วันนี้ คนละครึ่ง ใช้จ่ายได้วันสุดท้าย 31 มี.ค. ใครยังใช้ไม่หมดรีบเลย ก่อนกระทรวงการคลังจะหักเงินคงเหลือในเป๋าตังออกไปทันที

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการ “คนละครึ่ง” เปิดให้ใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” วันนี้ (31 มี.ค.) เป็นวันสุดท้าย ผู้ที่ยังมีเงินคงเหลืออยู่ใน “เป๋าตัง” ให้รีบใช้จ่ายให้ครบ 3,500 เนื่องจากหากหมดเขตไปแล้ว กระทรวงการคลังจะหักเงินคงเหลือที่อยู่ใน “เป๋าตัง” จาก “คนละครึ่ง” ออกไปทันที โดยจะไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้อีก

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขอให้ผู้ที่ยังใช้จ่ายไม่หมด ใช้จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ ซึ่งจากข้อมูลขณะนี้มีผู้ใช้จ่ายครบวงเงิน 3,500 บาท แล้ว 7 ล้านคน และใช้จ่ายเกินกว่า 3,000 บาทแล้ว 13.47 ล้านคน

ทั้งนี้ จากการร่วมจ่าย (Co-Pay) ในมาตรการ ที่รัฐออกให้ครึ่งหนึ่ง และ ประชาชนออกเองครึ่งหนึ่ง ทำให้มีงบประมาณจากมาตรการเหลือ ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนผู้รับสิทธิ์ไม่เต็ม 15 ล้านคน ตามกรอบของมาตราการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการประสบความสำเร็จ เป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างคุ้มค่า ในการช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อให้กับประชาชน

สำหรับผู้ที่ใช้จ่ายเงินในมาตรการไม่ทัน วงเงินที่เหลือจะไม่ถูกนำไปรวมกับมาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนมิ.ย. หลังจากที่มาตรการเราชนะ ม.33 เรารักกัน สิ้นสุดในวันที่ 31 พ.ค.2564 ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการออกแบบมาตรการให้มีความเหมาะสม รวมทั้งป้องกันการทุจริต การใช้จ่ายจากมาตรการ ให้รัดกุมมากขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นให้ผู้ที่มีเงินออม นำมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างพิจารณาเช่นกัน

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากโควิด-19 (ศบศ.) มีการประชุมวาระสำคัญ ขยายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ. มีมติเห็นชอบให้ต่อเฟส 2 โครงการคนละครึ่ง

โดยคนที่เข้าโครงการแล้ว จำนวน 10 ล้านคน จะได้เพิ่มอีกคนละ 500 บาท และขยายการใช้จ่ายไปจนถึงมี.ค. 2564 ส่วนผู้ที่จะลงทะเบียนใหม่ จะได้เพิ่ม 5 ล้านคน เริ่มลงทะเบียนวันที่ 16 ธ.ค. โดยจะได้ยอดเงินใช้จ่ายรายละ 3,500 บาท

รมว.คลัง เผยอยู่ระหว่างศึกษามาตรการ “คนละครึ่ง” เฟสสอง คาดได้ข้อสรุป ธ.ค.นี้ พร้อมใช้จริง ม.ค.64 ยืนยันคนลงทะเบียนไม่ผ่านสามารถลงทะเบียนใช้สิทธิใหม่ได้ ชี้ช่วงโค้งสุดท้ายเล็งเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการ-ช่วยลูกหนี้ กยศ.เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล

วันที่ 23 พ.ย. 2563 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” ระยะที่ 2 ว่า สำหรับรายละเอียดและเงื่อนไขมาตรการเฟสที่ 2 อยู่ระหว่างพิจารณา เนื่องจากยังต้องรอดูวงเงินที่เหลือจากการลงทะเบียนในเฟสแรก อย่างไรก็ดี งบประมาณที่จะนำมาใช้จะยังคงเป็นวงเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน หลังเฟสแรกใช้วงเงินไป 3 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ธ.ค.นี้ และสามารถเปิดให้ลงทะเบียนจริงได้ในเดือน ม.ค.ปีหน้า

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการลงทะเบียนยืนยันว่าสามารถลงทะเบียนใหม่ได้ อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนด้วยเช่นกัน โดยรายชื่อผู้ลงทะเบียนเก็บตกเมื่อวันที่ 11 และ 19 พ.ย. จะรู้ผลประมาณวันที่ 25 พ.ย. หรือ 14 วัน หลังการเปิดให้ลงทะเบียนเก็บตกรอบแรก

สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิในเฟสแรกไปแล้ว ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาให้นำข้อมูลจากฐานข้อมูลของผู้ลงทะเบียนในระบบรอบแรกที่มีอยู่มาลงทะเบียนต่อได้ทันที อย่างไรก็ดี หากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ประชาชนทราบอีกครั้ง

เมื่อสอบถามถึงของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลฝากให้พิจารณา นายอาคม กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมาแล้ว กระทรวงการคลังเตรียมการโอนเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่โอนเข้าแล้ว 500 บาท นอกจากนี้ ยังเตรียมมาตรการช่วยเหลือนักเรียนและนักศึกษาที่กู้ยืมเงินกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยจะเป็นลักษณะการผ่อนปรนเงื่อนไขให้

ในส่วนของมาตรการ “รถเก่าแลกรถใหม่” ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอนั้น เบื้องต้นยังไม่เห็นรายละเอียด อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการหารือถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เพื่อช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้แก่ การลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง อาทิ โครงการรถไฟฟ้า รวมถึงการพิจารณาการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์ขนาดใหญ่

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ร้านอาหารเมืองตรังยิ้มรับ “โครงการคนละครึ่ง” สุดปัง ยอดขายเพิ่ม 2-3 เท่าตัว ผู้ประกอบการตบเท้าเข้าร่วมคึกคัก

นายมงคล คงบัน ผู้ประกอบการร้านกวนนิโต ในพื้นที่ตำบลนาโยงใต้ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ทางร้านกวนนิโต สมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง รวมไปถึงโครงการอื่นๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้มีลูกค้าทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้ารายเดิม รวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอุดหนุนมากขึ้น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจังหวัดตรังจัดงานตรังยุทธจักรอาหารอร่อยประจำปี 2563 ทางร้านไปออกบูธภายในงานด้วย และได้รับความนิยมจากประชาชนแวะเวียนมาอุดหนุนเป็นอย่างมาก 

“ทั้งนี้ ทางร้านจะมีการติดป้ายประชาสัมพันธ์แจ้งให้ลูกค้าทราบด้วยว่า ทางร้านเข้าร่วมกับโครงการคนละครึ่ง และมีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ของร้าน เช่น ช่องทางสื่อ Social Media และจากการที่ทางร้านเข้าร่วมกับโครงการคนละครึ่ง ปรากฏว่าทางร้านมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งตนเองอยากให้รัฐบาลส่งเสริมโครงการแบบนี้อีก เพราะนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายให้กับประชาชนแล้ว ยังเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าขนาดเล็กอีกด้วย” นายมงคล กล่าว

นางอรรถจราย์ อ่อนเครง ผู้ประกอบการร้านรสเยี่ยม ในพื้นที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ทางร้านรสเยี่ยมสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ตั้งแต่ช่วงแรกของโครงการ ทำให้มีลูกค้าทั้งลูกค้ารายเก่าและลูกค้าหน้าใหม่ๆ แวะเวียนมาอุดหนุนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเที่ยงวันจันทร์ถึงวันศุกร์ จะมีลูกค้ามาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก โดยลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนจะสอบถามก่อนว่าที่ร้านเข้าร่วมกับโครงการคนละครึ่งหรือไม่ ซึ่งทางร้านเอง ก็มีการติดป้ายประชาสัมพันธ์ไว้บริเวณหน้าร้านเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบ 

“นอกจากนี้ ผู้ประกอบการร้านรสเยี่ยมได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางร้านดีใจมากที่มีโครงการแบบนี้ เพราะทางร้านจะได้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นในการเข้ามาใช้บริการ และทักทายรู้จักชื่อลูกค้าผ่านการใช้งานแอพพลิเคชั่นเป๋าตังอีกด้วย ก็ถือว่าเป็นการใส่ใจลูกค้าไปในตัว และอยากให้รัฐบาลส่งเสริมโครงการแบบนี้อีก เพราะนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายให้กับประชาชนแล้ว ยังเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้า ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านโชวห่วย อีกด้วย” นางอรรถจราย์ กล่าว

นางรัตนา อ่อนคง ผู้ประกอบการร้านมงคลไก่ต้มน้ำปลา ตลาดนาโยง จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง แต่เมื่อติดตามข่าวสารผ่านสื่อโทรทัศน์พบว่า ผู้ประกอบการร้านต่างๆ ที่สมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง มียอดขายเพิ่มขึ้น ตนจึงได้สมัครเข้าร่วมโครงการด้วย ซึ่งร้านของตนได้สมัครเข้าร่วมโครงการเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ส่วนขั้นตอนการสมัครนั้นไม่ยุ่งยากเพราะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ ผู้นำชุมชน มาตรวจสอบร้านค้าและลงนามหนังสือรับรอง ก่อนที่ตนจะนำเอกสารไปยื่นที่ทางธนาคารกรุงไทย

“ตั้งแต่ทางร้านสมัครเข้าร่วมโครงการเพียง 2 วัน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากปกติตนเองขายไก่ต้มน้ำปลาได้วันละ 30 ตัว แต่เมื่อสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ทำให้ร้านของตนขายไก่ต้มน้ำปลาได้วันละ 60 ตัว จึงอยากให้ภาครัฐมีโครงการดีๆ แบบนี้เพราะจะช่วยให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการขนาดเล็ก มีรายได้เพิ่มขึ้น และช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการด้วย” นางรัตนา กล่าว

ด้านนางจริยา ศรีนวล ผู้ประกอบการร้านเจ๊นกติ่มซำ ในพื้นที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ทางร้านเจ๊นกติ่มซำ เป็นอีกหนึ่งร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ซึ่งแต่เดิมก่อนหน้านี้ก็สมัครเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารกรุงไทย สาขาตรัง มาอธิบายและแนะนำขั้นตอนการสมัคร ซึ่งการสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งนั้นไม่ยุ่งยาก เนื่องจากทางร้านมีระบบการรองรับการชำระเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่เดิมแล้ว

“ตั้งแต่ภาครัฐมีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน มาจนถึงโครงการคนละครึ่ง ทำให้ยอดขายของร้านเจ๊นกติ่มซำเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยช่วงเวลาที่ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนหนาแน่นจะเป็นช่วงเช้าในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีลูกค้าบางรายมาสอบถามและขอให้ทางร้านเบิกเงินจากระบบ G wallet โดยไม่มีการซื้อขายจริง ซึ่งตนเองก็ได้เตือนลูกค้าว่าไม่สามารถดำเนินการเนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะวัตถุประสงค์ของโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลนั้น ก็เพื่อบรรเทาเรื่องค่าใช้จ่ายของประชาชนและกระจายรายได้ให้ร้านค้ารายย่อย” นางจริยา กล่าว

ขณะที่ นางสาวสุภากิตติ์ เกลี้ยงสงค์ พาณิชย์จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรัง ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองตรังและอำเภอนาโยง จังหวัดตรัง จำนวน 12 ราย เพื่อติดตามผลการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ร้านค้าธงฟ้า สมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น

นางสาวสุภากิตติ์ เปิดเผยต่อไปว่า จากการลงพื้นที่พบว่า ร้านค้าธงฟ้าให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเป็นจำนวนมาก แต่บางรายติดปัญหาเรื่องการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง .com และไม่ทราบว่าขั้นตอนสุดท้ายต้องไปติดต่อธนาคารกรุงไทย เพื่อให้ธนาคารเปิดให้ใช้สิทธิ์ ทำให้ร้านค้ายังไม่สามารถใช้งานโครงการคนละครึ่งได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการและกำชับให้ร้านค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการอย่างเคร่งครัด ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายสินค้าให้ชัดเจน 

“รวมทั้ง มีมุมจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด เช่น น้ำมันพืช ข้าวสาร ปลากระป๋องและมุมจำหน่ายสินค้าชุมชน เช่น อาหารทะเลแปรรูป เครื่องแกง ผักสด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรัง มีแผนการออกตรวจเยี่ยมติดตามผลการดำเนินงานของร้านค้าธงฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ 10 อำเภอของจังหวัดตรังต่อไป” นางสาวสุภากิตติ์ กล่าว

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาปัตตานี ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง โดยมีประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าเดินทางมาลงทะเบียนจำนวนมาก ต่อแถวเข้าคิวรอลงทะเบียนหลายร้อยคน จนธนาคารต้องเปิดลานจอดรถชั้นล่างเอาไว้รองรับประชาชนที่มารอลงทะเบียน โดยจัดเก้าอี้นั่งเอาไว้ให้ ขณะที่ชาวบ้านบางคนมารอลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 05.00 น. ทั้งนี้ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าต่างเห็นด้วยกับโครงการนี้ หลายคนบอกว่าทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ขายไม่หมด ตอนนี้ขายหมดทุกวัน

ขณะที่ บรรยากาศบริเวณตลาดเทศวิวัฒน์ค่อนข้างคึกคัก ประชาชนต่างทยอยเดินทางมาจับจ่ายซื้อของในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วม โครงการคนละครึ่ง อย่างไรก็ดียังมีชาวบ้านบางคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน อันเนื่องมาจากหลายปัญหา อาทิ ปัญหาจากโทรศัพท์

สมชาย ตั้งสิริวรกุล

นายสมชาย ตั้งสิริวรกุล ผจก.ธนาคารกรุงไทยสาขาปัตตานี เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่งว่า ให้ประชาชนเข้ามาใช้สิทธิกันในรอบ 2 ที่จะเปิดวันนี้ ถ้าลงทะเบียนทางออนไลนไม่ได้ ให้เตรียมหลักฐานบัตรประชาชนมาลงทะเบียนที่ธนาคาร หรือนำสมุดบัญชีบัตรเอทีเอ็ม มายืนยันสิทธิที่ตู้เอทีเอ็มได้เลย ซึ่งมีอยู่หลายจุด ที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารทุกสาขา

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ในส่วนของจังหวัดปัตตานี รับลงทะเบียนร้านค้าผู้ประกอบการ ที่ได้เข้าร่วมทั้ง 12 อำเภอ กว่า 5,000 ร้านค้าแล้ว โดยรัฐบาลจ่ายให้ผู้ซื้อ 50 % โไม่เกินวันละ 150 บาท/คน/วัน ยอดรวมตลอดโครงการไม่เกิน 3,000 บาท ถึงเดือนธันวาคมนี้ โดยพบว่าในระยะแรกที่ผ่านมา ผลตอบรับดีมาก ประชาชนมาลงทะเบียนที่ธนาคารแน่นทุกวัน ทำให้พนักงานต้องทำงานล่วงเวลา ต้องกลับบ้านดึกกันหลายวันเพื่อจัดทำบัญชีให้เข้าระบบ ช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ในจ.ปัตตานี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้ว 100 กว่าล้านบาท ก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ จึงเชิญชวนประชาชนรีบมาใช้สิทธิด้วย ทางธนาคารยินดีอำนวยความสะดวกทุกวันทำการ