แกะรอยความสำเร็จ “ข้าวตราไก่แจ้” ในงาน ThaiFex Anuga Asia 2024 ยืนหนึ่ง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ที่ไหนๆ ทั่วโลก ก็เลือกใช้ข้าวตราไก่แจ้”

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ ThaiFex Anuga Asia 2024 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ และครบวงจรที่สุดในเอเชีย โดยในปีนี้ ข้าวตราไก่แจ้ ยังคงท็อปฟอร์มสมกับเป็น “แบรนด์ข้าวไทย” ที่ครองใจคนไทยมากว่า 40 ปี จัดเต็มด้วยการยกกองทัพสินค้าคุณภาพกว่า 400 รายการ ที่วางจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ มาโชว์เคสในงาน พร้อมกิจกรรมที่อัดแน่นเพื่อสร้างสีสันให้กับบูทจนทำให้บรรยากาศในบููทเป็นไปด้วยความคึกคัก มีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหมุนเวียนกันเข้ามาสอบถามข้อมูลและให้ความสนใจกับสินค้าของแบรนด์อย่างล้นหลาม 

นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารตราไก่แจ้และข้าวสารตรากระเช้า รวมถึงบริษัท ทีอาร์ ไทยฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตขนมตราแม่นภา กล่าวถึงความพิเศษของบูทกิจกรรมในปีนี้ ซึ่งมาในคอนเซ็ปต์ “ที่ไหนๆ ทั่วโลก ก็เลือกใช้ข้าวตราไก่แจ้” ว่า ไฮไลต์ของบูทในปีนี้ ยังคงโดดเด่นไปด้วยกองทัพสินค้าคุณภาพ ที่ไม่ได้มีเพียงสินค้าประเภทข้าว ตั้งแต่ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว และข้าวญี่ปุ่น หลากหลายสายพันธุ์ที่มีมากกว่า 200 รายการ แต่ยังมีสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น ปลากระป๋อง ขนมประเภทสแน็ก เส้นหมี่ และข้าวต้มมัด รวมแล้วกว่า 400 รายการ จนเรียกได้ว่า มาบูทเดียวครบ มีไลน์สินค้าที่ชวนให้ว้าวตั้งแต่ไอเดียไปจนถึงรสชาติ

            “บูทในปีนี้ เราตั้งใจออกแบบโซนสำหรับโชว์แพ็กเกจจิงใหม่ของแบรนด์ข้าวตราไก่แจ้ ที่เราใช้ส่งออกไปตีตลาดต่างประเทศ และวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด เพราะจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้เราเห็นอินไซด์ของลูกค้า และพบว่าในตลาดที่ต่างกัน ลูกค้าย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน แม้แต่การออกแบบแพ็กเกจจิงก็มีผล ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะปรับดีไซน์ของแพ็กเกจจิงให้มีความทันสมัย ดูสดใส เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับสินค้า”

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้ร่วมสนุก โดยเฉพาะไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ อย่าง กิจกรรม Cooking Show ที่มาพร้อมแนวคิด “ข้าวดีดี กินคู่กับอะไรก็อร่อย” โดยมีเชฟจากข้าวตราไก่แจ้ มาร่วมรังสรรค์ 3 เมนูสุดพิเศษ ได้แก่ ข้าวราดพะแนง ทานคู่กับข้าวหอมมะลิคัดพิเศษตราไก่แจ้, ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก คือ เส้นก๋วยเตี๋ยวตราไก่แจ้ และ Hon Maguro Sushi & Tobiko ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก คือ ข้าวญี่ปุ่น ตราไก่แจ้ 

            สำหรับความคาดหวังในการมาร่วมงาน ThaiFex Anuga Asia 2024 ซึ่งในปีนี้คาดว่า จะมีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 80,000 คนทั่วโลก และมีตัวเลขประมาณการมูลค่าการสั่งซื้อสินค้าภายในงานนี้ อาจสูงถึง 100,000 ล้านบาท ธีรินทร์บอกว่า งานนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะนำเสนอสินค้าของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำมาโชว์ในงานค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงความมั่งมั่นของบริษัทที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด โดยสินค้าทุกอย่างล้วนมาจากการตั้งคำถามว่าลูกค้าต้องการอะไร โดยในช่วงแรก สินค้าส่วนใหญ่จะตั้งต้นจากการใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบหลัก แต่หลังๆ มานี้ เริ่มมีการขยายและแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้มาจากข้าว เช่นซอสปรุงรส ปลากระป๋อง เพื่อสร้างความหลากหลายให้พอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ให้ได้มากที่สุด

ผู้บริหารข้าวตราไก่แจ้ นำทีมขนสินค้าร่วมงาน THAIFEX 2024

ในส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจากนี้ ธีรินทร์ย้ำว่าหัวใจสำคัญ คือ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง เพื่อให้ลูกค้าไว้วางใจในคุณภาพ

            “ผมเป็นเจน 2 ที่เข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณพ่อเริ่มต้นธุรกิจจากโรงงานเล็กๆ ขายข้าวให้ 3 อำเภอในจังหวัดชลบุรี รายได้ปีละประมาณหลักสิบล้าน แต่ตอนนี้ โรงงานของเราใหญ่ขึ้น จนมีกำลังการผลิต 3 แสนตันต่อปี ปัจจุบันใช้กำลังผลิตสัดส่วน 30-40% โดยมีทั้งที่ผลิตภายใต้แบรนด์ไก่แจ้และกระเช้ารวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ด้วย รายได้ปีล่าสุด 2566 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้ จะทำรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท”            

สิ่งที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์ คือ การรักษาคุณภาพของข้าวให้คงที่ เพราะ แม้ข้าวจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็จริง แต่ด้วยคู่แข่งในตลาดที่มีอยู่เยอะ บวกกับความท้าทายในเรื่องสภาพอากาศ ที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพข้าว ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่า ข้าวตราไก่แจ้และตรากระเช้าทุกถุงมีคุณภาพที่ดี ขาวสะอาด ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ ทางแบรนด์จึงให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตเป็นอย่างมาก​ มีการนำเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพมาใช้

“ที่ขาดไม่ได้ คือ ความเอาใจใส่ในการคัดเลือกชนิดข้าว มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนในการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่ว่าลูกค้ามาซื้อข้าวตราไก่แจ้หรือกระเช้าเมื่อไหร่คุณภาพยังเหมือนเดิม”

            ส่วนในเรื่องราคา ธีรินทร์ บอกว่า ด้วยการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างเสรี การปรับราคาข้าวจึงเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างในช่วงที่ราคาข้าวมีความผันผวน ต้องมีการบริหารจัดการสต๊อกและราคาให้เหมาะสม โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการปรับราคาข้าวถุง 5-10% หรือ อย่างบางรายการแทนที่จะขึ้นราคาก็ใช้วิธีลดการทำโปรโมชันแทน เพราะหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ คือ เรื่องของราคา ที่สำคัญไม่แพ้คุณภาพ

            “บางครั้งคุณภาพเป็นสิ่งที่พูดยาก แต่คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คือ ผู้บริโภค จะเป็นคนบอกเราเอง ด้วยการกลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งคุณภาพนี่แหละ คือ สิ่ิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืน”

นอกจากเรื่องคุณภาพจะมาเป็นอันดับหนึ่ง อีกหนึ่งจุดแข็งที่ธีรินทร์ มองว่าสำคัญไม่แพ้กัน  คือ การบริการ ปัจจุบันทางบริษัทมีบริการที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า อย่างข้าวญี่ปุ่น ซึ่งเน้นจำหน่ายในกลุ่มร้านอาหารข้าวญี่ปุ่นทั่วประเทศ และมีบริการฟู้ดเซอร์วิสกระจายไปตามร้านอาหาร โรงแรม หรือครัวในโรงงานต่างๆ ด้วย

            ในส่วนของแผนการตีตลาดต่างประเทศ ธีรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักยังอยู่ในประเทศ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากการส่งสินค้าไปจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ประมาณ 40 ประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน สำหรับตลาดในประเทศ หลักๆ ยังเป็นกลุ่ม Traditional Trade ที่เป็นยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว ประมาณ 80-90% เพราะเป็นช่องทางที่บริษัทสร้างชื่อเสียงมา ส่วนในฝั่ง Moderntrade ประมาณ 10-20% ​ในอนาคต ยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม โดยจะวางกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่ด้วยความที่แต่ละตลาดจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน​ จึงต้องอาศัยการศึกษาและค่อยๆ เรียนรู้ 

            “ในส่วนของการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในปีนี้ ยังไม่มีแผนในขณะนี้ เพราะต้องการโฟกัสสินค้ากว่า 400 รายการที่มีอยู่ก่อน ส่วนในเรื่องเทรนด์ความยั่งยืน ทางบริษัทก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยในฝั่งโรงงานได้มีการเดินหน้ากระบวนการผลิตที่ทำให้เกิด Low carbon และมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการใช้พลังงาน”

สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่าอะไรคือ เป้าหมายสูงสุดที่อยากพาแบรนด์ไปให้ถึง ธีรินทร์ อมยิ้มก่อนเฉลยว่า “ผมอยากให้แบรนด์ไก่แจ้เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คนไทยนึกถึงแบรนด์ข้าว อยากให้นึกถึงไก่แจ้ ต่อให้ไม่ต้องเป็นแบรนด์แรก แต่เป็นแบรนด์ท็อปทรีในใจ ผมก็ดีใจแล้ว”

ข้าวต้มมัด หรือ ข้าวต้มผัด เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ทำด้วยข้าวเหนียวผัดกับกะทิ แล้วนำไปห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวอ่อน ใส่ไส้กล้วย หรือถั่วดำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก ทางภาคใต้มักจะใช้ข้าวเหนียวกับน้ำกะทิ ห่อด้วยใบพ้อ เรียกห่อต้ม ถ้าห่อด้วยใบมะพร้าว และมัดด้วยเชือกเรียกห่อมัด ขนมแบบเดียวกับข้าวต้มมัด ยังพบในประเทศอื่นอีก เช่นในฟิลิปปินส์เรียก อีบอส หรือ ซูมัน ที่แบ่งย่อยได้หลายชนิดเช่นเดียวกับข้าวต้มมัดของไทย

สมาชิกพันทิปนาม Gomez_shizuoka ได้แชร์สูตรข้าวต้มมัดสำหรับสร้างอาชีพให้ฟรีๆ โดยมีสูตรและการทำดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสม

  • ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (ข้าวเก่า) 1 กิโลกรัม
  • หัวกะทิ ปนหางกะทินิดหน่อย 1 กิโลกรัม
  • น้ำตราลทรายขาว 3 ขีดครึ่ง
  • เกลือ 1 ช้อนโต๊ะพูนๆ
  • น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
  • กล้วยน้ำว้าค่อนข้างสุก ประมาณ 1 หวี
  • ถั่วดำ ครึ่งกิโลกรัม (แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน)
  • ใบเตย 1 กำมือ
  • ใบตองกล้วยน้ำว้า เช็ดให้สะอาด (ซื้อก่อนทำ 3 วัน เพื่อใบตองจะได้นิ่มเมื่อมาห่อแล้วใบตองจะไม่แตก)
  • ตอกมัดข้าวต้ม

ขั้นตอนการทำ

  • ซาวข้าวเหนียวด้วยสารส้ม 3 น้ำ (สารส้มจะทำให้ข้าวแข็งและเสียยาก) ล้างให้ดี แล้วแช่น้ำพักไว้
  • ตั้งกระทะเปิดไฟ เอากะทิลงเคี่ยว ใส่ใบเตย ใช้ไฟปานกลาง เคี่ยวไปเรื่อยๆ เอาให้เดือดสักพักใหญ่ แล้วใส่เกลือ
  • หันไปซาวข้าวเหนียวขึ้น แล้วใส่หวด (ที่นึ่งข้าวเหนียว) สะเด็ดน้ำให้แห้ง
  • ข้าวสะเด็ดน้ำแล้ว นำไปเทลงไปผัดกับกระทะที่เคี่ยวไว้ก่อนหน้านี้ เปิดไฟปานกลาง กวนไปจนกว่าจะแห้ง
  • ใส่น้ำมันพืชลงไปเพื่อไม่ให้ข้าวติดกะทิ
  • ใส่น้ำตาลทราย กวนต่อจนกว่าจะแห้ง
  • จากนั้นปิดไฟ พักไว้
  • ล้างถั่วดำที่แช่ค้างคืนให้สะอาด จากนั้นนำไปต้ม ไฟปานกลาง พอเดือดแล้วหรี่ไฟ ต้มไปเรื่อยๆ ต้มให้เปื่อย บี้ถั่วดูว่าเปื่อยหรือยัง
  • หลังจากนั้น ยกขึ้นกรองน้ำออกให้ถั่วสะเด็ดน้ำ
  • เอาตอกไปฉีกครึ่ง (ก่อนมัดนำไปแช่น้ำประมาณ 15 นาทีเพื่อให้ตอกนิ่มมัดง่าย)
  • กล้วยนำไปผ่าครึ่ง
  • จากนั้นลงมือห่อแล้วนำไปนึ่งทิ้งไว้ 2 ชม.

หลังจากนั้นนำออกจากซึ้งนึ่ง (ระหว่างไอร้อนพุ่ง) เอาข้าวต้มมัดออกมาผึ่งใส่กระจาดเพื่อไม่ให้ข้าวแฉะ (ไอร้อนจะทำให้ข้าวแฉะ) เท่านี้เป็นอันเสร็จ

ที่มา : พันทิป                                                                                                                                                                                                                                                                                                                              ผู้เขียน : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ประภาวัลย์ วงษ์แม่น้อย หรือ เม้ง อายุ 50 ปี เป็นอีกคนที่ยึดอาชีพทำข้าวต้มมัดมากว่า 10 ปี โดยเธอใช้บ้านพักชั้นเดียว เลขที่ 33/11 หมู่ที่ 3 ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งไม่มีชื่อร้าน เป็นฐานสำหรับผลิตข้าวต้มมัดขาย

ประภาวัลย์ เล่าว่า แม่ของเธอประกอบอาชีพมัดข้าวต้มมาตั้งแต่ปี 2529 ในตอนนั้นเธอรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ในตำแหน่งมัดข้าวต้ม จนกระทั่งปี 2543 เธอมารับช่วงอาชีพจากแม่ แล้วเริ่มทำอย่างจริงจังด้วยตัวเองเพียงลำพัง พร้อมไปกับการเรียนรู้ทักษะอีกหลายอย่างเพิ่มเติม


เสร็จเรียบร้อยรอลูกค้ามาซื้อ

เม้ง บอกว่า ข้าวต้มมัดหรือข้าวต้มผัดที่เธอทำขายทุกวันนี้เป็นการใช้ข้าวเหนียวผัดแล้วใส่กะทิ ใส่น้ำตาล ตามแบบวิธีทำโบราณ ไม่เหมือนอย่างช่วงหลังที่ใช้วิธีมูนก่อนแล้วจึงนำมาห่อ

เธอยกตัวอย่างการใช้วัตถุดิบและอัตราส่วนผสมในการทำข้าวต้มมัดว่า ถ้าหากใช้ข้าวเหนียวสัก 1 กิโลกรัม ควรใช้น้ำกะทิสด 6 ขีด น้ำตาลทรายครึ่งกิโลกรัม และเกลือ 1 ถุงจิ๋ว และเพื่อให้อัตราส่วนผสมได้มาตรฐาน จึงใช้วิธีชั่งตามน้ำหนักทุกครั้ง

ไม่เน้นพันธุ์กล้วยและขนาด ขอให้สุกปานกลาง

แม่ค้าขายข้าวต้มมัดรายเดิม แจงถึงวัตถุดิบที่ใช้ต่อว่า ใช้กล้วยน้ำว้าที่ซื้อมาเป็นหวีจากสวน ใช้พันธุ์อะไรก็ได้ ไม่จำกัดขนาดหรือรูปลักษณ์ แต่สิ่งสำคัญคือ ความสุกของกล้วยต้องปานกลางเท่านั้น สำหรับราคาซื้อ ถ้าหวีขนาดย่อมราคา 10 บาท ถ้าขนาดใหญ่ราคาหวีละ 15 บาท ตอนที่ช่วยแม่ทำ กล้วยหวีละ 4-5 บาท แต่ตอนที่ราคาแพง หวีละ 30 บาท


ข้าวเหนียวผัดเตรียมไว้ห่อ

เธอบอกว่า สมัยก่อนตอนที่ทำอยู่กับแม่ราคา หวีละ 4-5 บาท เท่านั้น แล้วยังย้อนให้ฟังว่าช่วงที่กล้วยมีราคาแพงตอนนั้นหวีละ 30 บาท ไม่ได้ปรับราคาขายแต่อย่างใด คงแบกรับภาระไว้ และคิดว่าคงจะแพงไม่นาน

กล้วยที่ใช้มีแม่ค้าชาวสวนจากแถวสามพรานมาส่งสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นช่วงขายปกติ ส่งครั้งละ 100 กว่าหวี แต่คราวใดหากมีลูกค้ามาสั่งพิเศษอาจต้องเพิ่มจำนวนตามยอดการสั่งทำที่ไม่เท่ากัน

“ใบตองจะซื้อมาจากเจ้าประจำ ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท ส่งมาให้คราวละ 60 กิโลกรัม สามารถใช้ได้เป็นเวลา 3-4 วัน แต่หากไม่พอจะต้องไปซื้อที่ตลาดในราคากิโลกรัมละ 15-17 บาท แต่ถ้าเป็นช่วงตรุษจีนราคาขายถีบขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 20-25 บาท ใบตองหนึ่งใบมีสองทาง แต่ละทางหากนำมาใช้ห่อข้าวต้มได้ 5-6 มัด ส่วนตอกซื้อมา กำละ 20 บาท ต้องใช้ตอกอ่อนเท่านั้น เพราะถ้าเป็นตอกแก่จะแข็ง มัดยาก และมักจะบาดนิ้วเสมอ


ถั่วต้ม

ราคากะทิ กิโลกรัมละ 50 บาท (19 มิ.ย. 56) ถั่วดำกิโลกรัมละ 40 บาท ต้มไว้ครั้งละ 2 กิโลกรัม ใช้งานได้ 2 วัน แต่ถ้าเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกในครั้งต่อไป”

ข้าวเหนียว เป็นตัวแปรสำคัญ

ในบรรดาวัตถุดิบที่นำมาใช้ คุณเม้ง บ่นว่า มีข้าวเหนียวอย่างเดียวที่พบปัญหามากที่สุด และถือเป็นตัวแปรหลักที่สำคัญอีกด้วย ทั้งนี้เพราะข้าวเหนียวแต่ละรุ่นที่มาส่งมักไม่ค่อยเหมือนกัน แต่ถ้าหากต้องการใช้ข้าวเหนียวให้เหมือนกันทุกครั้งต้องสั่งมาเก็บไว้จำนวนมาก ซึ่งคงทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะลงทุนมาก


ใช้กล้วยสุกปานกลาง

“มีการแนะนำให้ใช้สารส้มล้างข้าวเหนียว เพราะจะช่วยให้ข้าวเหนียวมีเมล็ดสวย แต่แท้จริงแล้ว พบว่า ไม่ใช่เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ต้องใช้เวลานึ่งนาน แล้วทำให้เสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมากเกินไป หรือการแช่ข้าวเหนียวนานเกินไปอาจทำให้ข้าวแข็ง สิ่งเหล่านี้จะสร้างปัญหาระหว่างทำ ซึ่งจะต้องคอยปรับแก้ไขอยู่ตลอดเวลา”

ลงมือทำข้าวต้มมัด

ขั้นตอนการทำข้าวต้มมัด คุณเม้ง อธิบายว่า เริ่มด้วยการแช่ข้าวเหนียวสัก 2 ชั่วโมง แล้วนำไปล้างด้วยน้ำเปล่า ให้เทน้ำแรกทิ้งเพราะมิเช่นนั้นข้าวต้มจะบูดเร็วอยู่ไม่ได้นาน แล้วให้ล้างเป็นน้ำที่สอง นำข้าวเหนียวไปใส่ตะกร้าหรือกระจาดเพื่อให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นให้นำมาเทรวมกับน้ำกะทิที่ผสมไว้แล้ว (ส่วนผสมน้ำกะทิ ได้แก่ กะทิ เกลือ น้ำตาล)


ห่อเรียบร้อย รอเข้าหม้อนึ่ง

จากนั้นให้ตั้งไฟอ่อน แล้วนำข้าวเหนียวเทลงไปรวมกับน้ำกะทิ ให้กวนหรือคน ห้ามกวนแรง เพราะอาจทำให้เมล็ดข้าวหักเสียหาย ซึ่งอาจทำให้ข้าวเหนียวเละไม่น่ารับประทาน ดังนั้นจึงต้องค่อยๆ คนหรือกวนไปเรื่อยๆ ห้ามหยุดจนกว่าน้ำกะทิจะแห้ง โดยการสังเกตจากการจับข้าวเหนียว ถ้าจับติดปั้นได้จึงใช้ได้ หากยังมีน้ำกะทิอยู่จะทำให้ไหลเยิ้มออกมาขณะห่อหรือนึ่ง

การเลือกข้าวเหนียว ถ้าจะให้ดีมีคุณภาพควรใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (ราคาประมาณ กิโลกรัมละ 38-40 บาท (20 มิ.ย.56) แต่เนื่องจากข้าวเหนียวเขี้ยวงูมีราคาสูง ทำให้ต้นทุนสูงและสู้ไม่ไหว เลยถอยลงมาใช้ข้าวเหนียวที่มีคุณภาพปานกลาง แล้วยังบอกว่าถ้าเป็นข้าวเหนียวใหม่ที่มียางมากเกินไปก็ไม่ดี หรือไม่มียางเลยก็ไม่ดี เพราะยากที่จะจับเป็นก้อนเวลาปั้น ดังนั้น จึงเลือกใช้คุณภาพปานกลางจะเหมาะสมกว่า

“ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ คุณภาพข้าวเหนียว ที่บางครั้งได้ข้าวเหนียวไม่เหมือนกันทุกรุ่น ซึ่งมีผลทำให้กระทบกับคุณภาพข้าวที่นึ่งออกมา บางครั้งแฉะ เพราะเป็นข้าวจมน้ำบ้าง บางครั้งต้องนึ่งหลายชั่วโมงจึงจะสุกใช้ได้”


แต่ละกลีบห่อขนาดนี้

ในการทำข้าวต้มมัดแต่ละวัน คุณเม้ง บอกว่า จะใช้กล้วย จำนวน 15-20 หวี ทำได้ข้าวต้มมัด จำนวน 200 มัด หรือประมาณ 100 ลูก ซึ่ง 1 หวี ทำข้าวต้มได้เฉลี่ย 10 มัด

“ข้าวต้ม 1 มัด ใช้กล้วย 1 ลูก อาจตัดได้เป็น 2-3 ส่วน ทั้งนี้ควรดูที่ขนาดกล้วยด้วย เนื่องจากการตัดจำนวนกล้วยมากหรือน้อยต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการใช้ข้าวเหนียวประกอบ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ซึ่งเทคนิคนี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของคนห่อกล้วย”

เธอเล่าให้ฟังว่า สมัยที่แม่ทำ การใช้ไฟนึ่งจะไปซื้อไม้เก่าที่เป็นเศษไม้จากโรงงานรับสร้างบ้านมาทำเป็นฟืน ครั้นพอโรงงานเลิกกิจการเปลี่ยนมาใช้ถ่าน ครั้นพอถึงยุคเราที่ต้องทำอยู่คนเดียว คงทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะไม่ทันและไม่สะดวก เลยต้องหันมาใช้แก๊ส ขนาด 15 กิโลกรัม ใช้ถังละ 3 วัน เนื่องจากสามารถปรับความร้อนได้ตามความเหมาะสม ขนาด 15 กิโลกรัม ใช้ถังละ 3 วัน

สำหรับซึ้งที่ใช้นึ่งข้าวต้มมัดมีจำนวน 2-3 ชั้น แล้วแต่จำนวนที่ทำ แต่ละชั้นสามารถนึ่งข้าวต้มได้ถึง 200 มัด ใช้เวลานึ่งครั้งละ 2 ชั่วโมง

คุณเม้ง บอกว่า ราคาจำหน่าย มัดละ 8 บาท อันนี้เป็นราคายืนตายตัว ไม่ว่าจะสั่งจำนวนเท่าไรก็ตาม ทำครั้งละ 200 มัด ต่อวัน ทำตั้งแต่เช้า ห่อไป ขายไป เพราะต้องการให้ลูกค้าได้ของใหม่ร้อนๆ

ทำคนเดียว ขายเท่าที่ทำได้ ปัจจุบัน มีลูกค้าล้นมือ

ด้านการขาย แม่ค้าขายข้าวต้มมัด บอกว่า วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กลับขายไม่ดีเท่ากับวันธรรมดา เพราะถ้าเป็นวันหยุดลูกค้าที่มาเที่ยวมักขับรถเลยเข้าไปในตลาด แต่ที่ทำอยู่ได้ เพราะมีขาประจำที่ซื้อบ่อย อีกทั้งยังมีขาประจำที่สั่งเป็นจำนวนมากโดยเฉลี่ยเดือนละ 2-3 ครั้ง

“มีแม่ค้าในกรุงเทพฯ มารับไปขายต่อทุกวันจันทร์-ศุกร์ นำไปขายที่หน้าโรงงานยาสูบเจ้าหนึ่ง อีกเจ้านำไปขายหน้าธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ที่สะพานควาย แต่ละเจ้ามารับซื้อครั้งละเป็นร้อยมัด แล้วยังบอกอีกว่าที่วัดปากน้ำสั่งครั้งละเป็นพันมัด”


ชุดนี้ลูกค้าสั่งไว้แล้ว

เธอย้ำว่า การทำข้าวต้มมัดมีต้นทุนสูง แล้วเหนื่อยกับเรื่องจุกจิกและยังบอกต่อว่าเหนื่อยกว่าทำขนมอย่างอื่น ดังนั้น ถ้าขายไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่คงเลิกทำไปนานแล้ว เธอบอกว่าต้นทุนขึ้นทุกอย่าง เช่น ข้าวเหนียว กระสอบละ 1,300 บาท น้ำตาลกระสอบละเป็นพันบาท แล้วยังบอกว่า ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องใช้เงินลงทุนมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่รับ

ความอร่อยของข้าวต้มมัด คุณเม้ง บอกว่า อยู่ตรงที่มีความเข้มข้นของรสชาติ ซึ่งทุกรสต้องกลมกลืนกัน และคุณภาพของข้าวเหนียวต้องดีในระดับหนึ่ง ถ้าต้องการทำให้อร่อยต้องไม่ขี้เหนียวส่วนผสม แล้วเธอยังบอกอีกว่า รสชาติที่ชื่นชอบในแต่ละภาคของประเทศไม่เหมือนกัน อย่างคนทางภาคอีสานไม่ชอบหวาน ส่วนคนทางภาคกลางชอบหวาน อันนี้ถ้าจะทำขายต้องดูกลุ่มคนซื้อประกอบไปด้วย


กล้วยน้ำว้า วัตถุดิบหลัก

สุดท้าย…คนขายบอกว่า ใครสนใจแวะมาชิมได้ แต่เรื่องสั่งทำยังไม่รับปาก เพราะทำอยู่คนเดียว แค่ขายให้ลูกค้าขาประจำก็ไม่ทันอยู่แล้ว

ดังนั้น หากใครเดินทางมานมัสการพระปฐมเจดีย์ ก็อย่าลืมแวะชิมข้าวต้มมัดที่ร้านคุณเม้ง ซึ่งอยู่ตรงปากทางเข้าวัดไร่ขิง ถนนเพชรเกษม ติดกับคิวรถสองแถว หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. (034) 311-073

 


ที่มา เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์

ในหนังสือ “ขนมแม่เอ๊ย” โดย ส.พลายน้อย ผู้เขียน เล่าถึงตอน “ข้าวต้มมัด” ไว้ว่าพูดถึงชื่อข้าวต้มผัด ก็มักจะมีคนสงสัยอยู่เสมอว่า เหตุไรจึงชื่อข้าวต้มผัดน่าจะเรียกว่าข้าวต้มมัดมากกว่า เพราะว่าห่อมัดเข้าด้วยกัน แต่บางคนก็ว่า น่าจะเรียกว่าข้าวต้มกลีบเพราะเป็นกลีบ

หรือที่บางคนบอกว่าเรียกข้าวต้มไม่เห็นเขาต้มเลย เวลานี้เห็นเขาใช้นึ่งกันทั้งนั้น นี่ก็เป็นเพราะความนิยมเปลี่ยนไป สมัยก่อนใช้ต้มจริงๆ การห่อจึงต้องแน่นไม่ให้น้ำเข้ามาได้ ที่ในสมัยนี้ใช้นึ่งเห็นจะเป็นด้วยใช้ใบตองน้อยชั้นกว่าแต่ก่อน และเพื่ออุ่นให้ร้อนอยู่เสมอนั่นเอง สมัยก่อนต้มสุกแล้วก็แล้วกัน ฉะนั้นที่เรียกว่าข้าวต้มผัดจึงอธิบายวิธีทำไว้เสร็จ คือ ทั้งผัดทั้งต้ม ไม่มีคำว่านึ่งรวมอยู่ด้วยเลย ซึ่งการนึ่งมาที่หลังอย่างแน่นอน

เรื่องเล่าห่อต้ม ห่อปัด

ในการทำบุญเทโว หรือทำบุญออกพรรษานั้น มักนิยมทำข้าวต้มกัน แต่วิธีการจะผิดกันไปบ้าง ชื่อที่เรียกก็ต่างกัน ทางใต้เรียกว่า ห่อต้ม หรือห่อปัด หรือเรียกเพียงว่า ต้มหรือปัดก็มี เท่าที่ทราบข้าวต้ม หรือต้ม ที่ชาวนครฯทำกันอยู่มีด้วยกัน 2 อย่าง อย่างหนึ่งเอาข้าวเหนียวผัดกับกะทิจนเกือบจะสุกแล้วมาห่อด้วยใบกะพ้อหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ใบพ้อ แบบนี้ห่อเป็นรูปกรวยหรือรูปสามเหลี่ยม วิธีห่อก็ออกจะแนบเนียนดี คือ ให้ใบพ้อสอดพันกันเองไม่ต้องใช้ตอกหรือเชือกมัด เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอาไปต้ม สุกแล้วก็ใช้ได้ อีกอย่างหนึ่ง วิธีทำใช้ข้าวเหนียวเหมือนกับข้างต้น ผิดกันที่ห่อด้วยใบจากอ่อนๆ หรือใบมะพร้าวอ่อนๆ ห่อให้มีขนาดยาวประมาณ 4-5 นิ้ว แล้วมัดด้วยเชือกเป็นเปลาะๆ เสร็จแล้วเอาไปต้ม แบบนี้เขาเรียกว่า ปัด บางถิ่นก็เรียกว่า จั้ง

ส่วนข้าวต้มของทางภาคกลาง ออกจะมีพิเศษสักหน่อย คือ ข้าวเหนียวนั้นใส่ไส้ด้วยกล้วยน้ำว้าก็มีใส่ถั่วดำก็มี ห่อด้วยใบตองอ่อนบ้าง ใบตองแก่บ้างแล้วแต่สะดวก ที่ห่อด้วยใบเตย หรือใบอ้อย มักทำเป็นก้อนไม่เป็นกลีบเหมือนอย่างที่ห่อด้วยใบตอง และทำเป็นหางยาวๆเรียกกันว่า ข้าวต้มลูกโยน เพราะรูปร่างเหมือนลูกช่วงที่ใช้เล่นโยนกันในเทศกาลตรุษสงกรานต์

ธรรมเนียมที่ทำข้าวต้มใส่บาตรเช่นนี้ ว่าเกิดเมื่อประชาชนไปคอยรับพระพุทธเจ้า คือทำเป็นอาหารสำเร็จรูปสำหรับกินกลางทางแล้วเลยถือเป็นประเพณี ทำกันต่อๆมา บางท่านก็พูดเหมือนตาเห็นว่า พวกชาวเมืองโยนข้าวต้มลูกโยน และข้าวต้มผัดใส่บาตรพระพุทธเจ้าด้วย ทางใต้ก็เชื่อกันแบบนี้ และทำต้มกันมาก แต่ก่อนนี้ว่ามีมากเหลือเฟือจนกินกันไม่หมด ต้องเอามาขว้างปากันเล่นเลยเกิดประเพณีซัดต้มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

ข้าวต้มผัดหรือข้าวต้มมัดยังมีแบบอื่นๆอีก

มีชาวญวนทำข้าวต้มมัดไต้มาขายพวกเรือพ่วง ที่เรียกว่าข้าวต้มมัดไต้นั้น เพราะข้าวต้มมัดแบบนี้มีขนาดยาว ต้องใช้ตอกมัดหลายเปลาะ แบบเดียวกับมัดไต้ที่ใช้จุดไฟ ผิดกับข้าวต้มผัดธรรมดาที่ทำตอนตักบาตรเทโว ที่มัดเพียงสองเปลาะเท่านั้น

ส่วนวิธีทำข้าวต้มมัดไต้ก็จะมากกว่าเรื่องกว่ากัน คือข้าวต้มมัดไต้ต้องใช้ข้าวเหนียวถั่วเขียว (เอาเปลือกออก) และมันหมูเคล้าเกลือพริกไทยมากเรื่องกว่าข้าวต้มผัดมาก เวลาห่อก็ต้องตั้งใจมากกว่า คือเอาใบตองม้วนให้แน่นปิดหัวข้างหนึ่ง แล้วเอาไม้กลมๆกระทุ้งให้ข้าวกับถั่วแน่นดีเสียก่อน จึงจะปิดหัวอีกข้างหนึ่งได้ เวลากินต้องมีน้ำตาลทรายละเอียดแถมอีกจึงจะอร่อย

ข้าวต้มมัดไต้นี้เดิมทีเป็นของพวกญวนทำ เห็นจะถ่ายทอดวิชาให้ไทยรู้จักนานมาแล้ว โดยเฉพาะชาวจันทบุรีกล่าวกันว่า มีฝีมือในการทำข้าวต้มมัดไต้ได้อย่างดีมาก

ข้าวต้มมัดอีกอย่างหนึ่งออกจะนอกตำรา คือ ทำแบบข้าวต้มผัด แต่ทว่าข้าวเหนียวจืดไม่หวาน เวลากินต้องกินกับมะพร้าวขูด เรียกข้าวต้มแบบนี้ว่าข้าวต้มจิ้ม ต้องเอาใบตองออกแล้วตัดเป็นท่อนๆ แบบนี้เข้าใจว่าเกิดขึ้นภายหลังแบบแรก

นอกจากนี้ก็มีข้าวเหนียวปิ้ง ซึ่งก็คงดัดแปลงมาจากข้าวต้มผัดนั่นเองเปลี่ยนมาเป็นปิ้งให้แปลกออกไป อย่างปิ้งนี้ออกจะหอมชวนกินมากกว่าแบบต้ม แต่ก็ดีเฉพาะตอนที่ยังร้อนๆอยู่เท่านั้น

มีข้าวต้มมัดอีกชนิดหนึ่ง ทางภาคเหนือเรียก ข้าวต้มหัวหงอก ใช้ข้าวเหนียวทำมีกล้วยน้ำว้า หรือถั่วลิสงทำเป็นไส้ ที่เรียกว่าข้าวต้มหัวหงอกนั้นก็เพราะมีมะพร้าวขูดโรยหน้า มองดูขาวๆ เหมือนคนหัวหงอกนั่นเอง


ข้อมูล หนังสือขนมแม่เอ๊ย โดยส.พลายน้อย