1.หญ้าฝรั่น (saffron) หนึ่งในเครื่องเทศราคาแพงที่สุดในโลก มีชื่อเล่นว่า “ทองคำสีแดง” สาเหตุที่แพง เพราะในหนึ่งปีมันจะออกดอกช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น กระบวนการเก็บเกี่ยวทั้งหมดต้องทำด้วยมือ และดอกหญ้าฝรั่นแต่ละดอกมีเกสรเพศเมียเพียง 3 เส้นเท่านั้น ดังนั้นต้องใช้พื้นที่ปลูกหญ้าฝรั่นขนาดใหญ่มากเพื่อให้ได้ปริมาณ 1 กิโลกรัม และทำให้ราคาสูงถึง 1,100 ถึง 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 36,300-363,000 บาท) ขึ้นอยู่กับคุณภาพ

2.คาเวียร์ ไข่ที่ได้จากปลาสเตอร์เจียนที่อาศัยตามธรรมชาติหายากขึ้นยิ่งทำให้ราคาคาเวียร์สูงขึ้นเท่านั้น คาเวียร์ คือไข่ปลาที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเบื้องต้นด้วยการหมักเกลือ
คาเวียร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดทำจากไข่ปลาเบลูกาสเตอร์เจียน หรือปลาสเตอร์เจียนขาว ซึ่งพบในแถบทะเลสาบแคสเปียนและทะเลดำ ปัจจุบันถือเป็นสัตว์ที่ตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ทำให้การหาซื้อไข่ของปลาชนิดนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นเป็นเรื่องยากมาก และยังต้องใช้เวลาถึง 20 ปี กว่าที่ปลาเบลูกาสเตอร์เจียนจะถึงวัยเจริญพันธุ์พร้อมออกไข่ที่ใช้ทำคาเวียร์ได้ และการจะเอาไข่มาได้นั้นต้องทำโดยการฆ่าปลาเสียก่อน

และยิ่งหายากขึ้นไปอีก คือ ไข่ของปลาสเตอร์เจียนเผือก ที่แทบจะสูญพันธุ์แล้ว มีการบันทึกว่าไข่ปลาคาเวียร์จากปลาสเตอร์เจียนเผือกที่มีอายุ 100 ปี มีราคาขายที่กิโลกรัมละ 34,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.38 ล้านบาท)

3.หอยนางรม ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 หอยนางรมมีราคาถูกพอ ๆ กับมันฝรั่งทอด และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของบรรดาชนชั้นแรงงานที่อาศัยตามแนวชายฝั่งทะเล มันถืออาหารที่หาง่ายจนมักถูกนำไปยัดเป็นไส้พายเนื้อการทำประมงเกินขนาดและปัญหามลพิษส่งผลกระทบต่อจำนวนหอยนางรมตามธรรมชาติ และทำให้อาหารทะเลชนิดนี้มีราคาพุ่งสูง

4.เห็ดทรัฟเฟิลขาว เป็นเห็ดที่เจริญเติบโตอยู่ใต้ดินที่หายากและเก็บเกี่ยวได้ยากชนิดหนึ่งของโลกพบได้เฉพาะในแคว้นปีเยมอนเต ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี โดยมักขึ้นอยู่ตามรากต้นไม้บางชนิดเท่านั้น ถือเป็นทรัฟเฟิลที่หาได้ยากกว่าทรัฟเฟิลชนิดอื่น ๆ
ความแพงของทรัฟเฟิล เพราะเป็นเห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถเพาะพันธุ์แบบฟาร์มได้

เมื่อปี 2007 เห็ดทรัฟเฟิลขาวหนึ่งหัวน้ำหนัก 1.5 กก.ได้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 330,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 10.89 ล้านบาท)

5.แฮมอิเบอริโค ความละเอียดคือ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยงหมูไปถึงกระบวนการหมักแฮม อาจใช้เวลานานถึง 7 ปี ถือเป็นของดีราคาแพงจากสเปนและโปรตุเกส ซึ่งใช้เนื้อหมูดำไอบีเรีย ที่มีถิ่นกำเนิดแถบคาบสมุทรไอบีเรีย ที่เลี้ยงโดยปล่อยอิสระในป่าต้นโอ๊ก และหมูจะกินลูกโอ๊กเป็นอาหารอย่างเดียวจนถึงวัยที่เหมาะนำเนื้อไปใช้ทำแฮม

ราคาที่แพงยังมีสาเหตุมาจากกระบวนการผลิตที่ยาวนาน โดยแฮมที่มีราคาสูงจะผ่านการหมักเกลือนาน 36 เดือน หรืออาจนานถึง 48 เดือน ในพื้นที่ที่สภาพอากาศแห้งเป็นพิเศษ

6.เนื้อวากิว มาจากวัวญี่ปุ่น 4 สายพันธุ์ เนื้อจะมีไขมันแทรกเหมือนลายหินอ่อน ทำให้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำแทบจะละลายในปาก สาเหตุที่เนื้อชนิดนี้มีราคาแพงนั้นมาจากการเลี้ยงดูที่พิถีพิถัน การจะทำให้เนื้อวัวมีไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนได้นั้นจะต้องผ่านกระบวนการเลี้ยงดูและให้อาหารตามเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

เนื้อโกเบ คือหนึ่งในเนื้อวัวราคาแพงที่สุด มีราคาขายในญี่ปุ่นที่ราวกิโลกรัมละ 640 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 21,000 บาท)

7.กาแฟขี้ชะมด เป็นเครื่องดื่มราคาแพง โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 23,000 บาท)

กาแฟชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย โดยราคาที่สูงกว่ากาแฟทั่วไปนั้นมาจากขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะผู้ผลิตจะให้ตัวชะมดกินผลกาแฟสุกเข้าไป เพื่อให้กรดและเอ็นไซม์ที่อยู่ในกระเพาะอาหารของมันทำปฏิกิริยาเคมีกับผลกาแฟ โดยมีลักษณะคล้ายกับการหมัก ซึ่งกระเพาะจะย่อยเฉพาะเปลือกและเนื้อของเมล็ดกาแฟ เหลือแต่เมล็ดกาแฟที่ย่อยไม่ได้และขับถ่ายออกมา

จากนั้นเกษตรกรจะไปเก็บมูลชะมด แล้วแยกเอาเฉพาะเมล็ดกาแฟออกไปทำความสะอาด แล้วตากให้แห้ง จากนั้นนำมาคั่วจนได้เป็นเมล็ดกาแฟคั่วที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถนำมาบดและชงดื่มได้ต่อไป

8.ฟัวกราส์ วัฒนธรรมการกินฟัวกราส์มีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ฟัวกราส์ ทำมาจากตับห่านหรือตับเป็ดที่ถูกขุนให้ตับมีขนาดโตกว่าปกติถึง 10 เท่า ทำให้ตับแบบนี้มีรสชาติเข้มข้นและมันละมุนลิ้น ปัจจุบันหลายประเทศกำหนดให้การผลิต การนำเข้า และการจำหน่ายฟัวกราส์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะถือเป็นการทรมานสัตว์ อย่างไรก็ตามอาหารชนิดนี้ยังคงได้รับความนิยมในหลายประเทศ

 


ที่มา : บีบีซีไทย

หากพูดถึงสุดยอดเนื้อวัวจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว หลายคนคงยกให้เนื้อลายหินอ่อนอย่าง “เนื้อวากิว” ชนะเลิศ เพราะรสสัมผัสอ่อนนุ่มราวกับว่าแต่ละคำที่กินเข้าไปจะละลายในปาก

แต่กว่าจะมาถึงผู้บริโภคชาวไทยอย่างเราๆ การนำเนื้อวากิวเข้ามานั้นจะผ่านการแช่เย็นหรือแช่แข็ง เพื่อคงความสดใหม่ของเนื้อ แต่การแช่แข็งแบบที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีนัก เพราะหลายคนบอกว่ารสชาติยังไม่ดีเท่ากับการแช่เย็น

สาเหตุมาจากการแช่แข็งทำให้ปริมาตรน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมากกว่าปริมาตรของน้ำที่ใช้ในการแช่แข็ง ซึ่งทำให้ส่วนประกอบที่เป็นน้ำในเซลล์ของเนื้อวัวแข็งตัว ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น และทำลายเซลล์ของเนื้อ เมื่อนำเนื้อมาละลาย จะทำให้ของเหลวซึมผ่านผนังเซลล์ ส่งผลให้รสชาติความอร่อยภายในเนื้อถูกทำลายลงไปด้วย หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีการแช่แข็งแบบ 3D เพราะเป็นเทคนิคที่ส่งความเย็นไปได้เร็วและถึงเนื้อทั่ว 360 องศา

“ฮิคาเกะ” ผู้จัดการแผนก โรงงานอาโอโมริ บริษัท Starzen Meat Processor จำกัด บริษัทผลิตสินค้าปศุสัตว์ อธิบายเทคโนโลยีการแช่แข็งให้เราฟังว่า หากต้องการเก็บรักษารสชาติของเนื้อวัวเอาไว้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนผลึกน้ำแข็งให้มีขนาดเล็กลงและเท่ากัน เพื่อลดความเสียหายต่อเซลล์ของเนื้อ

หลักสำคัญของเทคโนโลยีแช่แข็งทั่วไปอยู่ที่อุณหภูมิในการแช่แข็ง และความเร็วในการลดอุณหภูมิจาก 0 องศาเซลเซียส ลงไปถึง -5 องศาเซลเซียสเมื่อเริ่มกระบวนการแช่แข็ง (ขอบเขตของอุณหภูมิที่กว้างที่สุดในการสร้างผลึกน้ำแข็ง) แต่การแช่แข็งแบบ 3D คือเทคโนโลยีที่ใช้การแช่เย็นโดยการนำมวลอากาศเย็นที่มีความชื้นสูงมาล้อมรอบเนื้อวัวให้ทั่ว จากนั้นจึงสร้างผลึกน้ำแข็งที่มีขนาดเล็กและละเอียดเท่ากันทั้งหมด เพื่อไม่ให้สูญเสียความอร่อยของเนื้อวัวไป

“การแช่แข็งแบบ 3D ยังใช้ใบพัดความเร็วสูงที่ทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนในขั้นตอนเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -45 องศาเซลเซียส ซึ่งจะปล่อยลมจากทุกทิศทาง โดยชิ้นเนื้อสันช่วงไหล่ที่มีลักษณะหนา จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงจึงจะสิ้นสุดกระบวนการแช่แข็ง หากเนื้อมีปริมาณยิ่งน้อย ระยะเวลาในการแช่แข็งก็จะยิ่งสั้นลง”

ข้อดีของการแช่แข็งแบบ 3D มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระชับเวลาในการแช่แข็งให้สั้นลง, ระหว่างแช่แข็ง ส่วนประกอบของน้ำจะไม่ทำลายเซลล์กล้ามเนื้อ จึงช่วยควบคุมให้ของเหลวไหลออกมาในปริมาณที่น้อยที่สุด ทำให้เนื้อไม่สูญเสียรสสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ นอกจากนี้ สีของเนื้อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อย ทำให้เนื้อที่ได้มีสภาพแทบไม่ต่างจากเนื้อสดเลย

สำหรับใครที่ชอบซื้อเนื้อวากิวมาปรุงเอง ลองไปดูเทคนิคการหั่นเนื้อโดย “เท็ตซึสะ ฮากิวาระ” ที่จะมาสาธิตการหั่นเนื้อ พร้อมแนะนำการนำเนื้อแต่ละส่วนไปปรุงอาหาร

เริ่มที่ส่วนแรก ริบอาย (Rib eye) หรือสันกลางถอดกระดูก เหมาะที่จะทำสเต๊กและทำยากินิกุ โดยเนื้อในส่วนนี้จะมีไขมันอยู่รอบนอกของเนื้อทั้งหมด ถ้าไขมันเยอะไปควรตัดออกนิดหน่อย เพื่อให้รูปทรงของเนื้อสเต๊กดูสวยที่สุด

เนื้อวากิวส่วนริบอาย สำหรับทำสเต๊ก
เนื้อวากิวส่วนริบอาย สำหรับทำยากินิกุ

ส่วนที่ตัดออกมาจากโครงกระดูกก็นำไปทำยากินิกุได้เหมือนกัน เนื้อตรงส่วนเนื้อติดโครงกระดูกรสชาติจะเข้มข้นเป็นพิเศษ เวลานำไปทำเนื้อย่างรสชาติจะเข้มข้น ส่วนไขมันที่ตัดออกนั้น โดยที่รู้กันว่าเป็นสินค้าราคาสูง เลยสามารถนำไปลงกระทะก่อนเพื่อแทนน้ำมันธรรมดาที่เราใช้ ซึ่งจะเปลี่ยนให้เนื้อธรรมดาของเราได้กลิ่นหอมของเนื้อวากิวขึ้นมา

ชมคลิป

เนื้อวากิว

[food story] พูดถึง "เนื้อวากิว" คนรักเนื้อคงต้องร้องกรี๊ด! เพราะเนื้อลายหินอ่อนนี้นุ่มละลายในปากชนิดที่ใครได้กินก็ติดใจ แต่รู้กันหรือไม่ว่าการจะปรุงเนื้อให้อร่อย อีกเทคนิคสำคัญอยู่ที่การแล่เนื้อหรือหั่นเนื้อนะจ๊ะ ลองไปดูทริคเล็กๆ น้อยๆ ในการหั่นเนื้อวากิวกัน!.อ่านรายละเอียด >> http://www.matichonacademy.com/content/food-story/article_8881#MatichonAcademy #เนื้อวากิว

โพสต์โดย Matichon Academy – มติชนอคาเดมี เมื่อ วันพุธที่ 21 มีนาคม 2018

ต่อมาที่ ส่วนสันคอ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสเต๊ก ยากินิกุ และชาบู ชาบู ยิ่งเนื้อก้อนใหญ่เท่าไหร่ก็ให้ใช้มีดที่ใหญ่ขึ้นก็จะตัดง่ายขึ้น แต่ถ้าจะตัดเนื้อเล็กยากินิกุก็ใช้มีดเล็กจะตัดได้ง่ายกว่า และเวลาหั่นควรเอียงมีดไปข้างนอก

เนื้อวากิวส่วนสันคอ สำหรับทำสเต๊ก
เนื้อวากิวส่วนสันคอ สำหรับทำยากินิกุ

ตามด้วย ส่วนสันใน ที่เหมาะกับการนำเอาไปทำสเต๊กมากที่สุด เพราะเวลาหั่นเนื้อจะแยกตัวออกเป็น 4 ส่วน ทำให้ไม่หมาะแก่การนำไปทำยากินิกุ โดยเวลาหั่นพยายามวางมีดตัดเนื้อให้ตรงมากที่สุด

เนื้อวากิวส่วนสันใน

ถือเป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คนรักเนื้อหรือคนที่ชอบปรุงเมนูเนื้อนำไปปรับใช้กันได้!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111