เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมและมักมาพร้อมกับเบเกอรี่คือ กาแฟและชา มีข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับคุณประโยชน์และโทษของเครื่องดื่ม 2 ชนิดนี้ ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะสรุปว่าสิ่งใดมีประโยชน์มากกว่ากัน เพราะมีงานวิจัยที่ออกมาพูดในแง่มุมตรงกันข้ามนี้อย่างมากมาย และขณะเดียวกันการดื่มเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้ก็มีรายละเอียดอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการที่จะทําให้ชาและกาแฟ เป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
ก่อนที่จะแยกชา-กาแฟออกจากกันเพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่จะพบในแต่ละอย่าง ขอพูดถึงภาพรวมของชา-กาแฟที่มีลักษณะร่วมกันเสียก่อน นั่นคือการมีกาเฟอีนผสมอยู่ในตัวมันเอง
“กาเฟอีน (Caffeine)” เป็นยากระตุ้นประสาทชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเสพติดได้ ซึ่งมีผลทําให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ทําให้กระเพาะอาหารผลิตกรดออกมามากกว่าปกติ และทําลายโครโมโซมในหนูที่ใช้ทดลอง ทําให้ลูกหนูที่คลอดออกมาพิการไม่สมประกอบ โดยในปี ค.ศ.1980 สํานักงานอาหารและยา (F.D.A.) ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเตือนให้สตรีที่ตั้งครรภ์ลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
แต่ในขณะเดียวกันแพทย์ได้ใช้กาเฟอีนกับเด็กทารกที่คลอดก่อนกําหนดและหยุดหายใจแล้วกว่า 20 วินาที เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฟื้น แต่ได้ผลไม่แน่นอน และมีการใช้ในห้องทดลองเกี่ยวกับการกระตุ้นระบบประสาท รวมถึงใช้ผสมกับยาเออร์กอท (Ergot) ในการรักษาไมเกรนด้วย
สถาบันวิจัยหลายแห่งพบว่าประโยชน์ของชาและกาแฟมีเท่าๆ กัน โดยกาแฟช่วยปรับให้ระดับอินซูลินคงที่ และลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคพาร์กินสัน และมะเร็งที่ลำไส้ได้
กาเฟอีนมีประสิทธิภาพทําให้เส้นเลือดที่ขยายออกหดตัวกลับสู่ภาวะปกติ บรรดายาแก้ปวดทั้งหลายจึงมีส่วนผสมของกาเฟอีนเพื่อช่วยลดอาการปวดไมเกรนหรือปวดศีรษะทั่วไป ขณะเดียวกันก็ทําให้เสพติด แม้จะไม่หนักหนาเหมือนยาเสพติดชนิดอื่นๆ แต่เมื่อไรที่รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือปวดหัว คนจะหันไปพึ่งกาเฟอีนเสมอ และมักจะพึ่งพาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ ใจสั่น สมาธิสั้น คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อตึงและปวด และอาจทําให้ปวดไมเกรนได้
ดังนั้น ยังคงต้องสรุปเหมือนเดิมว่ากาเฟอีนนั้นเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้าย ขึ้นอยู่กับว่ามีปริมาณแค่ไหน และร่างกายของผู้ได้รับกาเฟอีนนั้นมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนอย่างไร
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/coffee-791045_1280.jpg)
กาแฟ พระเอกหรือผู้ร้าย
มีคนจํานวนมากรักเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีความสุขมากเพียงได้กลิ่นหอมของมัน มีผลการศึกษาเกี่ยวกับกาแฟมากมาย เช่น นักวิจัยจากโรงพยาบาลเฮนรี่ ดูแนนท์ ในเอเธนส์ ประเทศกรีซ เชื่อว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1 แก้ว สามารถทําให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจะทําให้ระดับกาเฟอีนในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น ผนังหลอดเลือดหนาขึ้นและความดันโลหิตสูง
ทว่าสําหรับแพทย์โรคหัวใจของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริก สวิตเซอร์แลนด์ กลับระบุว่ากาแฟทําให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเฉพาะผู้ที่นานๆ ดื่มครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่พวกคอกาแฟที่ซดกันวันละ 2-3 แก้ว ปลอดภัยหายห่วงจากเรื่องนี้
ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งทําการวิจัยในปี 2008 ได้สรุปว่า ไม่พบความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างการบริโภคกาแฟและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุการตายจากโรคมะเร็ง หรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แม้กระทั่งคนที่ดื่มถึง 6 ถ้วยกาแฟต่อวัน ก็ไม่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยได้ทําการศึกษาในอาสาสมัคร 130,000 คน
นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การดื่มกาแฟไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพที่ร้ายแรงอันตราย ถือเป็นอีกข่าวดีล่าสุดจากประโยชน์ของการดื่มกาแฟ (แต่ต้องเป็นกาแฟที่ไม่ได้สกัดกาเฟอีนออกเท่านั้น) ทั้งนี้ ยังพบว่าผู้ดื่มกาแฟเป็นประจํา ทําให้ความเสี่ยงจากการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (ร่างกายต่อต้านอินซูลิน) ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม โดยยิ่งดื่มมากความเสี่ยงยิ่งต่ำมากเท่านั้น
นอกจากนี้ แม้กาแฟจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่การศึกษาล่าสุดนี้ไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ กลับพบว่าบุคคลที่มีสุขภาพดีวัย 65 ปีขึ้นไป ซึ่งดื่มกาแฟ (ชนิดมีกาเฟอีน) วันละ 4 แก้ว หรือมากกว่านั้นทุกวัน มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มถึง 53%
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทําไมกาแฟจึงช่วยลดความเสี่ยงโรคดังกล่าว แต่ผู้วิจัยเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะในกาแฟมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยพบว่ากาแฟมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับที่องุ่นมี และยังมีมากกว่าบลูเบอร์รี่เสียอีก
อีกทั้งเชื่อว่าแมกนีเซียมในกาแฟช่วยให้เซลล์ในร่างกายอ่อนไหวต่ออินซูลิน (จึงช่วยป้องกันเบาหวาน) นอกจากนี้ กาแฟยังเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคพาร์กินสัน, นิ่ว, น้ำดี และมะเร็งตับอีกด้วย
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/coffee-2560260_1280.jpg)
ผู้วิจัยบอกว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วไม่เป็นอันตราย แต่กลับเป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยไม่แนะนําให้ดื่มกาแฟเพื่อป้องกันโรค และหากดื่มมากเกินไปจะก่อภาวะไม่สบายได้ เช่น อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ส่วนผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิมก็ไม่ควรดื่ม รวมถึงคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรก็ควรงดเว้นการดื่ม เพราะกาเฟอีนจะไปผสมอยู่ในน้ำนมของมารดา
นอกจากนี้ กาเฟอีนยังมีผลต่อฮอร์โมนอะดรีนาลินในผู้ที่เล่นกีฬา ขณะเดียวกันก็ทําให้ร่างกายตื่นตัวและมีพลัง ดังนั้น จึงแนะนําให้ดื่มกาแฟหนึ่งแก้วใหญ่ (กาเฟอีน 100 มิลลิกรัม) ก่อนออกกําลังประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อช่วยทําให้กระชุ่มกระชวยและไม่ทําให้ใจสั่น
ความเสี่ยงจากกาแฟ
ปัญหาจากการดื่มกาแฟคือการได้รับกาเฟอีนเกินกว่าที่ร่างกายควรได้รับ และการปรุงกาแฟด้วยส่วนผสมที่มีไขมันสูง
การดื่มกาแฟชนิดอินสแตนต์ (สําเร็จรูป) ไม่เกิน 3 ถ้วย/วัน คือปริมาณที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจากกาเฟอีน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อกาเฟอีนในร่างกายของแต่ละคนด้วย ใครบางคนอาจใจสั่นได้แม้ดื่มเพียงแก้วเดียว ดังนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ดื่มต้องรู้จักประมาณตนเองด้วย
การดื่มกาแฟขณะที่ท้องว่าง อาจทําให้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อกาเฟอีนรุนแรงขึ้น และในขณะเดียวกันอันตรายจากการระคายเคืองในกระเพาะอาหารก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่า หากไม่ต้องการเสี่ยงต่อโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือใจสั่นก็ไม่ควรดื่ม
นอกจากนี้ การดื่มกาแฟโดยหวังให้รู้สึกสดชื่น หรือนอนไม่หลับในขณะเหนื่อยล้า เพื่อที่จะทํางานใช้แรงงานหรือสมองต่อนั้นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง เพราะนั่นเป็นการทําให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสะสมหรือพลังงานสํารองมาใช้ และจะทําให้ร่างกายเกิดความอ่อนเพลีย ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงได้
เพราะความจริงแล้วกาเฟอีนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความรู้สึกเหนื่อยและเพลียของร่างกายเลย แต่เป็นตัวกระตุ้นสมองให้เราตื่น ความอ่อนเพลียจึงยังคงอยู่ การลุกขึ้นมาทํางานจึงเหมือนการพยายามดันทุรังอยู่นั่นเอง
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/latte-3522088_1280.jpg)
ความแตกต่างของกาแฟในแต่ละแบบ
ความแตกต่างที่จะพูดถึงนี้ จะเน้นไปที่เรื่องพลังงานและไขมันของกาแฟแต่ละชนิด เพื่อให้เห็นความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นที่จะทําให้เกิดโรคอ้วน เพราะหากดูเฉพาะกาแฟเท่านั้น จะเห็นว่ากาแฟดําไม่ใส่น้ำตาลมีพลังงานเพียง 2-3 แคลอรี่ จึงไม่มีความเสี่ยงที่ต้องพูดถึง
สมมุติว่าใครคนหนึ่งชงกาแฟ โดยใส่น้ำตาล 2 ช้อนชา และครีมเทียมผง 1 ช้อนโต๊ะ กาแฟถ้วยนั้นก็จะให้พลังงานเท่ากับ 30+30 = 60 กิโลแคลอรี่ ซึ่งนับว่าไม่มากมายอะไร แต่ถ้าเขาเปลี่ยนมากินกาแฟเย็น ที่ต้องใช้น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ (6 ช้อนชา) ใส่ครีม 2 ช้อนโต๊ะ เท่ากับว่าเขาได้รับพลังงาน 90+100 = 190 กิโลแคลอรี่ ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ปัญหาอยู่ที่ กาแฟเย็นที่เราดื่มกันทั่วไปตามปกติแล้วใส่น้ำตาลและครีมมากกว่าตัวอย่างที่ยกมานี้เสียอีก และบางชนิดยังมีการเพิ่มวิปปิ้งครีมที่ด้านบนอีกด้วย ทีนี้มาดูกันว่าพลังงานในกาแฟแต่ละชนิดที่ขายกันทั่วไปนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
– กาแฟเฟรปปูชิโน แก้วขนาด 12 ออนซ์ ให้พลังงาน 181 กิโลแคลอรี่
– เฟรปปูชิโนขนาด 20 ออนซ์ ให้พลังงาน 346 กิโลแคลอรี่
– ลาเต้ 16 ออนซ์ ให้พลังงาน 274 กิโลแคลอรี่
– ลาเต้ 20 ออนซ์ ให้พลังงาน 348 กิโลแคลอรี่
– มอคค่า 16 ออนซ์ ไม่ใส่วิปปิ้งครีม ให้พลังงาน 239 กิโลแคลอรี่
– มอคค่า 20 ออนซ์ ใส่วิปปิ้งครีม ให้พลังงาน 508 กิโลแคลอรี่ โดยในกาแฟชนิดนี้มีไขมันประมาณ 27 กรัม
นี่เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งที่ทําให้เห็นว่า พลังงานที่สูงเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทําให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ไม่ยากเลย
ชา
ในกระแสรักสุขภาพ มักมีคําแนะนําให้ดื่มชาแทนการดื่มกาแฟ นัยว่าชาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าและมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ ซึ่งนอกจากกาเฟอีนแล้ว ในชายังมีสารที่สําคัญอื่นๆ อีก เช่น แทนนิน คาเทชิน เป็นต้น
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/chinese-tea-2644251_1280.jpg)
มีการศึกษาพบว่า “แทนนิน (Tannin)” เป็นสารที่มีรสฝาด พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้น หากต้องการดื่มชาให้ได้รสชาติที่ดีนั้น ไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ในกานานเกินไป เพราะสารแทนนินจะออกมามาก ทําให้น้ำชามีรสขม แต่ถ้าหากต้องการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานานๆ เพื่อให้มีปริมาณสารแทนนินออกมามาก นอกจากนั้น สารแทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด ทำให้ชาเขียวเหมาะสําหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย แต่ขณะเดียวกันสารแทนนินในชาจะลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งหากดื่มชาหลังอาหารเสมออาจทําให้เกิดภาวะโลหิตจางได้
ขณะที่สาร “คาเทชิน (Catechin)” ในชานั้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าอนุมูลอิสระนี้เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด การใช้สารสกัดจากชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายแสงและเคมีบําบัดจะทําให้เซลล์ปกติถูกทําลายน้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับ LDL คอเลสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก
มีรายงานจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยโรคมะเร็งในบริติชโคลัมเบียว่าชาสามารถยับยั้งการสร้าง “ไนโตรซามีน (Nitrosamines)” ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ซึ่งสารไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจากสารพวกดินประสิวในอาหารทําปฏิกิริยากับสารจําพวกโปรตีนที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกลายเป็นไนโตรซามีน ซึ่งก่อมะเร็งได้หลายชนิด
ดังนั้น ถ้านิยมบริโภคอาหารจําพวกไขมัน แอลกอฮอล์ เนื้อสัตว์ และไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกากสูงก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะจะช่วยลดไขมันหรือสารพิษที่อาจปะปน ในอาหารได้ ทว่าการดื่มชาร้อนที่มีอุณหภูมิเกินกว่า 70 องศาเซลเซียสเป็นประจํา ก็ทําให้เกิดโรคมะเร็งในลําคอ (throat cancer) ได้เช่นเดียวกัน
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/green-tea-2356764_1280.jpg)
ศาสตราจารย์ Reza Malekzadeh แห่งมหาวิทยาลัย Tehran University of Medical Sciences และผู้ร่วมทีม ได้ทําการศึกษาอุปนิสัยการดื่มชาของคน 300 คนที่เป็นมะเร็งที่หลอดอาหาร ผู้หญิงและผู้ชายอีก 571 คนที่แข็งแรง จากในละแวกเดียวกันในจังหวัด Golestan ทางตอนเหนือของประเทศอิหร่าน ซึ่งในภูมิภาคนั้นเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการเป็นมะเร็งในลําคอสูงที่สุดในโลก อัตราการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ต่ำ และเกือบทั้งหมดของอาสาสมัครดื่มชาดำเป็นประจำ ทั้งนี้ ดื่มโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 ลิตร/วัน
นักวิจัยกล่าวว่า คนที่ดื่มชาหลังจากเทเป็นเวลาต่ำกว่า 2 นาทีเป็นประจํามีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งสูงกว่าคนที่รอประมาณ 4 นาทีหรือมากกว่านั้นถึง 5 เท่า ดังนั้น ให้ดีที่สุดควรรอให้ชาลดความร้อนลงบ้างจะเกิดความเสี่ยงน้อยกว่า
การวิจัยจากประเทศอังกฤษได้รายงานว่าคนทั่วไปจะชอบให้ชามีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 56 ถึง 60 องศา โดยนักวิจัยยังกล่าวอีกว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าชาร้อนอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้อย่างไร แต่ความคิดเห็นหนึ่งก็คือ ความร้อนทําให้ผนังที่บุด้านในของลําคอบาดเจ็บและเป็นผลให้เกิดมะเร็งได้
มะเร็งที่หลอดอาหารได้คร่าชีวิตคนมากกว่า 500,000 คนทั่วโลกต่อปี โดยส่วนใหญ่พบมากในคนแถบเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นเนื้องอกที่อันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากมีอัตราการอยู่รอดใน 5 ปี เพียง 12 ถึง 31%
กาเฟอีนในชาไม่อาจมองข้าม
“ใบชา” เป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สําคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าในชาจะมีกาเฟอีนอยู่ครึ่งหนึ่งของกาแฟในปริมาณเดียวกัน โดยชนิดของใบชาและกระบวนวิธีการเตรียมเป็นปัจจัยสําคัญในการกําหนดปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่น ในชาดําและชาอูหลงจะมีปริมาณกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่น ในชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่าชาดําบางชนิด
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/traditional-756493_1280.jpg)
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคของไทย ได้แถลงว่า ชาเขียวพร้อมดื่มที่มีจําหน่ายอยู่ทั่วไปในประเทศเราที่มีปริมาตรประมาณ 500-600 มิลลิลิตร จะพบสารกาเฟอีนเกินกว่ามาตรฐานกําหนดที่ 50 มิลลิกรัมทั้งสิ้น บางตราสินค้ามีสูงถึง 103 มิลลิกรัม/ขวด ในขณะที่ร่างกายเราสามารถรับสารกาเฟอีนได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/วันเท่านั้น นอกจากนี้ ยังแถมพ่วงด้วยปริมาณน้ำตาลสูงถึง 15.6 ช้อนชา/500 มิลลิลิตร ซึ่งถือเป็นการบริโภคน้ำตาลเกินข้อกําหนดขององค์การอนามัยโลก ที่กําหนดให้คนเราควรบริโภคเพียง 10 ช้อนชา/วัน และถ้าเทียบกับโครงการรณรงค์ของไทย “เด็กไทยไม่กินหวาน” ซึ่งกําหนดเพียง 6 ช้อนชาต่อวัน ก็จะเห็นได้ว่าเราบริโภคน้ำตาลเกินมาตรฐานไปมากมายเพียงใด
ในการชงชานั้น พบว่าใน 3 นาทีแรกจะได้กาเฟอีนออกมาในปริมาณสูง โดยทั่วไปในชา 1 ถ้วย จะมีกาเฟอีนอยู่ประมาณ 10-50 มิลลิกรัม และในน้ำชายังมีสารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับกาเฟอีนชนิดอื่นๆ ที่ช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นให้ไตขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น และยังช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย แต่มีงานศึกษาวิจัยบางชิ้นพบว่า น้ำชาที่ได้จากชาเขียวหรือชาดําที่สกัดเอาสารกาเฟอีนออกไป กลับไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันการก่อมะเร็งหรือเนื้องอก ข้อมูลดังกล่าวทําให้เกิดความสนใจขึ้นว่า บางทีกาเฟอีนในใบชาอาจจะเป็นสารออกฤทธิ์ตัวหนึ่งที่มีผลทางการแพทย์ก็เป็นได้
ดื่มอย่างไรไม่ให้อันตราย
ความพอดียังคงเป็นสูตรสําเร็จในการลดความเสี่ยงและสร้างคุณค่าที่เหมาะสมกับอาหารทุกชนิด ซึ่งอาจจะยากที่จะหาความพอดีได้ เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน ทั้งทางกายภาพและพฤติกรรม
แต่หากจะพูดโดยอ้างอิงกับคนส่วนใหญ่โดยอาศัยข้อมูลมาประกอบก็ต้องสรุปว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว โดยไม่ใส่น้ำตาลและครีมมากเกินไปไม่ทําให้เกิดความเสี่ยงทั้งจากกาเฟอีน และจากพลังงานและไขมันที่จะได้รับ
ขณะที่การดื่มชานั้นมีเงื่อนไขไม่แตกต่างกัน นั่นหมายถึงควรเลือกดื่มชาธรรมชาติ ไม่เติมน้ำตาลมาก และไม่ดื่มมากเกินไปหรือที่เรียกว่าดื่มตลอดเวลา ซึ่งหากทําได้เช่นนี้ก็นับว่าชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ไม่สร้างความเสี่ยงต่อร่างกายแล้ว
กาแฟนมสด
ส่วนผสม
กาแฟ / นมสดพร่องมันเนย หรือนมแพะ 1 ถ้วยตวง
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/11/กาแฟนมสด.jpg)
วิธีทำ
- ชงกาแฟโดยใส่น้ำร้อนให้น้อยกว่าเดิมประมาณครึ่งหนึ่ง
- อุ่นนมสดให้ร้อนแล้วผสมลงในกาแฟ ใส่น้ำตาลเพียงเล็กน้อย หรือไม่ต้องใส่ก็ได้ เพราะนมสดก็มีรสหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว
แทนการเติมน้ำตาลและครีมลงไปในกาแฟ ลองเปลี่ยนมาเติมนมสดชนิดพร่องมันเนยลงไป จะทําให้ได้รับสารอาหารจากนมสดเพิ่มขึ้น แม้ว่าการดูดซึมแคลเซียมจะไม่ได้มากเท่ากับการกินนมเปล่าๆ แต่ในนมมีสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ ฯลฯ
ข้อมูลจาก : หนังสืออาหารเสี่ยงเลี่ยงได้ สำนักพิมพ์มติชน