![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464821-768x512.jpg)
โรงพยาบาลสมิติเวช นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวชและรพ.บีเอ็นเอช และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงนามในบันทึกความร่วมมือ(MoU)ในการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเฮลธ์แคร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการและโซลูชันการดูแลสุขภาพสำหรับพนักงานและลูกค้าทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์เซ็นเตอร์ และอาคารสำนักงานของดับบลิวเอชเอ ผ่านแพลตฟอร์ม WHAbit ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันใหม่ของบริษัทฯ ร่วมกับบริการ Samitivej Virtual Hospital ของโรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ห้องออดิทอเรียม ชั้น 7 โรงพยาบาลสมิติเวชศรี นครินทร์
โดยในบันทึกความร่วมมือ (MoU) ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสำรวจ ศึกษาขั้นตอนและกระบวนการทำงานที่จำเป็นตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น เพื่อส่งมอบโซลูชัน การบริการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่เชื่อมต่อกับช่องทางออฟไลน์ ทั้งนี้ รวมถึงการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การตรวจสุขภาพ (Health Check-up) คลินิกกลุ่มโรค NCD (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) สมาร์ทคลินิก การจ่ายยา การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม WHAbit ที่เตรียมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในต้นไตรมาสที่ 3 ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ความต้องการของลูกค้า การแก้ไขปัญหา และจุดบกพร่องต่างๆ เพื่อใช้ในการออกแบบ และยกระดับโซลูชันบริการด้านการดูแลสุขภาพร่วมกับบริการของโรงพยาบาลสมิติเวช และ Samitivej Virtual Hospital โดยโรงพยาบาลสมิติเวชจะเชื่อมโยงและสนับสนุนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แอปพลิเคชัน WHAbit ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงเพื่อให้ผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน WHAbit ได้รับบริการครอบคลุมรอบด้าน นอกจากนี้ โรงพยาบาลสมิติเวชจะแบ่งปันทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่จำเป็นเพื่อเชื่อมโซลูชันและบริการของโรงพยาบาลเข้ากับแอปพลิเคชัน WHAbit ด้วย
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464822-768x513.jpg)
นพ. ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร กล่าวว่า บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ คือ การจับมือเป็นพันธมิตรในเชิงนวัตกรรมระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการสุขภาพ เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมที่นำความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
“ผมมั่นใจว่าความร่วมมือกันระหว่างดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และสมิติเวช จะสามารถทลายอุปสรรคด้านการดูแลสุขภาพ ทำให้คนจำนวนมากมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยจุดแข็งของสมิติเวชที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และประสบการณ์ในการให้บริการ Virtual Hospital (telemedicine) ทำให้มั่นใจว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและก่อให้เกิดนวัตกรรมหลายอย่าง ด้วยการร่วมมือกับกลุ่มดับบลิวเอชเอ เราจะร่วมมือกันให้บริการสุขภาพทั้งด้านการตรวจวินิจฉัย รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการสร้างเสริมป้องกัน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ก้าวหน้าที่สุด เพื่อสร้างคุณค่า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Organization of Value ส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ EEC สร้างความมั่งคั่ง มั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป
“เรามีแนวคิดว่าทำยังไงให้สมิติเวชเป็นองค์กรที่มีคุณค่า คนไข้ที่มาแอดมิด ผ่าตัดมีประมาณ 10% แต่อีก 90%เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ โดยเราพลิกกลับไปว่าอย่าเข้ามาโรงพยาบาล ทำยังไงให้เขาพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาแพทย์ สโลแกนของสมิติเวช คือ เราไม่อยากให้ใครป่วย เพื่อให้ทุกคนสุขภาพดี ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องเสียเงินเยอะ จะทำให้ GDP ของประเทศดีขึ้น”นพ.ชัยรัตน์กล่าว
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464819-768x512.jpg)
นพ.ชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า telemedicine เราทำตั้งแต่ก่อนมีโควิด เราคิดว่าคนไม่ค่อยชอบมาโรงพยาบาล จึงเริ่มต้น Virtual Hospital สมิติเวชทำเป็นแห่งแรก จากนั้นมีหลายแห่งทำกันเยอะ ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชน โรคง่ายๆมีประมาณ 30%เราใช้ telemedicine อาทิ ตรวจเลือดที่บ้าน ส่งยาไปให้ที่บ้าน รวมถึงเรามีTytoCare(ชุดตรวจสุขภาพเบื้องต้น)ที่สามารถวินิจฉัยเบื้องต้น เช็กปอด หัวใจ วัดไข้ ตลอด7 วัน 24 ชม. โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็น 1,000 คนให้คำปรึกษา นอกจากโรคที่มีความจำเป็นและร้ายแรง เราจะแนะนำให้มาโรงพยาบาล ทางหนึ่ง Virtual Hospital เป็นตัวแก้เรื่องการขาดแคลนหมอได้ด้วย พอโควิดมาทำให้ได้รับความสนใจ มีอัตราการเติบโต 143%
“ยกตัวอย่างสมิติเวช Engage Care แอปพลิเคชันที่ให้บริการติดตามข้อมูลจากการวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งคนที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมถ้าไม่อยากเจ็บป่วย สามารถใช้อุปกรณ์ตรวจวัดค่าเบื้องต้น อาทิ ความดัน เบาหวาน Engage Care เป็นแอปพลิเคชันที่เข้าไปตรวจเจาะเลือดใส่ในเครื่องส่งลิงก์มาที่โรงพยาบาล ถ้าเมื่อไหร่ขึ้นสีแดง ก็จะแจ้งเตือน รวมถึงในส่วนออฟฟิศซินโดรม เราสามารถใช้ telemedicine สัมภาษณ์ โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล”นพ.ชัยรัตน์กล่าว
นพ.ชัยรัตน์ กล่าวด้วยว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือ(MoU)ในการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเฮลธ์แคร์ ระหว่างบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับ โรงพยาบาลสมิติเวชครั้งนี้ เชื่อว่านักลงทุนสนใจ เป็นความร่วมมือในส่วนเชิงธุรกิจกับเชิงสุขภาพ อยากให้มองเป็นเรื่องราวของประเทศชาติ ตอนนี้เศรษฐกิจของเราไม่ค่อยดี รัฐบาลต้องการนักลงทุน รัฐบาลมีนโยบายเรื่องของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสอดรับกันพอดี อย่าลืมว่านักลงทุนเข้ามาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว แต่เขาต้องการความปลอดภัยด้วย สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดทำยังไงให้สุขภาพเขาปลอดภัย เขาไม่อยากป่วย
“นอกจากนี้ในอนาคตถ้าโควิดหายไป อยากให้เอาจุดแข็งมารวมกันแล้วเปลี่ยนเป็นจุดขาย อาทิ สุขภาพ ร้านอาหาร โรงแรม ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ฟิตเนส เรียกว่าครบเครื่องเรื่องการลงทุน ผมมองว่าตรงนี้ปังแน่นอน เป็นการเพิ่มจุดแข็งให้กับประเทศไทยด้วย”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวชและรพ.บีเอ็นเอช กล่าว
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464825-768x1150.jpg)
ด้านนางสาวจรีพร จารุกรสกุล กล่าวว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เกิดจากเมื่อหลายปีก่อน ในธุรกิจโลจิสติกส์ E-Commerce แรงมาก เป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลก เรามาคิดว่าบริษัทคนไทยมีอะไรไปสู้กับเขาได้ เคยพูดคุยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถึงจุดหนึ่งมามองภาพต่อว่า ถ้าเรามอง E-Commerce แต่เป็นแพลตฟอร์มเฮลท์แคร์ มันน่าจะเกิดได้ นี่คือโอกาสของคนไทย รวมถึงเราทำเกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรมก็เป็นเรื่อง EEC เราเริ่มมองว่าจะทำยังไงให้เทคโนโลยีมาประยุกต์รวมกับสิ่งที่เรามีอยู่ เพราะประเทศไทยมีฐานรากที่แข็งแรงมากๆติดระดับโลก พิสูจน์ได้จากตอนที่เราเจอโควิดแรกๆ เรารับมือได้ดีมาก
“จากนั้นได้ไปดูงานที่ประเทศจีน ก็กลับมาคิดต่อว่าเราจะทำยังไงให้คนไทยได้รับการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ และมีต้นทุนการรักษาที่ถูกลง ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง จากนั้นมามองว่าเรามีอะไรบ้าง เรามีโลจิสติกส์ มีนิคมอุตสาหกรรม มีลูกค้าระดับโลก มีพนักงานของเขาหลายแสนคน แล้วมาดูต่อว่าเรามีจุดที่ต้องแก้ไขอะไรบ้าง อย่างในนิคมอุตสาหกรรม มีกฎหมาย มีแพทย์พยาบาลประจำ เรามองว่าถ้าเรามีเซ็นเตอร์ตรงกลางให้ มีแพลตฟอร์มให้คนงานที่ปวดหัวตัวร้อนไม่ต้องเดินทางไปหาหมอ ไม่ต้องเข้าคิว ไม่ต้องรอนาน เราจึงคิดว่าเราน่าจะใช้ตรงนี้ให้เป็นแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งถ้าเราทำสำเร็จมันจะไม่ใช่แค่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ มันจะสามารถลิงก์ไปในกลุ่มอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปได้ทั้งหมด ซึ่งการทำแซนด์บ็อกซ์ เราต้องหาพันธมิตรที่ดี จึงปรึกษานพ.ชัยรัตน์ จนมาสู่การลงนาม MoUร่วมกันกับสมิติเวช
“ด้วยเหตุนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit ขึ้นมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ Corporate Wellness เพื่อการเข้าถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ง่ายขึ้น โดยแอปพลิเคชัน WHAbit เป็นเครื่องมือด้านสุขภาพดิจิทัล ที่จะช่วยให้ผู้สมัครใช้บริการ สามารถจัดการสุขภาพได้ โดยปรึกษาแพทย์ผ่านทางวิดีโอคอลกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยโรค การรักษา และการจ่ายยา ได้อย่างสะดวกสบาย โดยดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปมีแผนที่จะนำแอปพลิเคชัน WHAbit นี้ มาให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า หรือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ภายในไตรมาส 3 ปี 2565 WHAbit จึงเป็นช่องทางการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวมผ่านสื่อดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้ลูกค้ามีสุขภาพ รวมถึงชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464824-768x511.jpg)
“เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจดิจิทัลเฮลธ์แคร์กลุ่มแรกๆ ให้กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เพราะเป้าหมายของดับบลิวเอชเอ ไม่ใช่แค่การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีในนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่เรายังต้องการส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้พนักงานในนิคมอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทั่วถึง ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วัน และช่วยยกระดับความสามารถทางการแพทย์ และการให้บริการด้านสาธารณสุข สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการตอกย้ำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของดิจิทัลเฮลธ์แคร์ นั่นคือการนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มมาช่วยสนับสนุนบริการทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว และลดต้นทุน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม รวมถึงลดความแออัดในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขด้วย ”นางสาวจรีพรกล่าว และว่า
เราได้เริ่มนำแอปพลิเคชั่น WHAbit มาให้บริการกับพนักงานของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งแต่ปี 2564 และได้ผลตอบรับการใช้งานจากพนักงานเป็นอย่างดี เราเทสต์ในส่วนของพนักงานเริ่มจากเก็บข้อมูลการตรวจสุขภาพร่างกายของพนักงาน เพื่อทำประกันสุขภาพให้กับพนักงาน สำหรับกลุ่มที่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ เราจะแยกส่วนไปทำประกันสุขภาพเฉพาะให้ ส่วนคนที่ไม่ค่อยไปหาหมอก็ให้เขาดูแลสุขภาพด้านอื่น อาทิ ฟิตเนส และที่สำคัญคือโรคที่เกิดจากการทำงาน ตรงนี้คือจุดที่ต้องแก้ไขให้กับคนที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ถ้าเรามีการวางแผนป้องกันก็จะไม่เกิดโรคเรื้อรัง สุดท้ายแอปพลิเคชัน WHAbit สามารถออกแบบได้ว่าคุณต้องการแบบไหน ตอนนี้เราเริ่มต้นจากการเชื่อมต่อกับเรื่องประกันสุขภาพก่อน และในสเต็ปต่อไปเราต้องการเชื่อมต่อกับระบบประกันสังคมได้ด้วย
นางสาวจรีพร กล่าวด้วยว่า นอกจากการดูแลสุขภาพพนักงาน ลูกค้าทั้งในนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์เซ็นเตอร์ แล้ว เรามองถึงชาวบ้านชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมด้วย ในการลงทุนแต่ละที่เราต้องพบกับครอบครัวประมาณ 100,000 ครอบครัว เราจะดูแลทั้งหมดตั้งแต่สุขภาพพื้นฐาน การศึกษา โดยจะเอาแอปพลิเคชั่น WHAbit เข้าไปดูแลชาวบ้านด้วย
“ตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจะมีการประชุมที่นิคมอุตสาหกรรม ว่า สิ่งนี้ดีกับบริษัทองค์กรยังไง ต้นทุนลดลงยังไง พนักงานจะได้การบริการอะไรที่ดีขึ้น ต้องวินวิน พนักงานที่เป็นลูกจ้างรายวันไม่ต้องไปหาหมอ เขาไปหาหมอแต่ละทีเขาต้องหยุดงาน บางครั้งโรงพยาบาลไกล สุดท้ายแล้วถ้าลูกค้าของเราที่เป็นองค์กรได้ใช้แอปพลิเคชันตัวนี้ จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพพนักงานลดลง โดยนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ มีประมาณ 900 โรงงาน มีพนักงานประมาณ 200,000 คน โลจิสติกส์อีกประมาณ 100,000 คน และถ้ามันใช่ มันเกิดขึ้นได้ มันก็ขยายไประดับประเทศได้ เป้าหมายในอนาคตจะมีหลายล้านคน ในกลุ่ม EEC”นางสาวจรีพรกล่าว
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/S__18464823-768x513.jpg)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Samitivej Virtual Hospital เปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2562 มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ รวมทั้งช่วยให้ชีวิตของผู้รับบริการดีขึ้น สะดวก รวดเร็ว ในทุกมิติการดูแลสุขภาพ จนเป็นที่ยอมรับ ทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ ด้วย 4 รางวัลการันตี
- Prime Minister’s Export Award 2021: สาขา Best Service Enterprise Award (Health& Wellness) ความเป็นเลิศด้านบริการทางการแพทย์ Samitivej Virtual Hospital, Samitivej Plus และ Precision Medicine
- Product Innovation Awards 2021: สาขาความเป็นเลิศด้านบริการทางการแพทย์ Samitivej Virtual Hospital
- GlobalHealth Asia –Pacific Awards 2021: สาขา Smart Hospital of the Year in the Asia –Pacific
- Thailand Digital Excellence Awards 2020: สาขา Thai Digital Champion for Business Innovation