เปิดประตู “โลกอาหรับ” ผ่าน “อาหารอาราเบียน” ที่ใครก็เข้าถึงได้

Review พาชิมพาส่อง

เรื่อง/ภาพ ชมพูนุท นำภา


 

การเสาะแสวงหาแหล่งกินอร่อยถือเป็นหนึ่งสิ่งที่รื่นรมย์ในชีวิต ยิ่งเป็นอาหารที่ไม่ได้มีขายทั่วไปอย่างอาหารอาหรับที่หนักเครื่องเทศแล้ว การพบเจอร้านที่ใช่ยิ่งเพิ่มความฟินในความรู้สึก

และ หลังจากที่ได้ลองชิมอาหารอาราเบียน ที่ โรงแรมอัล มีรอซ ย่านรามคำแหงแล้ว คงไม่ต้องไปเสียเวลาเสาะหาที่ไหนอีก เพราะที่นี่มีอาหารอาหรับมากมายให้เลือกชิมอย่างจุใจ

โรงแรม อัล มีรอซ ชื่อนี้ในภาษาอาหรับ แปลว่า มรดก สื่อว่าเป็นมรดกที่ชาวมุสลิมทั่วโลกภาคภูมิใจ เป็นโรงแรมที่เปิดใหม่ได้เพียง 3 ปี ดีไซน์แบบอิสลามมิกโทนสีทอง น้ำตาล เขียว โดดเด่นลายฉลุ แสดงถึงความหรูหรา โออ่า เข้าไปแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในดินแดนอารยธรรมอันเก่าแก่รุ่งเรืองอย่างไรอย่างนั้น

ชื่อเสียงของที่ไม่เพียงการบริการห้องพัก แต่ร้านอาหารก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แม้จะเป็นฮาลาล 100% แต่รสชาติที่เป็นสากล จึงไม่จำกัดเฉพาะชาวมุสลิม แต่เป็นทุกเชื้อชาติศาสนาพากันเข้ามาลิ้มลองกันไม่ขาดสาย

เริ่มจาก เมนู “ซิกเนเจอร์” ของ ห้องอาหารบารากัต (Barakat)ห้องนี้เสิร์ฟอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน และ อาราเบียน ที่ใครมาก็อดใจไม่สั่งไม่ได้ คือ ข้าวหมกล็อบสเตอร์(Lobster Biryani) (600 บาท/ล็อบสเตอร์ครึ่งตัว และ 1,000 บาท/ล็อบสเตอร์เต็มตัว) จานนี้ถือว่าเป็นการประยุกต์ตำรับอาหารเก่าแก่ของตะวันออกกลางและมุสลิมให้ร่วมสมัยด้วยการใช้วัตถุดิบแปลกใหม่อย่างล็อบสเตอร์ตัวเขื่อง

ข้าวหมกร้อนๆ โชยกลิ่นหอม กับ เมนล็อบสเตอร์ที่หมกตัวอยู่ในข้าวบาสมาติเม็ดเรียวนั้น ยั่วน้ำย่อยไม่หยอก เสิร์ฟพร้อมกับผัก 2 สไตล์ คือ ผักสด กับผักดอง และ ซอส 3 ชนิด

ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราเริ่มบรรเลงจานแรกด้วยความตื่นเต้น กลิ่นเครื่องเทศที่ลดดีกรีลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ รสชาติอันละมุนของข้าวบาสมาติที่แม้จะร่วน แต่ความนุ่มนั้นกินขาด บวกกับเนื้อล็อบสเตอร์ที่เค็มนิดๆ เข้ากันได้ดีกับข้าวหมกอย่างน่าอัศจรรย์

เชฟ อภิรัคค์ มานะเฝ้า Executive Chef ที่มองอยู่ด้วยใบหน้าอมยิ้ม บอกเราว่า เมนูนี้มีแรงบันดาลใจ คือ ตั้งแต่เด็กเวลามะ(คำใช้เรียกแม่ของชาวมุสลิม) พาไปกินข้าวหมก จะได้กินแต่ข้าวหมกไก่ พอโตขึ้นมาเป็นเชฟมันต้องสนองอะไรซักอย่างหนึ่ง(ยิ้ม) จึงลองหยิบจับล็อบสเตอร์สดๆ จากแคนาดามาใช้กับข้าวหมก ปรากฎว่ารสชาติเค็มนิดๆ จากตัวล็อบสเตอร์เข้ากันได้ดีกับกลิ่นอายของข้าวบรียานี่ ผ่านปลายจวักของ เชฟ Khurram Jahangir Khan จาก ลาฮอร์ ปากีสถาน อีกทอดหนึ่ง

“ผมมองว่าล็อบสเตอร์มันดูโหดดี ดูร็อค ก้ามใหญ่ ส่วนใหญ่ที่มากินจะสะใจกับก้ามล็อบสเตอร์ของผมนะครับ เมนูนี้ขายมา 1 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ คนไทยที่ตามรีวิวมาก็มี ส่วนมากปลื้มทุกคน”

ด้านโปรไฟล์ เชฟอภิรัคค์นั้น อยู่ในวงการด้านอาหารมาถึง 19 ปี เริ่มต้นชีวิตการทำอาหารจริงจังเมื่ออายุ 20 ปี ปัจจุบันอายุ 39 ปี ไต่เต้าจากอาหารยุโรป ตระเวนฝึกฝนตามโรงแรมต่างๆ จนมาอยู่ที่ “อัล มีรอซ”

“ตัวผมเป็นมุสลิม ก็อยากจะหาโรงแรมแบบนี้ ซึ่งในประเทศนี้แทบจะไม่มี ที่เป็นโรงแรมฮาลาล 100% เพราะส่วนใหญ่จะมีแค่ครัวฮาลาล ที่นี่ผมต้องการทำอาหารมุสลิมให้กว้างกว่าที่คิด เพราะอาหารฮาลาลไม่ได้จำกัด ต้องแปลกใหม่ แต่วัตถุดิบต้องเป็นฮาลาลจริงๆ”

“และ ผมเชื่อว่าที่นี่มีกลิ่นอายเฉพาะที่ไม่แรง เป็นกลิ่นอายอาหารอาราเบียนที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่แรงเกิน ซึ่งบางแห่งอาหารอาหรับกลิ่นจะทะลุร้านออกมาเลย(ยิ้ม) แต่ของเรากลิ่นมันละมุน ทั้งกลิ่นอาย รสชาติ และ ดีไซน์การจัดวาง”

สิ้นสุดการอธิบาย จานซิกเนเจอร์ต่อมาก็ถูกยกมาเสิร์ฟพอดิบพอดี จานนี้คือ “สเต๊กพรีเมี่ยมเนื้อวัวสันนอก” (1,365 บาท/เซ็ต) ที่ผ่านการดรายเอจ (Dry Aged) หรือ การบ่มแห้งที่ต้องใช้กระบวนการดูแลอุณหภูมิ 2 องศา

สเต๊กเนื้อเสิร์ฟพร้อมซอสบัลซามิก มีกลิ่นหอม รสชาติออกเปรี้ยวหวาน เสริมด้วยน้ำเกรวี่ที่เคี่ยวกระดูกวัวแท้ๆ นานถึง 8 ชั่วโมง

นั่งพินิจพิเคราะห์เนื้อวัวพรีเมี่ยมที่แหมะอยู่กลางจาน ตกแต่งด้วยผัก และ กลีบดอกไม้หลากสี ให้ความรู้สึกถึงวัวพันธุ์ดีที่เติบโตท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ก่อนจะบรรจงเฉือนสเต๊กชิ้นหนาตรงหน้า แล้วเคี้ยวช้าๆ สัมผัสเพื่อความหวานนุ่ม ยืดเวลาแห่งความสุขอย่างถึงที่สุด

นอกจาก “ซิกเนเจอร์” ทั้ง 2 จานข้างต้นแล้ว ที่ห้องอาหารบารากัต ยังมีอีกหลายจานที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง เริ่มจาก ถั่วชิคพีบด (Chickpea Hummus) ราคา 160 บาท ซึ่งเป็นอาหารหลักชาวอาหรับ ส่วนผสม คือ ชิคพี ถั่วบด ทาฮินี(งาบด) และ ส่วนผสมน้ำมะนาว เกลือ รสชาติจะออกมันๆ กลมกล่อมกำลังดี

แป้งพัฟไส้ผักโขม (Spinach Fatayer) ราคา 200 บาท ข้างในเป็นไส้ผักโขม กับถั่วพายนัท โดยไส้ผักโขมจะผัดกับน้ำส้มอาหรับ ส่วนถั่วพายนัทผัดกับเนย แล้วห่อด้วยแป้ง ใช้วิธีการอบให้แป้งสุก เสิร์ฟพร้อมซอส 3 สไตล์ 3 รสชาติ คือ ซอสกะเทียมสีขาวนวล รสชาติมัน ซอสแมงโก้ เป็นซอสสูตรที่คิดขึ้นแทนซอสมะขามที่จะเปรี้ยวอย่างเดียว แต่ซอสมะม่วงจะหวานอมเปรี้ยวนิดๆ และ สุดท้ายซอสเผ็ดตัดรสเลี่ยน

ซาโมซ่าผัก (Vegetable Samosa) ราคา 120 บาท ทำจากแป้งโฮลวีตอย่างดี บวกกับเครื่องเทศนานาชนิด นอกจากไส้ผักแล้ว ยังมีไส้แกะ และ ไส้ไก่ ที่สามารถสั่งผสมกันได้ในจานเดียว

นอกจากนี้ยังมี กุ้งย่างโดยใช้ Tiger prawn เสิร์ฟไซส์จัมโบ้ ราคา 400 บาท แกงไก่ซอสเนยมะเขือเทศสไตล์อินเดียน 300 บาท แกงชีสผักโขม ราคา 180 บาท รับประทานกับแป้งนาน ราคา 60 บาท โดยแกงชีสผักโขมมังสาววิรัตสามารถรับประทานได้

ส่วนเครื่องดื่ม มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่กาแฟอินทผาลัมปั่น แพสชั่นฟรุตโมฮิโต้ ดื่มแล้วชื่นใจตัดเลี่ยนเครื่องเทศได้ลงตัว

ใครที่ชื่นชอบอาหารอาราเบียนเป็นทุน หรือ ผู้ที่อยากลอง แนะนำโรงแรม “อัล มีรอซ” อีกแห่ง ที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในใจไม่ยากเลย

 


 

Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111