนโยบายของชางยางทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันโดยที่ไม่

ต้องบอกว่าต้นตระกูลเป็นใคร เป็นขุนนางไหม เป็นชนชั้นไหน จากฉินเซี่ยวกง ลงมาจนถึง องค์ที่หก คือจิ๋นซี ใช้ระยะเวลานานมาก หกชั่วคนกว่าจะมาถึงจิ๋นซี แต่นี่คือพื้นฐานที่ทำให้จิ๋นซีพัฒนาประเทศแล้วล้มแคว้นอื่นไปได้

นโยบายของชางยางคือ หนึ่งทหารต้องเข้มแข็งและอาณาจักรต้องร่ำรวย ความร่ำรวยของอาณาจักรจะได้ก็ต่อเมื่อประชาชนต้องรวยก่อน ชางยางได้รื้อระบบกฎหมายทั้งหมด ชางยางได้วิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยของการปฏิรูปแคว้นเว่ย ฉี ฉู่ ได้เสนอ 9 ทฤษฎีในการปกครองฉิน 1.นโยบายที่นา เลิกระบบนาแบบตัดกระทงนาร้อยโหม่วแต่ให้ตัดถนนระหว่างที่นา มีกฎหมายซื้อขายที่ดิน 2.นโยบายภาษี ล้มเลิกระบบจัดเก็บภาษีแบบเก่าเกษตรขึ้นอยู่กับจำนวนที่นา แรงงานอิงตามขนาดโรงงานซึ่งซางยางบอกว่า ราษฎรร่ำรวย ประเทศก็ร่ำรวย

3.นโยบายอวยยศจากภาษี ใครจ่ายภาษีมากได้เป็นขุนนาง เพื่อกระตุ้นให้ชาวนาผลิตเสบียงเข้าฉางหลวง 4.นโยบายความดีความชอบทหาร ได้บำเหน็จ ยศ ตามจำนวนที่ตัดหัวข้าศึกได้ ทำให้คนอยากเข้าเป็นทหาร 5.นโยบายการปกครองท้องถิ่นแบ่งเป็น 2 ระดับ มณฑล-จวิ้นและ อำเภอ-เสี้ยน ขึ้นเป็นส่วนกลาง 6.นโยบายผิดถ้วนหน้า แบ่งขุนนางระดับอำเภอเป็นสิบครัวเรือน เป็น 1 เจี้ย เมื่อมีคนทำผิด ให้ผิดทั้งสิบครัวเรือน ทำให้ราษฎรกลัวการทำผิดและกล้าที่จะทำความรับผิดชอบ

ผศ.นวรัตน์ ภักดีคำ
ผศ.ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช
รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ

7.นโยบายชั่งตวงวัด ระบบชั่งตวงวัดของแคว้นฉินต้องเป็นเท่ากัน โดยรัฐบาลกำหนดมาตรฐาน ตรวจสอบ 8.นโยบายกำจัดอำนาจในการปกครองของขุนนางแต่ละระดับ โดยห้ามใช้อำนาจเห็นแก่พวกพ้อง 9.นโยบาย ล้มล้างความเชื่องมงายของราษฎร เช่น การฝังภรรยาตามสามี ธรรมเนียมกินอาหารเย็นห้ามใช้ไฟก่อนเทศกาลเช็งเม้ง  แต่ชางยางกลัวราษฎรจะไม่เชื่อและขุนนางในแคว้นฉินก็ไม่เชื่อ และมองว่าเสียผลประโยชน์ เสียอำนาจ

“ชางยางได้ตั้งเสาไม้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเอง โดยการเอาเสาไปปักไว้ที่ประตูเมืองทางทิศใต้ และติดประกาศว่าใครย้ายเสาต้นนี้จากประตูใต้ไปยังประตูทิศเหนือ จะให้รางวัล 10 ตำลึงทอง คนก็ไม่เชื่อ ชางยางจึงเพิ่มรางวัลเป็น 50 ตำลึงทอง ทำให้มีคนกล้ามาย้ายเสานี้ ชางยางก็ให้รางวัลตามที่ประกาศ และทำให้ราษฎรเชื่อถือ ชางยางจึงประกาศใช้กฎหมายใหม่”

การปฏิรูปของชางยาง ทำให้ฉินรุ่งเรือง แต่ทำให้ชนชั้นขุนนางเสียประโยชน์ ฉินฮุ่ยเหวินจวินบุตรชายของฉินเซี่ยวกงกระทำความผิด ชางยางให้ลงโทษไม่ไว้หน้าเพื่อรักษากฎหมาย ทำให้ฉินฮุ่ยเหวินจวินผูกใจเจ็บ ชางยางรู้ตัวว่าไม่รอดแน่ๆ เพราะทำโทษลูกขุนนางใหญ่ ชางยางหนีไปขอหลบซ่อน ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แต่โดนปฏิเสธเพราะกฎหมายที่ชางยางบัญญัติไว้ระบุว่า ห้ามรับคนที่ไม่สามารถระบุตัวตนเข้าพักอาศัย ชางยางโดนจับกุมและถูกประหารด้วยวิธีเชอเลี่ย ผูกร่างกายเข้ากับรถเทียมม้าห้าคัน แล้วให้ม้าลากไปจนร่างฉีกขาด ฉินฮุ่ยเหวินจวินปฏิรูปบ้านเมืองตามชางยาง เปลี่ยนเป้าหมายจากการผนวกแคว้นส่วนกลางไปยึดแคว้นสู่ แคว้นปา ทางตะวันตกเฉียงใต้แทน

“จิ๋นซีขึ้นครองราชย์ก่อนค.ศ.247 พระชนม์ได้แค่ 13 พรรษาเท่านั้น เปรียบเหมือนฮ่องเต้หุ่น โดยมีไทเฮา หลี่วปู้เหวย และล่าวอาย ช่วยกันว่าราชการ แล้วจิ๋นซีมีหน้าที่ประทับตรา พออายุได้ 22 พรรษา ก่อนค.ศ. 238 ปี ได้เข้าพิธีราชาภิเษก สวมหมวกแล้วก็ว่าราชการเองได้ เพราะฉะนั้นพอจิ๋นซี อายุ 22 อันดับแรกคือ ปราบล่าวอาย ซึ่งมีข่าวซุบซิบว่าเป็นชู้กับแม่โดยที่ล่าวอายเข้าวังไปในฐานะขันทีปลอม ซึ่งคนที่ส่งเข้าไปก็คือ หลี่วปู้เหวย พอปราบล่าวอาย กำจัดหลี่วปู้เหวยได้เสร็จ ก่อนค.ศ. 230-ก่อนค.ศ.221 ปราบแคว้นหาน จ้าว เว่ย ฉู่ เอียน ฉี่ 6 แคว้น พอปราบหมดแล้วอายุได้ 39 พรรษา ได้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว และสถาปนาอาณาจักรฉิน สถาปนาตนเองเป็น ฮ่องเต้ หรือ ฉินสื่อฮว๋างตี้ – จิ๋นซีฮ่องเต้

“ก่อนสวรรคตจิ๋นซีเสด็จประพาส คนก็ตีความกันไปว่าการเสด็จประพาสถึง 5 ครั้ง มันคือการไปดูอาณาจักร ไปดูกำแพงเมืองจีน แต่ว่าครั้งที่ 5 เสด็จไปไหนก็ได้มีการไปตั้งศิลาจารึกประกาศคุณงามความดีเอาไว้ตามยอดเขา จากนั้นครั้งที่ 5 ไปตายที่ซาชิว ซาชิวอยู่ที่เหอเป่ยปัจจุบันก็คือ เมืองหานตาน ตอนตายก็ได้มีประวัติเสนาบดีได้ปลอมราชโองการ ตายแล้วยังประกาศไม่ได้เพราะกลัวว่ารัชทายาทองค์จริงจะขึ้นมาครองตำแหน่งแล้วบงการไม่ได้ ก็เลยเอาปลาเค็มใส่ไว้ในรถเพื่อที่จะกลบกลิ่นศพ จนกระทั่งกลับไปเมืองหลวง แก้ราชโองการเรียบร้อยถึงได้ประกาศที่ไม่ใช่รัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ที่สองแทน

ประวัติศาสตร์มีมากมายหลายยุค ได้แก่ ยุคราชวงศ์โจว ที่มีทั้งราชวงศ์โจวตะวันตก ราชวงศ์ตะวันออก ซึ่งราชวงศ์โจวตะวันออก จะประกอบไปด้วย ยุคชุนชิว (771 – 476 ปีก่อนคริสตกาล) และจั้นกั่ว (476 – 256 ปีก่อนคริสตกาล) ราชวงศ์ฉิน (221 – 207 ปีก่อนคริสตกาล) ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ8)

สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก เป็นยุคสุดท้ายที่นิยมใช้สำริด ยุคที่พิธีกรรมเสื่อมสลาย มีการปรากฏหลักฐานศิลปกรรมที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายที่เป็นต้นเค้าให้กับความเชื่อในยุคถัดมา (แนวคิดเรื่องหมิงซี่) ที่เป็นเรื่องของตุ๊กตา ความเชื่อของคนยุคนี้

สมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นยุคภาพสะท้อนการเปิดเส้นทางสายแพรไหม และเรื่องของความเชื่อโลกหลังความตายที่ยังคงอยู่ แต่อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดไป ซึ่งคือ แนวคิดเรื่องความสมจริงที่ไม่จำเป็นต้องเท่าคนจริง ๆ และแนวคิดเรื่องตุ๊กตาสัตว์ดินเผาที่เปลี่ยนจากเน้านม้าศึกกลายเป็นปศุสัตว์ แต่มีปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สมัยราชวงศ์ฮั่นเปลี่ยนแปลงไป หรือการเปิดโลกทัศน์ของคนจีนในยุคนั่น ที่มีเส้นทางไปสู่ดินแดนโจวตะวันตก หรือเอเชียกลางซึ่งรวมไปถึงอินเดียด้วย

8