หากคิดถึงของฝากจากเมืองสี่แคว หรือ จังหวัดนครสวรรค์ คงหนีไม่พ้น ขนมโมจิ ที่เป็นขนมของฝากเลื่องชื่อไปทั่วประเทศ โดยขนมโมจิเป็นขนมอบทรงกลมแบน มีไส้และกลิ่นหลากหลายชนิด ทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน และมีเนื้อแป้งที่มีสัมผัสที่นุ่มนวล แต่ในญี่ปุ่น ก็มีขนมที่เรียกว่า โมจิ () เช่นเดียวกัน ซึ่งขนมทั้งสองแบบนั้นมีทั้งความเหมือนและแตกต่างกัน และขนมโมจินครสวรรค์ก็ไม่ใช่โมจิที่มาจากญี่ปุ่นแต่ประการใด

โมจิ นครสวรรค์ (ภาพจาก : www.mochichula.com)
โมจิ ญี่ปุ่น

ขนมโมจิของจังหวัดนครสวรรค์ เป็นขนมที่ทำจากแป้งสาลี นมข้นหวาน นมสด เนย ผสมเข้าด้วยกัน และอบเป็นชั้นเปลือกนอกหรือแป้ง ส่วนของไส้นั้น รสชาติยอดนิยมอย่างถั่วกวนก็ผ่านกรรมวิธีการนึ่งถั่วให้สุกและยีกับตะแกรง จากนั้นก็กวนกับมะพร้าวและน้ำตาลให้เข้าที่ ปั้นให้เป็นก้อน และอบควันเทียนไว้หนึ่งคืน จึงนำไปห่อกับแป้งที่เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จสิ้น โดยโมจิจะนิยมนำไปกินคู่กับน้ำชาหรือกาแฟก็เข้ากัน

ส่วน โมจิ () จากญี่ปุ่น คือขนมที่ทำจากข้าวเป็นส่วนผสมหลัก โดยผ่านกรรมวิธีการตำให้เหนียวนุ่มด้วยครกไม้ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งโมจิเป็นขนมที่รับประทานกันเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ ด้วยรูปแบบและรสชาติที่หลากหลายกันไป อาทิ ในวันขึ้นปีใหม่ของประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีประเพณีในการรับประทานซุปที่ใส่โมจิเข้าไป อย่าง โซนิ (雑煮) อีกทั้งโมจิยังต่อยอดให้เป็นขนมชนิดอื่นได้อีกด้วย อย่างเช่น ไดฟุกุ (大福) อันเป็นขนมที่เป็นโมจิสอดไส้ต่างๆ เช่น ถั่วแดง หรือ สตรอว์เบอร์รี่ก็ได้ เป็นต้น

เห็นได้ว่า ขนมโมจิที่เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนครสวรรค์นั้นผิดไปจากโมจิของญี่ปุ่น เพราะว่าคำว่าโมจิเป็นเพียงชื่อเท่านั้น กล่าวคือวัตถุดิบขนมดังกล่าวทำมาจากข้าวตำนั้นเป็นคนละอย่าง ไม่เกี่ยวข้องกัน และที่กล่าวว่าเป็นเพียงชื่อนั้น แต่เดิมแล้ว ขนมโมจิของจังหวัดนครสวรรค์นั้นคือ “ขนมเปี๊ยะนมข้น” ที่มีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะทั่วไป ต่างที่ใช้แป้งสาลีและนมข้นหวานเป็นส่วนประกอบ ทำให้มีสัมผัสที่นุ่มกว่านั่นเอง ส่วนสาเหตุที่ชื่อว่าโมจินั้น ทางผู้ผลิตรายใหญ่ของจังหวัดนครสวรรค์นั้นเห็นว่าในจังหวัดเริ่มที่จะผลิตขนมเปี๊ยะนมข้นกันมากขึ้น จึงริเริ่มในการเปลี่ยนชื่อเป็นโมจิ และก็เป็นชื่อที่ใช้ต่อเนื่องมาในที่สุด

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม                                                                                                                                                                                                                                                                                                            ผู้เขียน : ชิษณุพงศ์ แจ่มปัญญา

Sushi Cyu (ซูชิชู) ร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม ภายใต้บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เตรียมเสิร์ฟความอร่อยให้ชาวไทยได้สัมผัสคอร์สโอมากาเสะสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ไม่ต้องบินไปไกลถึงญี่ปุ่น หรือรอคอยการจองคิวล่วงหน้าถึง 1 ปี เพื่อที่จะได้สัมผัสความอร่อยอีกต่อไป กับการกลับมาอีกครั้งของ “เคนจิ เกียวเตน” ที่บินตรงมารังสรรค์ความอร่อยถึงใจกลางกรุงเทพฯ ในวันที่ 5 – 15 ตุลาคม 2562 ที่ ร้าน Sushi Cyu ชั้น 3 โซนเอเทรียม เซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับ “เคนจิ เกียวเตน” วัย 37 ปี เติบโตในครอบครัวเจ้าของร้านซูชิ ได้รับการถ่ายทอดฝีมือและแรงบันดาลใจจากคุณปู่เชฟซูชิตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่ออายุ 21 ปี เชฟเคนจิมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในกรุงโตเกียว และในปี 2552 ได้กลับมาเปิดร้านซูชิที่เมืองชิโมโนเซกิ จังหวัดยามากูจิ บ้านเกิดของเขา ซึ่งภายหลังได้ย้ายมาที่เมืองฟุกุโอกะ และร้านของเชฟยังได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาว ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 6 เรียกได้ว่าเป็นการการันตีได้ถึงความสามารถและทักษะการทำซูชิของเชฟได้เป็นอย่างดี

ซูชิที่ผ่านการรังสรรค์จากเชฟเคนจิ ใช้วิธีการปั้นสมัยเอโดะ ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน ผสานกับวัตถุดิบคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่นที่มาจากเกาะคิวชู ที่ปลูกโดยใช้น้ำแร่จากภูเขา ในพื้นที่ที่อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก ทำให้ได้ข้าวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรุงด้วยน้ำส้มสายชูแดงที่มีรสเบาแต่ทว่านุ่มลึก เสริมความพิเศษยิ่งกว่าเดิมด้วยวัตถุดิบสดจากทะเลที่คัดสรรมาจากตลาดสึกิจิที่ขึ้นชื่อ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบให้ลูกค้าทุกคนได้สัมผัสถึงความอร่อยอย่างเต็มคุณภาพในทุกๆ คำ นอกจากนี้คุณยังมั่นใจได้เชฟเคนจิจะคัดสรรปลาทูน่าคุณภาพที่ดีที่สุดในโลกมาเสิร์ฟให้ได้ลิ้มลองความอร่อยในราคา 12,500 ++ บาท

สัมผัสความอร่อยสุดเอ็กซ์คลูซีฟได้ในวันที่ 5-6 ตุลาคม, 8-13 ตุลาคม และ 15 ตุลาคม 2562 เท่านั้น มื้อกลางวันเวลา 12.00-14.00 น. ดินเนอร์เวลา 18.00-20.00 น. และ 20.15-22.15 น. ที่ร้าน Sushi Cyu ชั้น 3 โซนเอเทรียม เซ็นทรัลเวิลด์ สามารถสำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้ที่ 065-731-4844-5

ไหนๆ ก็ว่ากันด้วยเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังดินแดนอาทิตย์อุทัยกันไปจนจบแล้ว ขอแถมปลายนวมด้วยเรื่องแปลกๆ แหวกๆ ของคนแดนปลาดิบอีกสักเรื่องท่าจะดี เพราะเรื่องราวนี้คล้ายกับเรื่องราวของคนไทยอยู่เหมือนกัน อีกทั้งบังเอิญไปอ่านพบใน “ญี่ปุ่นหลากมุม” ของ แพรวสำนักพิมพ์ด้วย ซึ่งมีบางเรื่องที่สอดคล้องกันอย่างสมควรนำมาบอกเล่าต่อ คือเรื่องของ “ความเชื่อ”

ก่อนเข้าสู่เรื่องของความเชื่อ มีเรื่องของ “พระ” ประจำวัด ซึ่งอาจจะเคยรู้กันมาบ้างแล้ว ว่าพระในวัดญี่ปุ่นไม่เหมือนกับพระในวัดคนไทย เพราะพระในวัดญี่ปุ่นเขาถือกันว่าเป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง มีบ้านอยู่ สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ และสืบทอดกันเป็นตระกูล ปกติอยู่บ้านก็แต่งกายธรรมดา เวลาไปทำงานก็ผูกไทด์ใส่สูทขึ้นรถ มาถึงวัดจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็น “พระ” แล้วแต่ว่าใครเป็นพระระดับไหน ตั้งแต่พระลูกวัดจนไปถึงเจ้าอาวาส เพื่อทำหน้าที่หรือทำพิธีให้กับคนที่มายังวัด

พระญี่ปุ่นรูปหนึ่งที่มีอีกอาชีพคือเป็นช่างแต่งหน้า

สิ่งที่เรามักจะพบเห็นในวัดญี่ปุ่นเวลาคนญี่ปุ่นไปไหว้พระที่วัด คือผู้คนทั้งหลายจุดธูปไหว้แล้วจะยืนกวักควันธูปเข้าหาตัว เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและทำให้สุขภาพแข็งแรง

ถัดไปอีกก็เป็นพวก “เสี่ยงเซียมซี” มักจะมีสีหน้าเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกันเลยทีเดียว สำหรับ “เซียมซี” นี้ เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “โอะมิคุจิ” (o-mikuji) มีให้เสี่ยงอยู่ทั่วไปตามวัดและศาลเจ้าชินโต คำทำนายในเซียมซีอ่านเข้าใจยากสักหน่อย เพราะต้องตีความภาษาโหรซึ่งไม่ใช่ภาษาธรรมดา คงเหมือนกับของไทยนั่นแหละ อีกทั้งตัวอักษรคันจิก็อ่านยาก คนญี่ปุ่นบางคนยังอ่านแล้วกุมขมับ รู้แต่ว่าตีความโดยรวมทั้งหมดแล้ว “ดี” หรือ “ไม่ดี” เท่านั้น

หญิงญี่ปุ่นกำลังอ่านเสี่ยมซี

ตัวเลขในใบเซียมซี และตัวเลขโดยทั่วไปของคนญี่ปุ่นนั้น เขามีความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลขต่างจากคนไทย จะเห็นว่าคนไทยชอบเลข 9 ไม่ว่าอะไรก็ 9 ไว้ก่อน ตั้งแต่เลขโทรศัพท์มือถือ ทะเบียนรถยนต์ จนไปถึงเลขที่บ้าน และจำนวนสิ่งของทั้งหลาย เพราะถือเป็นเลขนำโชค นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ตน แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่ชอบเลข 9 เอาเสียเลย เพราะเลข 9 ออกเสียงว่า “คุ” (ku) เสียงนี้พ้องกับคำที่มีความหมายว่า “ความยุ่งยากลำบาก” นอกจากเลข 9 แล้วคนญี่ปุ่นยังไม่ชอบเลข 4 เพราะออกเสียงว่า “ชิ” (Shi) ซึ่งไปพ้องกับคำที่มีความหมายว่า “ตาย”

อีกเรื่องคนไทยเชื่อกันว่าเมื่ออายุครบวัยเบญจเพศ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต หรือมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น คนญี่ปุ่นก็มีแนวคิดคล้ายๆ กัน แต่คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเมื่ออายุครบ 19 ปี 33 ปี 42 ปี จะเป็นปีที่โชคไม่ดี เรียกปีเหล่านี้ว่า “ยะคุโดะชิ” (yakudoshi) ที่เชื่อกันเช่นนี้เพราะเลข 19 ออกเสียง “จูคุ” (juku) พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ความลำบากแสนสาหัส เลข 33 ออกเสียงว่า “ซันซัง” (sanzan) แปลว่าความสูญสิ้น เหนื่อยยาก สิ้นหวัง และเลข 42 อ่านว่า “ชินิ” (shini) สื่อความหมายว่า “สู่ความตาย” พออายุถึงปีเหล่านี้คนญี่ปุ่นจะไปทำบุญไหว้พระที่วัดหรือศาลเจ้าชินโต เพื่อช่วยให้จิตใจสบายขึ้น

นอกจากความเชื่อเรื่องตัวเลขแล้ว คนญี่ปุ่นยังเชื่อเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ถ้าไปในเมืองใหญ่ย่านที่มีคนพลุกพล่านจะสามารถพบเห็น “หมอดู” ญี่ปุ่นได้ไม่ยาก แถวชินจูกุในกรุงโตเกียวจะเห็นหมอดูหลายเจ้า คนพวกนี้ประกอบอาชีพกันตอนหัวค่ำ ส่วนตอนกลางวันจะไม่เห็น อาจจะพักผ่อนนอนหลับ แล้วเริ่มออกทำงานตอนเย็นๆ เพราะพอถึงเวลาตอนเย็นสาวๆ ญี่ปุ่น จะยืนต่อคิวยาวเหยียดให้หมอดูทำนายโชคชะตา บรรดาหมอดูจะนั่งอยู่ในหลืบข้างตึก มีโต๊ะเล็กหนึ่งตัว โคมไฟเล็ก ไฟฉายพร้อมเก้าอี้เตี้ยๆ ของตัวเองกับลูกค้า บางเจ้าเปิดเป็นสำนัก ติดตั้งป้ายเป็นกิจจะลักษณะพร้อมบอกราคาก็มี

หมอดูในย่านกินซ่า กรุงโตเกียว

คนญี่ปุ่นรับศาสตร์การดูลายมือและการนับปีนักษัตริย์มาจากประเทศจีน หากจะนับวันเวลาทางยุโรปจะมีสถิติชัดเจนกว่าว่าในยุโรปการดูลายมือได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ส่วนในญี่ปุ่นมีบันทึกไว้ในสมัยเอโดะ ว่าหมอดูลายมือ หัตถศาสตร์และการดูโหงวเฮ้งได้รับความนิยมประมาณ พ.ศ.2143-2411 ยุคนั้นเริ่มมีหมอดูอาชีพเกิดขึ้น หลายคนเป็นซามูไรตกงาน ตำราดูลายมือของญี่ปุ่นหลักใหญ่ใจความเหมือนกับของไทย

ความหมายและตำแหน่งของเส้นหลักบนฝ่ามือ สื่อความหมายเดียวกัน ได้แก่ เส้นเซเมเซ็ง (seimei-sen)หรือเส้นสมอง คันโจเซ็ง (kanjo-sen) คือเส้นหัวใจ และ เค็นคนเซ็ง (kenkon-sen) คือเส้นแต่งงาน ซึ่งเป็นเส้นสั้นๆ อยู่ตรงสันมือ การตีความลักษณะเส้นลายมือก็คล้ายกับตำราไทย ถ้าเส้นชัดเจนไม่เป็นเกาะแก่ง แสดงว่าอุปสรรคน้อย ถ้าเส้นลึกชัด แสดงว่าเป็นคนเปิดเผย มั่นคง เป็นต้น ส่วนการนับปีนักษัตริย์ของญี่ปุ่นก็เหมือนกับของไทยเช่นกัน กล่าวคือ หนึ่งรอบมี 12 ปี ได้แก่ เนะ-ชวด, อุชิ-ฉลู, โทะระ-ขาล, อุ-เถาะ, ทะทสึ-มะโรง, มิ-มะเส็ง, อุมะ-มะเมีย, ฮิทสึจิ-มะแม, ซะรุ-วอก, โทะริ-ระกา, อินุ-จอ และ อิ-กุน

โดยปกติหมอดูจะดูลายมือประกอบวันเดือนปีเกิด ตามด้วยการนับเลขแบบตำราญี่ปุ่น เพื่อยืนยันความขลัง ค่าดูครั้งหนึ่งประมาณ 3,000 เยน อย่างไรก็ดี ความเชื่อโชคลางของคนญี่ปุ่นมีอยู่มากมาย แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นและกลุ่มอาชีพ มีทั้งความเชื่อเกี่ยวกับทิศทาง ลักษณะหน้าตาหรือโหงวเฮ้ง ลางดีลางร้าย วันที่ ทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น สมัยก่อนมีเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของบ้านเป็นอย่างมาก ถ้าเจ้าของบ้านเพิ่งปลูกบ้านเสร็จแล้วเกิดเสียชีวิตกะทันหัน ด้วยอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม เชื่อกันว่าเกิดจากการสร้างบ้านไม่ถูกหลัก ถ้าบ้านไฟไหม้หรือขโมยขึ้นบ้าน ก็จะโยนความผิดให้บ้าน มองว่าบ้านไม่ถูกโฉลก ปัจจุบันความเชื่อเรื่องของที่ตั้งบ้านลดลงไปมากแล้ว เพราะถ้ายังคิดกันอย่างนี้อยู่ คนญี่ปุ่นคงหาซื้อบ้านกันไม่ได้ เพราะที่ทางในญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ

ความเชื่อบางอย่างของคนญี่ปุ่นก็คล้ายกับของคนไทย คือความเชื่อเรื่องการเลือกอาหารที่มีชื่อเป็นมงคลในงานเฉลิมฉลองต่างๆ คนไทยมักเลือกขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก เพราะคำว่า “ทอง” เป็นมงคล ส่วนคนญี่ปุ่นก็เลือกอาหารที่มีชื่อและมีความหมายเป็นมงคลเช่นกัน เป็นต้นว่าเทศกาลขึ้นปีใหม่ คนญี่ปุ่นจะรับประทาน “โมฉิ” (mochi) คือข้าวเหนียวที่นำมาตำจนแหลกเป็นเนื้อเดียวกันแล้วปั้นเป็นก้อนรับประทาน เนื่องจากเสียงอ่านคำว่า “โมฉิ” หมายถึง “มี” หรือ “มั่งมี” จึงถือว่าเป็นมงคลต่อผู้รับประทาน อาหารอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ทั้งในงานมงคลสมรส งานฉลองวันเกิด และในงานมงคลอื่นๆ คือ “กุ้งใหญ่” เพราะตัวกุ้งมีลักษณะโค้ง หัวกับหางโค้งงอเข้าหากัน ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าหมายถึง “การมีอายุยืน”

ขนมโมจิ

ว่ากันว่ากลุ่มคนที่เชื่อเรื่องโชคลางมากที่สุด เป็นคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโอกาส เช่น เกอิชา นักมวยปล้ำ นักพนัน นักแสดง คนเหล่านี้อ่อนไหวต่อความสกปรก เพราะเกรงว่าความสกปรกจะทำให้เทพเจ้าพิโรธและนำโชคร้ายมาสู่ตน ดังนั้น คนประกอบอาชีพเหล่านี้จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการหว่าน “เกลือ” รอบๆ ตัว หลังจากเข้าไปในแหล่งที่เชื่อว่าสกปรกหรือหลังจากที่ได้พบกับคนที่ตัวเองเกลียด

เกอิชา

แต่ความเชื่อบางอย่างก็เป็นเรื่องแฝงด้วยคติคำสอน หลายเรื่องพิสูจน์ได้ยาก แต่หลายเรื่องทำให้รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นโบราณช่างคิด ตัวอย่างคนญี่ปุ่นสอนลูกหลาน ว่าถ้าเห็นแมวล้างหน้าเมื่อไหร่แสดงว่าฝนจะตกในวันรุ่งขึ้น ถ้าเกิดแผ่นดินไหว จงวิ่งเข้าไปในป่าไผ่แล้วจะปลอดภัย ถ้าเห็นเหยี่ยวดำบินสูง แสดงว่าอากาศจะแจ่มใส ถ้าบินต่ำแสดงว่าฝนจะตก ถ้าเมื่อยขาจนเดินไม่ไหว ให้เอาน้ำลายป้ายหน้าผาก 3 ครั้ง แล้วจะหาย ถ้าเห็นแมงมุมตอนเช้าจะเกิดสิ่งดี ถ้าคันตาจะได้พบคนดี ถ้านกนางแอ่นทำรังที่บ้านไหน บ้านนั้นจะรวย ถ้าฝันเห็นงูแล้วไม่บอกใครเป็นเวลาสามวันติดกัน จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น คนไหนถ้ากินปุ๊บแล้วนอนปั๊บจะกลายเป็นวัว ถ้ากินสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลกลางดึก จะทำให้มีสิ่งดีเกิดขึ้น ใครกินข้าวไม่หมดจาน จะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใครกินแอปเปิ้ลจะทำให้สวย ใครกินถั่วดำจะทำให้เสียงดี ถ้าใบชาในถ้วยชาลอยเป็นแนวตั้ง จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น

ทั้งหมดนี้เท็จจริงประการใดขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล

อากาศยามเช้าของเมืองโอซาก้าบริสุทธิ์ สะอาด และรู้สึกว่าสูดหายใจเข้าไปในอกได้เต็มปอดจริงๆ ยิ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาฝนตกไปแล้ว ก็ยิ่งดูเหมือนได้ชะล้างฝุ่นละออง ทำให้อากาศสดชื่นมากขึ้น เช้าวันนี้ยังไม่มีที่หมายว่าจะไปไหน ขณะเดียวกันเพื่อนเดินทางหลายคนเริ่มบ่นเบื่อกับอาหารเช้าของโรงแรมบ้างแล้ว จึงกลายเป็นว่ามานั่งถกกันว่าจะไปหาอาหารเช้ากินกันที่ไหนดี ระหว่างนั้นชื่อของตลาดปลา “คุโรม่ง” จึงปรากฏขึ้น

“คุโรม่งอิจิบะ” เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งกล่าวขึ้นและอธิบายว่า เรียกสั้นๆ แบบคนไทยก็ว่า “ตลาดปลาคุโรม่ง” หากเรียกแบบคนญี่ปุ่นก็ต้อง “คุโรม่งอิจิบะ” เป็นแหล่งรวมปลาและอาหารทะเลมากมายหลายชนิด ที่สำคัญความสดของวัตถุดิบและสามารถปรุงรับประทานร้อนๆ ได้เลยทีเดียว คณะเราตกลงเดินทางไปที่นั่น หนแรกที่เห็นตลาดไม่น่าจะเรียกตลาดปลา แต่น่าจะเป็น “ตลาดสด” มากกว่า เพราะไม่ได้มีแต่ปลาหรืออาหารทะเลขายอย่างที่คิดแต่แรก แต่ยังมีสินค้าอาหารอื่นๆ ให้เลือกซื้อเลือกกินได้อีกด้วย ทั้งผลไม้สด กาแฟสด ขนมหวาน สารพัด

ร้านผลไม้สดรสชาติดีมาก

ตลาดคุโรม่งแห่งโอซาก้า นับเป็นตลาดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ตั้งอยู่เขต Chuo ใจกลางเมืองโอซาก้า ติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน Nippombashi อยู่ไม่ไกลจากย่านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า Den Den Town จะว่าไปก็เป็นเหมือนห้องแถวเปิดเป็นร้านค้าต่อเรียงกันไป มุงหลังคากันแดดกันฝน มีทางเดินกว้างสักสองเมตรได้ ทอดยาวไปประมาณ 600 เมตร ร้านค้าสองข้างทางเคยมีคนนับได้ 180 ร้านค้า แต่เดี๋ยวนี้ตัวเลขอาจเพิ่มหรือลดลงก็ไม่แน่เสียแล้ว เพราะยังไม่มีใครไปอัพเดตตัวเลขล่าสุดให้ทราบ

ทางเข้าตลาดปลาคุโรม่ง
ผลไม้สดเสียบไม้ขายกินได้เลย

ของที่ขายในตลาดส่วนมากจะเป็นของทะเลสด โดยเฉพาะปลาต่างๆ ที่ใช้ทำซูชิ ซาชิมิ รวมถึงปลาไหล และยังมีจำพวกหอยทั้งหลาย ทั้งหอยปีกนก หอยเม่น หอยนางรม หอยคราง (ตัวใหญ่กว่าหอยแครง) หอยกาบก็มี ที่เห็นแปลกก็คือร้านขายเนื้อ แทรกอยู่กับร้านขายของทะเล เป็นเนื้อวัวสด ใครจะสั่งย่างหรือปรุงทำเป็นสเต๊กก็ได้ เขาปรุงให้กินร้อนๆ ตามออร์เดอร์ เท่าที่เห็นมีอยู่เพียงเจ้าเดียวและยังมีชื่อว่าเนื้ออร่อยมากด้วย เห็นคนญี่ปุ่นสั่งซื้อกลับบ้านกันเป็นแถว นอกจากนี้ มีผลไม้ต่างๆ ตามฤดูกาล เช่น องุ่น แอปเปิ้ล เมล่อน กีวี ฯลฯ ส่วนสตรอเบอรี่มีน้อยมาก อาจจะไม่ใช่ฤดูปลูก สำหรับราคาผลไม้แน่นอนว่าถูกกว่าเมืองไทยและรสชาติก็ดีกว่าด้วย

ร้านนี้มีหมดทุกอย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา
หอยเม่น หอยนางรม ตัวใหญ่ยักษ์
ไข่หอยเม่น

ในสมัยปลายยุคเมจิ ตลาดแห่งนี้เดิมเรียกว่าตลาด Enmyoji เนื่องจากว่าอยู่ใกล้กับวัด Enmyoji และตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นประตูทางเข้าของวัดที่เรียกว่า Kuromon แปลว่า ประตูดำ ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อของตลาดเรียกกันติดปากว่า คุโรมงอิจิบะ ในสมัยเอโดะที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่พ่อค้าปลามารวมตัวกันขายปลาที่นำมาจาก Sakai เละ Wakayama กระทั่งในปี 1912 เกิดไฟไหม้ และต่อมายังโดนระเบิด Osaka bombing ได้รับความเสียหายอย่างมาก ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ให้เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านจนเป็นแหล่งกินของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนจะชอบมาก

จุดน่าสนใจของตลาดคุโรม่งอีกอย่างที่ไม่ค่อยมีใครรู้ นอกเหนือจากเป็นเเหล่งรวมร้านอาหารของสดจากทะเล คือมีร้านขายขนมท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของโอซาก้าอีกด้วย ร้านขายขนมท้องถิ่นเหล่านี้พูดกันว่าหากินที่ไหนไม่ได้อีกเเล้วในญี่ปุ่น ตลาดปลาคุโรม่งเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งเเต่เวลาเก้าโมงเช้าเป็นต้นไปจนถึงสี่โมงเย็น แต่ก็มีบางร้านที่เปิดขายถึงทุ่มสองทุ่ม

หากมาถึงตลาดแห่งนี้แล้วไม่พูดถึง “ร้านอร่อย” ก็ผิดวิสัยนักกิน ดังนั้น หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบพร้อมทั้งสอบถามข้อมูลจากเพื่อนหลายคนที่เคยมา ทำให้ได้ชื่อร้านที่จะเข้าไปทดสอบความอร่อยกัน เริ่มตั้งแต่ร้านขายซูชิสำหรับคนชอบซูชิและปลาดิบ ชื่อร้าน “มากุโรยะ กุโรกิน” เป็นร้านขายเฉพาะปลาทูน่าเท่านั้น ร้านนี้ต้องลองข้าวหน้าปลาทูน่า 3 ส่วน คือ โอโทโร่ ชูโทโร่ และอะคามิ เป็นเมนูที่นิยมมาก ตามด้วย เนกิโทโร่ด้ง (ข้าวหน้าโทโร่สับคลุกต้นหอม) สามารถเลือกกินทูน่าได้อย่างเพลิดเพลินและเต็มปากเต็มคำ

ขาปูยักษ์

ถัดมาที่ต้องลองกินเป็น “โอเด้ง” อาหารท้องถิ่นของโอซาก้า ชื่อร้าน “อิชิบะชิ โชคูฮิน” ร้านโอเด้งชื่อดังรสชาติโอซาก้าแท้ โอเด้งที่มีน้ำซุปร้อนๆ แทรกซึมชุ่มฉ่ำ จิ้มกันคนละหนุบคนละหนับ อร่อยจนต้องสั่งอีกหลายจานกว่าจะหยุดได้

โอเด้งโอซาก้าแท้

และอย่างที่บอกว่าที่นี่มีร้านขายเนื้อขึ้นชื่อความอร่อย เป็นที่โปรดปรานของมีท เลิฟเวอร์ ทั้งหลาย ชื่อร้าน “มารุเซ็นโชคูนิคุเต็น” ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะเขาจะซื้อวัวตัวเมียมาทั้งตัว คัดเลือกตัวที่คุณภาพดีที่สุดมาชำแหละเป็นส่วนต่างๆ ให้เลือกสั่ง สั่งแล้วจะย่างต่อหน้าเราเลยทีเดียว กลิ่นเนื้อย่างหอมตลบอบอวลไปทั้งถนน นอกจากนี้ ยังมีเมนูข้าวหน้าเนื้อวัวคุโรโกะวากิว เนื้อวัวเสียบไม้ และยังสามารถสั่ง โกเบกิว เนื้อราคาแพงที่สุดของโกเบจากร้านนี้ได้ด้วย

เสร็จจากอาหารของคาว ต้องตบท้ายด้วยกาแฟร้อน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในตลาดแห่งนี้มีร้านกาแฟเปิดขายเป็นกาแฟสดที่ไม่เหมือนใครในโลก กล่าวคือสามารถเลือกเมล็ดกาแฟที่อยู่ในถุงป่านตั้งเรียงรายให้ชี้นิ้วบอกเจ้าของร้านตามความพอใจ เป็นการชงกาแฟแบบที่เรียกว่า “ออน ดีมานด์” จากนั้นเจ้าของร้านจะนำเมล็ดกาแฟสดไปคั่วกันแบบต่อหน้าต่อตา แล้วจึงนำไปบดและชงเป็นกาแฟออกมาควันฉุยใส่แก้วให้ดื่มแบบหอมฟุ้งในปากและลำคอ ร้านนี้ชื่อว่า “กรีนบีนส์พาร์เลอร์” ตั้งอยู่ประมาณกลางๆ ซอยในตลาด ใครจะซื้อแบบให้คั่วแล้วให้บดเอากลับบ้านก็ได้

คุโรม่งอิจิบะ ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองโอซาก้า ได้ชื่อว่า “ครัวของญี่ปุ่น” เป็นแหล่งรวมอาหารการกินที่ขึ้นชื่อทั้งคุณภาพ ความหลากหลาย และความอร่อย แต่ทว่า ใครก็ตามที่ไปตลาดแห่งนี้ ไม่ใช่เพื่อไปกินอาหารเพียงอย่างเดียว เพราะคุโรม่งเป็นมากว่าภาพที่เรามองเห็นด้วยตา แท้จริงแล้วมันคือสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการกิน วิถีเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น

ร้านเทมปูระก็มี ชี้สั่งได้
ของสดสั่งปรุงสำเร็จเดี๋ยวนั้น

โดย สกุณา ประยูรศุข

นักเดินทางและนักท่องเที่ยวทั้งหลายนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือการค้นพบสถานที่แห่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่นเดียวกับบริษัทเอื้องหลวง สังกัดการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ก็ต้องการค้นหาสถานที่ใหม่ๆ เปิดเส้นทางบินเพื่อการพาณิชย์ จึงเป็นโอกาสให้ได้ติดสอยห้อยตามไปดู ว่าแหล่งเที่ยวใหม่ๆ ที่เขาไปสำรวจนั้นเป็นที่ไหน น่าสนใจเพียงใด ซึ่งอันนี้เรียกว่าวิน-วิน กันทั้งสองฝ่าย คือเขาได้ประโยชน์และเราก็ประหยัด

ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้มีแต่หมู่บ้านชาวนาโบราณอย่าง “มิยาม่า” ที่กำลังเป็นเมืองดาวรุ่งพุ่งแรง ยังมีเมืองอื่นๆ ที่ซ่อนตัวในหลืบเขาและแผ่นเมฆที่ปกคลุมเหมือนเจ้าหญิงนิทรา รอวันให้ใครมาจุมพิต จะได้เปิดเปลือกตารับการโปรโมตอย่างต่อเนื่องให้เป็น “Unseen” แห่งใหม่ในเจแปน ซึ่งครั้งนี้เรามุ่งขึ้นไปทางเหนือเมืองเกียวโต จุดหมายปลายทางอยู่ที่ “อ่าวอิเนะ” หมู่บ้านชาวประมงโบราณ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สำคัญสำหรับสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น

อ่าวอิเนะ ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต

หมู่บ้านอิเนะอยู่ทางเหนือของจังหวัดเกียวโต ห่างจากเกียวโตประมาณ 1 ชั่วโมงรสบัสหรือรถโดยสารวิ่ง ที่ต้องบอกกันอย่างนี้เพราะว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาไม่นับระยะการเดินทางเป็นกิโลเมตรเหมือนเมืองไทย แต่นับเป็นเวลา เช่นกี่นาที กี่ชั่วโมง ยกตัวอย่าง เมืองโอซาก้าอยู่ห่างจากเมืองเกียวโตประมาณ 90 นาทีรถวิ่ง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นหากไปสอบถามระยะทางจากคนญี่ปุ่นก็ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการเข้าใจผิดกันได้

คนญี่ปุ่นมักเป็นอย่างนี้ เขามักจะกำหนดอะไรต่างๆ ของเขาขึ้นมาใช้เอง ไม่เอาอย่างชาวโลก ที่เห็นชัดๆ และเคยกล่าวไปแล้ว คือการเรียกปี ค.ศ. ที่ใช้การนับจากปีขึ้นครองราชย์ขององค์จักรพรรดิ หรือ มาตราวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ก็ใช้เป็น “ชินโดะ” ขณะที่ชาวโลกเขาใช้เป็น “ริกเตอร์” และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าใครอยากรู้เห็นทีต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ญี่ปุ่น หรือหาแฟนคนญี่ปุ่นกันเอาเอง

มองดูเหมือนบ้านลอยอยู่บนผิวน้ำ

หมู่บ้านอิเนะมีความสวยสดงดงาม เงียบสงบ และโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขานในเรื่องสถาปัตยกรรมบ้านโบราณดั้งเดิมของชาวประมง ข้อมูลที่ได้รับจากสำนักงานประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านอิเนะ บอกว่า ที่เมืองอิเนะเป็นแหล่งปลูกข้าวแห่งแรกที่นำมาจากจีน จึงเป็นเมืองมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่โบราณ ในเมืองมีโบราณสถาน อาราม ศาลเจ้าอยู่จำนวนมาก ถือเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเรือนที่ตั้งเรียงแถวอยู่ริมทะเลติดต่อกันยาวเหยียดถึง 5 กิโลเมตร เป็นบ้านที่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกขานย่านบ้านริมทะเลนั้นว่า “อิเนะโนะฟุนะยะ”

หมู่บ้านประมง “อิเนะโนะฟุนะยะ” มองจากจุดชมวิวบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม

ก่อนจะเข้าไปที่หมู่บ้านชาวประมงอิเนะโนะฟุนะยะ ต้องผ่านจุดชมวิวบนยอดเขาสูง ทำให้สามารถมองไปเห็นหมู่บ้านทั้งกลุ่ม ดูแล้วเหมือนกับว่าหมู่บ้านเหล่านั้นลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกต เป็นวิวที่สวยงามจริงๆ จากแรกเริ่มที่มีการก่อตั้งเป็นหมู่บ้านชาวประมงราว ค.ศ.1880 มาจนถึงปัจจุบัน อิเนะโนะฟุนะยะ มีอายุ 138 ปีแล้ว ที่แห่งนี้มีบ้านชาวประมงตั้งอยู่ริมทะเล 230 หลังคาเรือน แบบบ้านที่อยู่อาศัยได้รับการอนุรักษ์ เรียกบ้านแบบนี้ว่า “บ้านสไตล์ฟุนะยะ” เมื่อรวมเข้ากับชื่ออ่าวอิเนะ จึงเป็น “อิเนะโนะฟุนายะ”

ทิวทัศน์อีกมุมของหมู่บ้านชาวประมง

ความพิเศษของบ้านคือใต้ถุนเปิดโล่ง สามารถนำเรือวิ่งเข้าไปจอดในบ้านได้เลย และถ้าอยากจะออกทะเล เรือที่จอดอยู่ที่ใต้ถุนบ้านชั้นหนึ่งก็สามารถขับออกจากตัวบ้านได้ทันทีเช่นกัน ส่วนชั้นบนของบ้านจะเป็นห้องพักอยู่อาศัยของแต่ละบ้าน บางหลังชั้นล่างนอกจากใช้จอดเรือแล้วยังเป็นอู่ซ่อมเรือไปในตัว บ้านเหล่านี้สามารถใช้ไป-มาได้ทั้งสองทาง คือทางทะเลและทางถนน ซึ่งถ้ามาทางถนนทั้งสองฝั่งถนนก็ดูเหมือนบ้านปกติทั่วไป กล่าวคือเป็นบ้านตั้งอยู่ริมถนนแล้วมีประตูเข้า-ออกบ้าน แต่ถ้าเป็นด้านริมทะเลก็จะเข้าบ้านโดยการนั่งเรือ

สถาปัตยกรรมบ้านสไตล์ฟุนะยะ ชั้นล่างเรือสามารถวิ่งเข้าไปจอดได้

อ่าวอิเนะและหมู่บ้านชาวประมงอิเนะโนะฟุนะยะ ยังเป็นแหล่งทำปลาตากแห้งที่มีชื่อ และเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวล่องเรือชมรอบๆ หมู่บ้าน การนั่งเรือเที่ยวชมอ่าวอิเนะจะเป็นการพานักท่องเที่ยวล่องไปตามริมทะเลวนรอบอ่าว ซึ่งรายล้อมด้วยบ้านแบบฟุนะยะ ใช้เวลา 30 นาทีก็จบ นักท่องเที่ยวจะได้ชมภูมิทัศน์ของหมู่บ้าน ดูวิถีชีวิตที่แปลกตาแตกต่างจากมองมาจากบนถนน ที่สนุกสนานก็คือสามารถให้อาหารฝูงนกนางนวลที่บินแวะเวียนมาที่เรือ จิกกินข้าวเกรียบกุ้งที่ต้องซื้อติดมือมาจากร้านค้าบริเวณท่าเรือ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นข้าวเกรียบกุ้งให้คนกิน แต่ที่จริงเขาใช้เป็นอาหารเลี้ยงนกทะเลพวกนี้

ชั้นล่างของบ้านใช้เป็นที่จอดเรือเวลาเข้า-ออก

เรือท่องเที่ยวชมอ่าวอิเนะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. มีเรือสองแบบให้เลือก คือเรือแท็กซี่ และเรือ Sightseeing นั่งล่องไปเรื่อยๆ ชมทัศนียภาพของหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมตกปลาสำหรับคนที่ชอบความสงบ ปลาที่ตกได้นำไปทำอาหารได้อีกด้วย มีร้านอาหารที่มีเมนูปลาสดๆ จากทะเลอ่าวอิเนะ เสิร์ฟบริการลูกค้าตามฤดูกาลที่จับได้ ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือประมง ปลาที่มีชื่อและเป็นอาหารจานอร่อยของที่นี่ คือ ปลาบุรี และหอยนางรมตัวใหญ่ เรายังสามารถปั่นจักรยานรอบหมู่บ้านและทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกมากมาย

ท่าเรืออิเนะ
กิจกรรมปั่นจักรยานชมรอบหมู่บ้าน
ปลาบุรี เมนูเด็ดของอ่าวอิเนะ

ที่สำคัญหมู่บ้านอิเนะโนะฟุนะยะ เป็นประสบการณ์ใหม่ทำให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวประมงญี่ปุ่นในท้องถิ่นที่ผ่านมา เพราะที่นี่บรรยากาศเมื่อร้อยปีก่อนเป็นอย่างไร ถึงเวลานี้ก็ยังเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

สาเกขึ้นชื่อความอร่อยผลิตในท้องถิ่น

เที่ยวไปได้เรื่อยๆ เกียวโต-โอซาก้า : หมู่บ้านมิยาม่า & อามาโนะฮาชิดาเตะ หมู่บ้านชาวนาและมังกรสวรรค์

 

ใครๆ ก็ว่า เดินทางไกลหนึ่งพันก้าวเท่ากับอ่านหนังสือหมื่นเล่ม คิดๆ ดูแล้วท่าจะจริง เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้จินตนาการนึกภาพตามตัวอักษร ไหนเลยจะเทียบได้กับการสัมผัสด้วยมือและตาของเราเอง เช่นครั้งนี้ เสียงลือเสียงเล่าถึงความงามและความสงบของชนบทญี่ปุ่นที่หมู่บ้านชื่อ “มิยาม่า” ทำให้เคลิ้มว่าต้องไปเห็นด้วยตาให้ได้ เพราะว่านอกจากเป็นชนบทแท้ๆ ของเจแปนแล้ว ชาวนาที่นี่ยังร่ำรวยอีกต่างหาก

“โทอิจิ” ร้านราเม็งชื่อดังในเกียวโต มิชลินมาติป้ายให้

ดังนั้น เมื่อเสร็จจากอาหารกลางวันที่ร้านราเม็ง “โทอิจิ” ร้านชื่อดังของเมืองเกียวโต ที่รสชาติราเม็งแสนอร่อยและขายดีจนมิชลินต้องมาติดป้ายให้ ก็ออกเดินทางต่อไปที่หมู่บ้านมิยาม่าทันที หนแรกได้ยินชื่ออาจจะ “เห…” แบบคนญี่ปุ่น ฟังชื่อแล้วยังสงสัยไม่คุ้นหูเลยต้อง “เห…” ไว้ก่อน คนญี่ปุ่นนั้นหากสงสัยไม่แน่ใจอะไร เขาจะกล่าวคำว่า “เห..” พร้อมกับเอียงคอข้างใดข้างหนึ่ง ดูคิกขุอาโนเนะตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นนั่นแหละ

หมู่บ้านมิยาม่าตั้งอยู่เชิงเขา

“หมู่บ้านมิยาม่า” เป็นหมู่บ้านโบราณ คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะรู้จักแต่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของจังหวัดกิฟุ ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะมากจนช้ำไปหมด เผลอๆ ชาวบ้านนึกรำคาญ แต่ด้วยความที่ชิราคาวาโกะเป็นมรดกโลกที่ทุกคนอยากมาดู ในฐานะเจ้าบ้านเลยต้องต้อนรับขับสู้ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี แต่ถ้าจะให้แปลกใหม่แล้ว “มิยาม่า” เป็นหมู่บ้านชนบทที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้ เวลานี้คนยังไม่รู้จักกันมากนัก บรรยากาศจึงสบายๆ สามารถเดินเล่นได้รอบหมู่บ้านเลยทีเดียว นอกจากนั้นที่หมู่บ้านยังมีกิจกรรมธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวได้ทำหลากหลาย ทั้งเดินป่า ตกปลา เป็นต้น

ป้ายชื่อหมู่บ้าน

มุมยอดฮิต “ตู้ไปรษณีย์” ใครไปก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

“มิยาม่า” (Miyama) ตั้งอยู่เชิงเขา ห่างจากเมืองเกียวโตไปประมาณ 30 กิโลเมตร ชุมชนแห่งนี้ผู้คนยังใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่นโบราณอยู่เต็มเปี่ยม ไม่ว่าบ้านที่อยู่อาศัย ประเพณีต่างๆ จำนวนคนในหมู่บ้านมีราวๆ 200 หลังคาเรือน กระจายกันอยู่ทั่วพื้นที่ ส่วนบ้านโบราณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมิยาม่า มีประมาณ 40 หลัง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน เรียกว่า “คายาบูกิ โน ซาโตะ” ความหมายก็คือ “การมุงหลังคาแบบคายาบูกิ” นั่นเอง

เครื่องมือการทำเกษตรกรรมของชาวนา

คายาบูกิ เป็นการมุงหลังคาบ้านสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ โดยใช้หญ้าหรือบางแห่งก็ว่าใบจากมามุงหลังคา ความหนาประมาณ 50 ซม. ถือเป็นลักษณะเฉพาะของหมู่บ้านแห่งนี้ เวลาจะมุงหลังคาแต่ละที ต้องใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกัน เหมือนกับการ “ลงแขก” หน้าเกี่ยวข้าวบ้านเรา ที่สำคัญไม่เฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่มา แต่ยังมีเด็กๆ และคนหนุ่มสาวมาร่วมด้วย เป็นการเรียนรู้และสืบทอดวิธีมุงหลังคาแบบโบราณไม่ให้สูญหายไป

แสดงการมัดเชือกมุงหลังคา
คนในหมู่บ้านช่วยกันมุงหลังคา
ในหน้าแล้ง(ร้อน) ต้องฉีดน้ำไปที่หลังคาเป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันไฟไหม้

บรรยากาศภายในบ้านแต่ละหลัง เป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัยจริง หลายหลังเปิดให้บริการเป็นโฮมสเตย์แก่นักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสชนบทญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจริงๆ ทั้งนอนบนฟูกในห้องเสื่อทาทามิ อาบน้ำในห้องน้ำไม้ไผ่ ได้ลองชิมอาหารท้องถิ่นซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ คือ ปลาหวาน Ayu ที่จับในแม่น้ำยูระ ในหมู่บ้านยังเปิดเป็น “พิพิธภัณฑ์คายาบูกิ โน ซาโตะ” ให้เข้าชมด้วย ภายในจัดแสดงเครื่องมือเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม และอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านโบราณเมื่อสี่สิบปีมาแล้ว

ภายในพิพิธภัณฑ์คายาบูกิ โน ซาโตะ และคนดูแลซึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน
เตาผิงภายในบ้าน ใช้ทั้งให้ความร้อนและต้มน้ำชงชา

ไม่ไกลจากคายาบูกิ โน ซาโตะ ยังมีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งชื่อ “อินดิโงะ” จัดแสดงศิลปะและสตูดิโอการย้อมสีผ้าอินดิโงะ ขาดไม่ได้เป็นร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งมีของน่าซื้อมากมายทั้งของกิน เสื้อผ้า และขนม ล้วนเป็นของผลิตขึ้นเองในหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวที่อยากไปเที่ยวแบบค้างคืนในหมู่บ้านสามารถทำได้โดยสอบถามจากทัวร์ได้ ส่วนใครจะเดินทางด้วยตัวเองคงต้องเปิดกูเกิ้ลศึกษาดูว่าติดต่อได้ที่ไหน อย่างไร เพราะมีหลายคนเขียนไว้บ้างแล้ว

ร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกในหมู่บ้าน
ศาลประจำหมู่บ้าน

ออกจากมิยาม่าหมู่บ้านชาวนาของญี่ปุ่น ก็มุ่งหน้าสู่ “ประตูมังกรสู่สวรรค์” หรือที่เรียกว่า “อามาโนะฮาชิดาเตะ” แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามติดอันดับของญี่ปุ่น ที่ได้ชื่อเช่นนี้ เป็นเพราะอามาโนะฮาชิดาเตะ เมื่อมองดูแล้วคล้ายกับเกาะที่มีแนวต้นไม้ทะแยงยาวขึ้นไปบนสวรรค์ คนญี่ปุ่นเขาเห็นเป็นมังกรที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บนยอดเขาจะมีวิวธรรมชาติสวยสดงดงาม ดังนั้น จึงมีการสร้างจุดชมวิวไว้หลายจุด รวมไปถึงจุดชมวิวที่สูงที่สุดด้วย

อามาโนะฮาชิดาเตะ ประตูมังกรสู่สวรรค์

อันที่จริงแล้ว ภาพของสันทรายสีขาวตัดกับสีเขียวเข้มของต้นไม้ที่ปกคลุมหนาทึบไปทั้งเกาะที่โผล่พ้นน้ำทะเลขึ้นมากลางอ่าวมิยาสึ ความยาวกว่า 3 กิโลเมตรนั้น ก็คือแนวกั้นของปากอ่าวที่เมืองมิยาสึ วางตัวอยู่ในทิศเหนือใต้ระหว่างอ่าวมิยาซึกับทะเลในของทะเลอาโซโนะ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น “วิวที่สวยงามที่สุด” ในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่เทพเจ้าสร้างญี่ปุ่น บริเวณรอบๆ ขุดพบสุสาน และโบราณวัตถุต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ว่ากันว่าในสมัยยามาโตะโจวเท บริเวณนี้เป็นอาณาจักรที่มีอำนาจ กล่าวคือมีลักษณะภูมิประเทศที่หาพบได้ยาก คือมีต้นสนขนาดเล็กใหญ่ราว 8,000 ต้นขึ้นอยู่ เป็นลักษณะทางธรรมชาติที่ใช้เวลาสร้างหลายพันปี

นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าอีกว่า อามาโนะฮาชิดาเตะ เป็นเหมือนสะพานที่พาดผ่านไปบนท้องฟ้า เชื่อมระหว่างโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ เทพเจ้าจะใช้สะพานนี้เดินทางไปมาระหว่างสองโลก ขณะที่บางตำนานกล่าวว่าเทพมังกรเป็นผู้สร้างทั้งหมดนี้ภายในคืนเดียว ใครจะเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาต้องนั่ง “แชร์ลิฟท์” ขึ้นไป ไม่น่ากลัวหรือมีอันตรายอะไร ในแต่ละวันคนจะเดินทางขึ้น-ลงกันเป็นประจำ เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิวในอามาโนะฮาชิดาเตะ มีจุดดูวิวได้ 2 จุด ระหว่างทิศใต้และทิศเหนือ ขึ้นอยู่กับว่าเราขึ้นไปทางไหน

ทางขึ้นอามาโนะฮาชิดาเตะ ต้องใช้แชร์ลิฟท์

ส่วนใครที่อยากจะเห็นว่าเป็นตัวมังกรอย่างไร เขามีวิธีดู คือให้ไปยืนประจำจุดหรือตำแหน่งที่กำหนดไว้ที่จุดชมวิว จากนั้นให้โก้งโค้งมองลอดหว่างขา จะเห็นเป็นรูปมังกรกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อขึ้นไปแล้วเห็นใครต่อใครต่างก้มหัวโก้งโค้งมองลอดขากันเป็นแถว ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนหนุ่มคนสาว เป็นภาพแปลกตาไปอีกแบบ

ทั้งหมู่บ้านชาวนา “มิยาม่า” และประตูมังกรสู่สวรรค์ “อามาโนะฮาชิดาเตะ” ถือเป็นแห่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม แต่อาจอยู่ในคนละบรรยากาศ ที่สำคัญทั้งคู่เป็น “อันซีน” ของเจแปน ที่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปไม่มากนัก ไม่แออัดเหมือนแหล่งเที่ยวอื่นๆ ที่ต้องเดินหัวไหล่ชนกัน

แซลมอนเป็นปลาที่อุดมไปด้วยไขมัน มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง การรับประทานแซลมอนในปริมาณมากไม่ได้ทำให้อ้วนหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ เว้นแต่จะทานพร้อมกับครีมและมันบดฉ่ำเนย ที่จริงแล้วกรดไขมันโอเมกา-3 ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างยิ่ง งานวิจัยเปิดเผยว่า ผู้ที่บริโภคแซลมอนสองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลงเกือบครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่รับประทานแซลมอน

และนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจแล้ว กรดไขมันโอเมกา-3 ในแซลมอนยังช่วยลดความดันโลหิตและเพิ่มปริมาณไขมันดี (HDL) ในร่างกายอีกด้วย สรุปได้ว่าการทานบุฟเฟ่ต์แซลมอนสัปดาห์ละสองครั้งนั้นนอกจากจะทำให้หัวใจแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับแซลมอน: รู้หรือไม่ว่าซาชิมิแซลมอนไม่ใช่อาหารดั้งเดิมของญี่ปุ่น? นอร์เวย์เริ่มนำเข้าแซลมอนมายังญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1980 วัฒนธรรมการบริโภคแซลมอนดิบจึงถือกำเนิดขึ้น ทำให้ซาชิมิแซลมอนกลายเป็นอาหารยอดนิยมตั้งแต่นั้นมา

แซลมอนเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในไทย แม้ว่าในประเทศเองจะไม่สามารถผลิตแซลมอนทั้งจากการทำฟาร์มเลี้ยงหรือการจับจากแหล่งน้ำได้ เพราะปลาเนื้อสีส้มชนิดนี้ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุแห่งสยามประเทศได้ ทุกๆ วันแซลมอนปริมาณมหาศาลจะถูกส่งตรงทางเครื่องบินมาจากนอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศผู้บุกเบิกและเชี่ยวชาญด้านการผลิตแซลมอนเป็นอันดับหนึ่งของโลก กระแสน้ำอันเย็นเฉียบและสะอาดบริสุทธิ์ของนอร์เวย์ส่งผลให้แซลมอนมีความอ้วนท้วน เต็มไปด้วยไขมันดีและมีรสชาติอร่อย เพียงแค่ 48 ชั่วโมง แซลมอนที่ว่ายน้ำอยู่ในทะเลก็จะถูกส่งตรงสู่จานอาหารของคุณ กลายเป็นซาชิมิที่สดที่สุดในร้านอาหารญี่ปุ่นของไทย

แซลมอน…กินแล้วฟิน (จริงๆ นะ)

ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าการกินจะสร้างความสุขให้กับเราได้หรือไม่ ทว่าอาหารบางชนิด (เช่นแซลมอน) ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้ผู้บริโภคมีอารมณ์ดี และนอนหลับได้ง่ายขึ้น

แซลมอนมีกรดอมิโนทริปโตเฟนที่ช่วยให้ร่างกายผลิตเซโรโทนินหรือ “สารแห่งความสุข” มีคุณสมบัติทำให้รู้สึกอารมณ์ดี เพราะฉะนั้นแม้เงินจะซื้อความสุขให้คุณไม่ได้ แต่เราก็ใช้เงินซื้อแซลมอนได้! และถ้าการได้ทานซาชิมิจานโปรดยังทำให้คุณมีความสุขไม่ได้ รับรองว่าเซโรโทนินจะช่วยได้แน่นอน จึงไม่น่าแปลกใจว่านอร์เวย์ ประเทศผู้ริเริ่มการผลิตและส่งออกแซลมอนจะเป็นชาติที่ประชาชนมีความสุขเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

แซลมอนนอร์เวย์ดำรงชีวิตโดยสามารถว่ายน้ำภายในกระชังขนาดใหญ่มหึมาได้อย่างอิสระ ส่งผลให้เนื้อปลามีความสด รสชาติอร่อย มีชั้นไขมันแทรกอยู่ในเนื้อปลา สิ่งสำคัญที่สุดคือปลอดภัยต่อการบริโภค

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับแซลมอน: แซลมอนนอร์เวย์อาศัยอยู่ในกระแสน้ำอันเย็นเฉียบและสะอาดบริสุทธิ์ ปลาเหล่านี้อาศัยอยู่ในกระชังขนาดใหญ่มหึมา ส่งผลให้ปลาว่ายน้ำได้อย่างอิสระและมีสุขภาพแข็งแรงไม่ต่างจากปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ แซลมอนถูกเลี้ยงด้วยอาหารปลาซึ่งมีส่วนประกอบจากแหล่งธรรมชาติได้แก่ส่วนประกอบจากพืชคิดเป็นร้อยละ 70 และส่วนประกอบจากท้องทะเลคิดเป็นร้อยละ 30 ปัจจัยสำคัญต่างๆ รวมถึงน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์ ทำให้แซลมอนนอร์เวย์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่ปลอดภัยที่สุดในโลก

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด แซลมอนทานแล้วสวยขึ้นกล้อง

กล่าวกันว่าดัชนีชี้วัดความสุขแห่งยุคโซเชียลคืออินสตาแกรม และแซลมอนก็คือกุญแจสู่การชนะใจทั้งตัวคุณและฟอลโลเวอร์ เพราะปลาสีส้มสดแทรกด้วยชั้นไขมันดีอันแสนอร่อยนี้ นอกจากจะถ่ายรูปออกมาได้สวยสด ดูดีมีราคาเวลาอยู่บนจานอาหารแล้ว ยิ่งทานหน้าและผิวจะยิ่งเปล่งประกาย ดูมีสุขภาพดีจากภายใน พร้อมให้คุณถ่ายช็อตเด็ดลงสตอรี่แบบไม่พึ่งฟิลเตอร์ สารอาหารต่างๆ รวมถึงกรดไขมันโอเมกา-3 ที่อยู่ในแซลมอนช่วยส่งเสริมการมองเห็นและช่วยป้องกันภาวะตาแห้ง นอกจากนี้แซลมอนยังมีวิตามินบีหลายชนิดที่ช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอ และยังมีวิตามินดีที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตและสร้างเซลผิวหนัง ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์ โชคดีที่ไทยเป็นผู้นำเข้าแซลมอนนอร์เวย์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้อาหาร “ซุปเปอร์ฟู้ด” มากประโยชน์นี้มีให้เราได้เลือกทานได้ทั่วไป

ว่าจะไม่แล้วเชียว แต่ยังไงก็อดใจไม่ได้ ที่ว่า “ไม่” คือไม่อยากเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนชวนคุยเรื่อง “ญี่ปุ่น” เพราะว่าญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ไปได้ แค่นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงถึงแดนอาทิตย์อุทัยในพริบตา แต่อย่างว่าแหละ อาจยังมีบางสถานที่หรือบางอย่างที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยไป หรือเคยไปแล้วก็อยากไปอีก ไปกี่ครั้งกี่ครั้งก็ยังไม่เคยหยุดที่อยากจะไป

ครั้งนี้หมุดหมายอยู่ที่ “เกียวโต” และ “โอซาก้า” สองเมืองใหญ่ติดอันดับเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ของญี่ปุ่น รวมถึงด้านการท่องเที่ยวด้วย ถึงจะเป็นเมืองใหญ่ใครๆ ก็ไปมาแล้ว แต่ทั้งเกียวโตและโอซาก้า ก็ยังมีสิ่งใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมอยู่เสมอ ไปมาแต่ละครั้งไม่เคยเหมือนเดิมสักที อย่างการเดินทางครั้งนี้จุดหมายอยู่ที่บรรยากาศนอกเมือง เรียกว่าเป็น “อันซีน” ของเกียวโตและโอซาก้า นั่นเทียว

จากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย การบินไทย สายการบินแห่งชาติ พาบินตรงไปลงที่สนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่น สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินนานาชาติลอยน้ำแห่งแรกของโลกที่ลอยอยู่บนเกาะเทียม ยื่นเข้าไปในทะเลเซนชูของอ่าวโอซาก้า สร้างขึ้นในเดือนกันยายน ปี 1994 (พ.ศ.2537) พอมาถึงปี 2006 หรือ พ.ศ.2549 สนามบินคันไซได้พัฒนาเชื่อมโยงกับ 31 ประเทศ 71 เมือง กลายเป็นสนามบินใหญ่อีกแห่งของญี่ปุ่นที่มีผู้คนใช้เดินทางมากถึง 20 ล้านคน

ที่ชอบมาก คืออาคารผู้โดยสารขาเข้า มีสถานีรถไฟเชื่อมตรงอยู่ที่ชั้น 2 และมีรถประจำทางเข้า-ออกสนามบินจอดให้บริการที่ชั้น 4 การเดินทางเข้า-ออกสนามบินจึงสะดวกสบายอย่างยิ่ง อีกทั้งภายในอาคารผู้โดยสารมีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และร้านนวดอยู่หลายร้าน

ก่อนมาญี่ปุ่นครั้งนี้ได้ความรู้ใหม่จากหนังสือของคนเขียนที่ชื่อ โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ เขียนถึงการเรียกชื่อประเทศญี่ปุ่นที่เคยเป็นข้อสงสัยของใครหลายคน โดยชาติตะวันตกเรียกว่า “เจแปน” คนญี่ปุ่นเรียกตัวเองว่า “นิปปง” ส่วนคนไทยเรียก “ญี่ปุ่น” คุณโฆษิตเขาเฉลยข้อสงสัยนี้ไว้ว่า ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนแทบทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องภาษา ในภาษาจีนโบราณออกเสียงเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า “จิปปง” กลายมาเป็น “นิปปง” ส่วนจีนปัจจุบันซึ่งใช้ภาษาจีนกลางหรือแมนดารินเป็นหลัก ออกเสียงว่า “ยื่อเปิ่น” เสียงคล้ายภาษาไทยที่เรียก “ญี่ปุ่น” ส่วนคนตะวันตกตั้งแต่สมัยนักสำรวจชาวอเมริกัน มาร์ โค โปโล เรียกขานญี่ปุ่นว่า “จิปันงุ” ต่อมาเสียงเรียกเปลี่ยนไปตามหูคนฟังที่พูดต่างภาษา ในที่สุด “จิปันงุ” เลยกลายมาเป็น “เจแปน”

“เกียวโต” เป็นเมืองหลวงเก่า ตั้งอยู่กลางหุบเขาในลุ่มน้ำยะมะชิโระ ทางฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงทัมบะ ด้วยความที่เกียวโตล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้าน และมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1,000 เมตร จึงทำให้เกียวโตมีฤดูร้อนที่อากาศร้อน และฤดูหนาวที่อากาศหนาว

เมื่อเดินทางออกจากเมืองไทยเป็นเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ดังนั้น พอไปถึงเกียวโตจึงยังเช้าอยู่มาก ราวๆ หกหรือเจ็ดโมงเช้า บนถนนแทบไม่มีคน ร้านรวงยังปิดเงียบ จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าหาร้านกาแฟอร่อยๆ นั่งละเลียดให้หายง่วง ความจริงแล้วเช้าตรู่ขนาดนี้หาร้านเข้าไปนั่งยากอยู่สักหน่อย ต้องอาศัยร้านขายของชำแบบเฟรชมาร์ทหรือเซเว่นบ้านเรา เข้าไปเดินเตร่ๆ พอให้ถึงสักเก้าโมงออกมาเดินหาอีกที

โชคดีว่ามีร้านชื่อ “คาเฟ่ ร็อกโค” เป็นร้านเปิดให้บริการอาหารเช้า เสิร์ฟชา กาแฟ ขนมปัง แซนด์วิช ซุปร้อนๆ เป็นร้านเดียวในย่านใกล้สนามบินที่เปิดเช้าขนาดนี้ คนญี่ปุ่นที่ต้องไปทำงานแต่เช้าจึงอาศัยร้านนี้นั่งรับประทานและดื่มกาแฟก่อนไปทำงาน นอกจากอาหารเช้าแล้ว ยังขายเมล็ดกาแฟทั้งแบบคั่วบดเป็นผง และแบบเม็ด กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งร้าน รสชาติกาแฟก็กลมกล่อมอร่อยดีทีเดียว ดื่มกาแฟคนละถ้วยกับแซนด์วิชอีกคนละคู่ ก็ได้เวลาออกตระเวนเกียวโตแล้ว

เกียวโตเป็นเมืองที่สร้างตามหลักฮวงจุ้ยของจีน โดยได้รับอิทธิพลจากเมืองฉางอาน เมืองหลวงของราชวงศ์ถังในสมัยนั้น โดยมีพระราชวังหันหน้าไปทางทิศใต้ ทุกวันนี้ พื้นที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเกียวโตตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระราชวังเก่า แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าฝั่งเหนือของเมือง สิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบ ๆ พระราชวังไม่ได้ตั้งตามหลักฮวงจุ้ยแบบโบราณแล้ว แต่ตัวถนนของเกียวโตยังคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้อยู่ รวมไปถึงความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าจากธรรมชาติ

ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ เพราะฉะนั้น จึงระมัดระวังในเรื่องความสะอาดมาก กลัวเชื้อโรคจะแพร่กระจายในเกาะอย่างรวดเร็ว คนญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเทียบกับเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นไม่ได้สะอาดแบบทุกวันนี้ และยังไม่พัฒนาก้าวหน้า แต่ด้วยแนวความคิด “ต้องร่วมด้วยช่วยกัน” ดูแลรักษาบ้านเมือง ถึงมีวันเช่นนี้เกิดขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความสะอาดเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะเรื่องของการคัดแยกขยะ ถือเป็นอันดับ 1 ของโลกเลยทีเดียว

การจะทิ้งขยะในญี่ปุ่นจะสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องดูให้ดีว่าเป็นถังขยะแบบไหน อย่างขวดน้ำพลาสติกหากจะทิ้งก็ต้องแยกตัวขวด แยกฝา เพราะเป็นพลาสติดคนละชนิดกัน กล่องนม กล่องเบียร์ ก็แยกกันชัดเจน เพราะฉะนั้นตามจุดต่างๆ เช่น จุดพักรถ จะมีถังขยะอย่างน้อย 5 ใบตั้งเรียงกันไว้รอรับขยะจากผู้คน แม้จะยุ่งยาก แต่ก็เป็นเสน่ห์ของญี่ปุ่นที่ทำให้คนอยากมาเที่ยว มาแล้วก็อยากมาอีก มาได้เรื่อยๆ มาได้ทุกฤดูกาล

จุดหมายแรกของวัน คือ “วัดนันเซนจิ” (Nanzenji Temple) เป็นวัดอยู่ชานเมืองในเขตซะเคียว ทางทิศตะวันออกของเมืองเกียวโต ห่างไกลจากเส้นทางของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย และถือเป็นเส้นทางแปลกใหม่ของการท่องเที่ยวเมืองเกียวโตด้วย ที่วัดแห่งนี้ผู้คนจะหลั่งไหลมาดูใบไม้แดงที่มีอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงปลายพฤศจิกายนของทุกปี ใบไม้จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง แต่ที่วัดแห่งนี้จะมีใบไม้สีแดงเป็นหลักปกคลุมไปทั้งวัด ในวัดเองก็มีจุดที่น่าเที่ยวอยู่หลายแห่ง

 

สำหรับตัววัดจริงๆ แล้ว เป็นวัดศาสนาพุทธนิกายเซน ถือเป็นวัดเซนวัดแรกที่สร้างขึ้นโดยพระบัญชาของจักรพรรดิ คาเมะยะมะโฮโอ ที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา โดยแรกเริ่มตั้งใจสร้างเพื่อเป็นที่ปลีกวิเวกของตัวเอง แต่ตอนหลังได้บริจาคที่ดินให้สร้างวัดขึ้น ตัววัดสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1291 อาณาบริเวณวัดกว้างขวางมาก เมื่อเข้าไปภายในจะแบ่งออกเป็นโซนๆ มีเวลาเปิด-ปิดแยกแต่ละโซน ไม่เหมือนกัน และมีทั้งส่วนที่ต้องซื้อบัตรเข้าชมและส่วนที่สามารถเข้าไปดูได้ฟรี

 

 

เมื่อเข้าไปในวัด สิ่งแรกที่เห็นเป็นประตูไม้เก่าแก่มาแต่โบราณ เรียกว่า “Sanmon Gate” สูงถึง 22 เมตร สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิตในสงครามปราสาทโอซาก้า บนชั้นสองของประตูนี้สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเกียวโตได้ 360 องศา มีระเบียงให้เดินได้รอบ แต่ทั้งนี้ต้องเสียเงินค่าเข้าชมคนละ 500 เยน

จุดน่าดูอีกแห่งภายในวัด นอกจากชมใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ก็คือ “สะพานหรือรางส่งน้ำบีวา” สร้างขึ้นในสมัยเมจิเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยการเจาะภูเขาเพื่อขนส่งน้ำจากทะเลสาบบีวาโกะ (Lake Biwako) ซึ่งอยู่เหนือจากวัดขึ้นไป ส่งเข้าไปใช้ในตัวเมืองเกียวโต ทะเลสาบบีวานี้ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ส่วนสะพานส่งน้ำนี้สร้างขึ้นจากอิฐ นับเป็นวิศวกรรมโยธายุคใหม่แห่งแรกของญี่ปุ่น เพราะในสมัยนั้นการเจาะภูเขาเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ใต้สะพานเป็นช่องโค้งรองรับตัวสะพาน ผู้คนนิยมไปถ่ายรูปกัน ภาพที่ออกมาดูสวยงามดีทีเดียว ปัจจุบันยังมีน้ำส่งในท่อส่งน้ำบนรางนี้อยู่ แต่คนในเมืองเกียวโตไม่ได้ใช้น้ำจากรางส่งน้ำแห่งนี้แล้ว

นอกเหนือจากที่กล่าวมา วัดนันเซนจิยังมีชื่อเรื่อง “สวนหินแบบเซน” และ “สวนญี่ปุ่น” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยงามมาก และยังมีความสงบเหมาะแก่การเข้าไปนั่งปฏิบัติธรรม หรือทำสมาธิ สำหรับวัดที่ญี่ปุ่น จะไม่มีความเป็นพุทธพาณิชย์ และของดั้งเดิมเป็นมาอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิม ไม่มีการดัดแปลงแต่งใหม่ แค่มีผู้คนเข้าไปมากขึ้นเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นเวลาไปวัดเขาจะนิยมซื้อเครื่องรางของขลังกลับไปด้วย ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า “โอมาโมริ” ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยต่างๆ หรือเสริมให้การงานดี เจริญก้าวหน้า ดังนั้น ในวัดญี่ปุ่นทุกที่จะมีจุดขายเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่มีพุทธพาณิชย์

ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือในวัดที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีพระอยู่อาศัย เพราะพระในญี่ปุ่นไม่ได้จำพรรษาในวัด และถือว่า “พระ” เป็นอาชีพหนึ่งที่ตื่นเช้า ผูกไทด์ใส่สูทถือกระเป๋าเดินทางมาทำงาน มาถึงวัดก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบฟอร์ม เครื่องแต่งกายชุดเจ้าอาวาสหรือชุดลูกวัด ตามแต่หน้าที่ของตน คนญี่ปุ่นถือว่าพระเป็นแค่ผู้ประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น ไม่ได้เป็นพระที่ต้องบวชในศีลในธรรม กี่เดือนกี่ปี และส่วนใหญ่อาชีพพระ ถ้าพ่อเป็นพระ ลูกก็เป็นพระสืบเชื้อสายกันในตระกูลต่อๆ กันมา เพราะฉะนั้นพระในญี่ปุ่นจะมีไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก ถ้าไปดูตามวัดใหญ่ๆ มีคนมาประกอบพิธีบ่อยๆ เขาจะมีชุดของพระแยกตามสมณะแบ่งกันเป็นสีๆ เช่น สีเหลือง สีเขียว ม่วง ชมพู แต่ละสีจะบ่งบอกสมณะของพระ

“ศาลเจ้า” กับ “วัด” ในญี่ปุ่นจะแตกต่างกัน วัดจะมีพระพุทธรูปอยู่ด้านในให้คนไปกราบไหว้ แต่ถ้าเป็นศาลเจ้าจะไม่มีพระพุทธรูปอยู่เลย ข้างในว่างเปล่า เพราะศาลเจ้าญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเทพเจ้าอยู่ในใจ และอยู่ทั่วไปไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีรูปเคารพ มีแต่จิตวิญญาณ

 

อีกข้อสังเกตหนึ่ง ถ้าเป็นศาลเจ้าจะมี “เสาสีแดง” เรียกว่า “เสาโทริอิ” อยู่ด้านหน้า ศาลเจ้าที่ใหญ่และมีคนไปไหว้กันอย่างเนืองแน่น คือ “ศาลเจ้าเฮอัน” คนญี่ปุ่นเวลาไปศาลเจ้าหรือเข้าไปในศาลเจ้า เมื่อเดินผ่านเสาโทริจะต้องโค้ง 1 ครั้ง แล้วค่อยเดินผ่านเสาเข้าไป เมื่อเดินไปเจอเสาอีกก็ต้องโค้งอีก ทุกครั้งที่เดินผ่านเสาจะต้องโค้งทุกครั้งไป เหมือนคนไทยเดินผ่านวัดแล้วยกมือไหว้พระพุทธรูป ฉันใดก็ฉันนั้น และหากเดินเข้าไปจนถึงด้านในสุดของศาลเจ้า อาคารด้านในอาจจะมีกระจกหรืออะไรก็ตาม คนจะไปยืนยกมือไหว้ แล้วพอตอนออกจากศาลเจ้า เมื่อเดินผ่านเสาโทริอิก็ต้องหันกลับไปโค้งให้อีก 1 ครั้ง

ศาลเจ้าเฮอัน เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นมาเมื่อ 100 กว่าปีก่อน เพื่อฉลองเมืองเกียวโตครบรอบ 1,100 ปี ทั้งนี้ สมัยก่อนการปกครองบ้านเมืองของญี่ปุ่นจะอิงจากจีนเป็นหลักเพราะมองจีนว่าเป็น “พี่ใหญ่” เช่น เมื่อก่อนเมืองหลวงของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ที่เกียวโต แต่จะอยู่ที่เฮอันหรือที่เมืองนารา เมื่อจีนมีการย้ายเมืองหลวงเก่าไปแห่งใหม่ที่เมืองฉางอาน ญี่ปุ่นก็ถือโอกาสย้ายเมืองหลวงจากนารามาสร้างที่เกียวโตเช่นกัน ดังนั้น เกียวโตเลยกลายเป็นเมืองหลวงตั้งแต่นั้นมาจนถึงสมัยเอโดะ เกียวโตเป็นเมืองหลวงถึง 1,500 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวเกียวโตจึงมีวัดเก่าๆ ที่เป็นวัดสมัยโบราณตั้งแต่ที่เริ่มสร้างเมืองใหม่ๆ ศาลเจ้าเองก็มีอายุเป็นพันๆ ปีเช่นกัน

ศาลเจ้าเฮอัน สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงจักรพรรดิคามมุและจักรพรรดิ์โคเมอิ ทั้งสองพระองค์มีความสำคัญอย่างมากกับเมืองเกียวโต เพราะเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของเกียวโต ตัวอาคารของศาลเจ้าหลักๆ มีต้นแบบมาจากพระราชวังสมัยยุคเฮอัน สวนที่อยู่รอบๆศาลเจ้าเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ ให้ความร่มรื่นและสงบ การตกแต่งสวนของที่นี่จะเป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม จุดสำคัญคือช่วงฤดูใบไม้ผลิ ศาลเจ้าเฮอันเป็นจุดชมดอกซากุระที่โด่งดังของเกียวโต

นอกจากเสาโทริอิสีแดงขนาดยักษ์ใหญ่ที่สุดกลางถนนก่อนที่จะถึงศาลเจ้าแล้ว ศาลเจ้าเฮอันยังมีสิ่งน่าสนใจ ได้แก่ ตัวอาคารศาลเจ้าที่จำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลในสมัยเฮอัน เพียงแต่มีขนาดย่อส่วนให้เล็กลงกว่าของจริง

ตั้งแต่วัดนันเซนจิเรื่อยมาจนถึงศาลเจ้าเฮอัน เป็นเสมือนหนังตัวอย่างที่ฉายให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์แห่งญี่ปุ่น เพราะแท้จริงแล้วยังมีที่อื่นๆ อีกมากมาย ให้ค้นหาและสัมผัส เพื่อให้เข้าถึงลมหายใจแห่งแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้

หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้างว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งหนึ่งในสถานที่ชาวญี่ปุ่นมักใช้เป็นจุดดับชีวิตก็คือ บริเวณสถานีรถไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกระโดดเข้าหารถไฟที่กำลังวิ่งเข้ามานั่นเอง

ประเทศญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหานี้ หนึ่งในนั้นคือการที่ติดตั้งหลอดไฟ LED แสงสีฟ้าไว้ที่ท้ายชานชาลาในสถานี เพื่อกระตุ้นให้ผู้โดยสารจิตใจสงบขึ้น รู้สึกผ่อนคลาย และทำให้พวกเขามีความสุขขึ้น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ติดตามสถานีรถไฟ 71 สถานีที่มีการติดตั้งไฟ LED สีน้ำเงิน ระหว่างปี 2000-2010 และพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายลดลง 84%

ขณะที่กรุงโตเกียวกำลังสร้างที่กั้นชานชาลาให้ครบ 243 สถานีภายในปี 2023 แต่ที่กั้นนั้นก็มีค่าติดตั้งสูงมาก และบางสถานียังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่ดี

โดยญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศในกลุ่ม OECD ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด คือมีอัตราการฆ่าตัวตาย 17.6 รายต่อประชากร 100,000 ราย และมีการฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง

หลายประเทศลองหันมาใช้วิธีเดียวกันกับญี่ปุ่น เช่น หลายสถานีที่อังกฤษตอนนี้ก็เริ่มทดลองใช้แสงสีฟ้าแล้ว ซึ่งมีรายงานว่า ผลจากการใช้แสงสีฟ้า ทำให้มีเหตุอาชญากรรมลดลงด้วย

อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นนั้นโด่งดังในเรื่องของความเร็ว แต่นอกจากเรื่องของความเร็วแล้ว รถไฟญี่ปุ่นยังพิเศษในเรื่องของความลักชัวรี่ ด้วยขบวนพิเศษที่ทำให้คุณลืมภาพรถไฟญี่ปุ่นแบบเดิมๆ ออกไป เมื่อได้สัมผัสกับรถไฟระดับเจ็ดดาวสุดหรูหรา ที่มีความสะดวกทั้งพื้นที่การใช้สอยที่เป็นส่วนตัว เตียงนอนสุดพรีเมี่ยม และอาหารระดับโรงแรม

Credit: Kyushu Railway Company

รถไฟขบวนดังกล่าวมีชื่อว่า “Seven Stars” แล่นผ่านบ้านเมืองและรอบเกาะคิวชู โดยเริ่มให้บริการเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 2013 ซึ่งขณะที่ขึ้นรถไฟขบวนนี้จากสถานีที่แสนวุ่นวายอย่างสถานีฮากาตะ ในเมืองฟุกุโอกะ เรียกได้ว่าเพียงแค่ก้าวเท้าขึ้นไป ก็เหมือนได้สัมผัสโลกอีกใบแล้ว ด้วยการตกแต่งภายในด้วยไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ดูคลาสสิก กระตุ้นให้รู้สึกเหมือนย้อนอดีตไปอีกครั้ง

Credit: Kyushu Railway Company

อิจิ มิทูกะ (Eiji Mitooka) นักออกแบบอุตสาหกรรมและออกแบบขบวนรถไฟสุดหรู “Seven Stars” ชาวญี่ปุ่นวัย 70 ปี กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำขึ้นมาเฉพาะเพื่อรถไฟขบวนนี้เท่านั้น ตั้งแต่ที่นั่งบนรถไฟ, โคมไฟ หลอดไฟต่างๆ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ ซึ่งธีมคือการผสมผสานสิ่งต่างๆ ระหว่างตะวันออกและตะวันตกไว้ด้วยกัน เช่น ภาพ mandalas ซึ่งเป็นภาพที่ได้แรงบันดาลจากฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก มาประดับตกแต่งเพื่อให้เกิดเป็นสิ่งที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

Credit: Kyushu Railway Company

ส่วนงานจิตรกรรมฝาผนังสุดประณีต ไปจนถึงภาพวาดขนาดจิ๋วของมิทูกะ จะถูกแขวนไว้ตามทางเดิน จนไม่อยากจะมองข้ามรายละเอียดใดๆ ไป

Credit: Kyushu Railway Company

ขณะที่ในบริเวณเลานจ์ จะมีการใช้ “คูมิโกะ” หรืองานไม้โบราณแบบญี่ปุ่นมาติดตั้งเป็นช่องหน้าต่าง เมื่อมีแสงลอดผ่านเข้ามาก็จะแสดงให้เห็นถึงชิ้นงานที่แสนประณีตและลวดลายที่สลับซับซ้อน นอกจากนี้ ยังเห็นลายดาวสีทองได้จากฝ้าเพดาน, แกะสลักไว้ที่โคมไฟตั้งโต๊ะ และทาลงบนหน้าต่างกระจกสี

Credit: Kyushu Railway Company

ทั้งนี้ เมื่อแรกที่เข้ามาออกแบบรถไฟขบวนนี้นั้น มิทูกะบอกว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถไฟโอเรียนท์เอกซ์เพรส (Orient Express) ซึ่งเป็นรถไฟที่ดำเนินการเดินรถโดยบริษัท Compagnie Internationale des Wagons-Lits สัญชาติอังกฤษ โดยเปิดบริการเดินรถในเส้นทางจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถึงกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อ 134 ปีมาแล้ว แต่เขาต้องการจะสร้างบางสิ่งที่ทำให้นักเดินทางชาวญี่ปุ่นวัยเก๋า ได้รู้สึกหวนรำลึกไปถึงวันวาน

Credit: Kyushu Railway Company

“ผมคิดว่า เป็นเวลานานมาแล้วที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการเดินทางที่แสนยิ่งใหญ่นั้นคือการได้ไปยุโรปหรืออเมริกา เพื่อหาประสบการณ์ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง, ได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดของที่นั่น หรือได้กินอาหารที่ดีที่สุดของที่นั่น” มิทูกะกล่าว

Credit: Kyushu Railway Company

“แต่สำหรับพวกเราในยุค 50s 60s และ 70s การเดินทางที่สะดวกสบายและผ่อนคลายนั้น คือการไปในที่ที่มีการพูดภาษาญี่ปุ่น, ที่ที่เราได้กินอาหารญี่ปุ่น เหมือนกับว่าเราได้พบญี่ปุ่นอีกครั้งนั่นเอง” มิทูกะกล่าวทิ้งท้าย