“กราโนล่า” ประโยชน์และข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนกิน

Food Story อาหาร

คุณผู้อ่านท่านใดชอบกินกราโนล่าเป็นอาหารมื้อเช้าในวันเร่งรีบ หรือซื้อกราโนล่าติดตัวไว้กินเป็นของว่างบ้างคะ? วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ ของกราโนล่ามาฝาก มาดูกันว่ากราโนล่ากินมากๆ จะดีต่อสุขภาพหรือเปล่า หรือจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

กราโนล่า คืออะไร?

กราโนล่า (Granola) คืออาหารที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ซีเรียลธัญพืช” หรืออาจจะมองว่าเป็นของว่างก็ได้เช่นกัน กราโนล่าประกอบไปด้วย ธัญพืช ชนิดต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว ข้าวพอง ผลไม้อบแห้ง และมีส่วนผสมที่ให้ความหวานอย่างน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน บางครั้งคุณอาจพบกราโนล่าแบบอัดแท่งที่สามารถแกะห่อแล้วกินได้เลย หรือรูปแบบซีเรียลที่กินคู่กับนมเป็นอาหารเช้า

สารอาหารที่ได้จากกราโนล่า

การรับประทานกราโนล่า (แบบคลีน หรือ Classic Granola) ประมาณ ¼ ถ้วย (หรือประมาณ 29 กรัม) จะได้สารอาหารสำคัญๆ ดังนี้

  • พลังงาน 140 แคลอรี่
  • ไขมัน 9 กรัม
  • โซเดียม 85 มิลลิกรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
  • ไฟเบอร์ 3 กรัม
  • น้ำตาล 4 กรัม
  • โปรตีน 3 กรัม

นอกจากสารอาหารหลักแล้ว กราโนล่าก็ยังให้อาหารรองที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด ซึ่งสารอาหารรองนี้จะขึ้นอยู่กับส่วนผสมในกราโนล่า ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อบแห้ง ถั่ว หรือ ธัญพืช ที่ต่างชนิดกัน ส่วนผสมที่ต่างกันไปนี้ อาจให้สารอาหารรองจำพวก สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี โฟเลต ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก

ประโยชน์ของกราโนล่า

อิ่มนานขึ้น

กราโนล่าให้ทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสองสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย การได้รับโปรตีนและไฟเบอร์ในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้นและอิ่มได้นานขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะเมื่ออิ่มนานขึ้น ความอยากอาหารในมื้อต่อๆ ไปก็จะน้อยลง ทำให้แคลอรี่ไม่พุ่งเกินพิกัด

ให้สารต้านอนุมูลอิสระ

แม้จะเป็นของว่างแต่ก็เป็นของว่างที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ไม่น้อย เนื่องจากมีส่วนผสมที่เป็น ธัญพืช หลายชนิด ที่ให้สารอาหารจำพวกสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของกรดแกลลิก (Gallic Acid) เควอซิติน (Quercetin) ซีลีเนียม (Selenium) และวิตามินอี

ให้พลังงานแก่ร่างกาย

กราโนล่าเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในระดับที่เหมาะสม และยังเป็นคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานง่าย แกะห่อแล้วกินได้เลย นักกิจกรรมกลางแจ้งอย่าง นักปีนเขา นักเดินป่า จึงมักจะพกกราโนล่าไว้เป็นแหล่งพลังงานชั้นดีที่ช่วยให้มีแรงทำกิจกรรม

ดีต่อลำไส้

จากผลการศึกษาพบว่า กราโนล่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพลำไส้ เนื่องจากมีทั้งไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชั้นดีในลำไส้ให้มากขึ้น เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้มีมากขึ้น การย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารที่ลำไส้จึงสามารถทำได้ดีขึ้นด้วย

มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต

การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง จากผลการศึกษาพบว่า มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะกราโนล่ามี ธัญพืช ที่มีประโยชน์มากมายทั้ง ถั่ว ข้าวโอ๊ต เมล็ดแฟลกซ์ ผลไม้อบแห้ง ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ให้ไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย

กินกราโนล่าอย่างไรให้สุขภาพดี

แม้กราโนล่าจะให้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีต่อสุขภาพเสมอไป หากเราเลือกกราโนล่าโดยไม่อ่านฉลากให้ดีก่อน เนื่องจากกราโนล่าที่วางขายตามตลาด แม้จะให้ส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีแคลอรี่สูง เพราะบางยี่ห้ออาจมีสารให้ความหวานอย่างน้ำตาล หรือน้ำตาลเทียม ที่จะทำให้กราโนล่าห่อนั้นมีปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป

ดังนั้น เวลาเลือกซื้อกราโนล่า ควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนเสมอ และควรเลือกยี่ห้อที่ให้ไฟเบอร์กับโปรตีนสูง โดยควรจะมีไฟเบอร์อย่างน้อยๆ 3-5 กรัม และหากเป็นไปได้ควรเลือกกินกราโนล่าที่เป็นสูตรโฮมเมด สูตรธรรมชาติ หรือถ้าจะให้ดีควรทำกราโนล่าไว้กินเอง เพราะสามารถเลือกวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพและตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง

เมื่อเลือกกราโนล่าสูตรคลีน ๆ ได้สักยี่ห้อ หรือเลือกที่จะทำไว้กินเองแล้ว ทีนี้เวลารับประทาน เพื่อให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น สามารถกินคู่กับโยเกิร์ตไขมันต่ำ กรีกโยเกิร์ต นมพร่องมันเนย หรือจะกินคู่กับไอศกรีมสูตรสุขภาพก็จะดีไม่น้อย หรือบางคนอาจจะกินกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ก็ดีเช่นกัน

ข้อควรระวังของกราโนล่า

กราโนล่า อร่อย กินง่าย และได้สารอาหารหลากหลาย แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่หลายประการ ดังนี้

  • กราโนล่าบางยี่ห้ออาจมีปริมาณน้ำตาลสูง ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการทางสุขภาพ เช่น เบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เวลาเลือกจึงควรเลือกแบบที่มีน้ำตาลน้อย
  • กราโนล่าบางยี่ห้ออาจให้ไขมันสูง เนื่องจากอาจมีส่วนผสมของเนยถั่ว หรือน้ำมันจากพืช ซึ่งเสี่ยงทำให้แคลอรี่เกินพิกัดในผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก 
  • ผู้ที่มีอาการแพ้กลูเตนอาจจำเป็นต้องระวัง เพราะกราโนล่าบางยี่ห้อที่ใช้ ธัญพืช แบบมีกลูเตน เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต
  • ผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วบางชนิด ควรตรวจสอบฉลากก่อนซื้อ เพื่อดูว่ามีถั่วชนิดที่ตนเองมีอาการแพ้หรือไม่

ที่มา : Sanook