นางสงกรานต์ปี 2563 นาม “โคราคะเทวี” โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม รายงานว่า ฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง มีประกาศสงกรานต์ไว้ดังนี้

ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2563 ปีชวด (เทวดาผู้ชาย ธาตุน้ำ) โทศก จุลศักราช 1382 ทางจันทรคติเป็นอธิกวาร ทางสุริยคติเป็นอธิกสุรทิน

วันที่ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันจันทร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 5 เวลา 20 นาฬิกา 48 นาที

นางสงกรานต์ "โคราคะเทวี"

นางสงกรานต์ ทรงนามว่า “โคราคะเทวี” ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร ภักษาหาร น้ำมัน พระหัตถ์ขวาทรงธน หรือไม้เท้า พระหัตถ์ซ้ายทรงพระขรรค์ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร มาเหนือหลังพยัคฆะ

วันที่ 16 เมษายน เวลา 09 นาฬิกา 24 นาที 36 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1382 ปีนี้ วันพฤหัสบดีเป็นธงชัย, วันอาทิตย์เป็นอธิบดี, วันพุธเป็นอุบาทว์, วันอังคารเป็นโลกาวินาศ ปีนี้ วันศุกร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 250 ห่า นาคให้น้ำ 1 ตัว

เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 0 ชื่อ ปาปะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 1 ส่วน เสีย 9 ส่วน มหาชนร้อนใจด้วยอาหาร แลเกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย

ทั้งนี้ สวธ.ได้เผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับนางสงกรานต์ไว้ด้วยว่า พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) นักปราชญ์คนสำคัญของไทย ได้เคยเขียนไว้ว่า ท่านกล่าวว่า นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดของเมืองฟ้า มีด้วยกัน 7 คนเป็นพี่น้องกันทั้งหมด ที่เรียกจำนวนว่ามี 7 คน ไม่เรียก 7 องค์ เพราะนางสงกรานต์เป็นนางฟ้าชั้นสามัญ ไม่ใช่เทวี หรือเทวดา ผู้หญิงโดยตรง เป็นบาทบริจาริกา (แปลว่านางบำเรอแทบเท้าหรือสนม) ของพระอินทร์จอมเทวราช เป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม โดยมีนาม ดอกไม้ เครื่องประดับ อาหาร อาวุธและพาหนะประจำแต่ละนาง คือ

วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ ดอกไม้ คือ ดอกทับทิม เครื่องประดับ ปัทมราค (พลอยสีแดง /ทับทิม) อาหาร อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธมีจักร และสังข์ พาหนะ คือ ครุฑ

วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ ดอกไม้ คือ ดอกปีบ เครื่องประดับ มุกดาหาร (ไข่มุก) อาหาร น้ำมัน อาวุธ คือ พระขรรค์และไม้เท้า พาหนะ คือ พยัคฆ์ (เสือ)

วันอังคาร ชื่อ นางรากษส (อ่านว่า ราก-สด) ดอกไม้ คือ ดอกบัวหลวง เครื่องประดับ คือ โมรา อาหาร คือ โลหิต อาวุธ คือ ตรีศูล ธนู พาหนะ คือ วราหะ (หมู)

วันพุธ ชื่อ นางมณฑา ดอกไม้ คือ ดอกจำปา เครื่องประดับ ไพฑูรย์ อาหาร นมเนย อาวุธ คือ ไม้เท้าและเหล็กแหลม พาหนะ คือ คัทรภะ หรือคัสพะ (แพะหรือลา)

วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี ดอกไม้ คือ ดอกมณฑา เครื่องประดับ คือ แก้วมรกต อาหาร คือ ถั่ว งา อาวุธ คือ ขอช้างและปืน พาหนะ คือ กุญชร (ช้าง)

วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา ดอกไม้ คือ ดอกจงกลนี (บัวคล้ายบัวเข็ม) เครื่องประดับ บุษราคัม อาหาร คือ กล้วยน้ำ อาวุธ พระขรรค์และพิณ พาหนะ คือ มหิงส์ (ควาย)

และวันเสาร์ ชื่อ นางมโหทร ดอกไม้ คือ ดอกสามหาว (ผักตบ) เครื่องประดับ นิลรัตน์ อาหาร คือ เนื้อทราย อาวุธ คือ จักรและตรีศูล พาหนะ คือ นกยูง

ที่มา : คอลัมน์ รู้ไปโม้ด                                                                                                                                                                                                                                                                                                            ผู้เขียน : น้าชาติ ประชาชื่น

แม้จะผ่านพ้นวันสงกรานต์ วันมหาสงกรานต์ไปแล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน 2561 เวลา 9 นาฬิกา 1 นาที กับอีก 48 วินาที นั่นก็คือวันเสาร์ แรม 14 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ จุลศักราช 1380 แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องฟังไว้บ้างเพื่อความไม่ประมาทในการใช้ชีวิตประจำวัน ในสถานการณ์เช่นเวลานี้ คือ “คำทำนายเรื่องดวง” ไม่ว่าดวงคนหรือดวงเมือง

ก่อนจะไปถึงเรื่องดวง เริ่มต้นมาว่ากันด้วยเรื่องของ “นางสงกรานต์” ก่อน ที่ปีนี้มาเตือนสติคนไทยด้วยการเสด็จยืนมาบนหลังนกยูง ท่านโหราผู้เชี่ยวชาญดวงเมืองและการวางฤกษ์ยาม “พัฒนา พัฒนศิริ” บรรยายเกี่ยวกับนางสงกรานต์ไว้อย่างน่าฟังว่า นางสงกรานต์ปีนี้ชื่อ “มโหธรเทวี” เครื่องทรงดอกไม้ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว หลายคนอาจยังไม่รู้จัก “ดอกสามหาว” ว่าคือดอกอะไร? คำตอบง่ายนิดเดียว เป็นชื่อเดียวกับ “ดอกผักตบชวา” คราวนี้คงร้องอ๋อไปตามๆ กัน นอกจากนั้นอาภรณ์ของนางสงกรานต์ปีนี้เป็นแก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเป็นเนื้อทราย ศัตราวุธ พระหัตถ์ขวาทรงจักร พรหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล

การปรากฏกายของนางสงกรานต์ “พัฒนา พัฒนศิริ” บอกว่า สมควรยกย่องชมเชยนางสงกรานต์ปีนี้เป็นอย่างมาก ประการแรกท่านใช้ข้าวของดอกไม้ราคาถูกมาประดับ เพราะถ้าเลือกใช้เครื่องประดับที่ราคาแพง ปีนี้คงต้องเสียดุลการค้าเป็นแน่แท้ และยิ่งเมื่อพิจารณา “อาวุธประจำกาย” ที่มีทั้งจักรทั้งตรีศูล ตรงนี้ชักไม่ค่อยดี คือ อาจมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในบ้านเรา หรืออาจเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายของโลกก็ได้ นางสงกรานต์จึงจำเป็นต้องมีทั้ง “จักร” เสมือนขีปนาวุธระยะไกล และ “ตรีศูล” หรือ “มีดสามง่าม” เอาไว้ป้องกันระยะใกล้ แต่อย่าเพิ่งตกใจเพราะยังไงนางสงกรานต์ก็ยืนมาบน “หลังนกยูง” แสดงว่านางสงกรานต์มีสมาธิสูงส่ง แถมมีวิชาตัวเบาอีกด้วย ทำให้สามารถยืนบนหลังนกยูงที่ตัวไม่โตได้

คำบรรยายนี้ถ้าจะแปลให้เกี่ยวข้องกับเหตุบ้านการเมืองและเรื่องของโลกทั้งใบแล้ว นางสงกรานต์กำลังจะเตือนว่า “ต้องพยายามมีสติ มีมาธิ มีความหนักแน่นมั่นคงให้มากๆ จึงจะสามารยืนมาบนหลังนกยูงตัวเล็กๆ ได้ พูดง่ายๆ คือ ต้องดำเนินนโยบายด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ไม่ใช่อะไรตูมตามก็พลอยแตกตื่น หรือจะให้ดีใช้วิธีท่อง “คาถาชินบัญชร” สัก 8-9 จบ เวลามีเหตุการณ์คับขัน น่าจะช่วยให้เบาใจลงได้

แค่นางสงกรานต์ก็อย่าเพิ่งซีเรียสล่ะ เพราะยังมี “ดวง” ให้พิจารณากันอีก วันนี้มีการเปลี่ยนนักษัตรในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งในปี 2561 ตรงกับสุริยคติกาลวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2561 ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ไม่ใช่เปลี่ยนปีนักษัตรกันตอนวันสงกรานต์หรอกนา ดังนั้น คำทำนายทายทักสำหรับ “ปีใหม่ของไทย” คือ ตั้งแต่หลังวันสงกรานต์เป็นต้นไปจะเป็นอย่างไร มาดูกัน !!

ดาวบาปเคราะห์ 2-3 ดวง ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเภทภัย อุบัติภัยต่างๆ ตามวิชาโหราศาสตร์ ประกอบด้วย “ดาวอังคาร” วิชาโหราศาสตร์กำหนดให้มีเลขประจำดวงดาวเป็นเลข 3 เป็นดาวเคราะห์สีแดง อิทธิพลของดาวอังคารส่วนใหญ่เป็นเรื่องความขยันขันแข็ง ความอดทน การต่อสู้ผจญภัย การทำลายล้างผลาญ การสู้รบทำสงคราม ฯลฯ ต่อมาคือ “ดาวเสาร์” เป็นดาวบาปเคราะห์หมายเลข 7 สามารถก่อให้เกิดโทษทุกข์แก่มวลมนุษยชาติเป็นอย่างมาก ดาวนี้ยังเป็นดาวประหยัดมัธยัสถ์ ผู้ใดที่มีดาวเสาร์กุมลัคนาจะเป็นคนมัธยัสถ์เป็นอันมาก และมีความอดทน ความเพียรเป็นเลิศ อีกดวงคือ “ดาวราหู” สำหรับทางโหราศาสตร์แล้ว ดาวดวงนี้มีขึ้นเพราะอิทธิพลของสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาที่่ทำให้เกิดเงาดำกว้างใหญ่บนพื้นโลก ดาวราหู มีอิทธิพลในความมัวเมา เจ้าอารมณ์ โกรธง่ายหายเร็ว เอะอะ ซุ่มซ่าม บ้าๆ บอๆ ชอบคำสรรเสริญ ป้อยอ เป็นดาวบาปเคราะห์ที่มีเลขประจำดาวเป็นเลข 8 ถึงจะไม่ใช่ดวงดาวแต่ก็มีตำแหน่งในราศีต่างๆ

นอกจากดาวบาปเคราะทั้งสามที่เอ่ยมาแล้ว ในการทำนายยังจะต้องมี “ดาวอาทิตย์” ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์สำคัญในการ “จุดชนวน” ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเภทภัยร้ายแรงด้วย ดังนั้น ในปีจอ 2561 ดาวบาปเคราะห์ทั้ง 4 ดวง มีการโคจรในมุม “อันตราย” ดังนี้

ช่วง 14-21 เมษายน 2561

เป็นช่วงที่ดาวอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสถิตราศีเมษ ขณะเดียวกันดาวอังคารและดาวเสาร์โคจรร่วมกันที่ราศีธนูอยู่ก่อนแล้ว การโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงในรูปแบบนี้ ทางโหราศาสตร์เรียกว่า “มีเชิงมุมเบียนกัน” ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเภทภัยรุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับยวดยานพาหนะที่สัญจรบนถนน ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุด เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เภทภัย เป็นหมู่เป็นกอง รวมทั้งเรื่องของไฟชอร์ต อัคคีภัย จะมีให้เห็นหนาตา และอาจมีจำนวนพุ่งสูงมากกว่าก่อน

ช่วง 26 เมษายน-14 พฤษภาคม 2561

ดาวอังคารย้ายจากราศีธนู โคจรที่ราศีมังกรได้ตำแหน่งมหาอุจ โดยมีดาวอาทิตย์โคจรที่ราศีเมษในตำแหน่งมหาอุจเช่นกัน ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 ตรงนี้เป็นเรื่องพิเศษ คือเป็นเรื่องของ “ฆาต” บุคคลที่มีลัคนาสถิตราศีมังกร กรกฎ และมีน ต้องระมัดระวัง โดยชาวราศีมังกรนั้นจะได้รับผลรุนแรงกว่า เพราะดาวอังคารโคจรทับลัคนาพอดี ทางแก้ไขสามารถทำได้คือถวายอาหารบิณฑบาต หรือทำสังฆทานพระสงฆ์ 8 รูป ปล่อยนก 8 ตัว

ช่วง 1-16 สิงหาคม 2561

ระยะนี้ดาวอาทิตย์จะย้านยจากราศีมิถุน ไปโคจรที่ราศีกรกฎ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม 2561 และเล็งเบียนดาวอังคารที่ราศีมังกร เฉพาะคนที่มีลัคนาราศีมีน กรกฎ หรือมังกร ต้องทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน

ช่วง 1-15 พฤศจิกายน 2651

ดาวอาทิตย์โคจรที่ราศีตุล ส่งกำลังเป็นมุมฉากอันเป็น “มุมเบียน” กับดาวอังคาร ที่โคจรอยู่ที่ราศรีมังกรอยู่ก่อนแล้ว จำเป็นที่ชาวราศีกรกฎ มังกร และมีน จะต้องใช้ความระมัดระวังในเรื่องอุบัติเหตุเภทภัยอย่างมาก ขอให้เตรียมการทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ส่วนราศีอื่นๆ ก็อย่าได้ประมาท เพราะอาจโดนหางเลขของอังคารฟาดเข้าให้ด้วย

ส่วนปัญหาที่วิตกกังวลกันมากหนีไม่พ้นเรื่องของฝนฟ้า ที่ทำท่าจะตกไม่มีหยุด ทำเอาคนขยาดเรื่องน้ำท่วมกันจนไม่เป็นอันทำมาหากิน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เห็นฟ้าครึ้มฝนทีไร ใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม กลัวว่าจะเป็นอย่างปี 2554 อีก อย่างไรก็ดี เรื่อง “น้ำ” ในปีจอ 2561 นั้น ท่านทำนายไว้ว่าตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2561 อากาศร้อนตับแล่บก็จะมีฝนตกมาให้สบายใจ อย่าคิดว่าฝนจะทิ้งช่วง ที่ไหนได้กลับตกแบบเอาจริงเอาจัง ทำท่าจะตกไม่หยุด อาจเจอฝนชุดใหญ่ในกลางเดือนมิถุนายน 2561 ใครที่ชอบตากของกลางแจ้งต้องระวัง

ต้นเดือนกรกฎาคม ฝนทำท่าจะหยุดตก แต่กลับมาซัลโวรอบใหม่ ทำเอาหลายตำบลหลายหมู่บ้านหวั่นใจ คิดว่าน้ำจะท่วม ซึ่งไม่ถึงขนาดนั้น กระทั่งเดือนกันยายนไปจนถึงตุลาคม 2561 ฝนยังตกไม่หยุดหย่อน ตกต่อแทบทั้งเดือน ใจชื้นหน่อยที่ฝนตกนาน แต่ปริมาณไม่มาก เมื่อถึงเดือนธันวาคม เข้าหน้าหนาว ยังมีฝนมาแจมอยู่เนืองๆ ก็ต้องทำใจยอมยกประโยชน์ให้ฝนไปสักปีหนึ่ง

ไม่ตกหนักหนาสาหัสอะไรหรอกหนา เข้าลักษณะแดดเปรี้ยงอยู่ดีๆ ประเดี๋ยวแดดหุบ มีฝนหล่นลงมาให้เห็นนั่นแหละ!!