นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกันในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ อันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน ระหว่าง กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ โดยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคมและประธานกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ ห้องประชุมอาคารสโมสรและหอประชุม กระทรวงคมนาคม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการดูแลคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และได้รับการพัฒนาศักยภาพไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการสร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ทุกเพศภาวะและทุกกลุ่ม สร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะผู้พิการและผู้สูงวัย พัฒนาระบบบริการสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการบริการในแต่ละระบบ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงหน่วยบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ ในโอกาสนี้จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม สนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือแก่ผู้พิการ เพื่อให้ผู้พิการสามารถดำรงชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพได้ใกล้เคียงกับบุคคลทั่วไป

ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้สนองนโยบายของรัฐบาล โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้สามารถรองรับผู้ใช้งานได้ทุกกลุ่มตามหลัก Universal Design โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะและขนส่งมวลชนได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน สะดวกปลอดภัย ทั่วถึง และเพียงพอ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ โดยได้มีการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ ซึ่งอุปกรณ์ทุกชิ้นจะต้องผ่านการตรวจประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มีคุณภาพและจัดสรรได้เหมาะสมกับผู้พิการมากที่สุด โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ได้ให้กรมการขนส่งทางบกจัดสรรเงินจากกองทุนความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เพื่อเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 15,735 ราย เป็นเงินกว่า 1,148 ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณ 2565 นี้ กปถ. ได้อนุมัติจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการก้อนแรก เป็นเงิน 220 ล้านบาท เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้พิการเนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 และจะดำเนินการจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการต่อไปอย่างต่อเนื่องทุกปี

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายอภิชาติ จูตระกูล (ที่ 3 จากขวา) ประธานกรรมการ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย มอบรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยหรือรถตรวจโควิด-19 แก่กระทรวงสาธารณสุขนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล (กลาง) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต (ที่ 3 จากซ้าย) ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ณ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเร็วๆนี้ หวังเสริมทัพการตรวจเชิงรุกในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูเก็ตจากที่มีการตรวจคุมเข้มได้ดีอยู่แล้วให้ตรวจเชิงรุกได้ครอบคลุมมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น เชื่อมั่นยิ่งตรวจพบผู้ติดเชื้อได้เร็ว ยิ่งยับยั้งการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริได้มอบรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยหรือรถตรวจโควิด-19 จำนวน 1 คัน มูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท ให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้กรมควบคุมโรคได้ใช้ตรวจโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและภูเก็ต เพราะแม้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีจนได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีที่สุด แต่การจะควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้เร็วและยั่งยืน คือ การตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในวงกว้าง ควบคู่กับการจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทุกคนของประเทศให้มากที่สุดและโดยเร็วที่สุด

แสนสิริมีส่วนสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 โดยปีที่ผ่านมาได้บริจาคเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์มูลค่ารวมกว่า 8 ล้านบาทแก่กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ เหตุผลที่แสนสิริได้บริจาครถตรวจโควิด-19 ในปีนี้ เพราะเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขต้องการใช้เร่งด่วนเพื่อส่งเสริมการตรวจเชิงรุก ให้สามารถได้ในวงกว้างมากขึ้นและเร็วขึ้น ประเทศไทยจะได้ทราบจำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงได้และควบคุมการระบาดที่กลับมาอีกครั้งในครั้งนี้จนกระทั่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 4 หลักต่อวันและจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมถึง ได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ แสนสิริยังได้เดินหน้านโยบาย “Sansiri Care…เพราะเราห่วงใย” อย่างต่อเนื่องมาเปนเวลากว่า 1 ปีแล้ว เพื่อยกระดับคุมเข้มความปลอดภัยและสุขอนามัยขั้นสูงสุดในการรับมือสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านการดูแลครอบครัวแสนสิริกว่า 100,000 ครอบครัว ตลอดจนลูกค้าที่เยี่ยมชมโครงการ พนักงาน พันธมิตรและสังคม ด้วย 3 มาตรการ คือ ป้องกัน ดูแล และรับมือ รวมทั้งจัดทำโครงการ “Sansiri Care for All’ เพื่อช่วยเหลือสังคมผ่านการบริจาคสิ่งของแก่ชุมชนข้างเคียง และตั้งกองทุน “Sansiri Care Relief Fund” เพื่อดูแลพนักงานแสนสิริและพันธมิตรด้านบริการในโครงการต่างๆ อาทิ แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย ช่างอาคาร ฯลฯ หากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จากการเสียสละดูแลครอบครัวแสนสิริ ด้วยกองทุนตั้งต้น 5 ล้านบาทจากเงินบริจาคส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงอีกด้วย

“แสนสิริเชื่อว่าในวิกฤตินี้ ภาคธุรกิจที่มีผลประกอบการดีควรช่วยเหลือสังคมและเป็นส่วนสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นไปได้ แสนสิริมียอดขายปี 2563 ที่ 45,000 ล้านบาทและรายได้ 28,200 ล้านสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งมีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งด้วยเงินทุนหมุนเวียนที่ 17,000 ล้านบาท ทำให้เราสามารถช่วยเหลือสังคมและรักษาสมดุลของ 4 เสาสังคม อันได้แก่ ลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น และสังคมได้ ซึ่งปีนี้เราจะต่อยอดความช่วยเหลือไปสู่การสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีแกร่งและโตไปด้วยกันท่ามกลางช่วงเวลาที่ท้าทายได้กับโครงการ “Build for All: สร้างไปด้วยกัน” โดยร่วมมือก้บธนาคารไทยพาณิชย์ วางเป้าช่วยเหลือ 1,500 เอสเอ็มอี ด้วยเงินทุนซื้อสินค้า 6,000 ล้านบาท และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 1,000 ล้าน “ นายอภิชาติ กล่าวสรุป

11 พฤษภาคม 2563 “แสนสิริ” เดินหน้าช่วยเหลือประเทศไทยฝ่าวิกฤติ COVID-19 สานต่อนโยบาย “Sansiri Care For All” ส่งต่อความห่วงใย มอบเครื่องช่วยหายใจ หน้ากาก N95 และชุด PPE แก่กระทรวงสาธารณสุขมูลค่ากว่า 8,000,000 ล้านบาท พร้อมด้วยพนักงานแสนสิริที่ร่วมใจลงพื้นที่เพื่อดูแลไปยังชุมชนรอบโครงการซึ่งนับเป็นความรับผิดชอบของแสนสิริที่มีต่อสังคมและชุมชนใกล้เคียง ด้วยการส่งมอบหน้ากากอนามัยและถุงยังชีพ ก่อนกระจายการดูแลในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดย นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ และ นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ สานต่อ “Sansiri Care For All” ขยายความห่วงใย ส่งต่อการดูแลอย่างทั่วถึงไปยังสังคมและชุมชนในภาวะการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ด้วยการส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ หน้ากาก N95 และชุด PPE แก่กระทรวงสาธาณสุข มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรับมอบ

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริพร้อมเดินหน้าช่วยเหลือให้ประเทศไทยของเราผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ด้วยการขยายความห่วงใยส่งต่อไปยังสังคม ผ่านมาตรการ Sansiri Care For All ที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมผ่านทั้งทางภาครัฐ รวมถึงการลงพื้นที่ไปช่วยเหลือด้วยตัวเอง โดยในส่วนการประสานกับภาครัฐ แสนสิริได้ดำเนินการส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยในภาวะการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แก่กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่เครื่องช่วยหายใจ 2 เครื่อง และเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยโรคอื่นๆ ในภายภาคหน้า ตลอดจนส่งมอบหน้ากาก N95, หน้ากากผ้า และชุด PPE 100,000 ชุด แก่บุคลากรทางการแพทย์ผู้เสียสละ อยู่เบื้องหลังในการช่วยเหลือผู้ป่วย รวมมูลค่ากว่า 8,000,000 ล้านบาท ก่อนจะส่งมอบต่อให้ 5 โรงพยาบาลได้แก่ โรงพยาบาลบำราศนราดูร, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาล ราชวิถี และโรงพยาบาลรามาธิบดี และ 30 ชุมชนทั่วประเทศ ในลำดับถัดไป”

“สำหรับการลงพื้นที่เพื่อไปช่วยเหลือยังสังคมและชุมชนใกล้เคียง นับเป็นปณิธานของแสนสิริที่เรายึดมั่นว่า ไม่ว่าแสนสิริจะไปตั้งโครงการหรือดำเนินกิจการในพื้นที่ใด เราจะช่วยพัฒนาชุมชนบริเวณโดยรอบให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านการอยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย โดยนอกจากการขยายมาตรการเพื่อดูแลชุมชนโดยรอบในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีแก่ชุมชนบริเวณโดยรอบของ สิริ แคมปัส สำนักงานใหญ่ของแสนสิริ ด้วยการส่งมอบหน้ากากอนามัยผ้าและ Face Shield ตลอดจนถุงยังชีพแก่สำนักงานเขตวัฒนาแล้ว แสนสิริยังได้ดำเนินการการดูแลในพื้นที่ต่างจังหวัดอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่ เทศบาลหัวหิน และจังหวัดภูเก็ต โดยที่ผ่านมาแสนสิริได้บริจาคหน้ากากให้ชุมชนไปแล้วทั้งสิ้น 10,800 ชิ้น และถุงยังชีพจำนวน 1,000 ถุง”

“นอกจากนั้น แสนสิริยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับการขยายมาตรการเพื่อดูแลชุมชนในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเตรียมส่งมอบหน้ากากอนามัยและถุงยังชีพอุปโภคบริโภคจากผลผลิตของเกษตรกร โดยนอกจากที่แสนสิริมีความตั้งใจเพื่อต้องการช่วยเหลือชาวบ้านและชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยการบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคแล้ว แสนสิริยังต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไทยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของของไวรัส COVID-19 อีกด้วย โดยสิ่งของอุปโภคบริโภคที่เรานำไปบริจาคแก่ชุมชนนั้นล้วนแต่มาจากเกษตรกรทั้งสิ้น”

“เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาว แสนสิริจึงวางแผนสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้สังคมและชุมชน โดยเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรม Social Distancing Market และจัดหลักสูตรฝึกอบรมผู้ที่สนใจให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพนักงานขายมืออาชีพของแสนสิริอีกด้วย โดยแสนสิริต้องการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19” นายอภิชาติกล่าว

จากภาพ (ซ้ายไปขวา) นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข  ให้ข้อมูลว่า เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลของรัฐ หรือเอกชนให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาวการณ์และเป็นธรรม กระทรวงสาธารณสุข โดยกรม สบส.จึงเร่งพัฒนาและผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในการรับบริการในด้านระบบบริการสุขภาพ อันนำไปสู่การออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19))”

โดยประกาศฉบับนี้ ได้กำหนดให้สถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน โรงพยาบาล ทุกแห่ง จะต้องให้การรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินแก่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จนพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพ และขีดความสามารถของสถานพยาบาล

และหากจะต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาพยาบาลยังสถานพยาบาลอื่น ต้องจัดการให้มีการจัดส่งต่อตามความเหมาะสม โดยไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ให้สถานพยาบาลดำเนินการรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไปที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช ตามแนวทางการเรียกเก็บที่ สปสช กำหนดแทน

โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2563 ส่งผลให้จากนี้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแต่อย่างใด เว้นแต่กรณีที่สถานพยาบาลจะต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรับการดูแลรักษายังเครือข่ายสถานพยาบาลที่จัดไว้ แต่ตัวผู้ป่วยหรือญาติ ปฏิเสธไม่ขอให้ส่งต่อหรือประสงค์จะไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง

ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า สำหรับระยะเวลาที่สถานพยาบาลจะได้รับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 นั้น จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน เริ่มตั้งแต่ สปสช ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร สรุปค่าใช้จ่าย และแจ้งให้กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมาย

ซึ่งประกอบด้วย 3 กองทุน ได้แก่ 1 กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2 กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และ 3 กองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ ทราบภายใน 30 วัน นับตั้งแต่เวลาที่ได้รับเอกสารครบถ้วน หลังจากนั้นกองทุนจะดำเนินการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขฯ ซึ่งมีการกำหนดรายละเอียดค่าบริการ ทั้งสิ้น 597 รายการ ให้แก่สถานพยาบาลภายใน 15 วัน

ทั้งนี้ หากผู้ป่วยหรือญาติพบโรงพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลโรคโควิด 19 สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรม สบส หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7057 หรือที่สายด่วน 1667 ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินโควิด 19 กรม สบส แต่หากอยู่ในต่างจังหวัดให้แจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่

ผู้เขียน : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังการกินไข่แมงดาถ้วยหรือเห-ราช่วงหน้าร้อน มีพิษรุนแรงเหมือนพิษปลาปักเป้า ความร้อนทำลายพิษไม่ได้ ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว 7 ราย แนะหากมีอาการลิ้นชา ชารอบปาก อาเจียน หน้ามืด ให้รีบพบแพทย์

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเล จำนวน 33 ราย เสียชีวิต 3 ราย ล่าสุดกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ พบผู้ป่วย 7 ราย จากการนำไข่แมงดาทะเลเผาที่ซื้อจากตลาดมาปรุงอาหารรับประทานด้วยกัน หลังจากนั้นทุกรายมีอาการชามือ ชาเท้า ชาปลายลิ้น อาเจียน บางรายมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากพิษของไข่แมงดาถ้วยหรือเห-รา ที่นำมารับประทานเพราะคิดว่าเป็นแมงดาจานซึ่งรับประทานได้ สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมาก การต้ม ทอด ปิ้ง หรือย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้

นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แมงดาทะเลมี 2 ชนิดคือ แมงดาจาน หรือแมงดาทะเลหางเหลี่ยม ไม่มีพิษ รับประทานได้ มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย และแมงดาถ้วย ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อได้แก่ แมงดาทะเลหางกลม หรือเห-รา หรือแมงดาไฟ จะมีพิษ รับประทานไม่ได้ ตัวมีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็กกว่าแมงดาจาน อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน ซึ่งแมงดาถ้วยมีพิษที่ชื่อ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) และเซซิทอกซิน (Sasitoxin) ชนิดเดียวกับปลาปักเป้า เป็นพิษที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ของแมงดาถ้วย หรือเกิดจากการกินตัวแพลงก์ตอนที่มีพิษหรือกินหอยหรือหนอนที่มีแพลงตอนพิษ ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ จึงขอย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการกินไข่แมงดาในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน ซึ่งมักพบการแพร่พันธุ์ของแพลงก์ตอนพิษจำนวนมาก ทำให้อาจเกิดอาการป่วยรุนแรงและรวดเร็ว ภายใน 10-45 นาทีหลังรับประทานไข่แมงดาเข้าไป

สำหรับผู้ที่รับประทานไข่แมงดาทะเล หากพบว่ามีอาการชาที่ปากและลิ้น วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่ออก ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และแจ้งแพทย์ว่ารับประทานไข่แมงดาทะเล จะช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์