มิชลินแจกดาว 27 ร้านอาหารในไทย ‘เจ๊ไฝ’ ยังอยู่ เพิ่มเติมคือ ‘เมธาวลัย ศรแดง’ แถมให้ดาวร้านอาหารนอก กทม.เป็นครั้งแรก

สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการอาหารประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมาไม่น้อย เมื่อ มิชลิน ไกด์ ได้เข้ามาจัดอันดับร้านอาหารในประเทศไทยเป็นครั้งแรกก่อนแจกดาว มิชลินสตาร์ จนทำให้ ร้านอาหารหลายร้าน โด่งดังขึ้นในระดับโลก อาทิ ร้านเจ๊ไฝ กับเมนูเด็ด ไข่เจียวปู

ล่าสุด มิชลิน (Michelin Guide) ได้เผยแพร่ รายชื่อร้านอาหารที่ติดอันดับ มิชลินสตาร์ในปีนี้ โดยมีหลักเกณฑ์จาก คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ ความโดดเด่นของรสชาติและเทคนิคการทำอาหาร เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟที่สะท้อนออกมาในอาหารและประสบการณ์ในมื้อนั้น ความคุ้มค่าสมราคา และความสม่ำเสมอ จากการให้คะแนนของผู้ตรวจสอบมิชลิน ซึ่งปีนี้มอบรางวัลให้กับร้านอาหารในกรุงเทพฯ พังงา และภูเก็ต สะท้อนถึงความหลากหลายทางอาหารของไทย
สำหรับผู้ได้รับรางวัล 2 ดาวมิชลินสตาร์ ได้แก่

Gaggan – กรุงเทพฯ (อาหารเชิงนวัตกรรม)

Gaggan Anand เชฟเจ้าของร้านผู้เนรมิตและนำเสนออาหารอินเดียในมิติที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น แต่ละเมนูล้วนแปลกใหม่ สร้างสรรค์ ทว่าลงตัวทั้งเนื้อสัมผัส รสชาติ และระดับของเครื่องเทศที่พอดี เลือกนั่งที่เคาน์เตอร์เพื่อสัมผัสบรรยากาศของการปรุงอาหารซึ่งพร้อมนำเสิร์ฟอย่างรวดเร็วโดยพนักงานมืออาชีพ และด้วยทีมเชฟที่มากถึง 30 คน จึงมั่นใจได้ว่ามื้อนี้จะแน่นไปด้วยคุณภาพ ความเลิศรส และน่าจดจำ

เลอ นอร์มังดี – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย)

ตั้งแต่ปี 1958 Le Normandie ในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ได้สร้างชื่อและกลายเป็นจุดหมายของผู้ที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการปิดปรับปรุงในปี 2015 แต่ Le Normandie ยังคงรักษาไว้ซึ่งความสง่างาม ทั้งกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา หรือการจัดแจกันดอกไม้อย่างประณีต ทุกเมนูถูกปรุงอย่างลงตัวด้วยวัตถุดิบชั้นยอดและเทคนิคชั้นสูง รวมไปถึงการบริการเป็นเลิศสมคำร่ำลือ

เมซซาลูน่า – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย)

ตั้งบนชั้น 65 ของโรงแรมเลอบัว Mezzaluna ให้คุณตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศสวยงามยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แวะจิบเครื่องดื่มที่ Sky Bar ก่อนเปิดประสบการณ์อาหารที่คุณคาดไม่ถึง ด้วยดินเนอร์สไตล์ยุโรปร่วมสมัยแบบเซตเมนู 7 คอร์สที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นจากทีมเชฟยอดฝีมือ พร้อมเมนูเซอร์ไพรส์ที่ล้วนมีความลงตัวของรสชาติด้วยเทคนิคการปรุงชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีไวน์ลิสต์ให้เลือกมากมายหลากหลายราคา

Sühring (promoted) – กรุงเทพฯ (อาหารยุโรปร่วมสมัย)

การทานอาหารที่นี่ให้อารมณ์ผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน อาจเป็นเพราะร้านปรับปรุงจากทาวน์เฮาส์ในย่านที่เงียบสงบ เชฟสองพี่น้อง Mathias และ Thomas Sühring พิถีพิถันสรรสร้างเมนูอาหารเยอรมันในสไตล์ของตัวเองที่มีทั้งความสนุกสนานและความคลาสสิก ทางร้านมีเมนูตามสั่งให้เลือกแต่ไม่ควรพลาดเซตเมนู 13 คอร์สที่มีให้เลือกทั้งแบบคลาสสิกและแบบเปิดประสบการณ์ใหม่ นอกจากนี้ยังมี Sommelier ผู้คอยดูแลไวน์ลิสต์ขึ้นชื่อจากทั้งเยอรมันและแคว้น Alsace ในฝรั่งเศส
1 ดาวมิชลินสตาร์

โบ.ลาน – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

สองเชฟคู่ขวัญ ดวงพร ทรงวิศวะ (โบ) และดิลลัน โจนส์ (ลาน) ผู้ปรุงอาหารไทยเลิศรสตำรับชาววังมานานนับสิบปี โบ.ลานให้คุณได้ลิ้มรสชาติอาหารไทยแท้ๆ แบบดั้งเดิม แต่นำเสนอด้วยรูปแบบและการจัดแต่งอาหารอย่างทันสมัย พิถีพิถันทั้งการเลือกสรรวัตถุดิบและความกลมกล่อมของรสชาติ บนพื้นฐานของการเป็นร้านอาหารปลอดคาร์บอน แนะนำให้เลือกลิ้มลองหนึ่งในสองสำรับอาหารของเชฟ ในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองของบ้านสวยกลางกรุง

Canvas (ได้รับเป็นครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารเชิงนวัตกรรม)

ภาพวาด canvas ขนาดใหญ่กลางห้องบ่งบอกถึงความเป็นศิลปะของที่นี่ และทุกเมนูล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของเชฟ Riley ที่บรรจงรังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นระดับพรีเมียมด้วยเทคนิคขั้นสูงที่หลากหลาย เมนูทั้ง 6 และ 9 คอร์สปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและตามแรงบันดาลใจใหม่ๆ ของเชฟ ที่คุณสามารถสัมผัสได้โดยตรงที่เคาน์เตอร์ครัวเปิดสีทองแดงเงางามหรูหราแต่ทว่าอบอุ่น หรือเลือกนั่งที่บาร์ด้านบนหากต้องการความเป็นส่วนตัว

ชิม บาย สยาม วิสดอม – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

หลังจากการปรับโฉมปลายปี 2017 ชิม บาย สยาม วิสดอม นำเสนอสำรับไทยที่ผสานความโบราณและความทันสมัยได้อย่างลงตัวงดงาม จะเลือกสั่งเมนู à la carte ตามใจชอบมาแบ่งกัน หรือสั่งเป็นเซตเมนูที่มีความหลากหลายแต่ครบรสก็ได้ เมนูที่คุณไม่ควรพลาด คือ ต้มยำปลาช่อนโบราณสูตรหม่อมส้มจีนร.ศ. 109 และเมนูเครื่องแกงสดใหม่

เอเลเมนท์ – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย)

วิวเมืองอันตระการตาเบื้องล่างที่มองเห็นจากระเบียงร้านบนชั้น 25 ของโรงแรม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเดทแสนพิเศษ ภายในร้านตกแต่งอย่างสุดชิคสร้างความโดดเด่นให้กับครัวเปิด พร้อมโคมไฟขนาดใหญ่สไตล์อินดัสเทรียลและผนังที่ทำจากไม้ถ่าน หนึ่งในองค์ประกอบที่ลงตัวอันเป็นที่มาของชื่อร้าน อาหารของที่นี่เป็นแบบฟิวชั่นที่ผสมผสานระหว่างอาหารฝรั่งเศสและอาหารญี่ปุ่น ทั้งยังมีเซตเมนูที่รวมหลากหลายรายการไว้ด้วยกัน

Gaa (promoted) – กรุงเทพฯ (อาหารเชิงนวัตกรรม)

อดีต sous chef ของร้าน Gaggan นำเสนอเมนูสไตล์ modern eclectic ที่ผสานศาสตร์การปรุงแบบดั้งเดิมกับเทคนิคสมัยใหม่ โดยเปลี่ยนโฉมวัตถุดิบท้องถิ่นให้ออกมาเป็นเมนูที่คุณคาดไม่ถึง tasting menu มีให้เลือกระหว่าง 10 และ 14 คอร์ส ซึ่งปรับเปลี่ยนทุกไตรมาสขึ้นอยู่กับวัตถุดิบตามฤดูกาล เมนูซิกเนเจอร์ คือ chicken liver mousse และ cauliflower with caramelized whey คุณสามารถเลือกจับคู่อาหารกับไวน์หรือน้ำผลไม้ได้เช่นกัน

Ginza Sushi Ichi – กรุงเทพฯ (ซูชิ)

ร้านซูชิพรีเมียมนี้ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าเอราวัณ เริ่มจากสาขาแรกที่โตเกียว ปัจจุบันยังมีสาขาที่จาการ์ตาและสิงคโปร์อีกด้วย โดยใช้วัตถุดิบสั่งตรงจากตลาดในโตเกียวทุกวัน เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพของร้าน ในร้านมีห้องทานอาหาร 2 ห้องที่มีเคาน์เตอร์ให้ลูกค้าทุกคนได้ตื่นตากับการทำอาหารของเชฟ เซตเมนูมีทั้งหมด 4 เซต โดยเซตที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ เซต Botan และ Omakase บริการของร้านนั้นน่าประทับใจไม่แพ้กัน

เฌม บาย ฌอง มิเชล โลรองต์ – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย)

ที่ J’AIME คุณอาจจะรู้สึกเหมือนโลกกำลังกลับหัว ด้วยแกรนด์เปียโนที่อยู่บนเพดานและแชนเดอเลียร์ที่ห้อยกลับด้าน แต่ทันทีที่ได้ลิ้มลองอาหารฝรั่งเศสสุดสร้างสรรค์ทำให้ทุกอย่างพลันคืนสู่สภาพเดิม แนะนำเทสติ้งเมนูที่มีแบบ 5, 7 หรือ 9 คอร์สที่ให้คุณได้เปิดประสบการณ์อย่างเต็มที่ J’AIME ก่อตั้งและออกแบบเมนูอาหารโดยเชฟชื่อดัง Jean-Michel Lorain โดยมีลูกสาวดูแลในภาพรวมและศิษย์เอกคนสนิทคอยบริหารงานครัว

เจ๊ไฝ – กรุงเทพฯ

ร้านเก่าแก่ที่ทั้งนักชิมตัวยงต่างกล่าวขวัญถึง และหากคุณเป็นผู้ที่รักการตระเวนชิมอาหารจานเด็ด ยิ่งไม่ควรพลาดร้านนี้ เจ๊ไฝมักใส่แว่นประดาน้ำระหว่างปรุงอาหารอยู่หน้าร้านที่เปิดมายาวนานกว่า 70 ปี เมนูเด็ดเช่น ไข่เจียวปู ปูผัดผงกะหรี่ และโจ๊กแห้งคือ รสชาติและฝีมือระดับพระกาฬที่ทำให้เจ๊ไฝเป็นตำนานจริงๆ
เจ๊ไฝ
เจ๊ไฝ

L’Atelier de Joël Robuchon – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย )

ฝีมือของเชฟ Joël Robuchon เป็นที่ติดอกติดใจนักชิมมาแล้วทั่วโลก แต่ L’Atelier de Joël Robuchon ที่อาคารมหานครคิวบ์ มอบประสบการณ์การทานอาหารแบบเป็นกันเองอย่างมีสไตล์ ทำให้อาหารฝรั่งเศสคลาสสิกที่จัดวางมาในภาชนะหลากดีไซน์ยิ่งอร่อยล้ำมากขึ้น อาหารทุกจาน คือ ความละเมียดละไมและความสมบูรณ์แบบ พร้อมของหวานสุดเย้ายวนที่เสิร์ฟบนรถเข็น

ฤดู (promoted) – กรุงเทพฯ (อาหารไทยร่วมสมัย )

เชฟต้น ธิติฏฐ์ แห่งร้านฤดู (Le Du) สั่งสมความรู้และประสบการณ์ที่ร้าน Eleven Madison Park ก่อนนำมาประยุกต์ใช้ในการตีความอาหารไทยแบบร่วมสมัย ด้วยเมนูที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาลตามชื่อร้านอย่างเมนูฤดูร้อนมีจานขึ้นชื่อ คือ ข้าวแช่ ที่มาในรูปแบบไอศกรีมข้าวหอมกลิ่นน้ำลอย อีกเมนูที่ไม่ควรพลาด คือ ข้าวคลุกกะปิ ที่ใช้ข้าวออร์กานิกและกะปิชั้นดีกลิ่นหอมรัญจวน เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำราดซอสมันกุ้งต้มยำ
เชฟต้น จากร้าน ฤดู กรรมการรายการท็อปเชฟไทยแลนด์

เมธาวลัย ศรแดง (ได้รับเป็นปีแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

เสน่ห์ของร้านเมธาวลัย ศรแดง อยู่ที่วงดนตรีสดขับขานเพลงยุค 80 เฟอร์นิเจอร์ย้อนสมัย และภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ทำให้ลูกค้าวนเวียนกลับมาตลอด 60 ปีที่แท้จริง คือ อาหารที่ดูเรียบง่ายแต่ใช้เทคนิคการปรุงอย่างประณีต รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแต่มีความซับซ้อนสวยงามและสม่ำเสมอ หมี่กรอบ ยำตะไคร้ และแกงคั่วปูชะอมล้วนแต่เป็นจานเด็ดที่ควรลิ้มลอง ทางร้านมีห้องส่วนตัวให้บริการ
เมธาวลัย ศรแดง

น้ำ – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

หลังจากที่ได้รับรางวัลดาวมิชลินจากซานฟรานซิสโก เชฟพิมพ์สานต่อความรักของเธอที่มีต่ออาหารไทยในบ้านเกิดที่ร้าน “น้ำ” ทุกเมนูยังคงรักษาคุณภาพตามมาตรฐานของร้าน แต่เชฟพิมพ์เพิ่มมิติและรายละเอียดของรสชาติลงไปในแบบฉบับของเธอเองอย่าง แกงคั่วเป็ดใส่สละกับมะอึก และลาบคั่วนกพิราบ ที่มีความเข้มข้นครบรสตามตำรับไทยแต่ใส่ความซับซ้อนและสร้างสรรค์ในรายละเอียดของเชฟที่มีในอาหารทุกจาน

Paste – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

ประติมากรรมที่ประดิษฐ์จากรังไหมนับร้อยเกลียวตัวอยู่กลางห้องเป็นที่ดึงดูดสายตาของทุกคน หน้าต่างกระจกสูงจรดเพดาน พร้อมโซฟาโค้งแปลกตาให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว เมนูที่ถูกออกแบบมาเพื่อแบ่งกันทานได้รับแรงบันดาลใจจากอาหารไทยชาววัง ปรุงด้วยกรรมวิธีโบราณที่มีอายุนับร้อยปีและใช้วัตถุดิบที่คัดสรรจากท้องถิ่น ควรลองเมนูซิกเนเจอร์อย่าง หน้าตั้งแขก ต้มยำขาหมูโบราณ และแกงปูปักษ์ใต้

PRU (ได้รับเลือกครั้งแรก) – Phuket (อาหารเชิงนวัตกรรม)

คงมีร้านอาหารไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่มีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเอง ทั้ง ผัก ผลไม้ และไข่ มาจาก “พรุจำปา” ฟาร์มออร์กานิกเนื้อที่ 600 ไร่ของร้าน แม้กระทั่งเนยที่ร้านทำเองด้วยนมวัวจากกระบี่ เชฟ Jimmy เป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอนและปรุงทุกจานอย่างพิถีพิถัน รวมไปถึงการจัดแต่งจานที่ประณีต เซตเมนูมีให้เลือกทั้งแบบ 4, 6 หรือ 8 คอร์ส เติมเต็มมื้อค่ำของคุณให้น่าจดจำมากยิ่งขึ้นด้วยไวน์ที่ผ่านการเลือกเฟ้นมาอย่างดี

R-Haan (ได้รับครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” คำโบราณติดหูที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่คนไทยมีมาช้านาน เป็นแรงบันดาลใจของเชฟชุมพลในการรังสรรค์เซตเมนู “ตรี” “โท” “เอก” ที่แตกต่างกันตามคอนเซ็ปต์ของอาหารพื้นบ้าน อาหารไทยคลาสสิกไปจนถึงอาหารชาววัง ซึ่งดึงรสชาติของวัตถุดิบต่างๆ ผ่านเทคนิคการปรุงที่หลากหลาย และการจัดแต่งจานที่ประณีตสวยงาม อาจเริ่มต้นด้วยค็อกเทลดีๆ สักแก้วที่เลานจ์ก่อนเปิดประสบการณ์มื้อที่น่าประทับใจ

เรือนปั้นหยา (ได้รับครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

ธุรกิจร้านอาหารของครอบครัวเล็กๆ แต่มีชื่อเสียงเกิดจากการบอกต่อกันปากต่อปาก เพราะความอร่อยและคุณภาพที่เหนือชั้นโดยเฉพาะอาหารทะเลที่เจ้าของจะไม่ยอมขายถ้าไม่ได้มาตรฐานของร้าน เมนูที่ห้ามพลาด คือ หลนปูเนื้อ กุ้งกุลาอบเกลือ และแกงหลากชนิดที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เจ้าของร้านบรรจงปรุงทุกเมนูเองอย่างพิถีพิถัน ภายในตกแต่งสบายๆ ด้วยงานศิลป์ที่เรียงรายอยู่รอบๆ ราวกับทานข้าวในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ

สวรรค์ (ได้รับครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

เชฟอ้อมรังสรรค์เมนูอาหารไทยผ่านการจัดแต่งแบบร่วมสมัยแต่รสชาติยังคงเป็นไทยแท้ เน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและสมุนไพรไทยเพื่อยกระดับให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เซตเมนู 10 คอร์สใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลที่คัดเลือกจากแหล่งชั้นดีอย่าง ปูอ่องนาออร์กานิกจากจังหวัดสิงห์บุรี และปลาหมึกจากหมู่บ้านชาวประมงในกระบี่ ทุกจานมีรสชาติและรสสัมผัสที่ซับซ้อนแต่กลมกล่อมและลุ่มลึก ให้ความรู้สึกราวกับขึ้นสวรรค์ตามชื่อร้านจริงๆ

เสน่ห์จันทน์ – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

ร้านเสน่ห์จันทน์นำเสนออาหารไทยโบราณตำรับชาววังแท้ๆ ละเอียดอ่อนระดับงานฝีมือ และตกแต่งร้านสไตล์ร่วมสมัยซึ่งโอ่โถงด้วยเพดานสูง เสน่ห์จันทน์เสิร์ฟทั้งอาหารไทยโบราณและสำรับไทยที่หารับประทานยาก เช่น แกงรัญจวน สำรับชาววังสมัยรัชกาลที่ 5 แกงมอญหมูย่าง หลนปูกับผักจิ้ม แต่อย่าอร่อยเพลินจนลืมเผื่อท้องไว้ให้ของหวานรสเลิศอย่างข้าวเม่ารางน้ำกะทิ ขนมไทยโบราณทำจากข้าวเม่าคุณภาพดีคั่วให้พองแล้วอบควันเทียนให้หอมกรุ่น

Savelberg – กรุงเทพฯ (อาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย)

ชื่อเดียวกับเชฟชาวดัทช์ผู้เป็นเจ้าของ Savelberg นำเสนออาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน เน้นวัตถุดิบคุณภาพจากต่างประเทศ เช่น เนื้อจากแทสมาเนีย ปลาจากฮอลแลนด์ รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูที่เหนือระดับทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ เข้ากันกับการตกแต่งภายในที่สวยงามหรูหราด้วยเก้าอี้หนังปักตัวอักษรย่อชื่อร้าน กับพื้นหินอ่อนสีดำเงาวับ พร้อมด้วยบริการที่ค่อนข้างเป็นทางการระดับมืออาชีพ

ศรณ์ (ได้รับครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารใต้)

จากความฝันในวัยเด็กที่อยากเปิดร้านอาหารใต้เป็นของตัวเอง วันนี้ คุณไอซ์กับเชฟยอดได้สานฝันนั้นให้เป็นจริง พร้อมทั้งคืนชีวิตให้แก่ศิลปะแห่งอาหารใต้ที่เคยสูญหายไปตามกาลเวลา โดยใช้วัตถุดิบจากกลุ่มเครือข่ายชาวเกษตรกรและชาวประมง ผ่านการปรุงด้วยความรักและความใส่ใจอย่างละเมียดละไมในทุกขั้นตอน ร้านศรณ์ตั้งอยู่ในบ้านเก่าแก่ที่ผ่านการบูรณะอย่างหรูหราและทันสมัยผสานกลิ่นอายป่าเขตร้อนของภาคใต้

สระบัว บาย กิน กิน – กรุงเทพฯ (อาหารไทยร่วมสมัย)

บรรดานักชิมในกรุงเทพฯ ชอบแสวงหารสชาติแปลกใหม่ไร้ขอบเขตและร้านอาหารที่งดงามแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่นำเสนอนวัตกรรมอาหารไทยล้ำสมัย แนะนำ “The Journey” เซตเมนูแบบ 8 คอร์ส ที่จะเปิดประสบการณ์สุดล้ำของศิลปะการปรุงอาหารที่ยังคงรักษาความเป็นไทยในรสชาติและวัตถุดิบ แต่มีการตีความใหม่และรังสรรค์ให้กลายเป็นอาหารสุดครีเอทที่มีเอกลักษณ์ด้วยแรงบันดาลใจจากเทคนิคการปรุงของ Kiin Kiin จากโคเปนเฮเกน

สวนทิพย์ (ได้รับครั้งแรก) – กรุงเทพฯ (อาหารไทย)

บรรยากาศร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เสมือนได้หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองกรุง ทั้งอาหารไทยโบราณแสนประณีตและการบริการอย่างอบอุ่น ยิ่งช่วยเสริมประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าประทับใจ นอกจากศาลาไทยโอ่อ่ากลางสวนแล้ว ยังสามารถเลือกนั่งที่ริมน้ำสัมผัสธรรมชาติ และด้วยความสวยงามทั้งหมดนี้ทำให้สวนทิพย์เหมาะสำหรับการจัดเลี้ยงในทุกโอกาสพิเศษของคุณ

Upstairs at Mikkeller – กรุงเทพฯ (อาหารเชิงนวัตกรรม)

ร้านอาหารขนาด 12 ที่นั่งแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของเบียร์บาร์สุดฮิตด้วยมาตรฐานที่เหนือกว่าบาร์ทั่วไป ที่ร้านเสิร์ฟเพียงเซตเมนู 10 คอร์สเท่านั้น เจ้าของเป็นเชฟหนุ่มชาวเกาหลีผู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากชิคาโก จากการออกแบบร้านสไตล์มินิมอลลิสต์ทำให้ครัวเปิดของร้านและอาหารที่สรรสร้างอย่างมีศิลป์กลายเป็นจุดสนใจ เมนูที่นี่จะเปลี่ยนตามฤดูกาล ทั้งยังมีเบียร์หลากหลายสัญชาติมาจับคู่ช่วยเพิ่มรสชาติอีกด้วย

ทั้งนี้ กว่าครึ่งของลิสต์ผู้ได้รับ มิชลินสตาร์ เป็นร้านอาหารไทย 13 ร้านที่เคยได้รับรางวัล 1 ดาวนั้น เป็นร้านที่ได้รับ 1 ดาวเช่นเดิม ไม่มีใครเสียแชมป์

 

อ่านทั้งหมดที่ Michelin Guide

ข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็คือ ร้านอาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ด “เจ๊ไฝ” คว้าเกียรติยศ “1 ดาวมิชลิน” ไปครอง ใน “มิชลินไกด์(Michelin Guide) กรุงเทพฯ ฉบับแรก ประจำปี 2018 (พ.ศ.2561)”

เชฟต่างชาติในแดนยุโรปถึงขนาดเปรยว่า เจ๊ไฝคือใครกันนี่ เกิดอะไรขึ้นฟะ ตูข้าเปิดร้านมาเป็นชาติ ยังไม่เคยมีมิชลินเยื้องกรายเข้าไปลอง อย่ากระนั้นเลย ปิ่นโตเถาเล็กขอตามไปสำรวจร้านเจ๊ไฝลิ้มลองความอร่อยกันดีกว่า หลังจากที่ไม่ได้ไปชิมนาน 10 กว่าปีแล้ว

เจ๊ไฝคือร้านอาหารตามสั่ง เน้นเมนูของทะเลชิ้นใหญ่ๆ ตัวโตๆ ชนิดที่เห็นแล้วจะต้องตาโตร้องโอ้โฮแม่เจ้าทีเดียว แน่นอนว่าสนนราคาจะต้องสูงมากเป็นธรรมดาเพราะแต่ละอย่างนั้นคัดมาจริงๆ

ปูผัดผงกะหรี่

ร้านเจ๊ไฝยังอยู่ที่ “ย่านประตูผี ริมถนนมหาไชย ใกล้สี่แยกสำราญราษฎร์” ที่เดิม เลย “ป้อมมหากาฬ” และ “ร้านผัดไทยทิพย์สมัย” อันโด่งดังคิวยาวมานิดเดียว ปกติปิ่นโตเถาเล็กจะมาตอนกลางคืน พอผ่านหน้าร้านเจ๊ไฝก็จะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกไปจอดรถ “ริมถนนบำรุงเมือง ตรงสะพานข้ามคลอง” (มีคนรับจ้างโบกรถด้วย)

การมากินที่ร้านเจ๊ไฝ ไม่สมควรที่จะเดินดุ่ยๆ เข้าไปเลย เพราะโอกาสที่จะมีโต๊ะว่างน้อยมาก หรืออาจจะต้องรอนาน 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียว (แต่ก็เคยมีฝรั่งชาวต่างชาติยอมรอนานขนาดนี้นะจ๊ะ) และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเปิดร้าน เขาจะติดป้าย “ปิดรับคิว (Full House)” หน้าร้านแล้ว

ทางที่ดีคือให้โทรไปจองที่เบอร์มือถือ “09-2724-9633″(เบอร์ 02 ของร้านนั้นไม่ได้ใช้แล้ว) ล่วงหน้าหลายๆ วัน เป็นอาทิตย์ยิ่งดี และควรโทรไปช่วงหลังเที่ยง เพราะที่ร้านจะ “เปิดบ่ายสองโมงไปจนถึงเที่ยงคืน” และจะ “หยุดทุกวันอาทิตย์ (ไม่รับสายจองในวันอาทิตย์)” คนรับจองก็จะบอกว่าในวันนั้นเหลือช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งเราเลือกไปตอน 21.30 น. บอกชื่อและจำนวนคนที่จะไปกิน พร้อมเบอร์ติดต่อกลับ อีกช่องทางหนึ่งที่เปิดรับจองคืออีเมล์ไปที่ [email protected]

ร้านเจ๊ไฝอยู่ในตึกแถว 1 คูหา ข้างในร้านมี 7 โต๊ะกับด้านหน้าอีก 1 โต๊ะ (บางโต๊ะอาจจะต้องนั่งร่วมเคียงข้างกัน) นอกจากนี้ยังมีโต๊ะยาวสำหรับให้นั่งรอคิวด้วย ด้านข้างร้านเปิดโล่งตั้งเตาถ่าน มีเจ๊ไฝหนึ่งเดียวเท่านั้นยืนผัดอาหารอยู่ 2 เตา ข้างๆ มีเตาสำหรับตั้งน้ำซุป เอกลักษณ์ของเจ๊ไฝคือจะสวม “แว่นดำน้ำสีดำ” จะได้ไม่แสบตาเวลาผัด มีผู้ช่วยคอยส่งวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีลูกสาวเจ๊ไฝอีก 2 คน กับน้องสาวเจ๊ไฝคอยช่วยเสิร์ฟและดูแลร้าน

เดิมพ่อแม่เจ๊ไฝขายคั่วไก่กระทะทองเหลือง ตอนสาวๆ อายุ 20 กว่าปี เจ๊ไฝขายเสื้อผ้าอยู่ พอร้านไฟไหม้เลยหันมาช่วยที่บ้านแทน เจ๊ไฝเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ คิดสูตรอาหารเอง ชอบกินราดหน้าก็เลยทำราดหน้าจนโด่งดัง จนมีเมนูอื่นๆ ตามมา บัดนี้อายุ 73 ปี ทำอาหารมาครึ่งศตวรรษ

กุ้งทะเลทอดกระเทียม

เมนูของร้านเจ๊ไฝเป็นแผ่นเคลือบพลาสติก เน้นอาหารทะเลมีทั้งกับข้าว ราดข้าว และเมนูเส้น เกี๊ยวและโจ๊ก จำนวนเมนูไม่เยอะ แต่ทำออกมาน่าตื่นตาตื่นใจอลังการมหึมามาก สนนราคา ราดข้าวส่วนใหญ่ 400-600 บาท ก๋วยเตี๋ยวตามสั่ง 400-500 บาท ส่วนกับข้าว 800-1,000 บาท ไปจนถึง 1,500 บาท (ปูผัดผงกะหรี่)

ก่อนอื่นขอบอกว่า “ราคาในเมนูคือจานปกติ ซึ่งเจ๊ไฝจะทำเยอะขึ้นตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นในโต๊ะนั้น” คณะเรามา 5 คนก็จะทำเพิ่ม เช่น ปูผัดผงกะหรี่เพิ่มเป็น 2,500 บาท ไข่เจียวปูจาก 1,000 บาท สั่งพิเศษ 5 คนกินกันก็กลายเป็น 2,500 บาท กุ้งทอดกระเทียมเพิ่มจำนวนตัวให้เท่าคนกิน จาก 800-1,000 ก็เป็น 1,500 บาท ด้วยความตะกละ คณะเราสั่งไป 9 อย่าง กุ้งขนาดเท่ากำปั้นโตมากๆ พอกินกันไปคนละ 2-3 ตัวก็จุกแน่นแล้ว ต้องห่อส่วนที่เหลือกลับบ้านเต็มเลย “ขอแนะนำว่าถ้าสั่งหลายอย่าง สามารถบอกที่ร้านให้ทำจานปกติราคาเดิมได้ด้วย”

มาร้านเจ๊ไฝต้องใจเย็นๆ เพราะต้องรอคิวทำทีละโต๊ะ กว่าเราจะได้อาหารก็ต้องรอนาน 1 ชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างนั้นก็สั่งน้ำส้มคั้นแท้ๆ และน้ำมะพร้าวมากินให้ชื่นใจ

ต้มยำแห้ง

เมนูที่ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาดคือ “ไข่เจียวปู” เป็นแท่งทรงกระบอกอวบอ้วนหนา เนื้อไข่เจียวคล้ายออมเล็ตของฝรั่งแบบเกรียมๆ ไม่อมน้ำมัน ข้างในอัดแน่นด้วยเนื้อปู แต่ละก้อนใหญ่เท่าหัวแม่มือ กินแล้วสะใจดีแท้ เนื้อปูม้าหวานสดแน่นอร่อยจากนครศรีธรรมราช เจ๊ไฝเผยเคล็ดลับว่าตอนตะล่อมปูก่อนที่จะหุ้มด้วยไข่จนมิด ต้องระวังไม่ให้ไฟร้อนเกินไปจนไหม้ เห็นโต๊ะข้างๆ ซึ่งเป็นขาประจำ สั่งไข่เจียวปูกลับบ้านถึง 6 กล่องทีเดียว

ว่าไข่เจียวปูชิ้นโตแล้ว “ปูผัดผงกะหรี่” ยิ่งชิ้นใหญ่ขึ้นไปอีก สูตรนี้ผัดใส่ไข่กับนมข้นจืดรสชาติหอมมันเข้มข้น ส่วนเมนูน้ำๆ ซดๆ ให้สั่ง “ต้มยำทะเล” (หรือกุ้ง-ปลา 700-800-1,000 ของเรา 2,000 บาท) น้ำใสชามโต ขอย้ำว่ากุ้งที่ให้มาตัวสดใหญ่เท่ากำปั้น ต้มยำรสจัดจ้านเปรี้ยวเค็มเผ็ดหอมด้วยพริกขี้หนู หรือจะสั่ง “ต้มยำแห้งทะเล” (1,000 ของเรา 1,200 บาท) น้ำขลุกขลิกมาแทนก็ได้ (ผมชอบต้มยำน้ำๆ มากกว่าเพราะจะได้ซดน้ำชื่นใจด้วย)

คะน้าผัดเป๋าฮื้อญี่ปุ่น
ราดหน้าปลาหมึก
โจ๊กแห้งทะเล

อย่าลืมสั่ง “คะน้าผัดเป๋าฮื้อญี่ปุ่น” (600 ของเรา 700 บาท) คะน้าสดกรอบ เป๋าฮื้อหอมหนึบ (เห็นว่ามีเป๋าฮื้อเม็กซิโกจานเป็นหมื่นด้วย) ใส่เห็ดหอมที่ปรุงรสจนหอมเข้มข้น ต่อด้วย “ผัดขี้เมาทะเล” (1,000 บาท) ใส่ทั้งกุ้ง ปูปลา ปลาหมึก อีกทั้งปลาหมึกแช่กรอบๆ ชิ้นหนาๆ รสจัดจ้านแต่ไม่เผ็ดมาก ถ้ายังติดใจกุ้งต้องสั่ง “กุ้งทอดกระเทียม” (1,000 ของเรา 1,500 บาท) ใส่กระเทียมคั่วหอมๆ แค่นี้ก็กินไม่หมดแล้ว

ไหนๆ มาทั้งทีอิ่มแค่ไหนต้องสั่งเมนูเส้น “ราดหน้าปลาหมึก” (500 บาท) ที่สดและนุ่มอร่อย คั่วเส้นได้หอมมากใส่ผักสารพัดอย่าง ปิดท้ายด้วย “โจ๊กแห้งทะเล” (500 บาท) เนื้อโจ๊กดูดน้ำซุปจนมีรสมีชาติและเป็นก้อนๆ ใส่ไข่ด้วยอีกฟอง

สรุปว่าคืนนั้นอิ่มจนล้น เฉลี่ยคนละ 2,500 บาท (ที่นี่ “รับแต่เงินสด” นะจ๊ะ) ต้องห่อกลับบ้านเลี้ยงคนได้อีกมื้ออลังการทีเดียว ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าตอนนี้ทำไมเจ๊ไฝจึงกลายเป็นร้านขวัญใจระดับนานาชาติจริงๆ

ถ้าแฟนๆ เป็นซีฟู้ดเลิฟเวอร์ชอบรสจัดจ้านสไตล์ไทยจีน ควรมาลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต รับรองว่าจะกลายเป็นขาประจำไปเช่นกัน


ข้อมูลร้าน

เจ๊ไฝ

โดย คุณสุภิญญา(เจ๊ไฝ) จันสุตะ

ที่ตั้ง 327 ถนนมหาไชย สำราญราษฎร์ พระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 09-2724-9633

เปิดบริการ 14.00-24.00 น. จันทร์-เสาร์

หยุด อาทิตย์

แนะนำ ไข่เจียวปู ปูผัดผงกะหรี่ ต้มยำทะเล (มีต้มยำแห้งด้วย) คะน้าผัดเป๋าฮื้อญี่ปุ่น ผัดขี้เมาทะเล กุ้งทอดกระเทียม ราดหน้าปลาหมึก โจ๊กแห้งทะเล

 


ที่มา คอลัมน์อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียน ปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)