ของหวานกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน ผู้ชายบางคนก็ยังแอบปันใจให้กับขนมหวานหน้าตาน่ารักไปบ้างเหมือนกัน และลองสังเกตดู ผู้หญิงชอบช็อกโกแลต แต่ผู้ชายจะชอบสตรอว์เบอร์รี่ ไม่รู้ทำไม (แฟนใครเป็นแบบนี้บ้าง) นัดเดทกับหวานใจ หรือจะสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสาว สถานที่โปรดปรานก็ต้องร้านขนมหวานนี่แหละ ทานไปเม้าท์ไปเพลินเชียว

แต่หารู้ไหมว่าแคลอรี่สูงปรี๊ดชนิดที่วิ่ง 30 นาทีก็เพิ่งจะเผาผลาญไปได้แค่ครึ่งถ้วย มีขนมหวานอะไรบ้างที่ความอร่อยมาพร้อมกับแคลอรี่มหาศาลจนน่าตกใจ แล้วลองทายกันดูเล่นๆ นะคะว่าอันดับ 1 คือขนมอะไร (จำนวนแคลอรี่ วัดจากปริมาณอาหารเท่ากันที่ 100 กรัม)

10. ลอดช่อง

จำนวนแคลอรี่ : 133 Kcal

ถึงจะเป็นแป้งนิ่มๆ กับน้ำกะทิหวานๆ แต่จำนวนแคลอรี่ก็ไม่ได้สูงปรี๊ดอย่างที่หลายคนคิดกัน อาจจะด้วยจำนวนที่เราทานเข้าไปไม่ได้มากมายจนถึงขั้นจะยกทานกันเป็นหม้อๆ แต่หากราดน้ำเชื่อมเยอะ ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มแคลอรี่เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นลองทานจืดๆ หน่อยก็อร่อยได้เหมือนกันนะ

9. ทาร์ตไข่

จำนวนแคลอรี่ : 140 Kcal

ขนมหวานทานง่าย หอมอร่อย ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย เห็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้ ความหวานมันไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ถึงแม้แคลอรี่จะไม่สูง แต่อย่าเผลอทานหลายชิ้น เพราะถ้าลองคูณสอง คูณสามดูจะพบว่า จำนวนแคลอรี่ใกล้เคียงกับข้าวจานหนึ่งมากเลยนะ

8. เครปญี่ปุ่น

จำนวนแคลอรี่ : 200 Kcal

ในกรณีที่เป็นเครปญี่ปุ่นแบบต้นตำรับ ใส่ไส้เป็นวิปครีมและผลไม้สด ก็จะได้จำนวนแคลอรี่อย่างที่เห็น แต่หากเป็นท้อปปิ้งที่หวานกว่านี้ หนักกว่านี้ เช่น เครปญี่ปุ่นบ้านเราที่โรยหน้าแฮม ไส้กรอก หมูหยอง ทูน่า ฝอยทอง ช็อคโกแลต ก็เตรียมตัวบวกเพิ่มไปอีก 20-80 Kcal ได้เลย

7. สตรอว์เบอร์รี่ชีสเค้ก

จำนวนแคลอรี่ : 200 Kcal

ถึงจะแค่ 200 Kcal แต่ความน่ากลัวมันอยู่ที่ “ชีส” นี่แหละ หากคิดจะทานบ่อยๆ โดยไม่ระวัง และไม่ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยละก็ มีหวังก่อนอ้วนอาจจะเป็นเบาหวานเสียก่อน

6. ลูกชุบ

จำนวนแคลอรี่ : 284 Kcal

ขนมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาตินะ จำนวนแคลอรี่ด้วย หากเห็นวิธีการทำลูกชุบจะต้องร้องว่า “มันหวานมากจริงๆ” มีทั้งแป้งจากถั่ว และน้ำเชื่อมที่เคลือบอยู่ด้านนอก แถมที่อันตรายคือยิ่งทานก็ยิ่งเพลิดเพลินด้วยเนี่ยสิ เห็นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ทานเอาๆ น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลยขอบอก

5. ไอศกรีมช็อกโกแลต

จำนวนแคลอรี่ : 300 Kcal

มาถึงขนมที่ทานคนเดียวเหมาเรียบทั้งถ้วยกันบ้าง หากทานเป็นไอศกรีมเพียวๆ ก็อาจจะ 300 Kcal แต่หากมะรุมมะตุ้มไปด้วยสารพัดท็อปปิ้งเข้าไปอีก เชอร์รี่หวานเจี๊ยบ ช็อกโกแลตไซรัป น้ำตาลสีรุ้ง ช็อกโกแลตบอล ช็อกโกแลตแท่ง และสุดท้ายวิปครีม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแคลอรี่จะพุ่งไปขนาดไหน เผลอๆ หากทานคนเดียวทั้งถ้วยจะหนักกว่าทานบิงซูกับเพื่อนเสียอีก

4. ทองหยอด/ฝอยทอง

จำนวนแคลอรี่ : 340-430 Kcal

ขนมหวานเชื้อสายไทย สัญชาติโปรตุเกสชนิดนี้ งานบุญงานบาปทานได้ทานดีกันทุกเพศทุกวัย อร่อยล้ำกันง่ายๆ ทานเพลินกันตลอด แต่ใครที่ชอบทานจะทราบดีว่าภายใต้หน้าตาเรียบๆ สีเหลืองอมส้มที่เห็น เต็มไปด้วยไข่ น้ำตาล น้ำตาล และน้ำตาล เพราะฉะนั้นนอกจากปริมาณโปรตีนจากไข่แล้ว นอกนั้นน้ำตาลทั้งสิ้น น้ำตาลล้วนๆ

3. ข้าวเหนียวมะม่วง/ทุเรียน

จำนวนแคลอรี่ : 365-450 Kcal

มาถึงขนมหวานของไทยที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติอย่างข้าวเหนียวมะม่วง และข้าวเหนียวทุเรียน ลำพังผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ก็มีน้ำตาลสูงปรี๊ดพออยู่แล้ว เอามาทานกับข้าวเหนียวมูลหอมหวานมันเข้าไปอีก จะไม่ให้จำนวนแคลอรี่พอๆ กับขาหมูได้อย่างไร ยิ่งได้ข่าวว่าบางที่เปิดให้ทานเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย ไม่อยากจะคิดว่าในมื้อนั้นคนที่ทานจะได้รับแคลอรี่เข้าไปมากมายเพียงไหน

2. ฮันนี่โทสต์

จำนวนแคลอรี่ : 300-700 Kcal

อีกหนึ่งขนมที่เป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย จริงๆ แล้วความร้ายกาจของจำนวนแคลอรี่พอๆ กันเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเสิร์ฟเป็นขนมปังราดเนยจนชุ่ม ตามด้วยน้ำผึ้ง หรือสารพัดท้อปปิ้งสุดหวานแล้ว ยังมาพร้อมไอศกรีมลูกโตอีกด้วย แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สาวๆ จะช่วยกันแบ่งกันอ้วนคนละคำสองคำ อย่าทานบ่อยก็แล้วกัน

1. บิงซู

จำนวนแคลอรี่ : 300-750 Kcal

ยกให้เป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้ โดยเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ ที่ชอบทานแบบท็อปปิ้งล้นๆ มะม่วงสุกหวานจ๋อย สตรอว์เบอร์รี่รายล้อม ก้อนชีสถาโถม ราดเพิ่มด้วยนมข้นหวานไม่ยั้ง ถ้าได้ทานแบบนี้ติดต่อกันทุกอาทิตย์ แล้วยังใช้พลังงานเท่าเดิม เชื่อได้เลยว่าน้ำหนักขึ้นแน่ๆ แต่หากทานกันหลายๆ คน คนละคำสองคำก็ยังพอช่วยแบ่งๆ กันอ้วนได้บ้าง ใจชื้นขึ้นไหม

ขนมหวานเป็นอาหารชั้นยอดจากความสร้างสรรค์ของมนุษย์ เกิดมาทั้งทีเราก็ต้องลองทานนะคะ เพียงแต่หากทานในปริมาณที่พอเพียง ไม่มากเกินไป และออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ รับรองได้ว่าจำนวนแคลอรี่พวกนี้ทำอะไรกับรูปร่าง และสุขภาพของคุณไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่มา : Sanook

ถึงแม้ขนมจีนจะทำมาจากแป้งสาลีเหมือนกับเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่แป้งของขนมจีนจะผ่านการหมักแช่น้ำมาก่อนจึงนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ ต่อ เส้นจึงมีองค์ประกอบของน้ำมาก ทำให้ มีพลังงานเพียง 80 Kcal ซึ่งน้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มี 150-220 Kcal ถึงจะมีแคลอรีต่ำแต่ก็ควรรับประทานในขนาดที่เหมาะสมและออกกำลังกายควบคู่ด้วย

การเก็บรักษาเส้นขนมจีน เมื่อรับประทานไม่หมด
ควรเก็บไว้ในสถานที่สะอาดไม่มีฝุ่น โดยเอาผ้าคลุมให้มิดชิดทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง อากาศถ่ายเทสะดวก ห้ามเก็บไว้ในสถานที่มีอุณหภูมิเย็น เพราะจะทำให้แป้งคืนตัวปล่อยน้ำออก เส้นแฉะ และขาดง่าย มีลักษณะเหมือนแป้งไม่สุก

ที่มา : แม่บ้าน

รู้หรือไม่? แค่ทำงานบ้านก็ช่วยเบิร์นเผาผลาญแคลอรีได้แบบดีอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากบ้านช่องจะสะอาดแล้ว ยังเสมือนการออกกำลังกายไปในตัวด้วย มาดูกันว่างานบ้านแต่ละชนิด จะช่วยเผาผลาญให้คุณได้กี่แคลอรีกันบ้าง

กวาดๆ ถูๆ เบิร์นได้จริง!
การกวาดบ้านถูบ้านนี่แหละ ถือว่าเหมาะกับการเบิร์นแคลอรีจริงๆ เพราะเราจะได้ขยับร่างกายทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเผาผลาญพลังงานออกไปได้ถึง 240 แคลอรีต่อชั่วโมง ซึ่งปกติแล้วเวลาที่เรากำลังกวาดบ้าน หรือถูบ้าน ก็มักจะไม่เปิดพัดลม เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นกระจาย ตรงนี้แหละที่สามารถเรียกเหงื่อเพิ่มไปอีก นอกจากพื้นจะสะอาดแล้วก็ยังเบิร์นหุ่นด้วยนะเนี่ย

ซักผ้า รีดผ้า ได้เบิร์นยิ่งกว่าทำความสะอาด
ในกรณีนี้การซักผ้า หมายถึงการซักผ้าด้วยมือ ไม่ใช่การเอาไปปั่นลงเครื่องแล้วนอนรอผ้าเสร็จแต่อย่างใดนะจ๊ะ เพราะการซักผ้าด้วยมือยิ่งทำให้เราใช้พลังงานเยอะพอสมควร ทั้งออกแรงขยี้ผ้า ออกแรงบิดผ้า โดยการซักผ้า 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญได้ถึง 240 แคลอรีต่อชั่วโมง ส่วนการรีดผ้าพับผ้า สามารถช่วยเผาผลาญได้ราวๆ 150 แคลอรี ต่อ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว

เผาผลาญเบาๆ จากการล้างจาน
อีกหนึ่งงานบ้านที่ทุกคนได้ทำบ่อยๆ นั่นก็คือการล้างจาน ด้วยความที่เป็นกิจกรรมเบาๆ เลยอาจจะเผาผลาญไม่มาก เพราะการล้างจานประมาณ 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ 50 แคลอรี แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย

ทำสวนหน้าบ้าน ผลาญแคลฯ ได้เพียบ!
สำหรับคนที่ชอบปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ หรือตัดหญ้าในสวนเป็นประจำ นอกจากจะเป็นการเพิ่มความสวยงามให้กับบริเวณบ้านแล้ว กิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากจริงๆ อย่างเช่นการตัดหญ้าจะช่วยเผาผลาญได้ราวๆ 325 แคลอรีต่อชั่วโมง ส่วนการปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้แบบเบาๆ ก็จะช่วยเผาผลาญพลังงาน 150 แคลอรีต่อชั่วโมง

ทาสีบ้าน
หากใครที่กำลังตกแต่ง ทาสีกำแพงบ้านตัวเอง โปรดรู้ไว้เลยว่า นี่เป็นอีกกิจกรรมที่ช่วยเบิร์นได้ดีอย่างยิ่ง เพราะแค่ยืนทาสีเก้ๆ กังๆ เราก็สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 290 แคลอรีต่อชั่วโมง เนื่องจากการทาสีเราจะได้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนขาและแขน ในขณะเดียวกันยังช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้อย่างมาก บ้านสวยไม่พอ แขนขายังกระชับไปอี๊ก!

ทำอาหาร ผลาญแคลอรี
การทำอาหารนี่แหละเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้เหมือนกัน ก็เพราะว่าเราต้องหยิบจับสิ่งต่างๆ มากมาย แถมยังต้องยืนหน้าเตาร้อนๆ อีก ดังนั้นการทำอาหารจึงช่วยเผลาผลาญได้ประมาณ 100-150 แคลอรีต่อชั่วโมง ลองนึกดูว่ายิ่งถ้าเราทำเมนูยากๆ ที่ต้องออกแรงกวน คั่ว หรือผัด อยู่หน้ากระทะเป็นเวลานานๆ ร่างกายอาจจะเผาผลาญได้มากกว่านี้อีกนะ

การล้างรถ
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราได้ขยับร่างกายเกือบทุกส่วน ซึ่งการล้างรถโดยการใช้มือ สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 150 แคลอรีต่อ 30 นาที ยิ่งใครที่ไม่ได้ใช้สายยางฉีด แต่ใช้เป็นการตักถังน้ำราดเอา ก็จะยิ่งเพิ่มการขยับร่างกาย และเผาผลาญได้มากกว่าเดิมอีกนะ

เชื่อหรือยังว่าการทำงานบ้านเกือบทุกรูปแบบ สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้เหมือนกัน แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว เห็นประโยชน์ดีๆ แบบนี้ จะไม่ให้ลุกขึ้นมาทำงานบ้านได้อย่างไรละเนี่ย!

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

เนื้อไก่ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังดูแลสุขภาพ เพราะเนื้อไก่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ให้พลังงานสูงและมีไขมันน้อย ช่วยสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกายเสริมสมรรถภาพในการออกกำลังกายให้ดีขึ้น และคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการทานอกไก่อาจช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ก่อนอื่นมาทราบถึงวิธีการเลือกเนื้อไก่ให้ถูกต้องกันก่อนค่ะ

  1. เลือกซื้อจากร้านค้าที่สะอาดได้มาตรฐาน หรือร้านที่มีการรับรองคุณภาพจากกรมปศุสัตว์
  2. เลือกอกไก่ที่ถูกเก็บรักษาด้วยความเย็น เพราะความเย็นช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเลือกซื้อเนื้อไก่ที่มีสีธรรมชาติ เนื้อไม่คล้ำ
  3. ไม่มีจุดเลือดออก ไม่มีรอยฟกช้ำ และไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
  4. เก็บเนื้อไก่ที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นทันที โดยเก็บไว้ในช่องธรรมดาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4.4 องศาเซลเซียสสำหรับใช้ประกอบอาหารภายใน 1-2 วัน หรือเก็บในช่องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -17.8 องศาเซลเซียส หากต้องการเก็บไว้ในระยะยาว
  5. หากมั่นใจว่าแหล่งที่มาและการขนส่งเนื้อไก่สะอาดปลอดภัยดี ไม่แนะนำให้ล้างทำความสะอาดอกไก่ด้วยน้ำเปล่าก่อนปรุงอาหาร เพราะอาจทำให้เชื้อต่างๆ แพร่กระจายออกไปได้ เช่น เข้าสู่มือ เสื้อผ้า พื้นที่ปรุงอาหาร หรืออุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ เป็นต้น เพราะการใช้ความร้อนจากการปรุงอาหารจะฆ่าเชื้อโรคเหล่านั้นได้อยู่แล้ว

ประเภทของไก่ที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก

เชื่อหรือไม่ว่าไก่บ้านและไก่ดำมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไก่เนื้อพันธุ์ที่เราทานกันปกติถึง 25-30% และแน่นอนว่าย่อมเป็นที่ถูกใจของคนที่กำลังลดความอ้วน แต่หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบเพราะไก่บ้านและไก่ดำที่มีไขมันน้อยกว่า ก็มาพร้อมกับเนื้อแข็ง แห้ง เหนียวกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อไก่ปกติ

ปริมาณแคลอรี่ในส่วนต่างๆ ของไก่มีเท่าไหร่กันบ้าง

ปีก                             203  กิโลแคลอรี่
สะโพก                  209  กิโลแคลอรี่
อก                             165  กิโลแคลอรี่
น่อง                           172  กิโลแคลอรี่

*** จำนวนกิโลแคลอรี่ / 100 กรัม ***

จะเห็นได้ว่าอกไก่จะให้ปริมาณแคลอรี่น้อยที่สุด แต่เนื้อไก่ส่วนที่มีไขมันและให้พลังงานมากมักเป็นส่วนที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด คือส่วนของปีกและสะโพก ก็เพราะว่ามีความนุ่ม ชุ่ม ฉ่ำ ไม่แห้งจนเกินไปนั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วงในครั้งนี้เรามีวิธีทำอกไก่ให้นุ่มน่าทาน ไม่แห้งจนกระด้างและมีความชุ่มชื้นของเนื้อไก่มาบอกกัน แถมยังเพิ่มความอร่อยมากขึ้นอีกด้วย

วิธีปรุงไก่ให้นุ่มน่าทาน

  1. ควรเลือกเนื้อไก่ที่มีคุณภาพดี สด สะอาด และใหม่
  2. หมักเนื้อไก่อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรืออาจจะค้างคืน สูตรหมักไก่แล้วแต่ชอบ หากอยากทานคลีนๆ แนะนำหมักไก่ด้วยนมสด เกลือ พริกไทย และเบคกิ้งโซดาเล็กน้อย หรือจะหมักด้วยน้ำมันมะกอกก็ได้ แต่สูตรน้ำนมอาจจะนุ่มกว่า
  3. การใช้วิธีการปรุงด้วยเครื่องซูวี (sous-vide) ใครชอบทำอาหาร หรือชอบดูรายการทำอาหารน่าจะเคยได้ยินคำนี้ เป็นการนำเนื้อไปใส่ในถุงสุญญากาศ แล้วนำไปทำให้สุกด้วยการนำลงไปลอยในน้ำอุ่น 60 องศาเซลเซียส โดยอาจจะใช้เวลาในการทำให้สุกนานกว่าปกติ (อุณหภูมิน้ำ และเวลาในการนำลงไปแช่ แตกต่างกันตามขนาดของเนื้อไก่) แต่การใช้อุณหภูมิต่ำ ค่อยๆ ทำให้สุกผ่านถุงสุญญากาศ จะช่วยกักเก็บความนุ่มชุ่มชื้นของน้ำในไก่ไว้ได้มากกว่านำไปต้มในน้ำเดือดตรงๆ

เนื้อไก่ส่วนที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพช่วยควบคุมน้ำหนักต้องยกให้เนื้อไก่ส่วนอกและเพื่อประโยชน์สูงสุดก็ต้องปรุงด้วยวิธีการต้มหรือนึ่งจะได้ไม่มีไขมันอันเป็นตัวการของความอ้วน ยังไงก็ตามหากต้องเลือกซื้อเนื้อไก่มาทำอาหารก็ควรเลือกให้เหมาะสมตามความต้องการ และกินในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าจะกินเนื้อส่วนที่มีไขมันมากก็กินในปริมาณที่พอดี จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอล อีกทั้งจะได้มีสุขภาพดี ได้กินเนื้อไก่ไปอีกนานด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.pobpad.com/อกไก่-กับประโยชน์ต่อสุข
https://cooking.kapook.com/view207006.html#cxrecs_s
https://www.healthline.com/nutrition/calories-in-chicken#bottom-line

ขนมอบทั้งหลายที่เรียกรวมๆ ว่า “เบเกอรี่” มีขายกันทั่วไป มีหลายชนิด หลายระดับราคา ทั้งแบบที่ทํามาจากโรงงานใหญ่ โรงงานเล็ก และแบบที่เรียกว่า “โฮมเมด” แน่นอนว่าในแต่ละระดับก็มีความเสี่ยงที่เหมือนกันและแตกต่างกัน

เบเกอรี่หลักๆ ที่ได้รับความนิยมจะแบ่งเป็นกลุ่มของขนมปัง เค้ก คุกกี้ และพาย ส่วนรูปแบบและรายละเอียดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละร้านจะสร้างสรรค์รูปแบบไหนออกมาขาย ซึ่งหากจะพูดถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการ  กินเบเกอรี่ คงต้องเลือกแยกเป็นแต่ละชนิดไป

เริ่มต้นที่ขนมปัง

ความเสี่ยงของการกินขนมปังอยู่ที่การได้รับไขมันทรานส์และสารกันบูด รวมไปถึงการได้รับไขมันมากเกินไปในขนมปังบางชนิด เช่น ครัวซองต์ เพราะครัวซองต์เป็นขนมปังที่ใช้เนยปริมาณมากในกระบวนการทำ

ในการทําขนมปังทุกชนิด ส่วนประกอบที่สําคัญคือ แป้ง ยีสต์ และไขมัน ซึ่งไขมันที่อยู่ในขนมปังส่วนใหญ่จะเป็นเนยขาวหรือมาร์การีน ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ถือเป็นกรดไขมันทรานส์

“ไขมันทรานส์ (Trans Fat)” เป็นไขมันที่พบได้จากกระบวนการแปรสภาพไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัวสูง โดยการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ทําให้น้ำมันที่อยู่ในสภาพของเหลวเปลี่ยนเป็นไขมันที่มีสภาพแข็งขึ้นหรือเป็นของกึ่งเหลว พบในอุตสาหกรรมการผลิตเนยเทียม เนยขาว และน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน

ร่างกายของคนเราไม่สามารถผลิตกรดไขมันทรานส์ได้ ดังนั้น ไขมันทรานส์ที่พบในร่างกายจะมาจากการรับประทานเข้าไป

มีการศึกษาวิจัยพบว่ากรดไขมันทรานส์ทําให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) เพิ่มขึ้น และระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง ซึ่งไม่ต่างจากกรดไขมันอิ่มตัว และระดับกรดไขมันทรานส์ในเลือดที่สูงขึ้น มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้หญิงที่มีปริมาณกรด    ไขมันทรานส์ในเม็ดเลือดแดงสูงจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเป็น 3 เท่าของผู้หญิงที่มีกรดไขมันทรานส์ในเม็ดเลือดแดงต่ำ

สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐกําหนดให้อาหารที่มีปริมาณไขมันทรานส์เกิน 0.8 กรัมต่อการกิน 1 ครั้ง และอาหารที่มีปริมาณไขมันทรานส์รวมกับไขมันอิ่มตัวเกิน 4 กรัมต่อการกิน 1 ครั้ง ต้องระบุปริมาณ  ไขมันไว้ในสลากโภชนาการ และยังพยายามที่จะปรับการนําไขมันชนิดทรานส์มาใช้กับอาหารให้น้อยลงหรือไม่ใช้เลย โดยเฉพาะในร้านอาหาร ภัตตาคาร ตลอดจนผู้ประกอบการด้านอาหาร รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสําคัญของการลดหรือเลิกบริโภคไขมันชนิดนี้ด้วย แต่บ้านเรายังไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องระบุปริมาณไขมันทรานส์บนสลากโภชนาการ

ดังนั้น ผู้บริโภคในบ้านเราจึงไม่รับรู้หรือตื่นตัวต่อเรื่องกรดไขมันทรานส์ และคิดว่าการที่มีสลากโภชนาการติดเอาไว้ว่าใช้ไขมันจากพืช เนยขาว หรือมาร์การีนนั้น ทําให้สบายใจว่าสามารถกินอาหารชนิดนั้นได้โดยไม่ต้องระวัง เพราะรู้ว่าไขมันจากพืชไม่ใช่ไขมันอิ่มตัว ซึ่งผิดจากไขมันจากสัตว์ แต่ในความเป็นจริงแล้วไขมันจากพืชที่ถูกนํามาทําเป็นกรดไขมันทรานส์นี้ให้อันตรายไม่แตกต่างกัน และอาจอันตรายมากกว่าไขมันสัตว์ด้วยซ้ำ

สารกันบูดยังต้องระวัง

ขนมปังจากโรงงานขนาดใหญ่ มักหนีไม่พ้นที่จะต้องใส่สารกันบูด เพื่อให้มีอายุการขายที่ยาวนานขึ้น หากเป็นขนมปังที่ไม่มีสารกันบูดตามปกติแล้ว ตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 3 วันขึ้นไปก็เริ่มเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อรา เพราะบ้านเรามีอุณหภูมิแบบร้อนชื้น ซึ่งทําให้เชื้อราเติบโตได้ง่าย

หลายคนอาจโต้แย้งว่า ขนมปังเหล่านั้นใส่สารกันบูดในปริมาณที่กฎหมายกําหนด ไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่ความจริงที่เราต้องตระหนักเสมอคือ ไม่เฉพาะขนมปังที่เรากําลังกินเท่านั้นที่มีสารกันบูด แต่ในอาหารอีกมากมายหลายชนิดก็ล้วนแต่มีสารกันบูดในปริมาณที่ไม่เกินกฎหมายกําหนดทั้งนั้น บางอย่างเราอาจรู้ว่ามี แต่บางอย่างเราอาจไม่รู้ว่ามี ซึ่งเมื่อนําปริมาณของสารกันบูดในอาหารทุกชนิดที่เรากินมาคิดรวมกันต่อวันแล้ว เป็นไปได้มากที่เราจะได้รับสารกันบูดในปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อไตและตับได้ ดังนั้น หากหลีกเลี่ยงได้อย่างรู้ทัน ก็น่าจะเป็นหนทางที่เราควรทําอย่างยิ่ง

ขนมเค้ก

ในบรรดาเบเกอรี่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าเค้กจะให้พลังงานสูงที่สุด โดยพลังงานในขนมเค้กจะมาจากไขมันและน้ำตาลเป็นหลัก มีไข่และแป้งอีกส่วนหนึ่ง

ไขมันในเนื้อเค้ก หากใช้ไขมันจากเนยแท้ก็จะเป็นไขมันอิ่มตัว แต่ถ้ามาจากเนยเทียมหรือมาร์การีนจะเป็น  ไขมันทรานส์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไขมันชนิดไหนก็แทบจะไม่มีความแตกต่างในเรื่องความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของไขมันในเลือด และหากมีครีมที่ใช้แต่งหน้าเค้กก็จะมีไขมันเพิ่มขึ้นอีก โดยครีมบางสูตรอาจใช้เนยแท้ เนยเทียม หรือเนยขาว ซึ่งจะได้ข้อสรุปต่อสุขภาพที่ไม่แตกต่างกัน

เค้กม้วนหรือขนมตระกูลโรลทั้งหลายก็จัดเป็นเค้กเช่นกัน ส่วนผสมที่อาจแตกต่างจากเค้กก้อนหรือเค้กปอนด์คือ เค้กตระกูลนี้จะมีไข่มาก แต่มีไขมันน้อยกว่าเค้กก้อน ซึ่งการใส่ไข่ในปริมาณมาก ทําให้เค้กชนิดม้วน เหล่านี้เกิดความเสี่ยงต่อการได้รับคอเลสเตอรอลสูงเหมือนเดิม

ดังนั้น จึงน่าจะสรุปได้ว่า การกินเค้กไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน ล้วนแต่ทําให้เสี่ยงต่อโรคอ้วนและอันตรายจากไขมันอุดตันทั้งสิ้น

เค้กไขมันต่ำ

มีความพยายามที่จะลดอันตรายจากไขมันในเค้ก ด้วยการคิดสูตรเค้กที่ใช้ไขมันต่ำขึ้นมา โดยเปลี่ยนจากการใช้เนยหรือมาร์การีนมาเป็นการใช้น้ำมันพืชแทน ซึ่งหากมองในแง่ของอันตรายจากไขมันแล้ว เค้กเหล่านี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

แต่แง่มุมหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ เค้กเหล่านี้จะมีรสชาติที่แตกต่างจากเค้กปกติ นั่นคือมีกลิ่นของเนยน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย จึงเป็นไปได้มากว่าคนที่ชอบกินเค้กแบบปกติจะรู้สึกเหมือนกับยังไม่ได้กินเค้กแบบที่อยากกิน ดังนั้น จึงมีความอยากกินสะสมอยู่แบบเดิมและรู้สึกไม่ได้รับการสนองตอบความอยากกินนั้น จนในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และหันมากินเค้กในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ควรจะกิน

อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้กินเค้กไขมันต่ำจะรู้สึกว่าตัวเองได้ดูแลสุขภาพและกินของที่ไม่เป็นอันตรายแล้ว      จึงไม่ควบคุมปริมาณและความถี่ในการกิน โดยลืมไปว่านอกจากไขมันแล้วสิ่งที่เราได้รับในขนมเค้กนั้นคือ “น้ำตาล” หรือรสหวาน ซึ่งหากบริโภคบ่อยครั้งอาจกลายเป็นคนติดหวานเป็นนิสัย หรือเกิดอาการที่เรียกว่า การเสพติดน้ำตาลหรือติดหวานไปเลยก็เป็นได้

การติดหวาน

แม้น้ำตาลจะไม่ใช่สารเสพติด แต่งานวิจัยพบว่าสมองของคนที่กินหวานจนชินจะมีการตอบสนองต่อน้ำตาลด้วยการหลั่งสาร obioids ออกมา ทําให้เกิดความพึงพอใจและความอยากกินหวาน นักวิทยาศาสตร์เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะการพึ่งพาน้ำตาล (sugar dependency)” หรือเรียกว่าอาการของการ “ติดหวาน” นั่นเอง

นอกจากนี้ อาหารหวานประเภทน้ำตาลจะทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งทําให้ระดับของฮอร์โมนอินซูลินก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันยังทําให้มีระดับของเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ก่อให้เกิด “ความสุข” สูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน

เมื่อติดความหวานแล้ว ก็ต้องอยากกินรสหวานต่อไปเป็นธรรมดา และหากกินแล้วมีความสุข ก็ทําให้อยากกินมากขึ้น ไม่อยากหยุด พฤติกรรมแบบนี้ทําให้ในแต่ละวันเราบริโภคน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าหากติดก็แปลว่าเลิกยาก และหากเลิกอย่างกะทันหันก็จะเกิดความโหยขึ้นได้

สรุปก็คือการกินหวานทําให้ติดหวาน และเมื่อติดหวานแล้วจะยิ่งกินหวานมากขึ้น สิ่งนี้เป็นวังวนที่ไม่แตกต่างจากการเสพติด ซ้ำร้ายอาจมีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่า ด้วยการคิดว่าพฤติกรรมการติดหวานนั้นไม่ได้เป็นปัญหา คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วรสหวานนี้ก็ให้โทษต่อสุขภาพได้เหมือนกัน

ภาวะติดหวานนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งหากเกิดในเด็กก็จะยิ่งอันตรายมากกว่า เพราะการได้      รับน้ำตาลมากๆ จะก่อให้เกิดอันตรายจากการติดหวาน ประการแรกคือ “โรคเบาหวาน” การติดหวานทําให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้ง่ายขึ้น เพราะอาหารที่มีน้ำตาลมาก จะทําให้ตับอ่อนต้องผลิตฮอร์โมนอินซูลินมากตามไปด้วย นําไปสู่การเสื่อมสภาพเมื่ออายุมากขึ้น และมีผลให้สามารถผลิตอินซูลินได้น้อยลงจนไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ ทําให้เกิดเป็นโรคเบาหวานในที่สุด

นอกจากนี้ จะตามมาด้วยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดจากการเป็นเบาหวาน เช่น ไตวาย ต้อกระจก          ลานสายตาเสื่อม ยิ่งไปกว่านั้นอาจมีส่วนให้เกิดปัญหาต่อเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้คร่าชีวิตคนเป็นโรคเบาหวานมานักต่อนักแล้ว

ประการที่สองคือ โรคอันเกิดจากไขมัน เนื่องจากร่างกายจะย่อยและดูดซึมน้ำตาลอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล ดังนั้น หากร่างกายไม่ทํากิจกรรมอะไรเพื่อเผาผลาญไขมันเหล่านี้ ก็จะทําให้เกิดการสะสมไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง ในเส้นเลือด และในอวัยวะต่างๆ ซึ่งการที่ไขมันสะสมในหลอดเลือด จะเกิดการอุดตันและมีผลให้เกิดอาการตามแต่อวัยวะที่เส้นเลือดที่อุดตันเหล่านี้ไปเลี้ยง เช่น ถ้าเป็นเส้นเลือดอุดตันในสมองก็จะเป็นอัมพาต ถ้าอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็จะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และมีภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตได้

โรคมะเร็งก็เสี่ยงด้วย

ผลจากการค้นคว้าในหลายประเทศ ตลอดระยะเวลา 40-50 ปีมานี้ พบว่าการเกิดมะเร็งสัมพันธ์กับการ   รับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารอุดมไปด้วยไขมัน อาหารดัดแปลง สารปรุงแต่งอาหารและน้ำตาลหรือแป้งขาวก็จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งด้วย

ตามทัศนะของแม็คโครไบโอติกส์ “น้ำตาล” ถือเป็นปัจจัยปฐมภูมิทั้งในการก่อให้เกิดและการเร่งรัดการเติบโตของมะเร็งทุกรูปแบบ เนื่องจากน้ำตาลนั้นเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดกรดอย่างรุนแรงที่สุด การที่เซลล์ต่างๆ ไม่ได้ออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงร่างกายตามปกติ และไม่มีการขจัดของเสียที่เป็นกรด โดยเซลล์ก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดและเซลล์ที่มีออกซิเจนต่ำอย่างช้าๆ นี่คือการเริ่มต้น ขณะเดียวกันมะเร็งก็จะเติบโตขึ้นได้ดีในภาวะที่เป็นกรด

การสร้างกรดขึ้นในร่างกาย ยังเท่ากับเป็นการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อโรคเบาหวาน โรคแผลในกระเพาะอาหาร และในทางเดินอาหารช่วงต้นของลําไส้เล็กด้วย

คุกกี้และพาย

มองโดยภาพรวม หลายคนเข้าใจว่าการกินคุกกี้ที่แห้งร่วนและพายซึ่งมีรสเค็มนั้น น่าจะให้พลังงานต่ำกว่าการกินเค้กที่ดูเนื้อฉ่ำไปด้วยครีมและเนย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะคุกกี้ 2 ชิ้นให้พลังงานราว 200 กิโลแคลอรี่ ขณะที่เค้ก 1 ชิ้นให้พลังงานราว 300 กิโลแคลอรี่ แต่ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ      คนส่วนใหญ่กินเค้กเพียงชิ้นเดียว ขณะที่คุกกี้จะถูกหยิบกินไปได้เรื่อยๆ เพราะการกินคุกกี้ 4-5 ชิ้นยังให้ความรู้สึกว่ากินในปริมาณที่ไม่มากเท่าไร นี่เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ต้องคิดด้วย

ขณะที่พาย 1 ชิ้น เช่น พายไก่หรือพายสับปะรด จะให้พลังงานราว 400-500 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว เรียกว่า นําลิ่วในด้านพลังงาน ทั้งที่ไม่มีครีม เนย หรือรสหวานให้ต้องระวัง ที่เป็นอย่างนี้เพราะแป้งพายที่เราเห็นว่าเป็นชั้นๆ หรืออบกรอบนั้น เป็นส่วนผสมที่มาจากการใช้แป้งและเนยผสมกันก่อน หลังจากนั้นยังมีการเอามาคลึงโดยการใช้เนยชนิดที่เรียกว่าเพรสตี้มาร์การีนในปริมาณมากใส่ไว้ด้านใน ก่อนจะพับทบแล้วรีดไปมาหลายครั้งจนเกิดเป็นชั้นแป้งอย่างที่เห็น

“เพรสตี้มาร์การีน” คืออะไร เพรสตี้มาร์การีนจะคล้ายกับเนยสด แต่จะมีความอยู่ตัวและความหนืดมากกว่า   เพรสตี้มาร์การีนใช้ในการทําพายชั้น ซึ่งโดยทั่วไปมีอยู่หลายเกรดด้วยกัน นั่นคือ 1. ทําจากเนยล้วนแต่มีจุดหลอมเหลวพิเศษ เหมาะกับการทําพายชั้นหรือครัวซองต์ 2. ทําจากมาร์การีนผสมเนยสด และ 3. ทําจากมาร์การีนหรือเนยขาว ซึ่งมีราคาถูกที่สุด

จากข้อมูลด้านคุณค่าโภชนาการ ระบุชัดเจนว่าเพรสตี้มาร์การีนแบบที่เป็นเนยล้วน 100 กรัม ให้พลังงาน 674 กิโลแคลอรี่ มีไขมัน 75 กรัม ในจํานวนนี้เป็นไขมันอิ่มตัว 25.7 กรัม มีไขมันทรานส์ 0.8 กรัม มีโซเดียม 900 มิลลิกรัม และโดยทั่วไปหากทําพายโดยใช้แป้ง 500 กรัม จะใช้เพรสตี้มาร์การีนราว 300-350 กรัม และหากเพรสตี้มาร์การีนที่ใช้ไม่ใช่ชนิดที่ทําจากเนยสดล้วน ก็หมายความว่าปริมาณของไขมันทรานส์ที่เราได้รับย่อมเพิ่มมากกว่านี้

กินเบเกอรี่อย่างไรให้ปลอดภัย

แน่นอนว่าการเลือกเบเกอรี่ชนิดที่ทําแบบโฮมเมดอาจช่วยลดความเสี่ยงให้น้อยลงได้ อย่างน้อยก็จากการใช้สารกันราหรือสารกันบูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแบบโฮมเมดจะไม่มีความเสี่ยงอยู่เลย ดังนั้น หากต้องเลือกระหว่างการกินเบเกอรี่ที่ใช้ไขมันอิ่มตัวหรือเนยแท้ กับ ไขมันทรานส์ เนยขาว หรือมาร์การีน ควรต้องเลือก  ไขมันแท้

เพราะแม้ว่าไขมันแท้จะมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง แต่หากเทียบกันแล้วยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าการกินไขมันทรานส์ เพราะไขมันอย่างหลังนี้จะละลายยากกว่า และถูกกําจัดออกจากร่างกายด้วยไขมันชนิดดียากกว่า

แต่คําแนะนําที่คิดว่าดีกว่านั้นคือ พยายามอย่ากินครั้งละมากๆ หรือติดต่อกัน ควรออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการงดกินเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูงพร้อมกับการกินเบเกอรี่ แต่ควรดื่มชาร้อน และพยายามเพิ่มการกินผัก-ผลไม้ที่มีกากใยเพื่อช่วยกวาดไขมันออกจากระบบลําไส้แทน หรือหากเลือกเบเกอรี่สุขภาพก็ควรรับประทานอย่างจํากัดปริมาณเช่นเดียวกัน

มัฟฟินกล้วยหอมสูตรสุขภาพ

ส่วนผสม

แป้งเค้ก 160 กรัม / ผงฟู 1 ช้อนชา / เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา / กล้วยหอมงอม 3 ผล /                  น้ำตาลทรายแดง 4 ช้อนโต๊ะ / เกลือป่น ½ ช้อนชา / น้ำมันพืช 80 กรัม / ไข่ไก่ 1 ฟอง / กลิ่นวานิลลา      1 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
  2. ร่อนแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดารวมกัน 2 ครั้ง พักไว้
  3. ปอกเปลือกกล้วยหอมแล้วบดให้ละเอียด ใส่น้ำตาลทรายแดงและเกลือลงในชามผสม คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ น้ำมันพืช และกลิ่นวานิลลาลงในชามผสม คนให้เข้ากัน
  4. ใส่ของแห้งที่ร่อนไว้ลงไป คนให้เข้ากันแล้วตักส่วนผสมใส่ลงในถ้วยคัพเค้ก จะได้ 12 ถ้วย นําพิมพ์วางบนถาดทนความร้อนและส่งเข้าเตาอบ ระยะเวลา 20-25 นาที ขนมสุกนำออกจากเตา วางบนตะแกรงให้เย็นหรืออุ่นแล้วจัดเสิร์ฟ

 

ข้อมูลจาก : หนังสืออาหารเสี่ยงเลี่ยงได้ สำนักพิมพ์มติชน