เที่ยวไปได้เรื่อยๆ เกียวโต-โอซาก้า : หมู่บ้านมิยาม่า & อามาโนะฮาชิดาเตะ หมู่บ้านชาวนาและมังกรสวรรค์
ใครๆ ก็ว่า เดินทางไกลหนึ่งพันก้าวเท่ากับอ่านหนังสือหมื่นเล่ม คิดๆ ดูแล้วท่าจะจริง เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้จินตนาการนึกภาพตามตัวอักษร ไหนเลยจะเทียบได้กับการสัมผัสด้วยมือและตาของเราเอง เช่นครั้งนี้ เสียงลือเสียงเล่าถึงความงามและความสงบของชนบทญี่ปุ่นที่หมู่บ้านชื่อ “มิยาม่า” ทำให้เคลิ้มว่าต้องไปเห็นด้วยตาให้ได้ เพราะว่านอกจากเป็นชนบทแท้ๆ ของเจแปนแล้ว ชาวนาที่นี่ยังร่ำรวยอีกต่างหาก
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_9944.jpg)
ดังนั้น เมื่อเสร็จจากอาหารกลางวันที่ร้านราเม็ง “โทอิจิ” ร้านชื่อดังของเมืองเกียวโต ที่รสชาติราเม็งแสนอร่อยและขายดีจนมิชลินต้องมาติดป้ายให้ ก็ออกเดินทางต่อไปที่หมู่บ้านมิยาม่าทันที หนแรกได้ยินชื่ออาจจะ “เห…” แบบคนญี่ปุ่น ฟังชื่อแล้วยังสงสัยไม่คุ้นหูเลยต้อง “เห…” ไว้ก่อน คนญี่ปุ่นนั้นหากสงสัยไม่แน่ใจอะไร เขาจะกล่าวคำว่า “เห..” พร้อมกับเอียงคอข้างใดข้างหนึ่ง ดูคิกขุอาโนเนะตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นนั่นแหละ
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_9961.jpg)
“หมู่บ้านมิยาม่า” เป็นหมู่บ้านโบราณ คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะรู้จักแต่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของจังหวัดกิฟุ ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะมากจนช้ำไปหมด เผลอๆ ชาวบ้านนึกรำคาญ แต่ด้วยความที่ชิราคาวาโกะเป็นมรดกโลกที่ทุกคนอยากมาดู ในฐานะเจ้าบ้านเลยต้องต้อนรับขับสู้ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี แต่ถ้าจะให้แปลกใหม่แล้ว “มิยาม่า” เป็นหมู่บ้านชนบทที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้ เวลานี้คนยังไม่รู้จักกันมากนัก บรรยากาศจึงสบายๆ สามารถเดินเล่นได้รอบหมู่บ้านเลยทีเดียว นอกจากนั้นที่หมู่บ้านยังมีกิจกรรมธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวได้ทำหลากหลาย ทั้งเดินป่า ตกปลา เป็นต้น
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_9967.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_0027.jpg)
“มิยาม่า” (Miyama) ตั้งอยู่เชิงเขา ห่างจากเมืองเกียวโตไปประมาณ 30 กิโลเมตร ชุมชนแห่งนี้ผู้คนยังใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่นโบราณอยู่เต็มเปี่ยม ไม่ว่าบ้านที่อยู่อาศัย ประเพณีต่างๆ จำนวนคนในหมู่บ้านมีราวๆ 200 หลังคาเรือน กระจายกันอยู่ทั่วพื้นที่ ส่วนบ้านโบราณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมิยาม่า มีประมาณ 40 หลัง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน เรียกว่า “คายาบูกิ โน ซาโตะ” ความหมายก็คือ “การมุงหลังคาแบบคายาบูกิ” นั่นเอง
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/2.jpg)
คายาบูกิ เป็นการมุงหลังคาบ้านสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ โดยใช้หญ้าหรือบางแห่งก็ว่าใบจากมามุงหลังคา ความหนาประมาณ 50 ซม. ถือเป็นลักษณะเฉพาะของหมู่บ้านแห่งนี้ เวลาจะมุงหลังคาแต่ละที ต้องใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกัน เหมือนกับการ “ลงแขก” หน้าเกี่ยวข้าวบ้านเรา ที่สำคัญไม่เฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่มา แต่ยังมีเด็กๆ และคนหนุ่มสาวมาร่วมด้วย เป็นการเรียนรู้และสืบทอดวิธีมุงหลังคาแบบโบราณไม่ให้สูญหายไป
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/4.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/8.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_0015.jpg)
บรรยากาศภายในบ้านแต่ละหลัง เป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัยจริง หลายหลังเปิดให้บริการเป็นโฮมสเตย์แก่นักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสชนบทญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจริงๆ ทั้งนอนบนฟูกในห้องเสื่อทาทามิ อาบน้ำในห้องน้ำไม้ไผ่ ได้ลองชิมอาหารท้องถิ่นซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ คือ ปลาหวาน Ayu ที่จับในแม่น้ำยูระ ในหมู่บ้านยังเปิดเป็น “พิพิธภัณฑ์คายาบูกิ โน ซาโตะ” ให้เข้าชมด้วย ภายในจัดแสดงเครื่องมือเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม และอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านโบราณเมื่อสี่สิบปีมาแล้ว
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/3.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/7.jpg)
ไม่ไกลจากคายาบูกิ โน ซาโตะ ยังมีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งชื่อ “อินดิโงะ” จัดแสดงศิลปะและสตูดิโอการย้อมสีผ้าอินดิโงะ ขาดไม่ได้เป็นร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งมีของน่าซื้อมากมายทั้งของกิน เสื้อผ้า และขนม ล้วนเป็นของผลิตขึ้นเองในหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวที่อยากไปเที่ยวแบบค้างคืนในหมู่บ้านสามารถทำได้โดยสอบถามจากทัวร์ได้ ส่วนใครจะเดินทางด้วยตัวเองคงต้องเปิดกูเกิ้ลศึกษาดูว่าติดต่อได้ที่ไหน อย่างไร เพราะมีหลายคนเขียนไว้บ้างแล้ว
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_E9955.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_9979.jpg)
ออกจากมิยาม่าหมู่บ้านชาวนาของญี่ปุ่น ก็มุ่งหน้าสู่ “ประตูมังกรสู่สวรรค์” หรือที่เรียกว่า “อามาโนะฮาชิดาเตะ” แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามติดอันดับของญี่ปุ่น ที่ได้ชื่อเช่นนี้ เป็นเพราะอามาโนะฮาชิดาเตะ เมื่อมองดูแล้วคล้ายกับเกาะที่มีแนวต้นไม้ทะแยงยาวขึ้นไปบนสวรรค์ คนญี่ปุ่นเขาเห็นเป็นมังกรที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บนยอดเขาจะมีวิวธรรมชาติสวยสดงดงาม ดังนั้น จึงมีการสร้างจุดชมวิวไว้หลายจุด รวมไปถึงจุดชมวิวที่สูงที่สุดด้วย
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_0072.jpg)
อันที่จริงแล้ว ภาพของสันทรายสีขาวตัดกับสีเขียวเข้มของต้นไม้ที่ปกคลุมหนาทึบไปทั้งเกาะที่โผล่พ้นน้ำทะเลขึ้นมากลางอ่าวมิยาสึ ความยาวกว่า 3 กิโลเมตรนั้น ก็คือแนวกั้นของปากอ่าวที่เมืองมิยาสึ วางตัวอยู่ในทิศเหนือใต้ระหว่างอ่าวมิยาซึกับทะเลในของทะเลอาโซโนะ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น “วิวที่สวยงามที่สุด” ในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่เทพเจ้าสร้างญี่ปุ่น บริเวณรอบๆ ขุดพบสุสาน และโบราณวัตถุต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ว่ากันว่าในสมัยยามาโตะโจวเท บริเวณนี้เป็นอาณาจักรที่มีอำนาจ กล่าวคือมีลักษณะภูมิประเทศที่หาพบได้ยาก คือมีต้นสนขนาดเล็กใหญ่ราว 8,000 ต้นขึ้นอยู่ เป็นลักษณะทางธรรมชาติที่ใช้เวลาสร้างหลายพันปี
นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าอีกว่า อามาโนะฮาชิดาเตะ เป็นเหมือนสะพานที่พาดผ่านไปบนท้องฟ้า เชื่อมระหว่างโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ เทพเจ้าจะใช้สะพานนี้เดินทางไปมาระหว่างสองโลก ขณะที่บางตำนานกล่าวว่าเทพมังกรเป็นผู้สร้างทั้งหมดนี้ภายในคืนเดียว ใครจะเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาต้องนั่ง “แชร์ลิฟท์” ขึ้นไป ไม่น่ากลัวหรือมีอันตรายอะไร ในแต่ละวันคนจะเดินทางขึ้น-ลงกันเป็นประจำ เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิวในอามาโนะฮาชิดาเตะ มีจุดดูวิวได้ 2 จุด ระหว่างทิศใต้และทิศเหนือ ขึ้นอยู่กับว่าเราขึ้นไปทางไหน
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2018/10/IMG_0070.jpg)
ส่วนใครที่อยากจะเห็นว่าเป็นตัวมังกรอย่างไร เขามีวิธีดู คือให้ไปยืนประจำจุดหรือตำแหน่งที่กำหนดไว้ที่จุดชมวิว จากนั้นให้โก้งโค้งมองลอดหว่างขา จะเห็นเป็นรูปมังกรกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อขึ้นไปแล้วเห็นใครต่อใครต่างก้มหัวโก้งโค้งมองลอดขากันเป็นแถว ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนหนุ่มคนสาว เป็นภาพแปลกตาไปอีกแบบ
ทั้งหมู่บ้านชาวนา “มิยาม่า” และประตูมังกรสู่สวรรค์ “อามาโนะฮาชิดาเตะ” ถือเป็นแห่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม แต่อาจอยู่ในคนละบรรยากาศ ที่สำคัญทั้งคู่เป็น “อันซีน” ของเจแปน ที่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปไม่มากนัก ไม่แออัดเหมือนแหล่งเที่ยวอื่นๆ ที่ต้องเดินหัวไหล่ชนกัน