ธนินท์ เจียรวนนท์

“ธนินท์ เจียรวนนท์” ออกโรงกระทุ้งรัฐบาลชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เร็วเหมือนแก้โควิด ต้องกล้าตัดสินใจเดินหน้าเปิดประเทศ ดูดเงิน “เศรษฐี-นักลงทุนต่างชาติ” ทุกรูปแบบ

วันนี้รัฐบาลมีแต่ใช้เงิน

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ดีจริงๆ วันนี้ไทยเที่ยวไทยเริ่มดีขึ้น การจับจ่ายดีขึ้น แต่มาตรการที่จะออกมาดูแลเศรษฐกิจภาพใหญ่ยังไม่มี ตอนนี้มีแต่มาตรการใช้เงิน แต่ไม่เห็นมาตรการที่จะได้เงิน เงินใช้ไปก็จะหมดกระเป๋า

“วันนี้เรามีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ไทยเที่ยวไทยมีจำกัด รัฐบาลทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ยังไม่พอ ซึ่งต่างจากจีนตลาดเขายิ่งใหญ่มาก จีนเที่ยวจีน มหาศาลกว่าไทยเยอะ เพราะที่ผ่านมาคนจีนเที่ยวทั่วโลก วันนี้ไปไม่ได้เลยเที่ยวทั่วประเทศจีน เศรษฐกิจจีนจึงฟื้นอย่างรวดเร็ว สำหรับไทยก็ดีเหมือนกัน เศรษฐีไม่ไปเที่ยวต่างประเทศก็มาเที่ยวไทย ซื้อกระเป๋าหลุยวิตตองในไทย ซื้อของที่มีค่าสูงๆ แทนที่จะไปซื้อต่างประเทศ แต่กำลังซื้อในประเทศไทยไม่เหมือนจีน ”

กระทุ้งนายกฯ เร่งแก้ ศก.

ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์กล่าวว่า ปัญหาประเทศไทยอยู่ที่รัฐบาล วันนี้ถ้านายกฯประยุทธ์บริหารเศรษฐกิจ เหมือนบริหารโควิด19 เมืองไทยก้าวกระโดด เศรษฐกิจต้องจัดการรวดเร็ว ไม่ใช่แค่การเยียวยา กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องหาเงินของโลกมาใช้ด้วย

“วันนี้ต้องไม่คิดเฉพาะเอาเงินไปเยียวยาช่วยเหลือ แต่ต้องคิดว่าเราจะไปหาเงินมายังไง ปัญหาหนักๆ เจอมาแล้ว และผ่านไปแล้ว อย่ารอให้โควิด19เรียบร้อย เพราะจะสายไปแล้ว ”

นายธนินท์กล่าวว่า ในขณะที่ปัญหาโควิด-19 ยังไม่เรียบร้อย ประเทศไทยต้องถือโอกาสโฆษณาว่าเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ในเรื่องความปลอดภัย เรื่องรักษาโควิด19 และวันนี้คนไทยไม่ได้ติดกันเลย มีแต่คนไทยหรือต่างประเทศที่มากักตัวแล้วเจอบ้างแต่ก็ไม่ตาย รักษาหายได้หมด โฆษณาโรงพยาบาล หมอไทยยอดเยี่ยม อุปกรณ์ทันสมัยต้องรีบทำ และต้องออกกฎหมายรองรับความต้องการของต่างชาติ

ธนินท์ เจียรวนนท์

นายกรัฐมนตรีต้องอย่าไปฟังเสียงคนโน้นคนนี้มากเกินไป บางคนก็เห็นแก่ตัว ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่

“อีอีซี” ต้องพิเศษจริงๆ

เรื่องสำคัญคือ ต้องทำให้ “อีอีซี” (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจริงๆ เพราะนายกฯ เป็นประธานเอง แต่จนถึงตอนนี้การลงทุนอีอีซียังไม่เห็นอะไรคืบหน้า ทุกอย่างยังเป็นแบบเก่า การทำงานทุกอย่างยังต้องผ่านบีโอไอ ขณะที่การทำงานของบีโอไอ. เป็นการรออยู่ที่บ้านให้คนมาขอ

เขต ศก. พิเศษ ต้องทำให้เหนือกว่าบีโอไอ มีเป้าหมายจะเอาอุตสาหกรรมอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ใช่รอให้มาขอ ต้องออกไปแย่ง เพราะวันนี้แย่งกันทุกประเทศ สิงคโปร์ เวียดนาม ตอนนี้ต้องวัดตัวตัดสูท ไม่ใช่ออกกฎหมายแล้วใช้ทั่วไป ต้องการธุรกิจอะไรมาเมืองไทยต้องไปง้อ ยุคนี้้ต้องไปถามเขาว่าต้องการอะไร แล้วออก กม. ให้เอื้อประโยชน์เขา เพราะเอื้อเขาก็เท่ากับเอื้อไทย เราได้ภาษี สร้างงาน สร้างคนไทยให้เก่งขึ้น

นายธนินท์กล่าวว่า การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาไม่ต้องกลัวว่าจะมาอแย่งอาชีพคนไทย เพราะธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เข้ามานั้นจะเข้ามาแข่งกับซีพี , ไทยเบฟ , คิง เพาเวอร์ ,ปูนซิเมนต์ไทย ,ปตท. พวกบริษัทยักษ์ใหญ่เขาต้องมาทำธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ทำจิ๊บจ๊อยแข่งกับธุรกิจกลางหรือเล็ก

เชียร์รองนายกฯสุพัฒนพงษ์

นายธนินท์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังมืดอยู่ แต่ต้องสว่างแน่นอน จะเร็วหรือช้า จะสว่างแล้วเราได้อะไร เราต้องทำตั้งแต่วันนี้เดี๋ยวนี้ เราต้องเตรียมพร้อม เพราไม่มีที่ไหนพระอาทิตย์ตกแล้วไม่ขึ้น

ส่วนจะเมื่อไหร่ถ้าทำถูกต้อง ปีเดียวก็สามารถพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เอาเศรษฐีต่างชาติ1ล้านคน มาซื้อบ้านเมืองไทยคนละ1 ล้านเหรียญ ก็ได้เงินเข้ามา 1 ล้านล้านเหรียญแล้ว แล้วเสียหายอะไร เขาเอาเงินมาซื้อบ้านเมืองไทย เอากลับไปได้ไหม เอาเรือขนไปได้มั้ย ก็เป็นของไทย อยู่ภายใต้กฎหมายไทย จะเรียกขายชาติได้อย่างไร

“แต่ที่มีการปรับครม.ใหม่ รองนายกฯสุพัฒนพงษ์ (พันธ์มีเชาว์) ไม่ธรรมดา ไม่ใช่นักวิชาการอย่างเดียว รู้จริง ปฏิบัติได้ เข้าใจจริง เพราะเป็นวิศวกร เคยทำงานธนาคาร กลับพัฒนาปตท. ทำปิโตรเคมี ที่มีปัญหาทำจนยิ่งใหญ่ มาเป็นรองนายกเศรษฐกิจ เข้าท่า ผมเชียร์ หวังว่าจะไม่เชียร์ผิดคน”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

“ยามวิกฤตต้องคิดเสมอว่า เมื่อสว่างแล้วจะทำยังไง ผมชอบมองโลกแง่ดี ตอนที่มืดที่สุดเราต้องศึกษา ถ้าสว่างต้องทำอะไร ต้องทำตอนมืด ไม่ใช่พอสว่างค่อยมาทำ อาจจะช้าไป”

คำกล่าวข้างต้น เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ย้ำหลายครั้งตลอดบทสนทนาเมื่อถามถึงแนวคิดในการขับเคลื่อนองค์กรฝ่า (ทุก) วิกฤตในอดีต ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่ใครต่อใครมองว่าหนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว ก็ไม่ต่างกัน

“เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว เฉพาะเมืองไทยนะ เพราะเราผ่านช่วงที่น่าจะพีคที่สุด และอันตรายที่สุดไปแล้ว ต้องยกย่องหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ช่วยแพทย์ทุกหมู่บ้าน อสม. ที่คอยติดตามเป็นหูเป็นตาให้ และให้ความรู้กับชาวบ้าน เราทำได้ดีมาก ต้องยกย่อง และให้กำลังใจ นักธุรกิจเวลาสู้กันมีตัวตน รบในสงครามที่มีตัวตน แต่หมอสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ถ้าติดก็ตายได้ เราต้องให้กำลังใจ เพราะสนามรบนี้หมอไปรบ”

แต่ถ้าถามว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไร เจ้าสัวธนินท์บอกว่า ต้องถามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมาที่จะทำให้เศรษฐกิจ และธุรกิจต่างๆ เดินต่อไปได้

“ถ้ามีมาตรการที่ไม่ถูกต้อง เราอาจติดลบมากกว่าที่หลายสำนักประเมินไว้ เพราะการปิดหรือเลิกกิจการไปไม่ยาก แต่การฟื้นกลับมาใหม่ไม่ง่าย เปรียบได้กับการสร้างบ้าน สร้างตึกที่ต้องใช้เวลาหลายปี เวลาจะรื้อกดระเบิดแค่ไม่กี่วินาทีพังราบ”

นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นต้องรีบเปิดประเทศ โรคนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร และย้ำว่า “วิกฤต” เป็นแค่สิ่งชั่วคราว เมื่อมืดก็มีสว่าง แต่รอให้สว่างแล้วทำ อาจไม่ทัน เช่น การท่องเที่ยวเมื่อพิสูจน์แล้วว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยเก่งมาก มีโรงพยาบาลดีๆ มีโรงแรมห้าดาวเต็มไปหมดจึงควรใช้สิ่งนี้โฆษณาไปทั่วโลก

และต่อยอดไปสู่การผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะสร้างตลาดการท่องเที่ยวใหม่ที่มีการใช้จ่ายเงินสูง เฉลี่ย 2 แสนบาท/คน จะสร้างรายได้มากถึง 1 ล้านล้านบาท

“ให้โรงแรมห้าดาวลิงก์กับบริษัททัวร์ ไปชวนเศรษฐีอเมริกัน จีน ยุโรป รัสเซีย มาเที่ยวเมืองไทย พวกนี้เป็นกลุ่มหนีตาย ไม่ใช่หนีภัย ดังนั้นไม่ต้องเยอะ แค่ 1 ล้านคน ก็เท่ากับ 4-5 ล้านคนแล้ว เพราะบ้านเขาไม่มีเตียง ไม่มียา ไม่มีหมอพอ บ้านเรามีครบ ทำได้ก็จะฟื้นเศรษฐกิจได้เร็ว คนมีเงินมาอยู่บ้านเราได้เป็นเดือน หรือ 2-3 เดือน แต่ต้องทำเดี๋ยวนี้ เมื่อทุกอย่างสงบแล้วทำไมเขาต้องมาเมืองไทย”

เจ้าสัว “ธนินท์” เห็นด้วยกับการคลายล็อกทีละขั้นของรัฐบาล และเชื่อว่าไม่น่าทำให้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไทยกลับมารุนแรงขึ้น

“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไร 100% มีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่เราจะป้องกันและดูแลตัวเองยังไง ญี่ปุ่นบ้านเขาเล็ก หลังเลิกงานไปสังสรรค์ร้านเล็กๆ ของไทยกว้างกว่า อากาศก็ร้อน ผมอาจผิดก็ได้ แต่ผมชอบมองโลกในแง่ดี ทำให้มีกำลังใจ ตอนที่มืดที่สุดเราต้องศึกษาว่าถ้าสว่างจะทำอะไร ต้องทำตอนที่ยังมืด ไม่ใช่สว่างแล้วค่อยมาทำ”

เช่นกันกับในทุกสังคม ถ้าไม่มีคนโกง ไม่มีคนเกเร โลกนี้คงไม่ต้องมีตำรวจ มีคุก ไม่ว่าอเมริกาหรือที่ไหน เพียงแต่มากหรือน้อย และมองว่าเมืองไทย เรื่องโกงมีแต่น้อย และคนส่วนใหญ่ยังเป็นคนดี นักธุรกิจก็มีไม่ดี มีที่เอารัดเอาเปรียบ แต่ 80% เป็นคนดี ถ้าไม่ดี เมืองไทยจะอยู่มาได้ยังไง เพราะนักธุรกิจเป็นคนสร้างอะไรหลายอย่างให้กับประเทศ

“ซีพีเป็นบริษัทครอบครัว แต่ผู้ถือหุ้นก็มีกองทุนอะไรต่างๆ และใช้มืออาชีพ ลูกหลานไม่ได้มาวุ่นวายดูแต่เรื่องคนและการเงิน ซีพีถึงขยายไปทั่วโลกได้ ถ้าเราจำกัดเฉพาะครอบครัว เราไปไม่ได้ไกล ทรู ขายอาหารสมอง ซีพีขายอาหารปากท้องยังไปได้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น คนต้องกินต้องใช้ แต่จะบอกว่าไม่กระทบ ไม่เสียหายเลยคงไม่ใช่”

ในช่วงที่ผ่านมา เครือซีพีเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่ระดมสรรพกำลังทั้งเงินและคนช่วยประเทศก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ในหลายรูปแบบ เช่น การสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรี, มอบอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้กักตัว, มอบ 77 ล้านบาท ให้ 77 โรงพยาบาล, แจกอุปกรณ์สื่อสาร-หุ่นยนต์-ซิม เป็นต้น

เจ้าสัวธนินท์มองว่า ถ้าส่วนรวมดีขึ้น ประเทศดีขึ้น ธุรกิจต่างๆ รวมถึงเครือซีพีก็จะดีขึ้น แต่ถ้าส่วนรวมพัง ธุรกิจใหญ่จะพังหนักกว่า

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนเชอรี่ นาคเจริญ [email protected]
ธนินท์ เจียรวนนท์

นายธนินท์ เจียรวนนท์  ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่าวิกฤตโควิด-19ทำให้โลกเปลี่ยนอย่างมหาศาลไม่เฉพาะในประเทศไทย เช่นองค์กรต่าง ๆ มีการทำงานจากที่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในช่วงที่ผ่านมาจึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีทำให้ต่อไปสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ

และเชื่อว่าวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) นี้จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาเติบโตมากขึ้นเช่นกันกับการศึกษาออนไลน์ การซื้อสินค้าออนไลน์ และสังคมไร้เงินสด

“ถ้าคนทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็หมายความว่าไปเที่ยวก็ทำงานได้ วิกฤตเป็นแค่สิ่งชั่วคราว ไม่ได้อยู่ตลอด สิ่งที่เราต้องทำคือ   เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ที่จะมีเข้ามา เช่นเรื่องการท่องเที่ยวจะฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด ถ้าทำให้คนเชื่อมั่นว่ามาเมืองไทยแล้วปลอดภัย ไม่ต้องรอจนมีวัคซีน ต้องทำเดี๋ยวนี้ ถ้าทุกอย่างสงบทำไมเขาต้องมาบ้านเรา เพราะไทยน่าจะเป็นโควิดมากกว่าหลายประเทศ แต่เราติดน้อยที่สุด และเสียชีวิตน้อยที่สุด แสดงว่าหมอไทย การแพทย์ไทยเก่งที่สุด”

นายธนินท์กล่าวว่าการฟื้นการท่องเที่ยวไทยอาจเริ่มได้จากการเจาะกลุ่มมหาเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ เช่น ในจีน, อเมริกา และยุโรป ให้มาท่องเที่ยวในเมืองไทยโดยใช้จุดแข็งเรื่องการแพทย์ทำให้เห็นว่ามาเมืองไทยปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการอำนวยความสะดวก 

“โรงแรมห้าดาวในบ้านเราอาจไปลิงก์กับบริษัททัวร์ห้าดาวให้เขาไปชักชวนมหาเศรษฐีอเมริกา จีน และยุโรปมาเที่ยว เหมาเครื่องบินทั้งลำมาเลย เราก็เตรียมพร้อมทั้งโรงแรมห้าดาว ดิวกับโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง มาแล้ว ก็ให้พักผ่อนอยู่ในโรงแรมอย่างดี ผมเชื่อว่ามีคนที่อยากมาถ้าเขาเห็นว่ามาแล้วเขาปลอดภัยกว่า ถ้าเราดึงมาได้สักล้านคนก็เท่ากับ 4-5 ล้านคน คนมีเงินมาอยู่ได้เป็นเดือน บางคนสองสามเดือนยังได้ เป็นกลุ่มหนีตาย เพราะอยู่บ้านเขาเตียงไม่พอ ยาไม่พอ ”

อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ประเทศสูญเสียรายได้เฉลี่ยวันละหมื่นกว่าล้านบาท เดือนละ 4-5 แสนล้านบาท จากการปิดประเทศแต่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของรัฐบาลเพื่อลดการระบาดของเชื้อไวรัสจนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายทำให้เริ่มคลายล็อกได้บ้างแล้ว

“รัฐบาลควรออกพันธบัตร อายุ 30 ปี กู้มาสัก 3 ล้านล้านก็ได้ รัฐบาลนำมารักษากำลังซื้อ ให้ธุรกิจก็พออยู่ได้ เพื่อไปขายต่างประเทศ นำเงินมาช่วยบริษัทไทยที่ดี ๆ ให้เขาทำธุรกิจต่อได้อาจให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ 10 ปี เพื่อให้ธุรกิจเขาไปต่อได้ ถ้าบริษัทปิดโรงงานปิดเครื่องจักร กว่าจะกลับมาฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ไม่ง่าย เหมือนการสร้างบ้านสร้างตึกต้องใช้เวลาหลายปีแต่ระเบิดทิ้ง่ายนิดเดียวแค่ไม่กี่วินาที หากธุรกิจไปต่อได้รัฐบาลก็จะยังได้กลับคืนเป็นภาษี”

นายธนินท์ย้ำว่า เครดิตด้านการเงินการคลังของประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับท็อปของโลกและดีกว่าหลายประเทศในโลก รัฐบาลจึงควรใช้ เครดิตที่ดีไปนำดอกเบี้ยถูก ๆ มาจากทั่วโลก ไม่ใช่ออกพันธบัตรมาเอาเงินของคนไทยด้วยกัน ซึ่งไม่ได้เพิ่มเติม เหมือนอยู่ในบ่อเดียวกัน ทำไมไม่เอาบ่อคนอื่นมาเติมให้น้ำเราเต็ม และถ้าบริษัทต่างๆ สามารถประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้ ไม่ต้องปลดพนักงานยังจ่ายเงินเดือนได้ก็ทำให้มีกำลังซื้อในตลาด

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ธนินท์ เจียรวนนท์

โรงงานซีพีหน้ากากอนามัยฟรีเพื่อคนไทย ย่าน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เปิดสายการผลิตไปแล้วเมื่อห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นอีกหนึ่งกิจการของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีแนวคิดผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรีให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน สร้างเสร็จตามกำหนดเวลา 5 สัปดาห์ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยกำลังการผลิตปัจจุบันตั้งเป้าวันละ 100,000 ชิ้น หรือ 3,000,000 ชิ้นต่อเดือน เป็นโรงงานอัตโนมัติที่ใช้ผู้ควบคุมในโรงงานเพียง 3 คน เพื่อให้เป็นโรงงานที่ปลอดเชื้อโรคสูงสุด และสามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง

วันแรกของการเดินเครื่อง ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) พร้อมด้วย ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือฯ, สุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือฯ นำ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะ เข้าเยี่ยมชมโรงงาน พร้อมส่งมอบหน้ากากอนามัย 100,000 ชิ้นแก่โรงพยาบาลจุฬาฯ

หลังเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว “เจ้าสัวซีพี” วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ตอบคำถามสื่อมวลชนในหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง ผ่าน ZOOM ยุคที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาด

งัดขั้นตอนพิเศษ แก้สถานการณ์วิกฤต

ทันทีที่ข่าว “ซีพี” สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายบุคลากรทางการแพทย์เผยแพร่สู่สาธารณะ พลันเกิดข้อสงสัยจำนวนไม่น้อยว่า หากประชาชนทั่วไปสนใจจะมีโอกาสได้รับด้วยหรือไม่?

ประเด็นนี้ เจ้าสัวซีพีตอบชัด “ถ้ามีเหลือนะ เพราะเราพูดไว้ว่ามีจำนวน 3 ล้านชิ้น แต่เวลาพูดต้องระวัง เพราะมันไม่พอ”

“เราจะให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน ซึ่งเขาจำเป็นและต้องนำไปให้คนไข้ก่อน แล้วพวกที่ไม่ออกจากบ้านจะเอาไปทำไม? ทุกคนอยู่ในบ้านไม่มีโรค ใช้ชีวิตปกติ ดังนั้น ผมถึงบอกว่าถ้าเราไม่มีเงินบริจาค เราอย่าไปเพิ่มภาระให้หมอ ให้สังคม ถ้าเราอยู่บ้าน ปกป้อง หลีกเลี่ยง ไม่ให้ติด โรคนี้ก็จะหายไปเอง แต่ถ้ามัวไปเที่ยวชุมนุม ไปดื่มเหล้า ก็เอาโรคนี้ไปติดให้คนอื่น หรือเขามาติดให้เรา จนไปติดลูกเมีย เพื่อนฝูง ไม่มีวันจบ”

กระทั่งมีคำถามว่า แล้วซีพีจะแจกไปถึงเมื่อไหร่? ธนินท์ให้ความเห็นส่วนตัวว่า คิดว่าวิกฤตนี้ไม่นาน ถ้านานต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของรัฐบาลด้วย เพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของใคร ถ้าบอกว่าธุรกิจล้มละลาย เขาก็ไม่อยากล้มละลาย แต่มันเจอเหมือนกันหมดทั้งโลก

ขณะเดียวกันยังชวนให้มองถึงการใช้ “ขั้นตอนพิเศษ” เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันได้ผิดปกติไปแล้ว

“วันนี้จะมาพูดถึงขั้นตอนการปฏิบัติซึ่งมันกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว แม้จะปกติแบบเก่าก็ต้องแก้ให้เร็ว อย่าคิดว่าเจอวิกฤตแล้วใช้ขั้นตอนปกติไม่ได้ วันนี้ผิดปกติ เราต้องใช้ขั้นตอนพิเศษ

“ผมเชื่อว่าการศึกษาเรื่องยาจะก้าวกระโดด เพราะสมัยโบราณเทคโนโลยีไม่มาถึงอย่างนี้ ห้องแล็บก็ช้า ขั้นตอนยืดเยื้อ กว่ายาตัวหนึ่งจะออกมาได้ก็หลายปี 9 ปี 10 ปี วันนี้เทคโนโลยียอดเยี่ยมแบบนี้ก็ไม่ต้องรอ 9 ปี 10 ปีแล้ว ถ้าห้องแล็บเราเร็วขึ้น เทคโนโลยีเร็วขึ้น คนมีความรู้มากขึ้น ทำไมไม่คิดว่าแก้ตรงนี้ล่ะ ดังนั้น วิกฤตครั้งนี้ทำให้ขั้นตอนที่โบราณตั้งไว้เปลี่ยนแปลง”

หนุนกู้ 1 ล้านล้านพยุงเศรษฐกิจ
ชี้ ‘โควิด’ กระทบน้อยกว่า ‘ต้มยำกุ้ง’

ประเด็นร้อนแรงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ การกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ธนินท์มองว่า การกู้เงินของรัฐบาลกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับในอนาคตที่รัฐจะได้ภาษีคืนมาทั้งหมดแน่นอน อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบที่เจ้าสัวยืนยันว่า “อย่างซีพีไม่ต้องจ่าย เรารับผิดชอบเอง แต่มีหลายบริษัทที่รับผิดชอบไม่ได้ ควรไปช่วยคนที่มีปัญหา อย่าให้เขาล้มหายตายจากไป”

สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนที่มีเสียงบ่นกันขรมว่าขั้นตอนยุ่งยากนั้น ธนินท์แนะนำให้รัฐบาลมองว่า “ทุกคนเป็นคนดี” เสียก่อน จากนั้นถึงค่อยจัดการกับคนโกงภายหลัง

“ผมทำอะไร คิดอะไร คิดในแง่ดี แต่คนส่วนน้อยไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดว่าเขาโกง ดังนั้น รัฐควรมองว่าทุกคนเป็นคนดี ไม่โกง เมื่อทุกคนไม่โกงแล้วก็จ่ายไปเลย ไม่ต้องมาขั้นตอนเยอะ เหมือนที่อังกฤษและอเมริกา แต่ถ้ารู้ว่ามีคนโกงก็ค่อยตามไปจัดการทีหลัง

“ถ้าให้พูดแล้ว ต้มยำกุ้งหนักกว่านี้ เพราะตอนนั้นเรามีปัญหาด้วยตัวเอง เงินคงคลังของรัฐบาลมีเพียง 3.8 หมื่นล้านบาท แต่เอกชนและรัฐบาลมีหนี้อยู่กว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับประเทศล้มละลายเลย แล้วก็ต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เราก็ไม่มีสิทธิอะไรเลย ต้องฟังคำสั่งเขาแต่ผู้เดียว

“แต่วิกฤตโควิดทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงเรื่องการทำงานในบ้าน คือไม่จำเป็นไม่ต้องมา และนอกจากทำงานในบ้านแล้ว จะไปทำงานที่ไหนก็ได้ ไปเที่ยวแล้วทำงานด้วยก็ได้ เพียงแค่ออนไลน์เข้ามา”

คลีนพื้นที่-ชวนเศรษฐีกักตัว
กลยุทธ์ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ

ในวันที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แผลงฤทธิ์ให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวซบเซา เจ้าของเครือซีพีชี้แนวทางแก้ไขหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง

ธนินท์กล่าวว่า กรณี “โรงแรม” นั้น แม้วันนี้จะไม่มีคนมาท่องเที่ยวแล้ว แต่ก็อย่าอยู่เฉย ควรอบรมพนักงานให้เตรียมพร้อมรับหลังวิกฤตโควิด-19 เช่น จะบริการลูกค้าดีกว่านี้อย่างไร จะให้คนเข้าพักเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าจะไม่มาติดโรคจากโรงแรม

ดังนั้น หนึ่ง ต้องไปออกกำลังกายให้เข้มแข็ง สอง ต้องมอบรอยยิ้มแจ่มใสให้ลูกค้าที่มาใช้บริการ และ สาม มองหาจุดอ่อนของธุรกิจตัวเอง พร้อมแก้ไขปรับปรุง

เขาบอกอีกว่า หากตนเป็นรัฐบาล วันนี้ต้องมาคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรให้คนมาท่องเที่ยวแล้วปลอดภัย อาจทำทั่วประเทศไทยไม่ได้ แต่อาจมีที่ไหน จังหวัดไหน แห่งไหน เราทำให้ปลอดจากโควิด-19 ได้ โดยอาจไปชักชวนคนมีเงิน คือไม่ได้รีดไถ แต่มาหลีกเลี่ยงความตาย

“คนเหล่านี้มีเงิน ถ้าชักชวนว่ามาสิ เราตรวจก่อนเลย กักตัวไว้จนชัวร์ว่าไม่มี แล้วก็เหมาเครื่องบินทั้งลำมาอยู่โรงแรมเดียวกัน ไม่มีคนอื่นมาปน ไปแสตมป์กันบนเครื่องบินเลย ขึ้นรถทัวร์ตรงไปที่โรงแรม อยู่ที่นั่น 15 วันแล้วก็ดูแลอย่างดี จัดหมอพยาบาลมาตรวจสุขภาพให้เขามีความอุ่นใจ เมืองไทยเราสถิติดี ตาย 47 คน (ข้อมูลเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 เวลา 21.00 น.) น้อยมาก แสดงว่าหมอเราเก่ง พวกเศรษฐีอาหรับยังต้องมาหาหมอเมืองไทย รพ.บำรุงราษฎร์ รพ.กรุงเทพ ฯลฯ ต้องขอบคุณ รพ.จุฬาฯ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี ที่สร้างหมอและพยาบาลให้โรงพยาบาลเอกชน แต่ยังไม่พอ

“รัฐบาลน่าจะทุ่มการสร้างหมอและพยาบาลมากขึ้น เพราะต่อไปถ้าโรงพยาบาลดี หมอเก่ง ทั่วโลกมารักษาเมืองไทยหมด และจะดีกว่าท่องเที่ยวอีก เมื่อคนมีเงินมา เขาหนีตาย แต่เราทำหรือเปล่า เรื่องนี้ต้องผนึกกำลังกัน รัฐบาลต้องเข้าใจตรงนี้”

แนะรัฐบาลไทยตั้งเป้า ‘ศูนย์กลางเศรฐกิจโลก’

นอกจากแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวตามที่กล่าวไปแล้ว เจ้าสัวธนินท์ยังแนะนำให้รัฐบาลตั้งเป้า ประเทศไทยเป็นศูน์กลางเศรษฐกิจโลก พร้อมยืนยันว่าโครงการต่างๆ ของซีพีจะดำเนินการต่อเนื่อง ไม่มีหยุดยั้ง

“ผมยังมองโลกในแง่ดี และรถไฟความเร็วสูง (เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) อีก 4 ปีกว่าจะสร้างเสร็จ พอดีเลย ตอนนั้นเศรษฐกิจทั่วโลกจะบูม เพราะทุกครั้งหลังวิกฤตเศรษฐกิจจะบูมอย่างก้าวกระโดด และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้น ถ้าจะดีเลย์ก็เพราะรัฐบาล

“ผมคิดว่าตอนนี้เรื่องโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนที่เราเตรียมพร้อมที่ต้องรับหลังวิกฤต ยืนยันว่าไม่หยุดก่อสร้าง เพราะเราเตรียมพร้อมอยู่แล้ว หากรัฐบาลสนับสนุนให้ทั่วโลกมั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง เราไม่หยุด อีอีซีเดินหน้าเต็มที่ พร้อมไปชักชวนคนเก่งจากทั่วโลกให้อินเซนทีฟ ถามนักธุรกิจทั่วโลกว่าทำไมถึงยังจะมาเมืองไทย เพราะเรามีอัธยาศัยดี พื้นฐานดี คนนิสัยดี เป็นศูนย์ระดับโล

“ทำไมรู้ไหม? เพราะอาเซียน 10 ประเทศ มีประชากร 600 กว่าล้านคน ไทยเป็นศูนย์กลางระดับโลก บริเวณนี้มี 3 พันกว่าล้านคน ครึ่งโลกแล้ว และเจริญเติบโต เพราะมีทั้งจีนและญี่ปุ่นที่กำลังเติบโต ญี่ปุ่นเองก็รวยที่สุด ตามด้วยจีนที่กำลังเติบโต 1.4 พันล้านคน ตามด้วยอินเดียที่มีประมาณ 1.2 พันล้านคน หากอินเดีย 20 เปอร์เซ็นต์รวยเท่าคนอเมริกาและญี่ปุ่นได้แน่นอน ถ้าจีน 30 เปอร์เซ็นต์จะร่ำรวยกว่าอเมริกาอีก เพราะมี 1.4 พันล้านคน และใหญ่เท่ายุโรป แต่ถ้าบอกว่า 1.4 พันล้านคนรวยเท่ายุโรป อเมริกานั้นยาก วันหนึ่งต้องกระทบแน่ แต่ถ้าบอกว่า 30 เปอร์เซ็นต์รวยเท่า ก็ใหญ่เท่ายุโรป ใหญ่กว่าอเมริกา อีกทั้งรัสเซียเองก็อยู่ในภูมิภาคนี้

“ที่น่าสนใจคือ วัฒนธรรมของไทยนั้นน่าสนใจ ใครมาเที่ยวก็ชอบมาเที่ยวอีก พอมาอยู่ไทย 1-2 ปีก็ไม่กลับประเทศแล้ว ดังนั้น เรื่องนี้ต้องรักษาไว้ และรัฐบาลต้องไม่ตั้งเป้าว่าจะเป็นเพียงศูนย์กลางอาเซียน ต้องตั้งเป้าว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก

“ผมสั่งกับทั่วโลกว่า เรามีวัฒนธรรมยอดเยี่ยมดีงามต้องรักษาไว้ รับรองว่าการที่เราเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกจะเกิดขึ้นแน่แท้ แต่รัฐบาลต้องเข้าใจ ต้องมีเป้าหมาย สื่อมวลชนก็ต้องช่วยกันคิดและชี้แนะรัฐบาล ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของนโยบายรัฐบาล เติมเต็มด้วยโอกาส

วันนี้เราเจอวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว แต่วัฒนธรรมของเรายั่งยืน เราขาดคน แต่ถ้ามัวสร้างคนก็ไม่ทันแล้ว เมื่อรู้ว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และคนเก่งๆ ในโลกนี้ก็อยากมาอยู่ไทย มาใช้ชีวิตเมืองไทย ทำไมไม่ออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้คนเก่งในโลกนี้ อาจสัก 5 ล้านคนมาอยู่ไทย เราชุบมือเปิบเลย ไม่ต้องมัวสร้างอีก 5 ล้านคน ดังนั้นก็ไปชักชวนเขามา แล้วก็ให้กลายเป็นคนไทยไปด้วยเลย เรามี 70 ล้านคน เอาคนเก่งๆ มาสัก 5 ล้านคนจะเป็นอะไรไป

“คนเหล่านี้นอกจากเก่งแล้ว ยังมีเงินอีก คนสร้างทุกอย่าง คนสร้างเงิน ไม่ใช่เงินสร้างคน ไม่ใช่ว่าเรามีเงินแล้วทำได้ทุกอย่าง เราต้องมีคนเก่ง แล้วให้คนเก่งทำได้ทุกอย่าง รัฐบาลต้องเข้าใจ ต้องออกกฎเกณฑ์ชักชวนคนเก่งเข้ามา เมื่อมีคนเก่ง 5-10 ล้านคน รับรองว่าธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกก็มาด้วย ผมมองว่าถ้าคนเก่งที่เราต้องการ ไม่ต้องเก็บภาษีรายได้ยังได้เลย เพราะเมื่อเขาทำธุรกิจใหญ่ มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า เราได้สร้างคน สร้างงาน นี่สำคัญกว่า ให้เขาอยู่เมืองไทยอย่างยั่งยืนไปเลย

“เรามีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีวัฒนธรรมที่ดี เรามีโอกาสเชิญคนเก่งทั่วโลกมา แล้วก็ออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก แล้วก็ทำสัญญากับทุกประเทศเลย ต่างคนต่างปลอดภาษี โดยสื่อมวลชนเองก็ต้องช่วยกัน ให้ข้าราชการ รัฐบาล นักการเมืองเข้าใจว่าเมืองไทยเต็มไปด้วยโอกาส”

ไม่เลิกจ้างพนักงานแม้แต่คนเดียว

เป็นที่รับรู้กันว่าอาณาจักรซีพีให้ความสำคัญกับ “คน” ฉะนั้น ในยามวิกฤตเช่นนี้เจ้าสัวธนินท์จึงให้การยืนยัน ไม่เลิกจ้างพนักงานแน่นอน

“ในสถานการณ์นี้ เครือซีพีประกาศว่าซีพีในทุกประเทศทั่วโลกจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานออกแม้แต่คนเดียว และต้องดูแลพนักงานของซีพีให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยมีมาตรการต่างๆ ออกมา เพื่อช่วยปกป้องพนักงานไม่ให้เข้าไปเผชิญความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีการใช้มาตรการทำงานที่บ้านโดยยังจ่ายเงินเดือนและรายได้เช่นเดิม ซีพีให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานมาก เพราะการรักษาคนของซีพีก็เท่ากับบริษัทรักษาพลังของบริษัทไว้คู่กัน เพื่อเตรียมพร้อมเดินหน้าหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย

“เราจะสำเร็จได้ต้องมีคน หุ่นยนต์เก่งกว่าคนนั้นไม่จริง เพราะคนสร้างหุ่นยนต์ เขาจะเก่งกว่าเราได้ไง เพียงแต่คนเราต้องเสียชีวิตไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย หุ่นยนต์มันไม่ตาย ซอฟต์แวร์ยังอยู่ คนใหม่สามารถต่อยอดได้ วันนี้ผมยังเชื่อว่าไม่มีหุ่นยนต์ที่มีน้ำใจ มีจิตใจ หรือเก่งเท่ามนุษย์ และไม่ฟ้องเราด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะถ้าเราใช้คนเกินเวลากว่ากฎหมายก็ผิด แต่ไม่มีใครมากำหนดว่าคุณใช้หุ่นยนต์ 24 ชั่วโมงไม่ได้

“วิกฤตกับโอกาสมาคู่กัน มีวิกฤตก็จะตามมาด้วยโอกาส ดังนั้น ใครที่เจอวิกฤตแล้วอยู่รอด โอกาสก็จะมา แต่เราต้องคิดว่าทำยังไงให้อยู่รอดพ้นวิกฤต ไม่ใช่มัวแต่วิกฤตๆ เราต้องคิดว่าหลังวิกฤตล่ะ ช่วงนี้คนตกงาน มีงานน้อยลง เราก็ใช้ตรงนั้นมาฝึกฝนคนของเรา เปลี่ยนว่าหลังวิกฤตแล้วคนอื่นยังอ่อนแออยู่ แต่คนของเราเข้มแข็งมาก เตรียมพร้อม หลังวิกฤตแล้วเราวิ่งเลย ดังนั้น หลักสำคัญที่สุดในทฤษฎีของผมคือ ตอนที่ไม่มีวิกฤต ต้องเตรียมทำเรื่องที่วิกฤตจะมาแล้ว ส่วนตอนที่วิกฤตมาแล้ว เราต้องทำเรื่องหลังวิกฤต

“ไม่ใช่รอวิกฤตแล้วถึงมาเตรียมพร้อม อย่างนั้นสายเกินไป” คือสิ่งที่เจ้าสัวธนินท์เน้นย้ำ

ที่มาหน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนชนากานต์ ปานอ่ำ

จากหนังสือ “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” ของนักเขียนน้องใหม่ “ธนินท์ เจียรวนนท์” เจ้าสัวติดอันดับรวยระดับประเทศ บกเล่าเส้นทางธุรกิจ วิธีคิด ที่ทำให้ค่ายซี.พี. เติบใหญ่ไปทั่วโลก ได้เล่าเกี่ยวกับธุรกิจอาหารอย่างน่าสนใจ…ความว่า…

“…อาหารเป็นสิ่งจำเป็นกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ อาหารก็จะเป็นธุรกิจที่สำคัญอันดับ 1 เพราะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้  ต้องบริโภคทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 มื้อ  คนสมัยนี้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป เร่งรีบ ไม่มีเวลาทำอาหาร  อย่างตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มความต้องการที่เปลี่ยนแปลงจากเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat) มากขึ้น ตลาดเอเชียก็จะไปทางนี้เหมือนกัน ลองไปดูตามเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าประเทศไหนก็จะเป็นอาหารพร้อมรับประทานวางขายอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตมากมาย

ร้านอาหารจานด่วนก็เกิดขึ้นเยอะแยะ อย่าง McDonald’s และ KFC ก็มีอยู่ทั่วโลก หรืออย่างในฟิลิปปินส์ก็มีร้าน

ธนินท์ เจียรวนนท์ (ภาพจาก : มติชนออนไลน์)

Jollibee เป็นร้านอาหารจานด่วน (Food Chain Restaurant) ของเขาเองที่ประสบความสำเร็จ มีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ “ธุรกิจอาหารยังมีโอกาสอีกเยอะ” ยิ่งทุกวันนี้ธุรกิจไม่มีพรมแดน โอกาสก็ยิ่งมาก เราต้องเอาวัตถุดิบมาแปรสภาพเป็นอาหารพร้อมรับประทาน และเน้นสร้างแบรนด์ขายไปทั่วโลก…”

“…ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จตลอดไป วันนี้ผู้บริโภคชอบรสชาติอาหารของเรา แต่กินนานๆ เข้า วันหน้าเขาก็เบื่อ  ดังนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ต้องศึกษาหาข้อมูล “ทำไมคนไทยถึงกินไข่ไก่น้อยกว่าคนญี่ปุ่น กินหมูน้อยกว่าคนจีน ขนมไทยเอาไปขายทั่วโลกได้ไหม เอาน้ำผลไม้ไปขายดีไหม” เมื่อเรามีข้อมูลก็จะทำให้เราวิเคราะห์หาโอกาสทางธุรกิจได้มาก…”

“…ผมเชื่อว่าธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีโอกาส ซึ่งไม่ได้เป็นโอกาสเฉพาะสำหรับ ซี.พี. เท่านั้น แต่เป็นของนักธุรกิจทุกคนที่รู้จักหาข้อมูล เราต้องไม่ลืมหาทางรับมือกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น ทุกวันนี้สินค้า นอกจากต้องมีคุณภาพแล้ว ยังต้องคิดถึงสิ่งแวดล้อม แรงงาน และเรื่องเชิงสังคมอื่นๆ ด้วย ประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ใส่ใจกับเรื่องนี้มาก ผู้บริโภคที่นั่นไม่ได้มองแค่ว่าสินค้าของเรามีคุณภาพ รสชาติถูกปาก แต่จะต้องมองไปตั้งแต่ต้นทางของสินค้า ว่าทำลายสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า ใช้แรงงานไม่ถูกต้องหรือเปล่า เราต้องติดตามให้ดี เพราะหลายเรื่องส่งผลสะเทือนอย่างมหาศาล รัฐบาลบางประเทศจะหยิบยกเอาประเด็นเหล่านี้มาใช้กีดกันทางการค้า ทำให้ส่งออกไปประเทศเขาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่กระทบแค่บริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เหมารวมทั้งอุตสาหกรรมเลย

“… นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ซี.พี.ต้องทำธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อควบคุมคุณภาพ สร้างมาตรฐานตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่ที่มาของวัตถุดิบ จนกระทั่งแปรรูปและขนส่งไปถึงมือผู้บริโภค ไม่จำกัดตัวเอง ไม่หยุดพัฒนา เส้นทางสู่การเป็น “ครัวของโลก” ยังเปิดรอธุรกิจไทยอยู่แน่นอน…”

เป็นเพียงบางตอนจากหนังสือ ยังมีเกร็ดอื่นๆ อีกมากมายให้อ่านเป็นแนวทางการทำธุรกิจ ยังมีเบื้องหลัง ความเป็นมาขององค์กรซี.พี. อยากรู้ความจริง ก็ต้องค้นหาอ่านต่อไป

หนังสือ "ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว" (ภาพจาก : มติชนออนไลน์)