ณัฐกานต์ สอนโยหา-เรื่อง, ภัทรสุดา พิบูลย์-ภาพ

หากพูดถึงประเทศ “สิงคโปร์” หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่โดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีผลงานศิลปะที่โดดเด่นมากมาย ทำให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศสิงคโปร์ มีแนวคิดที่จะนำเสนอเรื่องราวและวัฒนธรรมของประเทศสิงคโปร์ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการทำผลงานศิลปะให้มีคุณค่า มีรสนิยม และสื่อถึงความรู้สึกนึกคิดของศิลปินให้ออกมาสู่สายตาของผู้ชมได้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ผู้ที่เข้ามาชมงานศิลปะ มีปฏิสัมพันธ์กับผลงานมากยิ่งขึ้น

งานนิทรรศการศิลปะดังกล่าวมีชื่อว่า “The Unknown World” ภายใต้แคมเปญ “Passion Made Possible : ทุกความชอบที่ใช่ เป็นไปได้ที่สิงคโปร์” ซึ่งเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยมี ดร.เอ็ดเวิร์ด โค ผู้อำนวยการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศสิงคโปร์ บินลัดฟ้ามาร่วมเปิดงานด้วย

จุดประสงค์หลักของนิทรรศการก็เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมนอกกระแส ผ่านงานประติมากรรม งานแอนิเมชั่นและภาพเคลื่อนไหว ที่สะท้อนถึงตัวตนของศิลปินทั้งหมด 7 คน 7 ชิ้น โดยงานศิลปะภายในงานจะผสานเทคโนโลยี AR เข้าไป เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมสิงคโปร์ที่น้อยคนนักจะเคยเห็น

“ไครัดดิน โฮริ” ผู้อำนวยการฝ่ายภัณฑารักษ์และหุ้นส่วนของ Chan+Hori Contemporary ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผลงานศิลปะหาดูได้มากมายในประเทศสิงคโปร์ เพราะมีศิลปินใหม่ๆ แจ้งเกิดขึ้นตลอด และพร้อมที่จะโชว์ทั้งโลกให้ได้เห็นว่า นอกเหนือจากธุรกิจ การช้อปปิ้ง หรืออาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยของประเทศนี้แล้ว ยังมีผลงานศิลปะที่หลอมรวมเข้าด้วยกันกับเทคโนโลยี ซึ่งกำลังมาแรงมากที่สิงคโปร์ ศิลปะในนิทรรศการนี้จึงเป็นผลงานที่ผสานเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาด้วย ทำให้ภาพหรือผลงานศิลปะดูมีชีวิตขึ้นมา

แต่ก่อนที่จะเข้าไปชมศิลปะที่ผสมผสานกับเทคโนโลยี ไฮไลต์ที่สะดุดตาผู้เข้าชมนิทรรศการทุกท่าน เห็นจะเป็นงานจิตรกรรมบนฝาผนังที่เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์ โดยการสร้างสรรค์ระหว่าง “รักกิจ สถาพรวจนา” ศิลปินสตรีทอาร์ตและกราฟิกดีไซเนอร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และ “ซาแมนธา โล” ศิลปินสตรีทอาร์ตชาวสิงคโปร์ หรือที่รู้จักในชื่อว่า แซม โล

“แรงบันดาลใจของงานชิ้นนี้ มาจากความต้องการที่จะสื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วยสัญลักษณ์ของประเทศไทยและลิงคโปร์ นั่นก็คือช้างและสิงโต โดยใส่สิ่งที่มองว่าเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสองประเทศลงไป อย่างเช่นลายผ้าพื้นเมืองของสิงคโปร์หรือคำว่าสวัสดีที่เป็นภาษาไทย เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นประเทศทั้งสองประเทศนี้” รักกิจ สถาพรวจนา เล่าถึงแรงบันดาลใจของงานศิลปะ

สำหรับนิทรรศการ “The Unknown World” เรียกได้ว่ามีผลงานที่น่าสนใจหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือผลงานของ Eugene Soh โดยเป็นภาพถ่ายภายใต้คอนเซ็ปต์ Renaissance City series ทั้งนี้ ปกติแล้ว Eugene Soh เป็นช่างภาพที่มักจะสร้างผลงานที่เสียดสีการใช้ชีวิตของชาวสิงคโปร์ในยุคปัจจุบัน แต่ครั้งนี้เขาได้นำภาพถ่ายที่เป็นวิถีชีวิตของชาวสิงคโปร์ ที่แสดงออกถึงความสนุกสนาน มาถ่ายทอดให้ได้เห็นในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น โดยสามารถชมภาพถ่ายในรูปแบบ AR ผ่านเลนส์กล้องของเฟซบุ๊กหรืออุปกรณ์สื่อสาร จะสามารถเห็นตัวละครในชิ้นงานเคลื่อนไหว เสมือนว่ามีชีวิตจริง

Renaissance City series

อีกชิ้นที่น่าสนใจคือผลงานชิ้นที่ชื่อว่า What Tribe is Thi$? โดย Amanda Tan ที่พูดถึงอัตลักษณ์ของตัวเธอเอง ซึ่งภาพและเพลงที่สื่อออกมาจะมีทั้งของประเทศจีนและของอินเดียรวมอยู่ด้วยกัน เป็นการเน้นให้เห็นถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมในประเทศสิงคโปร์ และความสวยงามจากศิลปะของแต่ละเชื้อชาติ

What Tribe is Thi$?

ขณะที่ผลงานของ anGie seah เป็นการแสดงสดซึ่งมาในคอนเซ็ปต์ Wondering at the moon เป็นศิลปะที่พูดถึงความคิดและมุมมองของมนุษย์ โดยใช้ดวงจันทร์เข้ามาเปรียบเปรย เธอคิดว่าศิลปะเป็นเครื่องมือที่มีพลังมากในการใช้ชีวิต ซึ่งโชว์ของเธอจะเป็นรูปแบบการแสดงความคิดออกทางร่างกาย โดยโชว์นี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 16 มีนาคมนี้ เวลา 17.00 น.

Wondering at the moon

อีกชิ้นงานที่น่าสนใจคือผลงานของ Gerald Leow ที่มีชื่อว่า House forms series ซึ่งเขาเล่าว่าศิลปะชิ้นนี้ดัดแปลงมาจากบ้านทรงออสโตรนีเซียนที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและวัฒนธรรมของที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของความน่ากลัว

House forms series

ความน่าสนใจยังรวมไปถึงผลงานของ Speak Cryptic มีชื่อว่า S*GATTE เป็นซุ้มประตูที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีโมโนโครม โดย Speak บอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากดวงดาว 5 ดวงบนธงชาติสิงคโปร์ ส่วนประตูนั้นสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของศิลปินที่มีเชื้อสายมลายู โบยานีส นอกจากนี้ ซุ้มประตูยังได้ใช้เทคโนโลยี AR เข้ามา เพื่อให้ภาพดูมีมิติและสวยงามมากยิ่งขึ้น

S*GATTE

นอกจากชิ้นงานที่กล่าวมานั้น ยังมีงานศิลปะที่น่าสนใจที่รอทุกคนไปสัมผัสความเป็นสิงคโปร์กันอีกมากมาย พร้อมมีกิจกรรมเวิร์คช็อปให้ได้ร่วมสนุกกันอีกด้วย ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้-17 มีนาคมนี้ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc)

ขึ้นชื่อว่าของเก่าเก็บ งานแอนทีค สำหรับนักสะสมของโบราณคงจะเสาะหาเพื่อให้ได้มาครอบครอง ทั้งในรูปแบบของตกแต่งบ้าน หรือในรูปแบบการลงทุน

“อาร์ต ออนเดอะฟลอร์” (Art on da floor) คอมมูนิตี้เพื่อคนรักงานศิลปะ โดย จิตรกร มงคลธรรม ได้ถือโอกาสจัดงาน “Persian Carpets Private Collection” By “Art on da floor” ที่เป็นแหล่งรวมตัวของนักสะสมผลงานศิลปะที่เปี่ยมไปด้วยมูลค่าและคุณค่าทางจิตใจ มาพบปะสังสรรค์และร่วมชมนิทรรศการแสดงคอลเลกชั่นพรมเปอร์เซียหายากกว่า 30 ผืน ซึ่งบางผืนที่นำมาจัดแสดงมีอายุกว่า 100 ปี และมีมูลค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งภายในงานจะได้กับพบไฮไลต์พรมเปอร์เซียที่มีความงดงามของลวดลายอันอ่อนช้อย ที่อาจทำให้เหล่านักสะสมของโบราณงานและผู้ที่รักในงานศิลปะต้องมนต์สะกดจนยากที่จะลืมเลือน

จิตรกร มงคลธรรม ผู้ก่อตั้ง Art on da floor เผยถึงที่มาและวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง “Art on da floor” ว่า ต้องการสร้างคอมมูนิตี้แห่งใหม่สำหรับกลุ่มคนรักงานศิลปะแขนงต่างๆ ให้ได้มาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกคนที่รักงานศิลปะได้เป็นเจ้าของอาร์ตพีซที่ทรงคุณค่าอย่างแท้จริง สามารถมอบความสุขทางใจ และยังสามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะพรมเปอร์เซีย อาร์ตพีชที่เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา จนเป็นที่หมายปองของนักสะสมทั่วโลก แต่สำหรับนักสะสมไทยยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก

“Art on da floor เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่รักในงานศิลปะ การสะสมงานศิลปะไม่ได้มอบความสุขทางใจอย่างเดียว แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Passion Investment ผมเองเป็นคอลเลกเตอร์ที่สะสมผลงานศิลปะหลายแขนง ทั้งภาพเขียน ของแอนทีค ตลอดจนพรมเปอร์เซีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพรมที่ดีที่สุดในโลก ทั้งในแง่ความสวยงามของลวดลายอันอ่อนช้อยและเป็นเอกลักษณ์ ความคงทนในการใช้งานที่สามารถใช้งานได้เป็นร้อยๆ ปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พรมเปอร์เซียเป็นอาร์ตพีชชิ้นเอกที่เป็นต้องการในหมู่นักสะสมทั่วโลกเสมอมา แต่สำหรับนักสะสมไทยยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จึงได้หวังว่าอาร์ตออนเดอร์ฟลอร์จะเป็นแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ที่พร้อมรองรับกลุ่มคนรักศิลปะอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านของการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ ระหว่างนักสะสมด้วยกัน ไปจนถึงการเป็นจุดนัดพบ ตัวกลางในการซื้อขายอาร์ตพีชอย่างมั่นใจ ทั้งผู้ได้ครอบครองและผู้ที่ต้องการส่งต่องานศิลปะ” จิตรกรกล่าวเพิ่มเติม

จิตรกร มงคลธรรม และ วิคเตอร์ โบลลิเกอร์

ด้าน “วิคเตอร์ โบลลิเกอร์” ผู้ร่วมก่อตั้ง ธนาคาร Eric Sturdza SA, Geneva Switzerland นักสะสมพรมเปอร์เซียมากว่า 20 ปี และยังเป็นเจ้าของพรมเปอร์เซียที่หายากกว่า 35 ผืน ระบุว่า จุดเด่นของพรมเปอร์เซียคือลวดลายอันอ่อนช้อยและเป็นเอกลักษณ์ ที่มีการสืบทอดฝีมือและองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่นมานับร้อยปี บางผืนต้องใช้เวลาทำเป็นปีกว่าจะได้ชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบออกมา จึงทำให้พรมเปอร์เซียไม่ต่างกับงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีช

“การซื้อพรมเปอร์เซียก็เหมือนกับการซื้อเพชร จะรู้ได้อย่างไรว่าเม็ดไหนเป็นเพชรแท้ก็ต้องดูจากใบ Certificate เลือกซื้อจากดีลเลอร์ที่ไว้ใจได้ ถ้าไม่มั่นใจแนะนำให้ประมูลจากบริษัทประมูลที่มีชื่อเสียง ที่สำคัญเมื่อได้แหล่งซื้อที่มั่นใจแล้ว แค่เลือกลายที่สวยงามถูกใจไม่พอ ถ้ามองไปถึงการลงทุน อาจต้องลงลึกไปถึงคุณภาพของชิ้นงาน ตั้งแต่รูปแบบลวดลาย กรรมวิธีการทอปม หรือ Persian Knot ยิ่งจำนวนปมเยอะก็ยิ่งสวยงามและทนทาน ดังจะเห็นว่าพรมเปอร์เซียบางผืนมีอายุเป็น 100 ปี ก็ยังสวยและใช้งานได้”

สำหรับพรมเปอร์เซียที่มีความงดงามของลวดลายอันอ่อนช้อย และอาจทำให้เหล่านักสะสมของโบราณ และผู้ที่รักในงานศิลปะต้องมนต์สะกดจนยากที่จะลืมเลือน นั้นเป็นพรมที่มาจากเมืองต่างๆ ของอาณาจักรเปอร์เซียมา มีดังนี้

1.Green Qum พรมเปอร์เซียผืนงาม อายุ 30 ปี ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร เป็นผลงานชิ้นเอกจากเมืองกวม (Qum) ดินแดนอันเลื่องชื่อในการผลิตพรมแบบซิลค์ (Silk) สร้างเอกลักษณ์ให้ชิ้นงานด้วยลวดลายที่ชวนให้สัมผัสถึงสายน้ำและผืนป่าอันร่มรื่น สีเขียวบนผืนพรมชวนให้รู้สึกชุ่มชื้นเสมือนต้นไม้ ส่วนเกลียวคลื่นแทนสัญลักษณ์ของสายน้ำที่อยู่เคียงข้างผืนป่า

Green Qum

2.Rust Qum พรมเปอร์เซีย อายุ 20 ปี ขนาดกว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.10 เมตร ผลิตจากเส้นใยแบบซิลค์ (Silk) จุดเด่นอยู่ที่สีของพรมที่มองผิวเผินคล้ายกับสีสนิมที่กัดกร่อนอยู่กับทองคำ แต่ด้วยเนื้อสีที่ยังคงความสดจึงดูมีเสน่ห์ และสบายตา

Rust Qum

3.Emerald Qum พรมเปอร์เซีย อายุ 20 ปี ขนาดกว้าง 1.26 เมตร ยาว 1.92 เมตร มีจุดเด่นที่พาให้สะกดทุกสายตา คือ ลวดลายและโทนสีของพรมที่ได้อิทธิพลมาจากเปอร์เซียยุคโบราณอย่างชัดเจน สังเกตได้จากการผสมผสานของสีน้ำเงินและสีเขียวอ่อนเข้าด้วยกันอย่างลงตัวกลมกลืนประดุจมรกตน้ำงาม

Emerald Qum

4.Tree of Life พรมเปอร์เซีย อายุ 20 ปี ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.58 เมตร ชาวเปอร์เซียในสมัยก่อนมักจะเร่ร่อนไปตามหุบเขาและลำธารเพื่อหากิน จึงได้สร้างจินตนาการตามธรรมชาติแล้วถักทอออกมาเป็นพรมผืนนี้ เป็นเรื่องราวของต้นไม้ที่มีนกมาเกาะเกิดวิถีชีวิตขึ้น ความสวยงามของพรมผืนนี้คือการแสดงสีที่มีความอ่อนโยน คือ สีฟ้าอ่อนและชมพูอ่อน การออกแบบทำให้เห็นว่าพวกเขามีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ รักธรรมชาติ มีศิลปะและวัฒนธรรมที่เจริญ

Tree of Life

5.Special Nain Silk พรมเปอร์เซียผืนนี้ อายุมากกว่าอายุ 60 ปี มีขนาดความกว้าง 3.15 เมตร ยาว 4.30 เมตร เป็น Silk Carpet หรือพรมผ้าไหมเพียงไม่กี่ผืนที่ผลิตที่เมืองนาอิน เพราะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในการผลิตเฉพาะ Wool Carpet หรือ พรมที่ทอจากขนแกะเท่านั้น Silk Nain จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งไอเท็มสำหรับนักสะสม ยิ่งเมื่อประกอบกับลวดลายที่ออกแบบโดย Habibian (ฮาบีเบียน) ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวเปอร์เซีย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าในตำนานของชาวเปอร์เซียเกี่ยวกับแม่และเด็กมาสู่การออกแบบ Central medallion (เซ็นทรัล เมดาเลียน) หรือวงกลมตรงกลางจากวงกลมสี่วง แต่ละวงอาศัยการดีไซน์ที่เรียกว่า Kashmir (แคชเมียร์) 16 ชิ้น ยิ่งทำให้ผืนพรมไม่เพียงสวยงาม แต่สามารถถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากอดีตสู่ชนรุ่นหลังได้อย่างประณีต

Special Nain Silk

6.Isfahan พรมเปอร์เซีย อายุ 50 ปี ขนาดกว้าง 1.07 เมตร ยาว 1.84 เมตร ผลิตจากเมืองอิสฟาฮาน หนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแคว้นเปอร์เซีย เป็นผลงานสุดล้ำค่าของตระกูล Seirafian (เซราเฟียน) ซึ่งเป็นตระกูลที่โด่งดังที่สุดในฐานะผู้ผลิตพรม พรมเปอร์เซียผืนนี้โดดเด่นด้วยลวดลายของวิวทิวทัศน์ที่ออกแบบได้สวยงามและมีความเป็นธรรมชาติ ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด จึงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างยิ่ง และเป็นอีกหนึ่งชิ้นหายากสำหรับคนรักงานศิลปะ และยังเป็นทางเลือกของการลงทุนที่ชาญฉลาด เพราะต่อให้ถือครองไปอีก 50 ปี ราคาก็ยังไม่ตก

Isfahan

7.Isfahan Classic พรมเปอร์เซียผืนนี้อายุมากกว่า 40 ปี ขนาดกว้าง 2.16 เมตร ยาว 3.43 เมตร ผลิตโดยตระกูล Seirafian (เซราเฟียน) เช่นกัน จุดเด่น คือ การออกแบบลวดลายผืนพรมให้มีลักษณะเหมือนวงกลมเชื่อมต่อกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูลนี้ นำมาผสมผสานกับการเลือกใช้สีฟ้าที่มีความสวยงามเฉพาะตัว อันเกิดจากการย้อมทางธรรมชาติตัดกับสีแดงเลือดหมู จึงให้ความโดดเด่นของโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นผืนที่หายากเพราะไม่บ่อยนักที่ตระกูล Seirafian (เซราเฟียน) จะถักทอพรมผืนใหญ่เช่นนี้

Isfahan Classic

8.Sarouk Antique พรมเปอร์เซียโบราณผืนนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาดกว้าง 1.3 เมตร ยาว 2 เมตร เป็นพรมที่มีลวดลายที่บอกเล่าถึงอารยธรรมอันรุ่งเรืองในอดีตของชาวเปอร์เซีย โดยดูจากจินตนาการของแจกันโบราณ 4 ใบของชนชั้นสูงในรูปแบบต่างๆ กัน ส่วนดอกไม้เล็กๆ แสดงถึงความสวยงาม, ความสุนทรีย์, ความสงบสุขที่รวมอยู่ในพรมผืนนี้ โดยเลือกใช้โทนสีส้มและสีงาช้าง อีกทั้งคุณภาพของ Wool (วูล) ที่นำมาใช้ถักทอถือว่าเป็นขนแกะชั้นดีเยี่ยมคุณภาพสูง พรมผืนนี้ผ่านกาลเวลามามากกว่า 100 ปี จึงพิสูจน์ได้ว่าการถักทอพรมของชาวเปอร์เซียเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่และสืบสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นมรดกของชาวเปอร์เซียที่ฝากไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดู

Sarouk Antique

9.Kerman Flower พรมเปอร์เซียอายุมากกว่า 50 ปี ขนาดกว้าง 1.93 เมตร ยาว 3.10 เมตร ผลิตจากเมืองเคอร์มาน คัดสรรขนแกะชั้นดีมาถักทอจนเป็นพรมชั้นดี มีความนุ่มเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผสมผสานกับลวดลายที่รวบรวมดอกไม้นานาชนิดเข้าไว้ด้วยกัน พาให้พรมผืนนี้น่ามองอย่างเหลือเชื่อ กลายเป็นศิลปะที่วางอยู่บนพื้น แต่เลอค่า เหนือกาลเวลา

Kerman Flower

10.Nain Deer in the Forest พรมเปอร์เซียอายุมากกว่า 80 ปี ขนาดกว้าง 2.10 เมตร ยาว 3 เมตร ออกแบบด้วย ฝีมือของ Habibian เป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดังของชาวเปอร์เซีย พรมผืนนี้สะท้อนถึงจินตนาการของความสวยงามของป่าใหญ่ที่มีกวางมาชุมนุมกันมากมาย ดีไซน์เนอร์ได้ใช้ Silk ถักทอทำให้มีมิติของกวางเด่นขึ้นมาในพรม ความเก่าของพรมผืนนี้บวกกับลวดลายและความลงตัวของสีจึงทำให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ พรมผืนนี้จึงจัดเป็นหนึ่ง Master Piece ที่หายาก เรียกได้ว่ามีเงินก็หาซื้อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วเพราะมีผืนเดียวในโลก

Nain Deer in the Forest

11.Todeshk พรมเปอร์เซีย อายุ 50 ปี ขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร ผลงานจากเมือง Todeshk ความพิเศษของพรมผืนนี้อยู่ที่การใช้สีเทอร์คอยส์ (Turquoise) ซึ่งเป็นสีที่หาได้ยากมากๆ ในการผลิตพรม บวกกับการดีไซน์ลวดลายที่ยังความเป็น Traditional ตามแบบฉบับชาวเปอร์เซีย นับเป็นอีกหนึ่งผืนที่นักสะสมหมายตา

Todeshk

ผู้สนใจสามารถร่วมเข้าชมนิทรรศการ “Persian Carpets Private Collection” By “Art on da floor” ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จัดแสดงตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม ถึง วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2562 เวลา 11.00 – 24.00 น. ณ ร้าน Duke Contemporary Art Space ชั้น 1 ศูนย์การค้าเกษร วิลเลจ

ก่อนจะลงมือทำงานศิลปะ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำจาก “เรซิ่น” ก็ต้องมารู้จักกันก่อน ว่า “เรซิ่น” คืออะไร? คำตอบแบบเร็วๆ เข้าใจง่าย “เรซิ่น” หรือ resins เป็นสารชนิดหนึ่งที่ได้จากยางเหนียวของต้นไม้ หรือจากการสังเคราะห์ มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น เรซินจากต้นสน เรียกว่า โรซิน (rosin) เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้เป็นสารประกอบหลักในการแต่งและเคลือบผิว เช่น แลกเกอร์ ยูรีเทน ซิลิโคน

เรซิ่นจากธรรมชาติแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1.เรซินที่มีน้ำมันหอมระเหยของพืชเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า Oleoresin 2.เรซินที่เป็นส่วนผสมของยางเหนียว เรียก Gum resin 3.เรซินจากต้นไม้เก่าแก่ที่มีการแปรสภาพทางเคมี คือ Fossil resin

เรซิ่นธรรมชาติละลายได้ในตัวทำละลายเกือบทุกชนิด และนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น ทำวาร์นิช สารเคลือบผิว กาว และใช้เป็นสารประกอบในอุตสาหกรรมยา น้ำหอม สารให้กลิ่น และในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น ในสมัยโบราณมีการใช้เรซิ่นโดยนำมาทำเป็นยาระงับความเจ็บปวด หรือใช้ในพิธีทางศาสนาและในชีวิตประจำวัน เช่น กำยาน ยางไม้หอม น้ำหอม ไวน์ ในสมัยอียิปต์โบราณใช้เรซิ่นรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย

เรซิ่นสามารถหล่อขึ้นรูปได้มากมายหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานหล่อเครื่องประดับชิ้นจิ๋ว ต่างหู สร้อย กำไล หล่อของที่ระลึก หล่อตุ๊กตา หล่อแก้ว เครื่องประดับตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานหล่อพระพุทธรูป หล่องานไฟเบอร์กลาส หรือใช้ในงานเคลือบ เช่น เคลือบกรอบรูปวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

เรซิ่นสามารถแยกตามเกรดคุณสมบัติของเนื้อเรซิ่น อาทิ ชนิดเกรดที่ทนกรด-ด่างได้ดี ชนิดใช้งานได้ทั่วไป หรือชนิดที่ทนกรด-ด่างสูงมาก แข็งแรง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าวัสดุชนิดนี้สารพัดประโยชน์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้กำลังเป็นที่นิยม คือการนำเรซิ่นมาทำเป็นเครื่องประดับ เพียงแค่นำเรซิ่นผสมกับเคมีบางอย่างเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาแข็งตัวตามแบบหรือแม่พิมพ์ที่ต้องการ ซึ่งเมื่อแข็งตัวตามแบบแม่พิมพ์แล้วก็จะไม่สามารถกลับคืนให้เหลวได้อีก

ในการทำชิ้นงานจากเรซิ่น แรกๆ อาจจะดูยุ่งยาก แต่หากได้ลองทำดูสักครั้งก็จะรู้สึกว่าไม่ยากอย่างที่คิด และยังดีต่อใจที่ได้ของสวยๆ งามๆ ไว้แจกจ่ายเพื่อนฝูงเป็นของที่ระลึก ของขวัญในโอกาสพิเศษ หรือเพื่อตัวคุณเอง

“แสนสิริ” ร่วมกับ “นักรบ มูลมานัส” ศิลปินภาพประกอบแนวคอลลาจสไตล์ไทย รังสรรค์อาร์ทคอลเลคชั่น ‘SANSIRI x NAKROB MOONMANAS’ เป็นครั้งแรก หนึ่งในกิจกรรมภายใต้คอนเซ็ปท์ Sansiri Art Series ที่ร่วมมืออาร์ทิสหน้าใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย โดยถ่ายทอด 3 แรงบันดาลใจผ่านมุมมองการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะคอลลาจสุดเอ็กซ์คลูซีฟในรูปแบบ Mini Art Gallery ระหว่างวันที่ 9-16 เม.ย นี้ ที่แสนสิริ เลานจ์ ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Songkran Gathering” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ผ่านมนต์เสน่ห์เรื่องราวและประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของหัวหิน พร้อมจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เอาใจสมาชิกแสนสิริ แฟมิลี่ ได้เสพย์งานศิลป์และเพลิดเพลินกับขนมหวานเมนูพิเศษประจำฤดูร้อน ด้วยการเสิร์ฟ ‘มะม่วงแก้วร้านแม่นงนุช’ ร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังแห่งหัวหินที่ทำเมนูพิเศษนี้ขึ้นเฉพาะทุกเดือนเมษายนเท่านั้น เฉพาะที่แสนสิริ เลาจน์ ชั้น 3 สยามพารากอน

นอกจากนี้ สำหรับผู้สนใจทั่วไป แสนสิริ ชวนคุณร่วมสนุกกับกิจกรรมต้อนรับวันสงกรานต์ รับฟรี Headscarf ลายลิมิเต็ด เอดิชั่น จาก SANSIRI x NAKROB MOONMANAS เล่นน้ำสงกรานต์แบบเก๋ๆ โดยสามารถรับได้ ที่เคาน์เตอร์ แสนสิริ เลาจน์ เพียงแค่ทำตามกติกาง่ายๆ

ถ่ายภาพของคุณหรือจะเซลฟี่ก็ได้กับมุมสวย บริเวณด้านหน้าแสนสิริ เลาจน์ และโพสต์ลงบนเฟซบุคหรือไอจี ติด #SansiriSummerVibes #JoyofHuahin #SiriExperience ตั้งค่าเป็นสาธารณะ แสดงโพสต์ของคุณกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ด้านใน Sansiri Lounge

หรือร่วมสนุกกับ SANSIRI x NAKROB MOONMANAS photo frame เปลี่ยนกรอบภาพ โพรไฟล์สุดชิคในสไตล์คุณ

ตั้งแต่วันที่ 9-16 เม.ย นี้ ที่ แสนสิริ เลานจ์ ชั้น 3 สยาม พารากอน ตั้งแต่เวลา 10.30-20.00น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-201-3999

หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่างานศิลปะหลายชิ้นมีราคาแพงมหาศาล ขนาดที่ภาพเขียนบางภาพอยู๋ในพิพิธภัณฑ์ที่มีการดูแลความปลอดภัยแน่นหนาราวกับเครื่องเพชร ตามไปดูกันว่า 10 อันดับภาพเขียนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์กัน!

อันดับ 10 Massacre of the Innocents โดย Peter Paul Rubens มูลค่า 76.7 ล้านเหรียญ

อันดับ 9 Adele Bloch-Bauer II โดย Gustav Klimt มีมูลค่า 87.9 ล้านเหรียญ

อันดับ 8 The Scream โดย Edvard Munch ถูกประมูลในมูลค่า 119.9 ล้านเหรียญในปี 2012

อันดับ 7 Salvator Mundi โดย Leonardo da Vinci ซึ่งนักสะสมชาวรัสเซียได้ประมูลไปในราคา 127.5 ล้านเหรียญ

อันดับ 6 Garçon à la pipe โดย Pablo Picasso มูลค่า 104.2 ล้านเหรียญ

อันดับ 5 Bal du moulin de la Galette โดย Pierre-Auguste Renoir มูลค่า 78.1 ล้านเหรียญ

อันดับ 4 The Card Players โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Cézanne ซึ่ง Qatar ก็ได้ซื้อไปอีกแล้วในราคา 259 ล้านเหรียญ

อันดับ 3 When Will You Marry? ของ Paul Gauguin ซึ่งทาง Qatar ได้ซื้อขาดไปด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ

อันดับ 2 Nude, Green Leaves and Bust โดย Pablo Picasso มุลค่า 106.5 ล้านเหรียญ!!!

อันดับ 1 คงหนีไม่พ้น Mona Lisa โดยศิลปิน Leonardo Da Vinci มูลค่ากว่า 760 ล้านเหรียญ!!!