“น้ำตาล” ในเครื่องดื่ม “หวาน” แค่ไหนถึงจะไม่เสี่ยง “เบาหวาน-อ้วน”

Health สุขภาพดีๆ

เมื่อชีวิตติดหวาน น้ำหนักเกินมาตรฐานเอย พุงย้อยๆ ขาใหญ่ๆ เอย และโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยตามมา แต่เมื่อเราหลงรักเครื่องดื่มอร่อยๆ จนอาจเรียกได้ว่าไม่มีเธอไม่ได้ ขาดเธอเหมือนขาดใจ เราจะเลือกเครื่องดื่มอย่างไรให้ไม่อันตรายกับร่างกายในอนาคต

ทำไมเราต้อง “ลดหวาน” ในเครื่องดื่ม ?

พญ.พรรณพิมล วิปุสากร อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า โดยเฉลี่ยในแต่ละวัน คนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยกว่า 3 แก้ว หรือ 519.3 มิลลิลิตร ผู้ชายดื่มมากกว่าผู้หญิง และพบว่าในกลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปี เป็น กลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อสัปดาห์มากที่สุด

นอกจากนี้เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลที่วางจำหน่ายในประเทศไทย พบมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก เฉลี่ย 9-19 กรัม/100 มิลลิลิตร ในขณะที่ปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ควรมีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เพราะจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน และโรคติดต่อเรื้อรังได้ในระยะยาว เช่น เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด และฟันผุ เป็นต้น

กินผัก ลดเสี่ยงฟันผุ

ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสิรฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า น้ำตาลเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียในการผลิตกรดที่ทำลายผิวฟันจนลุกลามไปเรื่อยๆ หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการเน้นบริโภคผักหรือผลไม้ที่มีเส้นใยเซลลูโลส เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการเคี้ยวเส้นใยจะช่วยกระตุ้นให้มีน้ำลายมากขึ้น

สามารถเจือจางสภาพความเป็นกรดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งอาหารกลุ่มโปรตีน เช่น ถั่วต่างๆ นมที่มีแคลเซียม และฟอสเฟตสูง

วิธี “ลดหวาน” ในเครื่องดื่ม

  1. สั่งเครื่องดื่มให้ติดปากว่า ขอ “หวานน้อย” ทุกครั้ง
  2. ลดการดื่มเครื่องดื่มที่ใส่ไข่มุก (เช่น ชานมไข่มุก) น้ำอัดลม สมูธตี้ เครื่องดื่มที่ใส่น้ำเชื่อม นมข้นหวาน น้ำตาลในรูปแบบอื่นๆ โดยบริโภคไม่เกิน 1-2 แก้วต่อสัปดาห์เท่านั้น
  3. เลือกเครื่องดื่มที่มีการปรุงแต่งน้อยๆ เช่น กาแฟเอสเปรสโซ่ (กาแฟดำ) ชาใส (ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม) แทนเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีส่วนผสมมากมาย
  4. ไม่ใส่ท้อปปิ้งอื่นๆ เพิ่ม เช่น ซอสช็อกโกแลต คาราเมล น้ำตาลเม็ดสีๆ ไอศกรีม ฯลฯ
  5. สั่งแก้วเล็กที่สุดเสมอ

นอกจากนี้ อย่าเผลอสั่งขนม หรือของว่างทานเล่นอื่นๆ มากินด้วยกันกับเครื่องดื่ม และอาจจะเพิ่มกฎให้กับตัวเองไปด้วยว่า หากวันไหนสั่งเครื่องดื่มกิน วันนั้นต้องออกกำลังกายเพิ่มอีก 30 นาที เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม น้ำเปล่า ยังถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ให้ความสดชื่นได้ไม่แพ้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล หากอยากได้น้ำเปล่าที่มีรสชาติขึ้นมาอีกนิด สามารถฝานผลไม้ที่ตัวเองชอบเป็นชิ้นๆ ใส่ลงไปในแก้ว หรือขวดน้ำเย็นๆ จิบดื่มระหว่างวันได้เช่นกัน

ที่มา : Sanook.com